คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2
บทที่ 2
เรื่องราวสมัยเด็กพรั่งพรูผ่านภาพความทรงจำที่คล้ายจะแจ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อยิ่งเล่า แม้จะเคยลืมเลือนไปนานแต่เมื่อนึกถึงมันกลับไม่เคยลบหายไปจากความทรงจำ
“ตอนนั้นฉันอายุประมาณเก้าขวบได้ โรงเรียนปิดเทอมใหญ่พอดี คุณพ่อต้องไปดูงานที่ต่างประเทศเดือนนึงคุณแม่ก็เลยจะพาฉันกับตาหมอกไปด้วย แต่ว่าคุณลุงแวะลงไปเยี่ยมพ่อที่กรุงเทพฯ พอดี คุณลุงกับคุณป้าท่านไม่มีลูกก็เลยรักฉันที่เป็นหลานคนแรกมาก ท่านชวนให้ขึ้นมาเที่ยวที่นี่ฉันก็เลยตามมา แรก ๆ มันก็สนุกหรอกอะไรที่มันแปลกหูแปลกตาสำหรับเด็กในเมืองอย่างฉันน่ะ แต่พอเข้าอาทิตย์ที่สองนี่เบื่อมาก ๆ เลย เพื่อนเล่นก็ไม่มีพวกเด็ก ๆ ลูกคนงานเขาก็ไม่ยอมเล่นกับฉัน เที่ยวก็เที่ยวซะรอบไร่แล้วด้วย ตัวเล็กแบบฉันไปวุ่นวายในไร่ก็เกะกะเขาเปล่า ๆ จะอยู่แต่บนเรือนก็น่าเบื่อฉันเลยร้องไห้อยากกลับกรุงเทพฯ ที่นี้จะกลับก็ไม่รู้จะไปอยู่กับใครเพราะคุณพ่อกับคุณแม่ก็ยังไม่กลับ ที่บ้านมีแต่แม่บ้านกับคนรับใช้เท่านั้น หรือไม่ก็ต้องไปอยู่บ้านคุณยายที่มีน้าศรีตลาอยู่”
“เธอคงเลือกอยู่ต่อที่นี่ละซิ” วรรณวลีเดาได้ ศรีตลามารดาของธิดาทิพย์ ผู้หญิงที่แย่งแฟนหนุ่มของทอฟ้าไปนั่นแหละ สองแม่ลูกนิสัยถอดแบบกันออกมาเลยเชียว แม่ร้ายยังไงลูกก็ไม่แพ้กัน
“ใช่ ทนเหงาอยู่ที่นี่ดีกว่าต้องไปเป็นที่ระบายอารมณ์ให้น้าศรี” ทอฟ้ารับคำพลางเล่าต่อ
“คุณลุงคุณป้าเห็นฉันเหงาไม่มีเพื่อนเล่น ก็เลยพาฉันไปเที่ยวบ้านเพื่อน รู้สึกว่าจะเป็นพ่อเลี้ยงชื่ออะไรซักอย่างนี่แหละฉันก็จำไม่ค่อยได้แล้ว บ้านเขาอยู่ในป่ามีแต่ต้นไม้ทั้งนั้นเลย”
“แหมลุงเธอพาเด็กผู้หญิงเหงา ๆ ไปเที่ยวป่าดูต้นไม้เนี่ยนะ มันคงหายเหงาหรอก” คนฟังอดจะขัดคอไม่ได้ ทอฟ้าอมยิ้มพลางเล่าต่อ
“ใครว่า หายเหงาเป็นปลิดทิ้งเลย เพราะอะไรรู้ไหม” หญิงสาวเอ่ยถามแต่ไม่ต้องการคำตอบเพราะเล่าต่อไป
“เพื่อนคุณลุงน่ะเขามีลูกชายสองคนดูเหมือนจะแก่กว่าฉันประมาณห้าหกปีได้ละมัง เขาพาฉันไปเที่ยวมันสวยมากเลยละ มีน้ำตก มีดอกไม้ป่า มีสัตว์ป่าออกมาเดินเพ่นพ่านให้เห็นด้วย” ทอฟ้าบอกสิ่งที่ถ่ายทอดออกมายังไม่แจ่มชัดเท่ามโนภาพในความทรงจำ
เด็กหญิงตัวน้อยแม้จะอายุเก้าขวบแล้วแต่ก็ยังตัวเล็กนิดเดียวยังกับเด็กห้าหกขวบผมยาวถูกถักเป็นเปียสองแกละ แก้มนวลใสเลอะเปรอะด้วยคราบน้ำตาที่ถูกมือน้อย ๆ ละเลงจนเป็นเมือกดำ ตาคู่สวยแหงนมองเด็กหนุ่มสูงโย่งสองคนที่กำลังปรึกษาหารือกันด้วยเรื่องของตัวเอง
“นายรับไปซิ พ่อฝากยัยตัวยุ่งนี่ไว้กับนายไม่ใช่ฉันนี่” เด็กหนุ่มคนตัวสูงกว่าเกี่ยงคนที่ตัวเตี้ยกว่าเล็กน้อยที่หันมามองหน้ามอม ๆ ของเด็กหญิงด้วยท่าทางหนักใจ
“พ่อเลี้ยงฝากเราทั้งคู่ ไม่ได้ฝากกับผมเสียหน่อย”
“นั่นแหละ แต่นายเป็นคนรับปาก” อีกฝ่ายไปได้ข้าง ๆ คู ๆ
“ท่าทางน่าสงสาร คงเหงาไม่มีเพื่อน”
“งั้นก็หาเพื่อนลูกคนงานให้มาเล่นกับยัยนี่ก็แล้วกัน” คนไม่อยากพาไปด้วยหาทางออก
“จะหาใครละครับ มีแต่ตัวโตกว่า แก่กว่าทั้งนั้นเลย คงไม่มีใครยอมเล่นด้วยหรอก”
“โน่นก็ไม่ดีนี่ก็ไม่ได้งั้นก็ทิ้งไว้ที่นี่แหละเดี๋ยวก็วิ่งกลับบ้านไปเอง” คนตัวสูงกว่าให้ความเห็นทำเอาเด็กหญิงที่ยืนฟังน้ำตาคลอเพราะจะถูกทิ้ง
“นั่นประไร ยังไม่ทันไรเลยทำท่าจะร้องไห้ขี้มูกโป่งเสียแล้ว ขืนเอาไปด้วยหมดสนุกกันพอดี”
“นี่อย่าทำหน้าอย่างนี้ได้ไหม อย่าร้องไห้ออกมานะฉันทำอะไรไม่ถูก” เด็กหนุ่มที่ท่าทางจะใจอ่อนกว่าอีกคนบอกด้วยท่าทางอึดอัด
“ถ้านายไม่ทิ้งไว้นี่ก็ดูแลเองนะ ไปละ” ว่าแล้วคนเป็นพี่เพื่อน และตัวโตกว่าเพื่อนก็เผ่นแนบไม่เหลียวหลังทิ้งให้นายคนน้องมองเด็กหญิงอย่างลังเล
“สัญญานะว่าจะไม่ร้องไห้ ไม่บ่นไม่พูดมาก” เด็กหนุ่มที่เหลือก้มลงมาพูดด้วย เด็กหญิงรีบพยักหน้ารับทั้งหยาดน้ำตาที่คลอหน่วย ฉีกยิ้มแก้มใสมองเห็นโอกาสได้ไปเที่ยวสนุกรำไร
“เอางั้นก็ตามมา ลำบากแล้วอย่ามาร้องให้พากลับก็แล้วกัน” เด็กหนุ่มบอกพลางหันหลังเดินดุ่มนำไปโดยมีเด็กหญิงเดินตาม
ทางเดินสองข้างทางเป็นป่ารก บางช่วงก็เป็นสะพานไม้ต่อแบบลวก ๆ เพื่อข้ามผ่านร่องน้ำระหว่างช่องเขา ความสูงของต้นไม้บดบังแสงแดดทำให้ทั่วบริเวณร่มครึ้มเย็นสบาย แรก ๆ เด็กหญิงพยายามเร่งฝีเท้าแต่ยิ่งเดินก็ยิ่งทิ้งระยะห่างทำให้ต้องเป็นฝ่ายวิ่งตาม กว่าจะไล่ทันก็เล่นเอาหอบฮัก
“ชักช้าจัง” เสียงทักดังจากคนที่มาถึงก่อนนานแล้วและเมื่อสายตาเหลือบมาเห็นคนเดินหอบรั้งท้ายมาด้วยก็พูดต่อ
“มิน่า เอายายขี้แยติดมาด้วยนี่เอง ว่าแต่จะไปกับพวกเราไหวเหรอเหนื่อยขนาดนั้นน่ะ”
“ไหวซิ” เด็กหญิงรีบพูดกลัวถูกไล่กลับ เด็กหนุ่มไม่ว่าอะไรแต่โยนกระติกน้ำส่งให้พลางหันไปบอกคนเป็นน้อง
“ฉันขึ้นไปรอข้างบนก่อนก็แล้วกันนะ นายค่อย ๆ ตามไปก็ได้ อ้อ ถ้าไม่เจอแสดงว่าฉันไปทางอื่นแล้วไม่ต้องห่วง” เด็กหนุ่มบอกแล้วลุกเดินจากไปไม่สนใจอะไรอีก
“มานั่งตรงนี้มา” เด็กหนุ่มอีกคนเรียก เด็กหญิงจึงเดินเข้าไปใกล้ มือใหญ่ยื่นออกมาคว้าตัวคนตัวเล็กกว่ามากอุ้มขึ้นมานั่งบนโขดหิน
“สวยจังเลย” เด็กหญิงอุทานอย่างตื่นเต้น สายน้ำสีขาวทิ้งตัวยาวเป็นสายลงไปเป็นชั้น ๆ ก่อนจะไหลไปรวมกันในแอ่งน้ำที่ไกลออกไป มอสและเฟรินขึ้นปกคลุมหนาแน่นตามสองข้างของลำธารน้ำใส อากาศรอบด้านเย็นชื้นสดชื่นทำให้คลายเหนื่อยได้อย่างรวดเร็ว
“หายเหนื่อยไหมล่ะ ขึ้นไปข้างบนจะสวยกว่านี้อีก”
“จริงเหรอ งั้นไปกันเลยซิ” เด็กหญิงเร่งอย่างอยากเห็นแต่คนชวนยิ้มกว้างพลางส่ายหน้า
“หยุดพักก่อน เหนื่อยจะแย่ยังอวดเก่งเดี๋ยวก็ได้คลานไปหรอก ทางขึ้นข้างบนชันกว่านี้ตั้งเยอะพักเอาแรงก่อน” เด็กหญิงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ไปช้าดีกว่าอดไป สายตาเด็กน้อยชะเง้อมองสายน้ำอย่างสนใจยิ่ง
“อยากลงเล่นละสิ แต่ลงไม่ได้หรอกนะ ตรงนี้เป็นแอ่งน้ำลึกแล้วน้ำก็วนด้วย ต้องชั้นล่าง ๆ ลงไปหรือไม่ก็ข้างบนโน้นแอ่งน้ำจะตื้นกว่านี้” เด็กหนุ่มบอกให้ฟัง
“หายเหนื่อยหรือยัง ถ้าหายแล้วก็ไปต่อกันเถอะ” เสียงบอกพร้อมกับร่างสูงเก้งก้างนั้นลุกขึ้นยืนและรับเอาเด็กหญิงลงมายืนบนพื้นดินเบื้องล่าง
“เดินตามมาดี ๆ ล่ะระวังลื่น” เท้ายาว ๆ ของคนตัวสูงชลอช้าลงเพื่อคอยให้เด็กหญิงตามมาทัน เส้นทางที่ค่อย ๆ ลาดชันสูงขึ้นทำให้คนตัวเล็กเริ่มหอบเหนื่อย การก้าวเดินเริ่มช้าลงทุกที
“ไหวไหม” เด็กหญิงพยักหน้ารับ ร่างกายเริ่มล้าแต่ใจยังสู้ เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนขมุกขมอมมากขึ้นจากการบุกป่าฝ่าดงตามคนตัวโตกว่ามา
เด็กหนุ่มยื่นมือให้จับเพื่อฉุดขึ้นมา เด็กหญิงเอื้อมขึ้นไปเพื่อจะคว้าไว้แต่พลาด ร่างเล็ก ๆ ลื่นไถลหงายหลังกลิ้งลงทางลาดไปท่ามกลางความตกใจของเด็กหนุ่ม
“เฮ้ย!” พร้อมเสียงร้องเด็กหนุ่มก็ลื่นไถลตามลงไปอย่างรวดเร็ว ร่างสูง ๆ นั้นไถลลื่นลงมาอย่างไม่เป็นท่าหยุดลงตรงหน้าร่างเล็ก ๆ ที่กำลังสะอึกสะอื้นร้องไห้ด้วยความตกใจปนความเจ็บ
“เป็นอะไรหรือเปล่า” เด็กหญิงไม่ตอบเอาแต่ร้องไห้
“ไหนดูซิ” เด็กหนุ่มปัดเศษดินออกจากผมเปียสองข้างและตามตัว แก้มที่มอมอยู่แล้วยิ่งมอมหนักด้วยคราบโคลน เสื้อผ้าที่สวมใส่เปื้อนไปทั้งแถบ เคราะห์ดีตรงที่ร่วงลงมานั้นดินนิ่มและชื้นแฉะทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก
“เจ็บ เจ็บ” เด็กหญิงพูดอยู่แค่นั้นก่อนจะสะอื้นไห้ต่อไป
“เจ็บตรงไหนล่ะ ไม่เห็นมีแผลตรงไหนเลย” เด็กหนุ่มกวาดตามองทั่วตัวแต่ไม่พบบาดแผล
“ขา เจ็บขา” เสียงแกมสะอื้นบอกขยายความ
“เฮ้อ บอกแล้วว่าไม่ให้มาก็ไม่เชื่อกันนี่น้า” เด็กหนุ่มบ่นพลางถามต่อไป
“ยืนไหวไหม” คำตอบคือการส่ายหน้า
“จะขาหักหรือแค่ขาแพลงก็ไม่รู้ แข็งใจยืนหน่อยได้ไหมจะพากลับบ้าน” เด็กหญิงเอาแต่ส่ายหน้าไม่ไหวท่าเดียวทำให้เด็กหนุ่มถอนใจอีกเฮือกลุกขึ้นมองซ้ายมองขวาแล้วก็เห็นก้อนหินก้อนหนึ่งระดับความสูงพอที่จะให้เด็กหญิงนั่งพักก่อนได้จึงทรุดลงนั่งอีกครั้ง
“เจ็บข้างไหน” เด็กหญิงชี้ขาขวาให้ดู
“เอาละ อดทนนิดนะ” เด็กหนุ่มบอกพลางก้มลงอุ้มคนตัวเล็กกว่าโดยระมัดระวังขาขวาเป็นพิเศษพาไปนั่งบนก้อนหินใกล้ ๆ
“ขี่หลังก็แล้วกัน ไม่รู้ว่าแค่ขาแพลงหรือหัก ยังไงก็ลงไปข้างล่างก่อน” เด็กหนุ่มบอกพลางย่อกายลงให้เด็กหญิงขึ้นขี่หลัง มือเล็ก ๆ กอดคอคนตัวใหญ่กว่าไว้แน่นกลัวตก
แล้วคนตัวสูงเก้งก้างก็แบกคนตัวเล็กผอมบางเดินลงจากเขาอย่างทุลักทุเลพอสมควร กว่าจะกลับมาถึงที่พักได้ก็เล่นเอา ‘ม้า’ เหนื่อยแต่คนเกาะหลังยิ้มระรื่นหายเจ็บไปเรียบร้อยแล้ว
“แหมยังกับฉากรักในหนัง นางเอกขาแพลงพระเอกต้องแบกลงมาเกิดเป็นความประทับใจ” วรรณวลีว่าอย่างชอบใจ
“บ้า ไม่ใช่ซะหน่อยเด็กกับเด็กคิดอะไรมากไปได้”
“แล้วมันยังไงต่อล่ะ” ผู้เป็นเพื่อนซักอย่างอยากรู้
“ก็เขาก็แบกฉันกลับมาที่บ้านเขานั่นแหละ ฉันน่ะขาแพลงสองสามวันก็ค่อยยังชั่วแล้ว แต่เขาน่ะโดนพ่อทำโทษที่ไม่ดูแลฉันให้ดีด้วยการต้องไปคอยดูแลฉัน เป็นเพื่อนเล่นกับฉันที่บ้านลุงจนกว่าจะหาย” คนเล่ายิ้มกว้างเพราะยังจำได้ถึงหน้ายุ่ง ๆ ไม่เต็มใจที่ต้องมาคอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ แถมบางทียังต้องเป็นม้าพาหนะให้คนที่ขาเจ็บแต่ก็อยู่ไม่สุขอยากไปโน่นมานี่
“แล้วเธอจำไม่ได้หรือว่าเขาชื่ออะไร”
“จำไม่ได้ คุณลุงก็บอกเหมือนกันแต่ว่ามันนานมากแล้วก็เลยลืม”
“แล้วล็อกเก็ตนี่ได้มายังไงล่ะ อย่าบอกนะว่าเป็นของหมั้นหมายอะไรทำนองนั้น” วรรณวลียยังซักไซ้ต่อไปอย่างนึกสนุก
“ก็ไม่เชิง เท่าที่จำได้รู้สึกทางเพื่อนคุณลุงจะเป็นคนทำให้ฉันเส้นนึงแล้วก็เด็กคนนั้นเส้นหนึ่งให้เก็บไว้ ตอนได้มาฉันดีใจมากเลยนะเพราะมันสวยดี ไม่เหมือนใครพอเปิดเทอมยังเอาไปอวดเพื่อนที่โรงเรียนเลย”
“แต่เธอก็ไม่ได้ใส่นี่นา”
“ไม่ได้ใส่เลย มันมีเหตุน่ะ ฉันเอาไปอวดเพื่อนที่โรงเรียนแล้วเล่าให้ฟังว่าไปผจญภัยอะไรมาบ้างก็เลยโดนล้อว่าเขาเป็นแฟนฉัน เด็กน่ะนะ พอโดนล้อก็เลยพาลโกรธวันนั้นกลับมาบ้านฉันก็ถอดเก็บไม่ใส่อีกเลย แล้วก็ลืมไปเลยจนถึงวันนี้แหละ”
“ใจร้ายนะเธอ ดูซิพ่อหนุ่มนั่นยังเก็บไว้กับตัวตลอดเลยนะ แสดงว่าเขาต้องรอเธออยู่แน่ ๆ”
“บ้า เรื่องสมัยเด็กใครจะจริงจังขนาดนั้น” ทอฟ้าแย้งอย่างไม่เห็นด้วย
“แล้วถ้าเกิดเขาจริงจังล่ะ” คำถามของเพื่อนทำเอาอึ้งไปพักหนึ่ง
“หน้าตาก็ยังจำกันไม่ได้ด้วยซ้ำ ข่าวคราวก็ไม่เคยติดต่อมาเลย เขาคงไม่ได้คิดอะไรหรอก อาจจะใส่ติดตัวไว้เฉย ๆ ก็ได้ อีกอย่างล็อกเก็ตนี่มันก็มาอยู่กับฉันแล้ว ถ้าเขาคิดอะไรจริงจังเมื่อล็อกเก็ตหายไปเขาจะได้พ้นจากพันธะนี้ซะทีไง” หญิงสาวให้เหตุผลและไม่เชื่อว่าแค่เรื่องสมัยเด็กคงไม่มีใครถือสาเป็นจริงเป็นจัง
“น่าเสียดาย อย่างน้อยจะได้เอาไว้เป็นยาสมานแผลใจก็ยังดี” ทอฟ้ายิ้มขำความคิดเพื่อน
“คิดอะไรเพี้ยน ๆ อีกแล้วเธอน่ะ ป่านนี้เขาอาจมีลูกมีเมียไปแล้วก็ได้”
“มันก็จริงน่ะนะ ว่าแต่ไอ้ตัวอักษร บ นี่มันหมายถึงอะไรล่ะ” วรรณวลียังไม่หมดความสนใจ
“ของฉัน ท น่าจะมาจากชื่อฉันนะ ทอฟ้า แต่ บ นี่มันจะเป็นชื่ออะไรได้บ้าง” ทอฟ้าถามเป็นเชิงปรึกษา
“ก็แสดงว่าผู้ชายคนนั้นต้องมีชื่อขึ้นต้นด้วย บ แน่นอน บุรินทร์ บดินทร์ บูชิต บันฑิต มีชื่ออะไรอีกนะที่ขึ้นต้นด้วยบอใบไม้ ไม่คุ้นบ้างเลยเหรอ” วรรณวลีไล่เลียงชื่อ สุดท้ายก็ถามความเห็นเพื่อน ทอฟ้าส่ายหน้า
“จำได้ลาง ๆ ว่าไม่ใช่ชื่อแบบนี้นะ มันแปลก ๆ อาจจะเป็นชื่อเล่นก็ได้”
“เฮ้อ จำอะไรไม่ได้ซักอย่างหมดสนุกกันพอดี”
“เธอนี่ อะไรก็สนุกท่าเดียวเลย” ทอฟ้ามองค้อนแต่ก็ไม่ได้โกรธเพราะรู้ดีว่าเพื่อนหวังดี คงอยากจะหาใครซักคนมาแทนที่ราเชนทร์คนรักเก่าของเธอ
“ไม่แน่นะ ที่เธอกลับมาที่นี่แล้วก็ชนกับหนุ่มคนนั้นอาจเป็นพรหมลิขิตก็ได้ใครจะรู้ สิบกว่าปีได้กลับมาพบกับชายหนุ่มที่เป็นรักแรก.....โอ้โรแมนติก” ท่ากุมมือระหว่างอกใบหน้ายิ้มกว้างแหงนเงยขึ้นไปเบื้องบนดวงตาพริ้มหลับทำให้ผู้เป็นเพื่อนที่มองอยู่อดหัวเราะไม่ได้
“พอแล้ว เลิกล้อซะที ไปอาบน้ำได้แล้วไป พรุ่งนี้จะได้พาพงษ์ไปเที่ยวกัน” ทอฟ้าบอกพลางโยนผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่โปะลงไปบนศีรษะคนช่างฝัน วรรณวลีส่งยิ้มล้อเลียนก่อนจะกระโดดลงจากเตียง
“ไปก็ได้ไม่ต้องมาไล่เพื่อนแก้เขินหรอกน่า” กล่าวแล้วก็ต้องเผ่นแผล็วหลบวูบเข้าห้องน้ำไปเพราะหมอนใบใหญ่ใกล้ตัวคนถูกล้อถูกคว้าขึ้นมาเตรียมทุ่ม
หญิงสาวลดหมอนลงวางไว้บนเตียง สายตาลดลงมองล็อกเก็ตที่วางอยู่คู่กันเบื้องหน้า
“คุณโยกเยก ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคุณจริงจังกับเรื่องในอดีตพวกนั้นแค่ไหน และทำไมถึงยังเก็บของชิ้นนี้ติดตัวมาตลอด แต่ถ้าฉันเป็นสาเหตุให้คุณต้องรอต้องรักษาพันธะอะไรก็ตามที่ฉันจำไม่ได้ฉันขอโทษนะคะ....แล้วก็ขอบคุณที่อย่างน้อยคุณก็ทำให้ฉันภูมิใจว่าฉันยังมีค่าอยู่ในความทรงจำสำหรับใครบางคนถึงแม้เวลามันจะผ่านไปนานถึงสิบกว่าปีแล้วก็ตาม.....ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ”
ความคิดเห็น