คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตรอกเล็กในเมืองใหญ่
บทที่ 2
ตรอกเล็กในเมืองใหญ่
เสียงโหวกเหวกเอ็ดตะโรดังมาแว่ว ๆ จากย่านที่เป็นตลาดกลางเมืองทำให้ผู้คนที่นั่งอยู่ในอาคารที่ก่อจากหินทราย เปิดเป็นร้านขายเครื่องดื่มแบบง่าย ๆ โต๊ะไม้ตั้งไว้หน้าอาคาร 3 4 ตัว เลอะคราบฝุ่นทรายเหมือนไม่ได้รับการปัดกวาดเช็ดถูมานานปี เมื่อเสียงโหวเหวกดังขึ้นผู้คนที่นั่งอยู่ต่างก็หันไปมองทางต้นเสียง หากแล้วก็ไม่มีใครใส่ใจ ต่างหันไปทำกิจธุระพูดคุยกันต่อไป เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยจนถือเป็นความเคยชินกันไปเสียแล้ว ไม่มีใครอยากยื่นมือเข้าไปสอด เพราะดีไม่ดีอาจจะซวยไปด้วยก็ได้
ร่างสูงในชุดขะมุกขะมอม ผ้าคลุมศีรษะสีออกกระดำกระด่างเก่าขาดนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่วางสุม ๆ อยู่บนโต๊ะ จากสภาพมันถูกใช้งานมาอย่างหนักกว่าจะมาถึงผู้ที่นั่งอ่านมันอยู่ในขณะนี้ เสียงร้องเอะอะดังใกล้เข้ามา ร่างนั้นถอนใจยาวอย่างเบื่อหน่ายก่อนะลดหนังสือพิมพ์ลง ทำให้เห็นใบหน้าคมเข้ม ทั้งคิ้วและดวงตาดำจัด จมูกโด่งงามรับกับริมฝีปากได้รูปสวยที่เม้มนิด ๆ อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์
ร่างซ่อมซ่อในชุดเก่าขาดวิ่งพรวดพราดเข้ามาในตรอก สะดุดข้าวของล้มระเนระนาด ร่างนั้นเกือบจะวิ่งผ่านชายหนุ่มไปอยู่แล้วแต่จู่ ๆ ก็สะดุดล้มคะมำลงมากองแทบเท้าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ ร่างนั้นตาลีตาเหลือกพยายามจะลุกแต่เพียงแค่มือของชายหนุ่มเอื้อมมาจับไหล่ มันก็รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงไม่หลงเหลืออยู่เลย
“ว่าไงเจ้าหนู ทำอย่างนี้มันไม่ดีรู้ไหม” น้ำเสียงเอ่ยถามเรียบ ๆ ไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ชนิดใดทั้งสิ้น
“ปล่อยข้าไปเถอะนะ ข้าขอร้อง” เจ้าเด็กหน้าตามอมแมมร้องขอ หน้าตาลุกลน
“เอากระเป๋าไปคืนเจ้าของเขาซะ”
“ไม่ได้! ข้าจำเป็นจริง ๆ นะ ปล่อยข้าไปเถอะ” แววตาเจ้าเด็กหัวขโมยวิงวอนจนเกือบจะร้องไห้ สายตาคอยเหลือบมองไปทางเบื้องหลังอย่างกังวล ผู้เป็นเจ้าของกระเป๋าใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
ทันทีที่เจ้าหัวขโมยวางกระเป๋าเงินลงบนโต๊ะ มันก็รู้สึกว่าเรี่ยวแรงที่หายไปกลับคืนมา หญิงสาวเจ้าของกระเป๋ามาเกือบจะถึงตัวแล้ว มันจำเป็นต้องตัดสินใจทิ้งกระเป๋าเงินไว้ที่นั่น!
“นี่! ช่วยจับมันไว้ทีซิ อ้าว! ปล่อยไปทำไม!” หญิงสาวที่วิ่งมาหยุดยืนหอบอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มที่มองสภาพนั้นด้วยแววตาขำขัน สภาพหญิงสาวในตอนนี้หัวฟู ยุ่งเหยิง ชุดคลุมที่สวมทับไว้ในตอนแรกถูกเจ้าตัวถอดสะบัดทิ้งไปเพราะความยาวรุ่มร่ามทำให้ไม่สะดวกในการวิ่ง ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวจึงเหลือเพียงเสื้อยืดคอกลมแขนสั้นอวดผิวขาวนวลเนียนกับกางเกงขายาวเข้ารูป และรองเท้าสานรัดส้นเท่านั้น ผู้คนที่ชุมนุมอยู่ ณ ที่นั้นต่างเงียบกริบ สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่หญิงสาวเป็นตาเดียว การที่มีผู้หญิงสาว ๆ แถมสวยมากมาเดินตลาด แล้ววิ่งไล่ตามพวกวิ่งราวมานี่ก็ไม่ใช่เรื่องปกติของผู้หญิงชาวอัลมาฮาร์อยู่แล้ว แต่นี่นอกจากวิ่งตาม ชุดที่สวมใส่ยังแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสาวชาวอัลมาฮาร์เสียอีก ยิ่งสร้างความตื่นตะลึงกันเข้าไปใหญ่
หญิงสาวมองไปรอบ ๆ เพราะรู้สึกถึงความผิดปกติของบรรยากาศ
“อะไรกันล่ะ ?” เธอถามอย่างไม่พอใจ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหยิบกระเป๋าเงินของเธอส่งให้โดยไม่พูดอะไรเลย แถมทำท่าจะนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ต่อเสียด้วยซ้ำ
“ขอบใจ แต่นายปล่อยเจ้าหัวขโมยนั่นไปทำไม ? ทำอย่างนี้มันไม่ถูกนะ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองพลางเอ่ยแนะนำ
“ผมว่าคุณรีบกลับออกไปจากที่แบบนี้จะดีกว่านะ”
“ทำไม ตรอกนี้มันมีอะไรเหรอ ? แล้วที่ฉันถามทำไมไม่ตอบ เธอปล่อยเจ้าหัวขโมยนั่นไปทำไม ทำไมไม่จับส่งตำรวจ” คนตรงหน้าถอนใจเฮือกให้ได้ยินพลางถาม
“กระเป๋าคุณก็ได้คืนแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก”
“คนทำผิดก็ต้องได้รับโทษซิ จะปล่อยไปง่าย ๆ ได้ยังไง อย่างนี้ก็เท่ากับเพาะนิสัยโจร อีกหน่อยจากเที่ยววิ่งราวมิเที่ยวปล้นใครฆ่าใครเขาหรือไง!” หญิงสาวไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ มองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่พอใจนัก เสียงเรียกดังลั่นมาจากทางเบื้องหลัง พร้อมกับการปรากฏตัวของสาวใช้ที่วิ่งอย่างทุลักทุเลตามมาพร้อมตำรวจอีกสองนาย
“คุณหนู! คุณหนู! เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทีหน้าทีหลังอย่าวิ่งตามขโมยแบบนี้นะเจ้าคะ มันอันตราย” หญิงรับใช้ละล่ำละลักบอกพลางหอบเหนื่อย
“มันอันตรายอะไรกันนักหนาเชียว ก็ฉันร้องให้ช่วยไม่เห็นมีใครช่วยซักคน” นายสาวเอ็ด
“ได้ตัวเจ้าหัวขโมยหรือเปล่าครับ” ตำรวจสองนายถามเบา ไม่กล้ามองร่างงามตรง ๆ
“ได้ที่ไหนกัน! ไม่เห็นมีใครคิดช่วยกันจับคนร้าย ปล่อยให้หนีไปได้หน้าตาเฉย” หญิงสาวบอกกึ่งตำหนิ นายตำรวจทั้งคู่ก้มหน้างุด การที่คุณหนูไม่พอใจอาจมีผลต่อการถูกสั่งปลด
“คุณหนูกลับไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวพวกผมจะตามจับคนร้ายให้” หญิงสาวไม่พอใจนักแต่ก็ไม่มีทางใดดีกว่านั้น
“ตายแล้ว! เสื้อคลุม เสื้อคลุมหายไปไหนคะคุณหนู !?” หญิงรับใช้หน้าซีดเผือดเมื่อเห็นสภาพนายสาว
“ช่างมันเถอะ ถอดทิ้งไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้” นายสาวเอ็ด เพิ่งเข้าใจอาการของทุกคนในที่นั้นที่ต่างนิ่งเงียบมองตาค้างกันไปหมด ณ อีกซีกโลกหนึ่งการแต่งตัวแบบนี้ของเธอไม่ใช่ของแปลก แต่ที่นี่ถือเป็นเรื่องแปลกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว การแต่งกายแบบนี้ยังไม่เป็นที่นิยมของสตรีระดับล่างโดยทั่วไปแม้ว่าในระดับชั้นที่เธออยู่จะกำลังเป็นที่นิยมก็ตาม
ในจำนวนคนที่จ้องมองเธอทั้งหมดมีเพียงคนเดียวที่ดูไม่ใส่ใจเอาเสียเลย แถมยังก้มหน้าก้มตาสนใจอยู่กับหนังสือพิมพ์เก่า ๆ นั่น ก็นายคนที่ปล่อยเจ้าหัวขโมยไปนั่นแหล่ะ!
“กลับกันเถอะ ไม่สนุกแล้ว อ้อ! อย่าลืม จัดการเรื่องหัวขโมยนั่นด้วยนะ กลางวันแสก ๆ แท้ ๆ ปล่อยให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง แล้วถ้าไปเกิดกับนักท่องเที่ยวจะทำยังไง เสียชื่อเสียงประเทศชาติ!”
หญิงสาวหันไปกำชับกับนายตำรวจทั้งสองก่อนจะออกเดินนำหญิงรับใช้ไปท่ามกลางสายตานับสิบคู่ที่ยังจับตามอง แต่เธอไม่หวั่นไหวกับการจับจ้องนั้น
พอลับร่างของหญิงสาวเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังเซ็งแซ่ นายตำรวจทั้งสองนายก้าวเข้าไปในร้านเพื่อสอบถามถึงรูปร่างหน้าตาของเจ้าหัวขโมย ชายหนุ่มที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์เงียบอยู่ตั่งแต่แรกลุกขึ้นยืนแล้วก้าวจากไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีใครทันสังเกต
ตรอกเล็ก ๆ สกปรก ขยะส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง กระจายไปทั่วบริเวณ สองข้างทางมีคนนอนระแกะระกะ สภาพของผู้คนสกปรก รกรุงรัง เสื้อผ้าเก่าจนเปื่อยลุ่ย บางคนคุ้ยหาเศษอาหารอยู่ตามกองขยะ บ้างก็ทุบตีแย่งชิงอาหารที่ได้มาอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่มีใครสนใจใคร ชายหนุ่มร่างสูงหน้าเข้มเดินผ่านผู้คนเหล่านั้นไปโดยไม่สนใจอะไร ท่าทางออกจะเบื่อหน่ายเสียด้วยซ้ำ เขาเดินไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งที่อยู่เกือบท้ายตรอก สภาพของมันแทบจะเรียกว่าบ้านไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นเพียงการนำผ้าใบเก่า ๆ ปะจนไม่เหลือสภาพเดิมมาคลุมไว้ต่างหลังคาเพื่อบังแดด ผนังก็เป็นเพียงซากกำแพงที่หักพังลงมาทั้งสองข้าง ไม่มีประตูกั้นเสียด้วยซ้ำ ไม่น่าเชื่อว่านี่คือใจกลางเมืองหลวงแห่งอัลมาฮาร์ แหล่งชุมชนที่สกปรกแออัดของคนเร่ร่อนไร้ที่อยู่อาศัย ทั้ง ๆ ที่เพียงก้าวออกไปจากตรอกนี้ก็จะได้พบกับอาคารบ้านเรือน ตึกรามบ้านช่องที่ทันสมัย โอ่อ่า การประดับตกแต่งที่งดงามจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์แห่งอัลมาฮาร์แท้ ๆ
เด็กชายตัวเล็ก สกปรกมอมแมมนั่งซบหน้าลงกับหัวเข่า ร่างเล็ก ๆ นั้นสั่นสะท้านจากแรงสะอื้น ไม่ได้สนใจว่าใครมาหยุดยืนมอง เบื้องหลังเด็กชายมีกองผ้าเก่าสกปรกปูรองร่างของหญิงชราที่นอนหลับตาหายใจรวยริน
“ว่าไงเจ้าหนู ลูกผู้ชายเขาไม่ร้องไห้กันหรอกนะ” เด็กชายสะดุ้งเฮือก เงยหน้าขึ้นมองทันควัน ดวงหน้านั้นเปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำตา พอรู้ว่าเป็นใครมันก็กระถดถอยหนีด้วยความกลัว
“ข้าคืนกระเป๋าให้แล้วไง เจ้าจะเอาอะไรอีก ปล่อยข้าไปเถอะนะข้าขอร้อง ข้าไม่ได้อยากทำนะ แต่มันจำเป็นจริง ๆ” เด็กชายเฝ้าอ้อนวอนจนน่าสงสาร
“ใครบอกว่าข้าจะมาจับเจ้าล่ะ ?” น้ำเสียงที่ถามทอดอ่อนอย่างเป็นมิตร พร้อมกันนั้นชายหนุ่มก็ทรุดลงนั่ง
“งั้นเจ้าตามข้ามาทำไม ?” เด็กชายถามอย่างระแวง
“ผู้หญิงข้างหลังเจ้าเป็นอะไร ?” ชายหนุ่มไม่ตอบแต่ย้อนถาม
“ยายข้าป่วยเป็นอะไรก็ไม่รู้ ข้าไม่มีเงินพาไปโรงพยาบาล” เด็กชายบอก ค่อย ๆ คลานเข้าไปหาร่างที่นอนอยู่ ชายหนุ่มขยับเข้าไปใกล้แตะต้องคนป่วยเพื่อตรวจดูอาการ
“อาการไม่ดีเลยนี่ เป็นมากี่วันแล้ว ?”
“ห้าวันแล้ว” เด็กชายบอก มองชายหนุ่มอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก
“พ่อแม่เจ้าไปไหนหมด ?”
“ตายแล้ว!” เด็กชายตอบเสียงหนัก ดวงตาวาวโรจน์ ความพยาบาทปรากฏขึ้นในแววตา
“ไอ้ยูซูส มันฉุดแม่ข้าไป พ่อข้าขัดขวางมันเลยฆ่าพ่อข้า แม่ขัดขืนมันก็ฆ่าแม่อีกคน ยายพาข้าหนีมากับกองคาราวาน หลบมาอยู่ที่นี่”
“ใครคือยูซูส ?” ประกายตาผู้ถามเพิ่มความสนใจมากขึ้น
“มันเป็นผู้บัญชาการกองทหารทะเลทรายประจำอยู่ที่เมืองบาสร่า มันกับพวกคอยรีดไถกองคาราวาน พอใจผู้หญิงคนไหนก็ฉุดเอาไป ไม่พอใจใครมันก็ฆ่าทิ้ง”
“มันกล้าขนาดนั้นเลยหรือ ?”
“ก็ไม่เห็นมีใครกล้าขัดขวางมันนี่ แต่คอยดูซักวันข้าจะกลับไปฆ่า ให้มันตายอย่างหมา ให้สาสมที่มันทำกับครอบครัวข้า” เด็กชายเอ่ยด้วยความเครียดแค้น อาฆาตพยาบาท
“เอาตัวยังไม่รอด ยังจะไปแก้แค้นเขาอีก”
“ไม่ต้องยุ่งเรื่องของข้า เจ้าจะไปไหนก็ไป”
“ข้าก็ไม่อยากจะสนใจเจ้าหรอกนะ แต่เผอิญเจ้ามีสัญลักษณ์แห่งมาฮาร่านี่สิถึงต้องสนใจ”
“สัญลักษณ์อะไรนะ เจ้าพูดอะไรข้าไม่เห็นรู้เรื่อง”
“ที่คอเจ้าไงเหรียญจันทร์ครึ่งเสี้ยวนั่น นั่นคือสัญลักษณ์แห่งมาฮาร่า ไม่พ่อก็แม่ของเจ้าต้องเป็นผู้สาบานตนต่อมาฮาร่า”
“ข้าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น!”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ อาการยายเจ้าไม่ดีเลยคงต้องพาไปโรงพยาบาล”
“ข้าบอกแล้วว่าไม่มีเงิน เพราะเจ้านั่นแหล่ะที่ขัดขวาง ถ้ายายข้าเป็นอะไรไปก็เพราะเจ้า!” คนถูกกล่าวหาทำหน้าเบื่อหน่าย
“เฮ้อ! เพราะอย่างนี้ข้าถึงไม่ค่อยอยากคบกับเด็ก วุ่นวาย ไร้เหตุผล”
“ออกไป!” ชายหนุ่มยังนั่งเฉยโดยไม่สนใจเด็กชายที่พยายามขับไล่
“ออกไป๊!” เพราะมัวแต่สนใจชายหนุ่ม เด็กชายจึงไม่ทันสังเกตกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งในชุดคลุมดำปกปิดหน้าตามิดชิดที่ก้าวเข้ามาอย่างเงียบเชียบ พอรู้สึกตัวคนกลุ่มนั้นก็รุมล้อมเข้ามาแล้ว
“พวกเจ้าเป็นใคร มาทำอะไรกัน!?” เด็กชายร้องถามอย่างหวาดกลัว ไม่มีใครตอบแต่หนึ่งในกลุ่มเดินเข้ามาตรวจอาการของหญิงชรา
“จะทำอะไรยายน่ะ ออกไปนะ ออกไป” เด็กชายร้องไล่ ถลาเข้าไปจะปัดป้องแต่ถูกชายหนุ่มที่อยู่ใกล้คว้าตัวไว้ เด็กชายรู้สึกไร้สิ้นเรี่ยวแรงจะต่อสู้ดิ้นรน ได้แต่ร้องตะโกนขับไล่
“ออกไป อย่าทำอะไรยายข้านะ ออกไป” ท้ายสุดเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ร้องไห้อย่างทอดอาลัย เฝ้ามองคนกลุ่มนั้นทำอะไรบางอย่างกับผู้เป็นยาย
“เจ้าอยากให้ยายหายไม่ใช่เหรอ ?” ชายหนุ่มที่จับตัวไว้ถาม
“พวกนั้นทำอะไร ?” เด็กชายหันกลับมาถามท่าทางเอาเรื่อง
“ตรวจอาการขั้นต้น แต่คงต้องพาไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด อาการยายเจ้าหนักมากเพราะทิ้งช่วงมาหลายวัน” ชายหนุ่มอธิบาย กลุ่มคนที่รุมล้อมอยู่กระจายออก เผยให้เห็นร่างหญิงชราที่ถูกจัดให้นอนอยู่บนเปลหาม คนพวกนั้นเริ่มทำการเคลื่อนย้าย เด็กชายผวาตาม
“จะเอายายไปไหน !?”
“พารักษา จะตามไปด้วยก็ไปสิ” ชายหนุ่มอนุญาตพลางปล่อยมือที่ยึดกุมไว้ เรี่ยวแรงที่หดหายกลับคืนมาอีกครั้ง
“ข้าไม่มีเงิน”
“ไม่ต้องห่วง เรื่องนั้นจัดการไว้แล้ว” ชายหนุ่มบอกพลางลุกขึ้นยืนก้าวเท้าออกจากบ้านโกโรโกโสนั้น เด็กชายมองตามอย่างลังเล ร่างสูงเดินจากไปไปเนิบ ๆ ไม่เร่งร้อน
“ข้าชื่อมูซา เจ้าชื่ออะไร ?” เด็กชายตะโกนถามร่างสูงที่ค่อย ๆ ห่างออกไป
“เรียกข้าว่าคีล! คีลผู้นำทางแห่งมาฮาร่า” เด็กชายมองตามจนร่างนั้นเลี้ยวพ้นตรอกเล็ก ๆ นั่นไปก่อนจะกลับหลังวิ่งตามกลุ่มคนที่หามยายของมันไป
รถสปอร์ตคันเล็กเพรียวสีดำเป็นมันวาวแล่นด้วยความเร็วสูง หักเลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าบันไดทางขึ้นของคฤหาสน์หลังงามที่สร้างจากหินอ่อนสีขาวสะอาดทั้งหลัง แสงสะท้อนจากดวงตะวันที่ฉายแสงแรงกล้าตกกระทบความกลมมนได้สัดส่วนโค้งนูนอย่างเหมาะเจาะ ตัวคฤหาสน์ล้อมรอบไปด้วยหมู่ต้นปาล์มสูงทะมึน บันไดทางขึ้นสู่ตัวคฤหาสน์ปูด้วยหินอ่อนทอดยาว ตลอดแนวทางสองข้างเป็นสวนดอกไม้ก่อนจะโค้งวนแยกออกเป็นสองสายด้วยบ่อน้ำพุที่สาดกระเซ็น ละอองน้ำช่วยบรรเทาอากาศที่ร้อนแรงให้ความชุ่มชื่นขึ้น ในแอ่งน้ำพุลอยดอกไม้นานาชนิดส่งกลิ่นหอมตลบ
หญิงสาวคนขับก้าวลงจากรถอย่างคล่องแคล่ว ก่อนส่งกุญแจรถให้กับคนรับใช้ที่วิ่งมารอรับ หญิงรับใช้ที่ติดตามไปด้วยก้าวตามลงมาด้วยกริยาหวาดหวั่นเพราะ ‘นายท่าน’ ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ที่เชิงบันได
“จัสมิน ลูกไปไหนมาแต่เช้า แล้วออกไปคนเดียวอย่างนั้นได้ยังไง”
“ลูกออกไปดูตลาดมาค่ะ แล้วก็ไม่ได้ออกไปคนเดียวเสียหน่อย มีหญิงรับใช้ตามไปด้วย ตอนอยู่อังกฤษลูกก็ไปตลาดออกบ่อย ไปคนเดียวด้วยซ้ำไม่เห็นจะเป็นอะไร” หญิงสาวว่าเดินตรงเข้าไปคล้องแขนผู้เป็นบิดาอย่างประจบเอาใจ พาเดินกลับเข้าไปด้านใน
“แต่นี่มันอัลมาฮาร์ และที่สำคัญเจ้าไม่ควรแต่งตัวแบบนี้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก” ท่านอับดุลลาแม้จะได้ชื่อว่าเข้มงวดและดุแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยเอาชนะธิดาสุดที่รักได้เลยซักครั้ง
“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
“ยังจะมาเถียง พ่อขอร้องนะลูก อย่าแต่งแบบนี้ออกไปข้างนอก เจ้าก็รู้ธรรมเนียมของเราดีไม่ใช่หรือ ?”
“ทราบค่ะ ความจริงลูกก็ไม่ได้แต่งตัวแบบนี้ออกไปหรอกค่ะ ยังมีชุดคลุมอีกชั้นแต่พอดีเกิดเรื่องนิดหน่อย”
“มีเรื่องอะไร ?”
“โดนวิ่งราวกระเป๋าค่ะ ลูกวิ่งตามไป ชุดมันรุ่มร่ามก็เลยถอดทิ้ง” บุตรสาวเล่าพลางทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ในห้องโถงกว้าง คำบอกเล่านั้นน่าตกใจแต่มีอย่างอื่นที่น่าหนักใจกว่า
“วิ่งตามไปทำไม อันตรายรู้บ้างไหม !”
“ก็ไม่มีใครช่วยซักคนนี่คะ ถ้าไม่วิ่งตามแล้วจะได้กระเป๋าคืนได้ยังไง” บุตรสาวเถียง
“แค่กระเป๋าช่างมันเถอะ ห่วงความปลอดภัยของตัวเองไม่ดีกว่าหรือ ในกระเป๋าลูกมีอะไรสำคัญหรือเปล่า พ่อจะให้คนของเราจัดการให้”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ลูกได้กระเป๋าคืนแล้ว” หญิงสาวชูกระเป๋าถือให้ผู้เป็นบิดาดู พอเห็นสายตาของท่านผู้เป็นบิดา เธอก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง เมื่อได้ฟังเหตุการณ์ทั้งหมดท่านอับดุลลาถึงกับถอนใจโล่งอก
“ถือว่าคราวนี้โชคยังดี ทีหลังอย่าทำอย่างนี้อีกเด็ดขาด อย่าไปไหนมาไหนคนเดียวแบบนี้อีก”
“แต่ลูกไม่เข้าใจ ทำไมผู้ชายคนนั้นเขาถึงปล่อยเจ้าหัวขโมยนั่นไปคะ ลูกถามเหตุผลก็ไม่ตอบ แถมรีบไล่ให้ลูกกลับไว ๆ เสียอีก” หญิงฟ้องอย่างไม่สบอารมณ์
“อย่างนี้ไม่เท่ากับเป็นการส่งเสริมหรือคะ ถ้าไม่ลงโทษให้เข็ดหลาบ ต่อไปโจรผู้ร้ายคงชุกชุมยิ่งกว่าเดิม”
“พ่อรู้ พ่อพยายามแก้ปัญหาเรื่องนี้มาหลายครั้ง พอนำเรื่องเข้าประชุมคณะมนตรีก็ต้องมีเรื่องอื่นเข้ามาแทรก หรือบางทีก็โดนคัดค้าน มีหลายคนเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร ที่สำคัญเรื่องนี้เกินขอบเขตอำนาจการกำกับดูแลของพ่อ ถึงพ่อจะอยู่ในสายป้องกันและรักษาความสงบภายในก็จริงแต่เรื่องแบบนี้ใช้แต่กำลังไม่ได้เพราะมันเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ถ้าจะทำให้สำเร็จจริง ๆ ต้องให้ฝ่ายการศึกษากับการสาธารณสุขลงมาอย่างจริงจัง แต่ทุกวันนี้ก็ดูเหมือนจะไม่กระเตื้องไปทางไหนกันเลย”
“แล้วอย่างนี้พัฒนาไปได้อย่างไรกันคะ ความแตกต่างระหว่างชนชั้นในอัลมาฮาร์มีมากเหลือเกิน เห็นแล้วลูกยังอดใจหายไม่ได้”
“มีคนเสนอให้เราสนับสนุนเรื่องการท่องเที่ยว ใช้วัฒนธรรมและซากอารยธรรมเก่าแก่ของดึงดูดนักท่องเที่ยว เขาเสนอให้เปิดเส้นทางการท่องเที่ยวสายใหม่ จากเมืองหลวงสู่บาสร่า จากบาสร่าสู่คาเธย์ ตามเส้นทางอารยธรรมโบราณมาฮาร่า”
“ก็น่าสนใจดีนี่คะ แต่ลูกไม่เคยได้ยิน เส้นทางอารยธรรมโบราณมาฮาร่า มันคืออะไรคะ ?” หญิงสาวถามอย่างสนใจ อัลมาฮาร์มีตำนานเล่าขานมากมายซึ่งล้วนแล้วแต่มหัศจรรย์พันลึก แต่เรื่องมาฮาร่านี้เธอไม่เคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน
“มาฮาร่า คือ กลุ่มคนลึกลับ เล่าลือกันว่าพวกเขาท่องไปทั่วถิ่นทะเลทราย ทุกอณูพื้นที่อันแห้งแล้งกันดารไม่มีที่ไหนที่มาฮาร่าไม่รู้จัก”
“เหมือนพวกเบดูอินหรือคะ ?”
“ไม่เหมือน เล่าลือกันว่ามาฮาร่าเคยอยู่ในคาเธย์ แต่จู่ ๆ ก็หายสาบสูญไปเมื่อหลายพันปีก่อน หายไปอย่างไร้ร่องรอย ตามคำล่ำลือบอกว่ามาฮาร่าเป็นพวกพ่อมดหมอผี พวกมีวิชามนตรา ไม่มีใครรู้รายละเอียดเกี่ยวกับพวกเขา เล่าขานกันเพียงว่าคาเธย์คือส่วนหนึ่งของสิ่งก่อสร้างที่ได้รับอารยธรรมมาจากมาฮาร่าแค่นั้น แต่แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้เราก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ว่ามาฮาร่ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ พวกเขาหายไปไหนและมีความเกี่ยวพันอะไรกับการล่มสลายของคาเธย์”
“ลึกลับดีนะคะ คาเธย์อยู่ที่ไหนคะ ?”
“ทะเลทรายอาระเบียน ถัดจากเมืองบาสร่ามุ่งไปตามทางแม่น้ำโบราณที่ตอนนี้เหือดแห้งเหลือเพียงโขดหินและร่องทราย มันโดนกลบฝังจนแทบไม่เห็นรอย นักวิทยาศาสตร์บางคนสันนิษฐานว่า คาเธย์ล่มสลายเพราะแม่น้ำเปลี่ยนทิศทางไหลมาสู่บาสร่า คาเธย์ขาดน้ำ พืชผลเพาะปลูกไม่ได้จึงอพยพมาอยู่ที่บาสร่า แต่เราก็ยังไม่มีการสำรวจจริงจังนัก เส้นทางสายนั้นเป็นเส้นทางที่แห้งแล้งกันดารและอันตรายมาก”
“แล้วจะมีการเริ่มสำรวจกันเมื่อไหร่คะ ?” หญิงสาวถามอย่างกระตือรือร้น
“องค์อาซาริยัสทรงขอเวลาทบทวน คาดว่าอาทิตย์หน้าจะทรงให้คำตอบ”
“ลูกอยากเดินทางไปกับคณะสำรวจจังเลยค่ะ”
“มันอันตรายสำหรับผู้หญิง พ่อไม่เห็นด้วย” ท่านอับดุลลาแย้ง
“แต่ลูกอยากไปนี่คะ ลูกอยากเห็นนครคาเธย์ที่ล่มสลายทั้งเมืองนั่น ท่านพ่อช่วยลูกไม่ได้หรือคะ” บุตรสาวรบเร้า
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของผู้หญิง” ผู้เป็นบิดาวางท่าดุ
“มันไม่เกี่ยวกับเป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้หญิงนี่คะ ทะเลทรายแห่งอื่น ๆ ลูกก็เคยรอนแรมไปมาแล้ว กับแค่ทะเลทรายในบ้านเราเองทำไมถึงจะไม่ได้ละคะ”
“เจ้ามันดื้อรั้นผิดผู้หญิงอัลมาฮาร์”
“ก็ลูกเป็นลูกของพ่อนี่คะ” หญิงสาวบอกอย่างสดใส มองเห็นทางชนะอยู่รำไร
“อาเถอะ เรื่องนี้เอาไว้ก่อน ใช่ว่าพ่อจะตัดสินใจคนเดียวได้เมื่อไหร่” ท่านอับดุลลาแบ่งรับแบ่งสู้
“แต่ถ้าท่านพ่อช่วยก็ย่อมเป็นไปได้” จัสมินประจบ
“อย่ามาปากหวานกับพ่อ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเสียใหม่ได้แล้ว แล้วเย็นนี้ก็อย่าลืม แต่งตัวให้ถูกต้องเหมาะสม พ่อจะพาไปเฝ้าองค์กษัตริย์กับเจ้าชายรัชทายาทที่พระราชวัง” ท่านอับดุลลากำชับก่อนจะลุกจากไป
ความคิดเห็น