ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดอยสูง ฟ้าใสกับหัวใจสองดวง

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 3 ต.ค. 50


    บทที่ 2

                เรื่องราวสมัยเด็กพรั่งพรูผ่านภาพความทรงจำที่คล้ายจะแจ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อยิ่งเล่า   แม้จะเคยลืมเลือนไปนานแต่เมื่อนึกถึงมันกลับไม่เคยลบหายไปจากความทรงจำ

     

                “ตอนนั้นฉันอายุประมาณเก้าขวบได้   โรงเรียนปิดเทอมใหญ่พอดี   คุณพ่อต้องไปดูงานที่ต่างประเทศเดือนนึงคุณแม่ก็เลยจะพาฉันกับตาหมอกไปด้วย   แต่ว่าคุณลุงแวะลงไปเยี่ยมพ่อที่กรุงเทพฯ พอดี   คุณลุงกับคุณป้าท่านไม่มีลูกก็เลยรักฉันที่เป็นหลานคนแรกมาก   ท่านชวนให้ขึ้นมาเที่ยวที่นี่ฉันก็เลยตามมา   แรก ๆ มันก็สนุกหรอกอะไรที่มันแปลกหูแปลกตาสำหรับเด็กในเมืองอย่างฉันน่ะ   แต่พอเข้าอาทิตย์ที่สองนี่เบื่อมาก ๆ เลย   เพื่อนเล่นก็ไม่มีพวกเด็ก ๆ ลูกคนงานเขาก็ไม่ยอมเล่นกับฉัน  เที่ยวก็เที่ยวซะรอบไร่แล้วด้วย    ตัวเล็กแบบฉันไปวุ่นวายในไร่ก็เกะกะเขาเปล่า ๆ จะอยู่แต่บนเรือนก็น่าเบื่อฉันเลยร้องไห้อยากกลับกรุงเทพฯ  ที่นี้จะกลับก็ไม่รู้จะไปอยู่กับใครเพราะคุณพ่อกับคุณแม่ก็ยังไม่กลับ    ที่บ้านมีแต่แม่บ้านกับคนรับใช้เท่านั้น   หรือไม่ก็ต้องไปอยู่บ้านคุณยายที่มีน้าศรีตลาอยู่”     

     

                “เธอคงเลือกอยู่ต่อที่นี่ละซิ”    วรรณวลีเดาได้   ศรีตลามารดาของธิดาทิพย์  ผู้หญิงที่แย่งแฟนหนุ่มของทอฟ้าไปนั่นแหละ    สองแม่ลูกนิสัยถอดแบบกันออกมาเลยเชียว  แม่ร้ายยังไงลูกก็ไม่แพ้กัน 

     

                “ใช่  ทนเหงาอยู่ที่นี่ดีกว่าต้องไปเป็นที่ระบายอารมณ์ให้น้าศรี”    ทอฟ้ารับคำพลางเล่าต่อ

     

                “คุณลุงคุณป้าเห็นฉันเหงาไม่มีเพื่อนเล่น     ก็เลยพาฉันไปเที่ยวบ้านเพื่อน   รู้สึกว่าจะเป็นพ่อเลี้ยงชื่ออะไรซักอย่างนี่แหละฉันก็จำไม่ค่อยได้แล้ว   บ้านเขาอยู่ในป่ามีแต่ต้นไม้ทั้งนั้นเลย”

     

                “แหมลุงเธอพาเด็กผู้หญิงเหงา ๆ ไปเที่ยวป่าดูต้นไม้เนี่ยนะ   มันคงหายเหงาหรอก”    คนฟังอดจะขัดคอไม่ได้   ทอฟ้าอมยิ้มพลางเล่าต่อ

     

                “ใครว่า  หายเหงาเป็นปลิดทิ้งเลย  เพราะอะไรรู้ไหม”    หญิงสาวเอ่ยถามแต่ไม่ต้องการคำตอบเพราะเล่าต่อไป

     

                “เพื่อนคุณลุงน่ะเขามีลูกชายสองคนดูเหมือนจะแก่กว่าฉันประมาณห้าหกปีได้ละมัง   เขาพาฉันไปเที่ยวมันสวยมากเลยละ  มีน้ำตก   มีดอกไม้ป่า  มีสัตว์ป่าออกมาเดินเพ่นพ่านให้เห็นด้วย”    ทอฟ้าบอกสิ่งที่ถ่ายทอดออกมายังไม่แจ่มชัดเท่ามโนภาพในความทรงจำ

     

     

                เด็กหญิงตัวน้อยแม้จะอายุเก้าขวบแล้วแต่ก็ยังตัวเล็กนิดเดียวยังกับเด็กห้าหกขวบผมยาวถูกถักเป็นเปียสองแกละ   แก้มนวลใสเลอะเปรอะด้วยคราบน้ำตาที่ถูกมือน้อย ๆ ละเลงจนเป็นเมือกดำ   ตาคู่สวยแหงนมองเด็กหนุ่มสูงโย่งสองคนที่กำลังปรึกษาหารือกันด้วยเรื่องของตัวเอง

     

                “นายรับไปซิ   พ่อฝากยัยตัวยุ่งนี่ไว้กับนายไม่ใช่ฉันนี่”    เด็กหนุ่มคนตัวสูงกว่าเกี่ยงคนที่ตัวเตี้ยกว่าเล็กน้อยที่หันมามองหน้ามอม ๆ ของเด็กหญิงด้วยท่าทางหนักใจ

     

                “พ่อเลี้ยงฝากเราทั้งคู่  ไม่ได้ฝากกับผมเสียหน่อย”

     

                “นั่นแหละ  แต่นายเป็นคนรับปาก”    อีกฝ่ายไปได้ข้าง ๆ คู ๆ

     

                “ท่าทางน่าสงสาร    คงเหงาไม่มีเพื่อน”   

     

                “งั้นก็หาเพื่อนลูกคนงานให้มาเล่นกับยัยนี่ก็แล้วกัน”    คนไม่อยากพาไปด้วยหาทางออก

     

                “จะหาใครละครับ    มีแต่ตัวโตกว่า  แก่กว่าทั้งนั้นเลย  คงไม่มีใครยอมเล่นด้วยหรอก”

     

                “โน่นก็ไม่ดีนี่ก็ไม่ได้งั้นก็ทิ้งไว้ที่นี่แหละเดี๋ยวก็วิ่งกลับบ้านไปเอง”    คนตัวสูงกว่าให้ความเห็นทำเอาเด็กหญิงที่ยืนฟังน้ำตาคลอเพราะจะถูกทิ้ง

     

                “นั่นประไร   ยังไม่ทันไรเลยทำท่าจะร้องไห้ขี้มูกโป่งเสียแล้ว   ขืนเอาไปด้วยหมดสนุกกันพอดี”   

     

                “นี่อย่าทำหน้าอย่างนี้ได้ไหม   อย่าร้องไห้ออกมานะฉันทำอะไรไม่ถูก”    เด็กหนุ่มที่ท่าทางจะใจอ่อนกว่าอีกคนบอกด้วยท่าทางอึดอัด

     

                “ถ้านายไม่ทิ้งไว้นี่ก็ดูแลเองนะ   ไปละ”    ว่าแล้วคนเป็นพี่เพื่อน  และตัวโตกว่าเพื่อนก็เผ่นแนบไม่เหลียวหลังทิ้งให้นายคนน้องมองเด็กหญิงอย่างลังเล

     

                “สัญญานะว่าจะไม่ร้องไห้   ไม่บ่นไม่พูดมาก”      เด็กหนุ่มที่เหลือก้มลงมาพูดด้วย   เด็กหญิงรีบพยักหน้ารับทั้งหยาดน้ำตาที่คลอหน่วย   ฉีกยิ้มแก้มใสมองเห็นโอกาสได้ไปเที่ยวสนุกรำไร

     

                “เอางั้นก็ตามมา  ลำบากแล้วอย่ามาร้องให้พากลับก็แล้วกัน”    เด็กหนุ่มบอกพลางหันหลังเดินดุ่มนำไปโดยมีเด็กหญิงเดินตาม

     

                ทางเดินสองข้างทางเป็นป่ารก    บางช่วงก็เป็นสะพานไม้ต่อแบบลวก ๆ เพื่อข้ามผ่านร่องน้ำระหว่างช่องเขา   ความสูงของต้นไม้บดบังแสงแดดทำให้ทั่วบริเวณร่มครึ้มเย็นสบาย    แรก ๆ เด็กหญิงพยายามเร่งฝีเท้าแต่ยิ่งเดินก็ยิ่งทิ้งระยะห่างทำให้ต้องเป็นฝ่ายวิ่งตาม   กว่าจะไล่ทันก็เล่นเอาหอบฮัก

     

                “ชักช้าจัง”     เสียงทักดังจากคนที่มาถึงก่อนนานแล้วและเมื่อสายตาเหลือบมาเห็นคนเดินหอบรั้งท้ายมาด้วยก็พูดต่อ

     

                “มิน่า  เอายายขี้แยติดมาด้วยนี่เอง   ว่าแต่จะไปกับพวกเราไหวเหรอเหนื่อยขนาดนั้นน่ะ”   

     

                “ไหวซิ”    เด็กหญิงรีบพูดกลัวถูกไล่กลับ    เด็กหนุ่มไม่ว่าอะไรแต่โยนกระติกน้ำส่งให้พลางหันไปบอกคนเป็นน้อง

     

    “ฉันขึ้นไปรอข้างบนก่อนก็แล้วกันนะ   นายค่อย ๆ ตามไปก็ได้  อ้อ  ถ้าไม่เจอแสดงว่าฉันไปทางอื่นแล้วไม่ต้องห่วง”     เด็กหนุ่มบอกแล้วลุกเดินจากไปไม่สนใจอะไรอีก

               

    “มานั่งตรงนี้มา”    เด็กหนุ่มอีกคนเรียก    เด็กหญิงจึงเดินเข้าไปใกล้   มือใหญ่ยื่นออกมาคว้าตัวคนตัวเล็กกว่ามากอุ้มขึ้นมานั่งบนโขดหิน    

                “สวยจังเลย”    เด็กหญิงอุทานอย่างตื่นเต้น   สายน้ำสีขาวทิ้งตัวยาวเป็นสายลงไปเป็นชั้น  ๆ ก่อนจะไหลไปรวมกันในแอ่งน้ำที่ไกลออกไป   มอสและเฟรินขึ้นปกคลุมหนาแน่นตามสองข้างของลำธารน้ำใส    อากาศรอบด้านเย็นชื้นสดชื่นทำให้คลายเหนื่อยได้อย่างรวดเร็ว

               

    “หายเหนื่อยไหมล่ะ   ขึ้นไปข้างบนจะสวยกว่านี้อีก” 

               

    “จริงเหรอ   งั้นไปกันเลยซิ”   เด็กหญิงเร่งอย่างอยากเห็นแต่คนชวนยิ้มกว้างพลางส่ายหน้า

               

    “หยุดพักก่อน   เหนื่อยจะแย่ยังอวดเก่งเดี๋ยวก็ได้คลานไปหรอก   ทางขึ้นข้างบนชันกว่านี้ตั้งเยอะพักเอาแรงก่อน”   เด็กหญิงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย  ไปช้าดีกว่าอดไป    สายตาเด็กน้อยชะเง้อมองสายน้ำอย่างสนใจยิ่ง

               

    “อยากลงเล่นละสิ   แต่ลงไม่ได้หรอกนะ    ตรงนี้เป็นแอ่งน้ำลึกแล้วน้ำก็วนด้วย  ต้องชั้นล่าง ๆ ลงไปหรือไม่ก็ข้างบนโน้นแอ่งน้ำจะตื้นกว่านี้”   เด็กหนุ่มบอกให้ฟัง

               

    “หายเหนื่อยหรือยัง  ถ้าหายแล้วก็ไปต่อกันเถอะ”   เสียงบอกพร้อมกับร่างสูงเก้งก้างนั้นลุกขึ้นยืนและรับเอาเด็กหญิงลงมายืนบนพื้นดินเบื้องล่าง

                “เดินตามมาดี ๆ ล่ะระวังลื่น”     เท้ายาว ๆ ของคนตัวสูงชลอช้าลงเพื่อคอยให้เด็กหญิงตามมาทัน   เส้นทางที่ค่อย ๆ ลาดชันสูงขึ้นทำให้คนตัวเล็กเริ่มหอบเหนื่อย  การก้าวเดินเริ่มช้าลงทุกที

                “ไหวไหม”      เด็กหญิงพยักหน้ารับ    ร่างกายเริ่มล้าแต่ใจยังสู้   เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนขมุกขมอมมากขึ้นจากการบุกป่าฝ่าดงตามคนตัวโตกว่ามา   

     

    เด็กหนุ่มยื่นมือให้จับเพื่อฉุดขึ้นมา   เด็กหญิงเอื้อมขึ้นไปเพื่อจะคว้าไว้แต่พลาด   ร่างเล็ก ๆ ลื่นไถลหงายหลังกลิ้งลงทางลาดไปท่ามกลางความตกใจของเด็กหนุ่ม

     

    “เฮ้ย!    พร้อมเสียงร้องเด็กหนุ่มก็ลื่นไถลตามลงไปอย่างรวดเร็ว      ร่างสูง ๆ นั้นไถลลื่นลงมาอย่างไม่เป็นท่าหยุดลงตรงหน้าร่างเล็ก ๆ ที่กำลังสะอึกสะอื้นร้องไห้ด้วยความตกใจปนความเจ็บ

    “เป็นอะไรหรือเปล่า”     เด็กหญิงไม่ตอบเอาแต่ร้องไห้

     

    “ไหนดูซิ”   เด็กหนุ่มปัดเศษดินออกจากผมเปียสองข้างและตามตัว  แก้มที่มอมอยู่แล้วยิ่งมอมหนักด้วยคราบโคลน    เสื้อผ้าที่สวมใส่เปื้อนไปทั้งแถบ  เคราะห์ดีตรงที่ร่วงลงมานั้นดินนิ่มและชื้นแฉะทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก

     

    “เจ็บ   เจ็บ”   เด็กหญิงพูดอยู่แค่นั้นก่อนจะสะอื้นไห้ต่อไป

     

    “เจ็บตรงไหนล่ะ   ไม่เห็นมีแผลตรงไหนเลย”     เด็กหนุ่มกวาดตามองทั่วตัวแต่ไม่พบบาดแผล

     

    “ขา   เจ็บขา”    เสียงแกมสะอื้นบอกขยายความ

     

    “เฮ้อ   บอกแล้วว่าไม่ให้มาก็ไม่เชื่อกันนี่น้า”   เด็กหนุ่มบ่นพลางถามต่อไป

     

    “ยืนไหวไหม”    คำตอบคือการส่ายหน้า

     

    “จะขาหักหรือแค่ขาแพลงก็ไม่รู้   แข็งใจยืนหน่อยได้ไหมจะพากลับบ้าน”     เด็กหญิงเอาแต่ส่ายหน้าไม่ไหวท่าเดียวทำให้เด็กหนุ่มถอนใจอีกเฮือกลุกขึ้นมองซ้ายมองขวาแล้วก็เห็นก้อนหินก้อนหนึ่งระดับความสูงพอที่จะให้เด็กหญิงนั่งพักก่อนได้จึงทรุดลงนั่งอีกครั้ง

     

    “เจ็บข้างไหน”   เด็กหญิงชี้ขาขวาให้ดู

     

    “เอาละ  อดทนนิดนะ”   เด็กหนุ่มบอกพลางก้มลงอุ้มคนตัวเล็กกว่าโดยระมัดระวังขาขวาเป็นพิเศษพาไปนั่งบนก้อนหินใกล้ ๆ

     

    “ขี่หลังก็แล้วกัน   ไม่รู้ว่าแค่ขาแพลงหรือหัก  ยังไงก็ลงไปข้างล่างก่อน”    เด็กหนุ่มบอกพลางย่อกายลงให้เด็กหญิงขึ้นขี่หลัง   มือเล็ก ๆ กอดคอคนตัวใหญ่กว่าไว้แน่นกลัวตก       

     

    แล้วคนตัวสูงเก้งก้างก็แบกคนตัวเล็กผอมบางเดินลงจากเขาอย่างทุลักทุเลพอสมควร   กว่าจะกลับมาถึงที่พักได้ก็เล่นเอา ม้า  เหนื่อยแต่คนเกาะหลังยิ้มระรื่นหายเจ็บไปเรียบร้อยแล้ว

     

     

    “แหมยังกับฉากรักในหนัง   นางเอกขาแพลงพระเอกต้องแบกลงมาเกิดเป็นความประทับใจ”    วรรณวลีว่าอย่างชอบใจ

     

    “บ้า  ไม่ใช่ซะหน่อยเด็กกับเด็กคิดอะไรมากไปได้”

     

    “แล้วมันยังไงต่อล่ะ”   ผู้เป็นเพื่อนซักอย่างอยากรู้

     

    “ก็เขาก็แบกฉันกลับมาที่บ้านเขานั่นแหละ    ฉันน่ะขาแพลงสองสามวันก็ค่อยยังชั่วแล้ว  แต่เขาน่ะโดนพ่อทำโทษที่ไม่ดูแลฉันให้ดีด้วยการต้องไปคอยดูแลฉัน  เป็นเพื่อนเล่นกับฉันที่บ้านลุงจนกว่าจะหาย”    คนเล่ายิ้มกว้างเพราะยังจำได้ถึงหน้ายุ่ง ๆ ไม่เต็มใจที่ต้องมาคอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ   แถมบางทียังต้องเป็นม้าพาหนะให้คนที่ขาเจ็บแต่ก็อยู่ไม่สุขอยากไปโน่นมานี่

     

    “แล้วเธอจำไม่ได้หรือว่าเขาชื่ออะไร”   

     

    “จำไม่ได้    คุณลุงก็บอกเหมือนกันแต่ว่ามันนานมากแล้วก็เลยลืม”

     

    “แล้วล็อกเก็ตนี่ได้มายังไงล่ะ   อย่าบอกนะว่าเป็นของหมั้นหมายอะไรทำนองนั้น”    วรรณวลียยังซักไซ้ต่อไปอย่างนึกสนุก

     

    “ก็ไม่เชิง   เท่าที่จำได้รู้สึกทางเพื่อนคุณลุงจะเป็นคนทำให้ฉันเส้นนึงแล้วก็เด็กคนนั้นเส้นหนึ่งให้เก็บไว้   ตอนได้มาฉันดีใจมากเลยนะเพราะมันสวยดี    ไม่เหมือนใครพอเปิดเทอมยังเอาไปอวดเพื่อนที่โรงเรียนเลย”

     

    “แต่เธอก็ไม่ได้ใส่นี่นา”

     

    “ไม่ได้ใส่เลย  มันมีเหตุน่ะ   ฉันเอาไปอวดเพื่อนที่โรงเรียนแล้วเล่าให้ฟังว่าไปผจญภัยอะไรมาบ้างก็เลยโดนล้อว่าเขาเป็นแฟนฉัน    เด็กน่ะนะ   พอโดนล้อก็เลยพาลโกรธวันนั้นกลับมาบ้านฉันก็ถอดเก็บไม่ใส่อีกเลย  แล้วก็ลืมไปเลยจนถึงวันนี้แหละ”

    “ใจร้ายนะเธอ    ดูซิพ่อหนุ่มนั่นยังเก็บไว้กับตัวตลอดเลยนะ   แสดงว่าเขาต้องรอเธออยู่แน่ ๆ”

     

    “บ้า   เรื่องสมัยเด็กใครจะจริงจังขนาดนั้น”   ทอฟ้าแย้งอย่างไม่เห็นด้วย    

     

    “แล้วถ้าเกิดเขาจริงจังล่ะ”    คำถามของเพื่อนทำเอาอึ้งไปพักหนึ่ง

     

    “หน้าตาก็ยังจำกันไม่ได้ด้วยซ้ำ   ข่าวคราวก็ไม่เคยติดต่อมาเลย  เขาคงไม่ได้คิดอะไรหรอก   อาจจะใส่ติดตัวไว้เฉย ๆ ก็ได้  อีกอย่างล็อกเก็ตนี่มันก็มาอยู่กับฉันแล้ว   ถ้าเขาคิดอะไรจริงจังเมื่อล็อกเก็ตหายไปเขาจะได้พ้นจากพันธะนี้ซะทีไง”   หญิงสาวให้เหตุผลและไม่เชื่อว่าแค่เรื่องสมัยเด็กคงไม่มีใครถือสาเป็นจริงเป็นจัง

     

    “น่าเสียดาย   อย่างน้อยจะได้เอาไว้เป็นยาสมานแผลใจก็ยังดี”    ทอฟ้ายิ้มขำความคิดเพื่อน

     

    “คิดอะไรเพี้ยน ๆ อีกแล้วเธอน่ะ   ป่านนี้เขาอาจมีลูกมีเมียไปแล้วก็ได้”     

     

    “มันก็จริงน่ะนะ    ว่าแต่ไอ้ตัวอักษร บ  นี่มันหมายถึงอะไรล่ะ”    วรรณวลียังไม่หมดความสนใจ

     

    “ของฉัน ท  น่าจะมาจากชื่อฉันนะ  ทอฟ้า  แต่ บ  นี่มันจะเป็นชื่ออะไรได้บ้าง”     ทอฟ้าถามเป็นเชิงปรึกษา

    “ก็แสดงว่าผู้ชายคนนั้นต้องมีชื่อขึ้นต้นด้วย     แน่นอน   บุรินทร์   บดินทร์    บูชิต  บันฑิต  มีชื่ออะไรอีกนะที่ขึ้นต้นด้วยบอใบไม้   ไม่คุ้นบ้างเลยเหรอ”    วรรณวลีไล่เลียงชื่อ    สุดท้ายก็ถามความเห็นเพื่อน  ทอฟ้าส่ายหน้า

     

    “จำได้ลาง ๆ ว่าไม่ใช่ชื่อแบบนี้นะ   มันแปลก ๆ อาจจะเป็นชื่อเล่นก็ได้”

     

    “เฮ้อ   จำอะไรไม่ได้ซักอย่างหมดสนุกกันพอดี” 

               

    “เธอนี่  อะไรก็สนุกท่าเดียวเลย”    ทอฟ้ามองค้อนแต่ก็ไม่ได้โกรธเพราะรู้ดีว่าเพื่อนหวังดี   คงอยากจะหาใครซักคนมาแทนที่ราเชนทร์คนรักเก่าของเธอ

               

    “ไม่แน่นะ   ที่เธอกลับมาที่นี่แล้วก็ชนกับหนุ่มคนนั้นอาจเป็นพรหมลิขิตก็ได้ใครจะรู้   สิบกว่าปีได้กลับมาพบกับชายหนุ่มที่เป็นรักแรก.....โอ้โรแมนติก”  ท่ากุมมือระหว่างอกใบหน้ายิ้มกว้างแหงนเงยขึ้นไปเบื้องบนดวงตาพริ้มหลับทำให้ผู้เป็นเพื่อนที่มองอยู่อดหัวเราะไม่ได้

               

    “พอแล้ว  เลิกล้อซะที  ไปอาบน้ำได้แล้วไป  พรุ่งนี้จะได้พาพงษ์ไปเที่ยวกัน”     ทอฟ้าบอกพลางโยนผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่โปะลงไปบนศีรษะคนช่างฝัน   วรรณวลีส่งยิ้มล้อเลียนก่อนจะกระโดดลงจากเตียง

               

    “ไปก็ได้ไม่ต้องมาไล่เพื่อนแก้เขินหรอกน่า”    กล่าวแล้วก็ต้องเผ่นแผล็วหลบวูบเข้าห้องน้ำไปเพราะหมอนใบใหญ่ใกล้ตัวคนถูกล้อถูกคว้าขึ้นมาเตรียมทุ่ม  

               

    หญิงสาวลดหมอนลงวางไว้บนเตียง    สายตาลดลงมองล็อกเก็ตที่วางอยู่คู่กันเบื้องหน้า

               

    “คุณโยกเยก   ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคุณจริงจังกับเรื่องในอดีตพวกนั้นแค่ไหน  และทำไมถึงยังเก็บของชิ้นนี้ติดตัวมาตลอด   แต่ถ้าฉันเป็นสาเหตุให้คุณต้องรอต้องรักษาพันธะอะไรก็ตามที่ฉันจำไม่ได้ฉันขอโทษนะคะ....แล้วก็ขอบคุณที่อย่างน้อยคุณก็ทำให้ฉันภูมิใจว่าฉันยังมีค่าอยู่ในความทรงจำสำหรับใครบางคนถึงแม้เวลามันจะผ่านไปนานถึงสิบกว่าปีแล้วก็ตาม.....ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ”     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×