คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ลูเนซาราสราชาปีศาจ
บทที่ 2
ลูเนซาราสราชาปีศาจ
ท่ามกลางตลาดที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน ร้านอาหารเล็ก ๆ ร้านหนึ่ง ในมุมสุดของร้านมีคนสองคนนั่งสนทนากัน คนตัวเล็กกว่าเป็นฝ่ายพูดอยู่ฝ่ายเดียวโดยชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามทำหน้าที่เป็นผู้ฟังแม้สายตาจะคอยแวะเวียนส่งให้กับสาวสวยที่เดินผ่านไปมาพร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่แจกจ่ายไปทั่ว
เฮรอสยกถ้วยชาขึ้นมาละเลียดจิบด้วยท่วงท่าสบาย ๆ รับฟังคำบอกเล่าจากเซเนตที่กำลังเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง ท่าทางเหมือนฟังบ้างไม่ฟังบ้าง
“ตามบันทึกเก่าแก่ของบาลันเทียร์กล่าวถึงภัยพิบัติเมื่อ 800 ปีก่อน ในนั้นกล่าวถึงลูเนซาราสจอมมารที่นำพาบริวารเหล่าปีศาจบุกขึ้นมาอาละวาดในแดนพิภพแต่ถูกต่อต้านจากเซธารอสราชาแห่งแดนพิภพและเหล่าจอมเวท ราชาเซธารอสได้ชัยชนะและกักขังจอมมารไว้ในกระจกผนึกมนตราอีกทั้งกางเขตเวทมนตร์ครอบคลุมป่าอาถรรพ์เพื่อกักปีศาจร้ายไว้ในส่วนใจกลางของป่า หลังจากที่จอมมารถูกกักขังเหล่าปีศาจที่ออกอาละวาดก็ลดจำนวนลงมาก แดนพิภพจึงกลับมาสงบสุขอีกครั้ง” เซเนตกล่าวถึงตำนานที่เล่าขานกันต่อ ๆ มา
“เรื่องนั้นข้าได้ยินมาตั้งแต่เด็กแล้ว” เฮรอสขัด
“มหาปราชญ์ดาไรอัส ทำนายไว้ว่าราชาปีศาจจะกลับมาอีกครั้ง ด้วยพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม”
“ก็ถูกปราบถูกกักขังไปแล้วจะกลับมาได้ยังไง ?” เฮรอสยังแย้งต่อไป
“ข้าจะไปรู้ได้ยังไงเล่า!” คนเล่าชักมีโมโห
“ที่เล่ามามันก็มาจากบันทึกเก่า ๆ ที่อยู่ในหอตำราในวิหารหลวงทั้งนั้น”
“ในบันทึกนั่นกล่าวถึงแค่ราชาเซธารอสกับเหล่าจอมเวทย์เท่านั้นหรือที่ปราบราชาปีศาจ?” เฮรอสรีบถามเปลี่ยนเรื่อง
“ใช่ ทำไมเหรอ ?” เซเนตย้อนถามด้วยความสงสัย
“เปล่าหรอก แค่ว่าที่ไหนก็บันทึกไว้เหมือนกันหมดซินะ”
“พูดถึงเรื่องอะไรน่ะ ?”
“เปล่า ข้าก็ว่าไปเรื่อยเปื่อย อย่าใส่ใจเลย” ชายหนุ่มว่ายิ้มๆ สายตาสอดส่ายมองหาสาวงามต่อไป เซเนตมองกิริยานั้นอย่างไม่ชอบใจนัก
“ว่าแต่เจ้าจะทำยังไงถึงจะตามหาคนที่ต้องการได้ล่ะ ถ้าลูกแก้วมันยังเงียบเชียบนิ่งสนิทแบบนี้ ?”
“ไม่รู้สิ ข้าเองก็จนปัญญาเหมือนกัน” เซเนตส่ายหน้าอย่างคิดไม่ออก
“ข้าว่าจะไปแจ้งข่าวที่อาร์เซนโทเฟียก่อน บางทีที่นั่นอาจจะช่วยข้าเรื่องนี้ได้”
“จะไปอาร์เซนโทเฟียงั้นเหรอ ?”
“ใช่ ที่นั่นเป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่อยู่ของท่านเซนรอนผู้อยู่เหนือเหล่าผู้ใช้เวททั้งปวง”
“นั่นซินะ เจ้าคิดถูกแล้วละ แต่จากที่นี่ไปอาร์เซนโทเฟียต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็สามวันเชียวนะ อีกอย่างถึงเจ้าเดินทางไปตอนนี้กว่าจะไปถึงก็คงไม่พบเซนรอนหรอก”
“ทำไมล่ะ ?”
“ก็เพราะอีกสองวันท่านเซนรอนแห่งอาร์เซนโทเฟียจะเดินทางมาที่ปราสาทวินเดเนียน่ะซิ”
“เอ๋! เจ้ารู้ได้ยังไงน่ะ” เซเนตมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย
“โธ่เอ๊ย! เรื่องนี้เขารู้กันทั้งอาณาจักรวินเดเนียนั่นแหละ เพราะอีกสองวันจะเป็นวันเกิดครบรอบห้าสิบปีของราชาแห่งวินเดเนีย จะมีการเฉลิมฉลองกันทั่วทั้งอาณาจักร ไม่สังเกตหรือว่ามีการประดับประดาตามสถานที่ต่าง ๆ บ้างแล้ว” คำบอกของเฮรอสทำให้เซเนตสังเกตว่ามีการตกแต่งประดับประดาตามถนนหนทางและบ้านเรือนบางส่วนแล้วจริง ๆ
“อย่างงี้เองลูกแก้วบาลันเทียร์ถึงพาข้ามาที่นี่เพราะถึงไปที่อาร์เซนโทเฟียก็อาจไม่พบท่านเซนรอน”
“คงงั้นละมั๊ง” เฮรอสไม่ได้สนใจในเรื่องที่สนทนาอีกต่อไปแล้วเพราะสาวสวยนางหนึ่งกำลังเดินผ่านโต๊ะไปอย่างช้า ๆ สายตาที่ส่งมาเชิญชวน ชายหนุ่มมองตามจนเหลียวหลัง เซเนตมองอาการของชายหนุ่มตรงหน้าแล้วต้องส่ายศรีษะปลงกับพฤติกรรม
‘ท่าทางงานนี้คงจะหวังพึ่งเจ้าหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ แต่ยังไงก็พออาศัยหาข้อมูลได้บ้างหรอกน่า’
“กลับกันหรือยัง” เซเนตเอ่ยถามในที่สุด ทำให้เฮรอสจำต้องละความสนใจจากสาว ๆ อีกหลายนางที่เดินผ่านไปหันมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
“ไปก็ไป” ร่างสูงลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกจากร้านไปพร้อมกัน ทั้งคู่ไม่ได้สังเกต ณ มุมหนึ่งของร้าน มีสายตาของผู้ชายสองคนจับจ้องพวกเขาที่ก้าวเดินจากไปอย่างไม่วางตา
ภายในห้องเล็กแคบปราศจากหน้าต่าง บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ผมสีทองสลวยปล่อยยาวจนถึงกลางหลังหากดวงตากลับเป็นสีม่วงเข้มจนเกือบดำดูลึกลับปนน่าเกรงขาม ชุดที่สวมเป็นชุดยาวติดกันสีขาวสะอาด เขากำลังสนใจฟังชายผู้หนึ่งที่กำลังคุกเข่ารายงานอยู่เบื้องหน้า
“เราพบคนที่เรากำลังตามหาแล้วครับ แต่มันอยู่กับท่านเฮรอส”
“อยู่กับเฮรอสงั้นเหรอ” ดวงตาสีม่วงเข้มฉายแววครุ่นคิดแต่ใบหน้านั้นกลับสงบนิ่ง ภายในห้องเงียบจนน่ากลัว บรรยากาศชวนอึดอัด
“จับตาดูไว้ แล้วให้รายงานข้าทุกระยะ” น้ำเสียงราบเรียบนั้นไม่บอกอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ ร่างบนเก้าอี้โบกมือเป็นสัญญาณให้คนรายงานข่าวถอยออกไป
ลับร่างของผู้มารายงาน ผนังราบเรียบที่อยู่ด้านหลังเก้าอี้ก็เปิดออกเผยให้เห็นห้องลับภายในอีกชั้นหนึ่ง
“เจ้าคนจากแดนไกลนั่นไปอยู่กับเฮรอสได้ยังไงกัน!” เสียงหวานหากกังวานทรงอำนาจดังมาก่อนที่จะปรากฏร่างของสตรีวัยกลางคนนางหนึ่งที่ช่องประตูลับ ลักษณะอาภรณ์ที่สวมใส่บ่งบอกถึงยศศักดิ์อันสูงส่ง ชุดติดกันยาวละพื้นปักด้วยเพชรนิลจินดาระยิบระยับคลุมทับด้วยเสื้อแพรยาวเนื้อบางเบา ผมดำยาวถูกตลบเกล้าพันไว้เหนือศรีษะโดยมีผ้าคลุมผมสีสวยคลุมทับประดับด้วยปิ่นปัก
ชายผู้อยู่ก่อนลุกขึ้นน้อมศรีษะทำความเคารพพลางเอ่ย
“อย่าเพิ่งร้อนใจองค์ราชินี เรื่องนี้ยังมีทางแก้ไขได้”
“ท่านจะทำยังไงเดมาล ?” ผู้ถูกเอ่ยขานว่าราชินีถามอย่างกังวล
“โปรดวางใจ ข้าจะจัดการทุกอย่างเอง อีกวันสองวันจะต้องเรียบร้อย”
“ขอบใจท่านมาก ความหวังของข้าอยู่ที่ท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น ถ้าวันใดซาร์ลูมาน ได้ครองอาณาจักร ข้าจะสมนาคุณท่านอย่างงาม ท่านจะเป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือจอมเวททั้งปวงทั่วหล้า!”
เดมาลยิ้ม หากแววตาสีม่วงเข้มมีประกายประหลาดแวบหนึ่งก่อนจะจางไป
“ว่าแต่ท่านแน่ใจหรือว่าถ้าเราเอาเลือดจากเจ้านั่นมาสังเวยองค์อัสซูร์แล้ว บุตรชายข้าจะได้ครองบัลลังก์”
“แน่นอน สายเลือดศักดิ์สิทธิ์ของมันถือเป็นของล้ำค่าที่องค์อัสซูร์เทพต้องโปรดปราน ประสงค์ของท่านจะเป็นไปตามที่ต้องการ” คำตอบนี้ทำให้ราชินีแย้มยิ้มอย่างพอใจ
“ถ้างั้นก็ดี ฉันไม่อยากรอเพียงความหวังอีกต่อไปแล้ว...ว่าแต่เฮรอสจะไม่เป็นปัญหากับงานของเราหรือ ?” ราชินีนาเกียยังกังวลไม่รู้จบ
“โปรดอย่าวิตก ท่านก็ทราบว่าเฮรอสไม่มีอะไรน่ากลัว” เดมาลยังอธิบายต่อไปอย่างอดทน
“คนไม่เคยสนใจอะไรนอกจากตนเองแบบนั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับแผนการของเราแน่ หรือถ้าเป็นปัญหามากนัก ข้าก็มีวิธีจัดการกับเขา” เดมาลกล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะ ในคนที่ถูกพาดพิงถึง
‘เจ้าคนเสเพลพรรค์นั้นไม่เคยอยู่ในสายตาเขาเลยซักนิด คนไร้ซึ่งอำนาจ ไม่มีพลังเวท ไม่มีแม้แต่วิชาป้องกันตัวใด ๆ ใช้ชีวิตไร้สาระไปวัน ๆ ช่างน่าสมเพชสิ้นดี’ เดมาลนึกปรามาสคนที่กำลังตกเป็นหัวข้อสนทนา
ดวงพักตร์องค์ราชินียังไม่คลายความกังวล
“แต่ข้ารู้สึกติดใจอะไรบางอย่าง”
“ท่านหมายถึงอะไร ?”
“การทำพิธีบูชายัญหรือการเซ่นสังเวยที่เคยทำกันมาถ้าไม่ใช้สัตว์ ก็ต้องเป็นสาวพรหมจารีแต่นี่เจ้าคนนี้มันเป็นเด็กผู้ชายไม่ใช่หรือ ?”
“แต่ข้าแน่ใจว่าการคำนวณทุกอย่างถูกต้องตามคำทำนาย ลักษณะของเจ้าเด็กนั่นก็ไม่มีอะไรผิดเพี้ยน ที่สำคัญที่สุดคือสายเลือดของมัน”
“แต่มันรู้สึกติดอยู่ในใจยังไงชอบกล”
“โปรดวางใจ ข้าจะไม่ยอมให้เกิดข้อผิดพลาดแน่นอน” เดมาลยืนยันหนักแน่น
“เอาเถอะ เมื่อท่านยืนยัน ข้าก็ไม่ติดใจอะไรอีก นี่ก็ออกมานานแล้วคงต้องกลับเสียทีเดี๋ยวจะถูกสงสัย” ราชินีนาเกียบอกพลางหมุนตัวกลับไปทางเดิมที่ออกมา เดมาลน้อมคำนับส่ง แล้วยืดตัวตรง แววตาที่เคยสงบเยือกเย็นหายไปความเย้ยหยันแกมสมเพชแทรกเข้ามาแทนที่
“ใช่ ข้าไม่ยอมให้มีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สายเลือดศักดิ์สิทธิ์...สายเลือดที่จะทำให้ข้าทรงพลังและยิ่งใหญ่เหนือผู้ใช้เวททั้งปวง....ตอนนี้มันกำลังจะมาอยู่ในมือข้าแล้ว....อัลซัส!” เดมาลเอ่ยเรียกทั้ง ๆ ที่ภายในห้องมีเพียงเขาคนเดียว สิ้นคำภายในห้องก็ปกคลุมไปด้วยหมอกควันสีดำที่ค่อย ๆ รวมตัวกันเป็นรูปร่างคน มันค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนปรากฏเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผมสั้นเพียงท้ายทอยสีแดงเพลิง ดวงตายาวรีสีน้ำตาลซีด
“นายท่าน มีเรื่องใดให้ข้ารับใช้ ?”
“ไปจับเด็กหนุ่มที่อยู่กับเฮรอสมาให้ข้า ระวังอย่าให้เอิกเกริก”
“ครับผม” ชายหนุ่มรับคำสั่งด้วยรอยยิ้มก่อนร่างกายค่อย ๆ สลายเป็นหมอกควันจางหายไป
เดมาลเกือบจะก้าวออกจากห้องหากไม่เหลือบไปเห็นผนังที่ทึบทึมด้านหนึ่งกลับปรากฏเหมือนคลื่นน้ำที่พลิ้วไหว เงาที่พร่าเลือนค่อย ๆ ปรากฏให้เห็นก่อนจะแจ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ เป็นดวงตาสีแดงฉานดั่งเปลวเพลิง เดมาลทรุดตัวลงคุกเข่าทันที
“องค์ราชา!”
“เดมาล! เจ้าหาสิ่งที่ข้าต้องการได้หรือยัง!” เสียงกังวานทรงอำนาจดังสะท้อนไปรอบห้องพลังแห่งเสียงกดดันบีบคั้นจนทำให้ผู้ที่คุกเข่าอยู่นั้นตัวสั่นเทิ้มจากความกดดันที่ได้รับ
“ข้าพบมันแล้วครับ”
“ดีมาก ไปจัดการนำมันมาให้ข้า ข้าต้องการเลือดของมัน”
“ครับ ข้าคิดว่าคืนพรุ่งนี้ท่านจะได้ดื่มเลือดของมันอย่างแน่นอน”
“ดี! จำไว้ทำตามที่ข้าบอกแล้วเจ้าจะได้พลังอำนาจที่ไม่เคยมีใครได้”
“ครับ
เอ่อ...ข้ามีเรื่องสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง” เดมาลเอ่ยอย่างเกรง ๆ
“เจ้าสงสัยอะไร !?”
“ทำไมบาลันเทียร์ถึงได้ส่งผู้มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ออกมาแบบนี้ ความจริงทางบาลันเทียร์ควรจะเก็บคนที่มีสายเลือดเช่นนี้ไว้ในที่ปลอดภัยไม่ใช่หรือครับ”
“หึ..หึ..หึ..หึ...เพราะคำทำนายไงล่ะ”
“คำทำนายอะไรหรือครับ ?”
“คำทำนายเมื่อ 800 ปีก่อนไงเล่า คำทำนายถึงแสงแห่งความหวัง สายเลือดศักดิ์สิทธิ์คือผู้ที่จะทำให้แสงแห่งความหวังนั่นยอมสาดส่องให้ความสว่างกับชาวพิภพอีกครั้ง ชาวพิภพผู้มืดบอดและโง่งม ผู้หลงลืมและเย่อหยิ่ง ผู้โกหกตลบตะแลงอย่างร้ายกาจ” เสียงหัวเราะเยาะหยันดังก้องไปในความเงียบ
“ใครคือแสงแห่งความหวังครับ ทำไมท่านไม่ให้ผมกำจัดมันเสียเลย ?”
“เจ้าโง่! เจ้าคิดหรือว่าฝีมืออย่างเจ้าจะจัดการมันได้ แต่ก็ไม่จำเป็นหรอกเพราะข้าไม่คิดว่าชาวพิภพจะยังเหลือแสงแห่งความหวัง ในเมื่อพวกมันได้ดับแสงนั้นลงด้วยมือของพวกมันเอง” เดมาลไม่เข้าใจอะไรมากกว่าเดิมเลยซักนิด
“เจ้าไม่ต้องอยากรู้ให้มากความ หน้าที่ของเจ้าคือทำตามคำสั่งข้าเท่านั้น!”
“ขออภัยองค์ราชา” เดมาลค้อมตัวลงจนแทบจะติดพื้น
“อีกไม่นาน อีกไม่นาน วันเวลาของข้ากำลังจะกลับมาอีกครั้ง และการกลับมาคราวนี้จะไม่มีใครขัดขวางข้าได้อีกต่อไป!”
เสียงหัวเราะอันก้องกังวานนั้นดังสะท้อนสะท้าน มันอาจดังแค่เพียงในห้องแคบ ๆ แห่งนั้นไม่มีผู้ใดได้ยิน แต่ ณ จุดหนึ่งในดินแดนห่างไกลระลิบลิ่วและเยือกเย็น หมอกขาวโพลนลอยคว้างก่อนทิ้งตัวลงต่ำ เสียงหัวเราะนั้นกลับดังมาถึง ชายชราสามคนในชุดขาวที่ยืนอยู่บนหน้าผาสูงทอดสายตาลงไปเบื้องล่างนิ่งนานก่อนจะถอนใจยาว
“เวลาแห่งภัยพิบัติใกล้จะมาถึงแล้วซินะ” หนึ่งในสามเอ่ยขึ้น
“เราควรยับยั้ง ?” ชายคนที่สองเอ่ยถาม
“เขาต้องการเรางั้นหรือ ?” ชายคนที่สามถามกลับ
“ถ้าเรานิ่งเฉยจะเกิดอะไรขึ้น ?” ชายคนแรกถามบ้าง
“ชาวพิภพจะพบกับหายนะ” เป็นคำตอบจากชายชุดขาวคนที่สอง
“แล้วถ้าเราช่วย ?” ชายคนที่สามถามต่อ
“ชาวพิภพอาจชนะ” ชายคนแรกตอบ
“แต่เขาจำเราได้หรือยังล่ะ ?” เป็นคำถามจากชายคนที่สองแล้วดูเหมือนคำตอบคือความเงียบและเสียงถอนใจยาวของอีกสองผู้เฒ่าโดยไม่มีใครปริปากพูดอะไรอีก
เซเนตนั่งพิงต้นไม้อยู่หน้ากระท่อมหลังน้อยอันเจ้าตัวยึดเป็นที่พักอาศัยมาได้หนึ่งคืนแล้ว ตอนนี้เจ้าของบ้านหายหัวไปไหนก็ไม่รู้ปล่อยให้ ‘ผู้อาศัย’ อยู่เฝ้าบ้านแต่เพียงผู้เดียว
“ท่านเฮกา ข้าควรจะทำอย่างไรต่อไป ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามกับตัวเองพลางทิ้งตัวลงนอนหงาย ทอดตามองท้องฟ้าเบื้องบน รำลึกถึงเรื่องราวก่อนที่จะถูกส่งมาวินเดเนีย ลมพัดเอื่อย ๆ กับบรรยากาศเย็นสบายทำให้ดวงตาสีมรกตค่อย ๆ หรี่ปรือ
ยามดึกสงัดในวิหารหลวงแห่งบาลันเทียร์ ภายใต้แสงสว่างจากกระถางคบเพลิง หญิงสาวในชุดขาวยาวคลุมทั้งตัว เส้นผมยาวสยายถึงกลางหลัง ใบหน้างามเปี่ยมไปด้วยความกังวลจนเห็นได้ชัด เบื้องหน้าของนางคือร่างเล็กแบบบางของสาวรุ่นนางหนึ่งผมยาวหยักหยิกยุ่งเหยิงถูกขมวดพันไว้ง่าย ๆ ด้วยเกลียวเชือก ใบหน้าขาวนวลขะมุกขะมอมพอ ๆ กับชุดแบบผู้ชายที่สวมใส่ นัยน์ตาสีมรกตจับจ้องอย่างตั้งใจฟัง
“เจ้าคือความหวังของพวกเรา เซเนตตรา”
“ท่านจอมปราชญ์ท่านแน่ใจได้ยังไงว่าข้าจะทำสำเร็จ การตามหาคนคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะคนที่เราไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่นั่นยิ่งเป็นเรื่องยากเข้าไปใหญ่”
“ลูกแก้วแห่งบาลันเทียร์จะทำให้เจ้าตามหาเขาพบ ตามคำทำนายคนผู้นั้นต้องมีตัวตนอยู่แน่นอน”
“แต่ว่า....” หญิงสาวยังไม่ทันแย้งก็ถูกขัดขึ้นเสียก่อน
“พลังของลูกแก้วจะช่วยนำทางเจ้า” พร้อมคำพูดนั้นจอมปราชญ์สาวก็แบมือออก ลูกแก้วสีขาวสกาวลอยอยู่กลางฝ่ามือ แสงอันสุกสว่างทำให้ทั่วบริเวณกระจ่างชัดราวกลางวัน
“ข้าจะใช้พลังจากลูกแก้วเปลี่ยนร่างให้เจ้าเป็นชายเพื่อความปลอดภัยของเจ้าเอง” ขาดคำร่างของหญิงสาวก็ปรากฏแสงสีขาวนวลห้อมล้อมก่อนจะค่อย ๆ ลดลงจนดับสนิท ร่างหญิงสาวเมื่อครู่กลับกลายเป็นเด็กหนุ่ม ผมที่เคยยาวหยักหยิกเป็นลอนสวยบัดนี้เหลือสั้นเพียงละต้นคอ นอกนั้นรูปลักษณ์ต่าง ๆ แทบจะไม่เปลี่ยนไปเลยซักนิด เซเนตตราก้มลงสำรวจตัวเองอย่างอัศจรรย์ใจ
“ลูกแก้วมีพลังอำนาจมากมายขนาดนี้ทำไมยังต้องหาใครมาช่วยอีก ?”
“ลำพังพวกปีศาจธรรมดา ๆ อำนาจจากลูกแก้วแห่งบาลันเทียร์พอจะรับมือได้ไม่ยาก แต่ถ้ามีพวกระดับสูงที่ร้ายกาจออกมาข้าไม่มั่นใจว่าลำพังแค่อาศัยอำนาจจากลูกแก้วจะต้านทานได้นานแค่ไหน และเรื่องภัยพิบัติในตำนานมันก็เกินกว่าข้าจะรับมือได้เพียงลำพัง” ท่านจอมปราชญ์บอก
“ร่างเด็กหนุ่มจะทำให้เจ้าปลอดภัยมากกว่าเป็นผู้หญิง แต่เจ้าก็สามารถกลายร่างกลับเป็นหญิงได้โดยใช้พลังของลูกแก้วนี่” จอมปราชญ์สาวอธิบายเพิ่มเติม “ยื่นมือมาซิ”
เซเนตตรายื่นมือออกไปตามคำสั่ง หญิงสาววางลูกแก้วสีขาวเจิดจ้าลงบนฝ่ามือที่แบรอรับอยู่
“ลูกแก้วจะคุ้มภัยผู้ที่ครอบครอง เก็บไว้ให้ดี” พอดวงแก้วสัมผัสกับมือที่รอรับ แสงเจิดจ้าก็สว่างขึ้นเรื่อยๆ ภาพต่าง ๆ ตรงหน้าเริ่มเต้นเร่าหมุนวนจากช้า ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เร็วขึ้นๆ จนแทบจะลืมตาไม่ได้
“เจ้ามีเวลาไม่มาก กำหนดจิตของเจ้ามุ่งไปหาบุคคลที่เจ้าค้นหา ลูกแก้วจะนำทางเจ้าเซเนตตรา....” น้ำเสียงกังวานใสค่อย ๆ ลอยห่างออกไปทุกที.....
ร่างที่นอนหงายเหยียดยาวอยู่ใต้ร่มไม้สะดุ้งเฮือกตกใจตื่น เด็กหนุ่มก้มลงสำรวจตัวเองก่อนจะถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก ค่อยยังชั่ว! ยังเป็นผู้ชาย” เซเนตตรายกมือลูบหน้า สะบัดศรีษะไล่ความมึนงง
“ไม่รู้เผลอหลับไปได้ยังไง” พึมพำบ่นกับตัวเอง หากแล้วก็เริ่มรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเงียบเชียบผิดปกติ เธอมองไปรอบ ๆ ตัวแต่ก็ไม่พบอะไร หากก็ยังรู้สึกว่าถูกจับตามอง
จู่ ๆ มือหนึ่งก็ตบป้าบลงมาบนไหล่เล่นเอาแทบทรุด
“ไง ทำอะไรอยู่ ?” เซเนตตราหันกลับไปมองก็พบเจ้าของมือที่บัดนี้ยืนยิ้มกริ่มอยู่เบื้องหลัง ร่างสูงในชุดคลุมดำทำให้ใบหน้าที่ขาวอยู่แล้วยิ่งขาวจนเกือบจะกลายเป็นซีด
“ก็นั่งเล่น ว่าแต่เจ้าออกไปไหนมา ?”
“ข้าก็ไปเตร็ดเตร่ของข้าเรื่อยเปื่อย อ้อ! ข้ามีข่าวเกี่ยวกับผู้ใช้เวทมาฝากเจ้าด้วย” เฮรอส บอก คนตัวเล็กกว่าขยับนั่งตัวตรงมองด้วยความสนใจ
“ผู้ใช้เวทที่เก่งมากจนถึงได้รับยกย่องว่าเป็นจอมเวทมีหลายคนก็จริง แต่ที่ฝีมือแน่จนได้รับการยอมรับจริง ๆ น่ะมีเพียงไม่กี่คน คนแรกก็อย่างที่เจ้ารู้ เซนรอนผู้ปกครองอาร์เซนโทเฟีย”
“แล้วคนต่อไปล่ะ ?”
“เจ้าชายซาร์กอน องค์รัชทายาทแห่งวินเดเนีย สองคนนี้ข้าว่าถ้าเขารู้เรื่องจากเจ้าคงยินดีช่วยเหลือ”
“แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ ?” เซเนตตราเร่งเร้า
“จอมเวทแห่งวินเดเนียอาร์กัส แต่รายนี้คงเดินทางไปไหนไม่ได้เพราะตามตำแหน่งต้องอยู่ปกป้องอาณาจักร อีกคนก็เจ้าชายซาร์ลูมานเจ้าชายองค์ที่สองแห่งราชวงศ์วินเดเนีย คนนี้ทายใจไม่ถูก ส่วนคนสุดท้ายคนนี้ถูกคาดหมายว่าอาจได้เป็นผู้ปกครองอาร์เซนโทเฟียคนต่อไป” คนเล่าจงใจขยักไว้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนฟัง
“บอกมาเสียทีซิ ยึกยักอยู่ได้!”
“แล้วมันเรื่องอะไรของข้าเนี่ย ทำไมข้าจะต้องหาข่าวให้เจ้าด้วยก็ไม่รู้ แถมหามาแล้วยังถูกข่มขู่ คำขอบใจซักคำก็ไม่มี” เฮรอสบ่นทำท่าน้อยใจ
“ข้าขอโทษ ข้าร้อนใจไปหน่อยเลยแสดงกิริยาไม่ดีกับเจ้า น่า...บอกมาเถอะนะ” เซเนตตรายิ้มหวานใช้ลูกอ้อน ชายหนุ่มถอนใจเฮือกพลางบอก
“เขาได้รับฉายาว่าพ่อมดขาวแห่งนาดีน!”
“พ่อมดขาวแห่งนาดีน ?”
“ฮื่อ! นั่นแหล่ะ บางคนก็พูดกันว่าเขาเป็นผู้ใช้เวทที่แข็งแกร่งที่สุดในเวลานี้”
“แล้วเขาจะเข้ามาที่วินเดเนียไหม ?”
“ข้าจะรู้ได้ยังไงล่ะ” เฮรอสมองค้อน
“แหม! ขอโทษ ข้าถามผิดไปหน่อย เอางี้นาดีนกับที่นี่ห่างกันมากไหม ?”
“ก็ไม่มากไม่น้อย เดินทางวันนึงก็ถึงแล้ว”
“งั้นก็ใกล้มากเลยซิ” เซเนตตราร้องอย่างยินดี
“ใกล้” เฮรอสพยักหน้าหงึกหงักยืนยัน
“เดินทางไปกลับก็คงมาทันท่านเซนรอนซินะ” เซเนตตราเริ่มกำหนดแผนการ
“งั้นเราเดินทางไปนาดีนกันเถอะ!”
“เรา!?”
“ใช่ ก็เราไง”
“หมายถึงเจ้ากับข้าน่ะเหรอ ?”
“ถูกต้อง” เธอยืนยัน
“แล้วมันเรื่องอะไรของข้าด้วยล่ะ ?
“ถ้าเจ้าไม่นำทางข้าแล้วข้าจะไปนาดีน ไปหาพ่อมดขาวแห่งนาดีนได้ยังไง ?”
“งานนี้มันไม่เกี่ยวกับข้าเสียหน่อย” เฮรอสเกี่ยงไม่ยอมช่วยเหลือ
“แต่ว่ามันหมายถึงชีวิตคนเป็นหมื่นเป็นแสนคนเลยนะ ถ้าเรารวบรวมผู้ใช้เวทเก่ง ๆ ได้เร็วเท่าไหร่อาณาจักรทุกอาณาจักรก็จะปลอดภัย” เซเนตตราพยายามใจเย็นยกเหตุผลให้อีกฝ่ายฟังแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล
“มันไม่ใช่หน้าที่ของข้า! เรื่องอะไรข้าจะต้องไปหาความลำบากใส่ตัว” เฮรอสบอกหน้าตาเฉยแถมเสริมอีกว่า
“และที่สำคัญมันเป็นหน้าที่ของเจ้า” รอยยิ้มนั้นกึ่งขำขันกึ่งท้าทาย เหมือนกับจะท้าว่าถ้าเธอแน่จริงก็ลองทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาให้สำเร็จเพียงลำพัง
เซเนตตรามองจ้องใบหน้าคมเข้มนั้นเขม็ง พลางระงับอารมณ์กรุ่นที่พลุ่งพล่าน ‘คนอะไรเห็นแก่ตัวเป็นที่สุด ห่วงแต่ความสุขความสบายของตัวโดยไม่คำนึงถึงคนอื่น หวังพึ่งคนผิดเสียแล้ว’
“เจ้าพูดถูก! มันเป็นหน้าที่ของข้า งั้นข้าก็ขอตัวไปทำตามหน้าที่ ขอบคุณที่ให้ที่พักและความช่วยเหลืออื่นๆ ข้าลาละ” เซเนตตราบอกเมื่อระงับอารมณ์ได้แล้ว พร้อมคำลาหญิงสาวในร่างชายหนุ่มก็เดินมุ่งหน้าจากมาโดยไม่สนใจจะหันกลับไปมองว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร
ความคิดเห็น