ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดอยสูง ฟ้าใสกับหัวใจสองดวง

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 1 ต.ค. 50


    ดอยสูง  ฟ้าใสกับหัวใจสองดวง

    บทที่ 1

              ประตูเลื่อนกระจกเปิดออกเองโดยอัตโนมัติเมื่อมีผู้ก้าวผ่านออกมา     ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีเข้ม  มือหนึ่งถือเอกสารพลางก้มดูเวลาท่าทางเร่งร้อนทำให้ไม่ทันเห็นหญิงสาวสองคนที่เดินสวนเข้ามา    ร่างสูง ๆ เฉียดเอาสาวคนหนึ่งเข้าแฟ้มในมือชายหนุ่มหล่นลงพื้นในขณะที่ฝ่ายถูกชนแค่ซวดเซแต่ถูกเพื่อนสาวที่มาด้วยกันคว้าไว้ได้

     

                “ขอโทษครับ”     พร้อมคำกล่าวขอโทษชายหนุ่มก็ก้มลงเก็บเอกสารแล้วเดินจากไปอย่างเร่งรีบไม่ได้มองหน้าคนถูกชนเสียด้วยซ้ำ    ฝ่ายถูกชนเห็นเพียงแผ่นหลังหยัดตรงและผมดำสนิทตัดสั้นหวีเรียบสาวเท้าก้าวอย่างรวดเร็วแทรกผ่านปะปนกับผู้คนมากมายภายนอกไป

     

                “บ้าจริง   เดินไม่ดูตาม้าตาเรือบ้างเลย”   วรรณวลีบ่นไล่หลัง   เธอเป็นสาวร่างเล็กออกท้วมนิด ๆ ผิวขาวนวล   ดวงหน้ารูปไข่รับกับผมยาวตรงตัดสั้นประบ่า  ดวงตาชั้นเดียวบอกลักษณะของความเป็น หมวยชัดเจน

     

                “แต่งตัวก็ดีแต่ไม่มีมารยาท”   สาวหมวยยังวิพากษ์ต่อไป

     

                “เอาน่าวรรณเขาขอโทษแล้วก็แล้วไปเถอะ  ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรด้วย”      ทอฟ้าหญิงสาวคนที่ถูกชนบอกไม่เดือดร้อนเท่าใดนัก  รูปร่างของเธอสูงโปร่งกว่าเพื่อนสาว   ดวงตากลมโตดำขลับรับกับจมูกโด่งงาม    ริมฝีปากเต็มอิ่มแดงระเรื่ออย่างคนสุขภาพดี     ผมยาวหยักศกเล็กน้อยสีน้ำตาลอ่อนถูกมัดเป็นหางม้าดูทะมัดทะแมงเข้ากับชุดเสื้อเชิ้ตขาวเข้ารูปกับกางเกงยีนฟอกเนื้อนุ่ม

     

                “ไม่รู้จะรีบร้อนไปไหน”     คนเป็นเพื่อนยังไม่หยุดบ่น

     

                “เขาก็คงมีธุระของเขาละมั๊ง   แต่งตัวแบบนี้อาจจะเป็นพวกนักธุรกิจรีบร้อนไปทำธุระ   มีประชุมด่วนอะไรประมาณนั้น   ว่าแต่นี่มันเลยเวลาเครื่องลงมาตั้งเกือบชั่วโมงแล้วป่านนี้พงษ์คอยแย่แล้ว”    ทอฟ้าบอกเพื่อนแต่พอขยับจะก้าวเดินสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับของสิ่งหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้น     เธอก้มลงเก็บขึ้นมาพิจารณาหากแล้วก็ถึงกับอึ้งไป

     

                “อะไรเหรอฟ้า    เจออะไรเข้า”     วรรณวลีถามพลางยื่นหน้าเข้ามามองของที่อยู่ในมือเพื่อน

     

                “โธ่เอ๊ย   นึกว่าอะไรสร้อยคอกับล็อกเก็ตนี่เอง  ทำไมทำท่าอ้ำอึงตะลึงค้างอย่างนั้นล่ะ”    ฝ่ายถามไม่เข้าใจกริยาของผู้เป็นเพื่อนที่พอมองเห็นล็อกเก็ตที่อยู่ในมือก็ทำท่าตาค้างแล้วก็ชะเง้อคอยาวมองไปทางด้านนอกเหมือนต้องการจะหาอะไรหรือใครซักคน

     

                “นายคนที่ชนกับเราคงทำหล่นโดยไม่รู้ตัวละมั้ง ขอเกี่ยวท่าจะหลวม   หายไปกับฝูงชนแบบนี้สุดปัญญาจะตามไปคืนได้เหมือนกัน    ไม่เป็นไรหรอกมั๊งสายสร้อยก็ธรรมดาดูแล้วไม่มีราคาค่างวดเท่าไหร่”    วรรณวลีบอกหากพอหันกลับมาเห็นเพื่อนก็ร้องถามอย่างประหลาดใจ   

     

    “อ้าวคุณฟ้าเจ้าขาไหนว่าจะรีบไปไงคะทำไมยืนรากงอกอยู่อย่างนั้นล่ะ   ไปได้แล้วเดี๋ยวนายพงษ์มันรอนานมันก็หน้างอง้ำหาว่าไม่มีใครสนใจ”    คนเป็นเพื่อนเร่ง    ทอฟ้าเก็บ สร้อยพร้อมล็อกเก็ต  เส้นนั้นใส่กระเป๋าถือแล้วเดินตามเพื่อนไปอย่างเร่งรีบ

     

    คล้อยหลังเพียงไม่นานชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทก็วิ่งผ่านประตูเข้ามาหยุดตรงที่เขาชนกับหญิงสาวเมื่อครู่   กวาดสายตาไล่ไปตามพื้นแต่กลับไม่พบสิ่งที่ตนทำตกไว้    เขาแน่ใจว่ามันน่าจะหล่นที่นี่แน่นอนแต่กลับไม่มี   น่าแปลก สร้อย  ที่ไม่มีราคาค่างวดอะไร   ไม่น่าจะมีใครสนใจด้วยซ้ำ   แต่ทำไมถึงหายไปได้อย่างรวดเร็ว

     

    ชายหนุ่มถอนใจยาวอย่างเสียดาย    ไม่ใช่ราคาของสร้อยแต่เป็น ค่า ของมันต่างหาก   สร้อยเส้นนี้เขาสวมติดกายมานานนักหนา   มันเปรียบประดุจสิ่งเชื่อมโยงความผูกพันจากคนคนหนึ่งสู่ใครอีกคนที่จากกันไกลและไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีกหรือไม่   เป็นตัวแทนของความรู้สึกดี ๆ เมื่อครั้งยังเยาว์ที่ยังอยากจะเก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดี

     

                ชายหนุ่มพลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา   คงต้องตัดใจจริง ๆ แล้วละ    เขามีประชุมทำให้ต้องรีบ  แค่นี้ก็ช้าไปมากแล้ว     ช่วงนี้รู้สึกชีพจรจะลงเท้าทำให้ต้องขึ้นล่องไปโน่นมานี่อยู่บ่อย ๆ ชักจะเริ่มล้าเต็มทีคงต้องหาเวลาไปชาร์ตแบตให้ตัวเองซักสองสามวัน     ร่างสูง ๆ นั้นหันกลับสาวเท้ายาว ๆ ก้าวปะปนไปกับผู้คนขวักไขว่ด้านนอก

     

                รถดีแม็กซ์ป้ายแดงสีบร์อนทองแล่นทะยานไปตามถนนที่คดเคี้ยวไต่ระดับความสูงบ้างต่ำบ้าง   ทั้งสองฝากข้างทางเป็นทิวเขาและป่าไม้รกบ้างโปร่งบ้าง   บางครั้งรถก็แล่นผ่านสวนผลไม้    เส้นทางเรียบโล่งแทบจะไม่มีรถสวน

     

                “ฟ้า   ฟ้าแน่ใจเหรอว่าจะอยู่ทำไร่ที่นี่จริง ๆ”     ภูมิพงษ์หรือชื่อที่เพื่อน ๆ เรียกกันว่า พงษ์  เอ่ยถาม   พงษ์เป็นชายหนุ่มผิวพรรณขาวสะอาด   ใบหน้าหลอเหลาเกลี้ยงเกลาออกจะเกินชายไปซักนิดจนเคยถูกเข้าใจผิดบ่อยครั้ง   แต่ความที่คบหากันมานานทำให้รู้ว่าไม่ใช่   ชายหนุ่มเอ่ยถามเพื่อนสาวที่ทำหน้าที่ขับรถ

     

                “แน่ใจซิ    ทำไมพงษ์คิดว่าฟ้าจะไม่ทำล่ะ”

     

                “ก็....ดูสิ   ที่นี่มันห่างไกล   เปลี่ยวก็เปลี่ยว  ดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้”

     

                “คนไม่คุ้นมันก็รู้สึกอย่างงั้นแหละ   แรก ๆ ที่ฟ้ามาอยู่ที่นี่ก็เป็นเหมือนกัน   มันอาจจะเงียบไปซักนิดแต่อยู่ไปซักพักก็ชิน    แล้วก็สงบดีออก  ฟ้าชอบ”   หญิงสาวตอบเพื่อนสายตายังพุ่งความสนใจไปที่การขับรถ

                “เหมาะสำหรับคนอกหักมารักษาแผลใจ”     วรรณวลีอดปากไม่อยู่และคำพูดนี้มีผลให้เพื่อนสาวแววตาผิดปกติไปวูบหนึ่งแม้จะเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ แต่เพื่อนทั้งสองก็สังเกตเห็น    

     

    ทอฟ้าสาวสวยมีดีกรีปริญญาโทจากเมืองนอกอนาคตกำลังสดใสแต่กลับต้องมาหมกตัวอยู่ในป่าในดงเช่นนี้สาเหตุก็เพราะหนุ่มคนรักที่รักกันมาสามปีดันนอกใจไปมีสาวอื่นเนื่องจากความห่างไกลเป็นอุปสรรคสำคัญอะไรก็ไม่เจ็บใจเท่าผู้หญิงคนนั้นดันเป็นลูกพี่ลูกน้องคนกันเองเสียอีก     อย่างนี้ใจจึงช้ำนักหนา   แต่ถึงแม้ว่าจะเข้าใจว่ามันเจ็บแต่วรรณวลีและภูมิพงษ์ก็ไม่เห็นด้วยกับการมาหมกตัวอยู่ที่ ไร่ฟ้าหมอก  อันเป็นไร่ของผู้เป็นลุงของทอฟ้าซึ่งได้เสียชีวิตไปแล้วและได้ยกมรดกที่ดินผืนนี้ให้กับหลานสาวซึ่งก็คือทอฟ้านั่นเอง

     

                “ตอนแรกอาจจะใช่   แต่ยิ่งอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ฉันกลับรู้สึกรัก  แล้วก็อยากจะใช้ชีวิตที่นี่   อยากทำไร่แบบที่คุณลุงเคยทำ”    

     

                “แต่แกเป็นผู้หญิง  ไอ้งานแบบนั้นมันต้องใช้แรงใช้คนเยอะ  แกจะไปควบคุมคนงานไหวเหรอ”    วรรณวลีค้านอย่างไม่เห็นด้วย   เธอกับทอฟ้าคบหากันมานานตั้งแต่สมัยมัธยม  เธอรู้ว่าเพื่อนสาวไม่เคยลำบาก  ฐานะทางบ้านก็จัดว่าอยู่ในขั้นมีอันจะกิน   ตอนแรกที่เพื่อนบอกว่าจะมาอยู่ที่ไร่ซักพักนั้นเธอสนับสนุนเพราะถือว่าเป็นการหลบมารักษาแผลใจ   แต่นี่ทำท่าจะอยู่เลยแบบนี้เห็นทีไม่ดีแน่   วรรณวลีจึงต้องรีบโทรตามภูมิพงษ์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทอีกคนมาช่วยเกลี้ยกล่อม

     

                “จริงด้วยฟ้า   พงษ์เป็นผู้ชายแท้ ๆ ยังไม่กล้าคิดเลย  แล้วฟ้าเป็นผู้หญิงบอบบางออกจะไปควบคุมพวกผู้ชาย  พวกคนงานจะไหวเหรอ   พวกนั้นน่ะเขาไม่เหมือนเราหรอกนะ”

     

                “ใช่  ถ้าเธอแค่คิดจะอยู่พักผ่อนแค่เดือนสองเดือนดูเขาทำไร่กันฉันจะไม่ค้านเลย  แต่นี่เล่นวาดโครงการซะใหญ่โต   ทั้งพ่อทั้งแม่เธอไม่มีใครเห็นด้วยซักคน     อีกไม่เท่าไหร่ฉันก็ต้องกลับกรุงเทพฯแล้วเธอจะอยู่คนเดียวได้ยังไง”   

     

    วรรณวลีกล่อมเพราะเธออุตส่าห์หนีงานมาอยู่เป็นเพื่อนทอฟ้า    แต่ถึงจะเป็นงานระบบครอบครัวแต่ยังไงเธอก็ยังต้องเกรงใจปาป๊ากับมาม๊าอยู่ดี

     

                “เอาไว้ไปถึงที่ไร่ค่อยคุยกันดีกว่านะ”    ทอฟ้าตัดบททำให้เพื่อนทั้งสองคนอ้าปากค้างแล้วก็ต้องหุบฉับมองหน้ากันพลางถอนใจเพราะรู้นิสัยกันดีว่า  คุณหนูฟ้า  นั้น   บทจะดื้อขึ้นมาใครก็เอาไม่อยู่

     

                ไร่ฟ้าหมอก    เป็นไร่เล็ก ๆ มีเนื้อที่ประมาณ 500 ไร่  ทำเลที่ตั้งนั้นอยู่ชิดติดกับภูเขาเป็นแนวยาวจุดบอกอาณาเขตของไร่คือแนวรั้วลวดหนามที่ขึงกั้นไว้   ส่วนทางด้านทิศใต้จะติดกับไร่เล็ก ๆ ของชาวบ้านแถบนี้ซึ่งก็มีอาณาบริเวณพอๆ กับไร่ของเธอ     บรรยากาศโดยรอบไร่ห้อมล้อมด้วยขุนเขาใหญ่น้อยมีลำธารสายเล็ก ๆ ไหลผ่านไปรวมกับลำธารสายใหญ่ที่ไหลอยู่อีกทางฝั่งฝากของเทือกเขาติดกัน    ทอฟ้าไม่ใช่คนในพื้นที่เธอรู้เพียงว่าอีกฝากของทิวเขาเป็นไร่ขนาดใหญ่ของพ่อเลี้ยงคนสำคัญของจังหวัด  แต่เธอก็ไม่ได้สนใจเท่าใดนัก  แค่งานไร่ที่เธอต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจศึกษาก็หนักพออยู่แล้วไหนยังจะปัญหาหัวใจที่พยายามทำใจให้ลืม    เวลาเดือนกว่าที่มาพำนักอยู่ที่ไร่แม้ใจจะไม่อาจหายสนิท   แต่บรรยากาศใหม่ ๆ กับผู้คนแปลกหน้าก็ทำให้อาการของใจดีขึ้นตามลำดับ    อีกไม่นานหัวใจของเธอคงจะกลับมาเป็นของเธออีกครั้ง  

     

                รถแล่นเข้ามาจอดหน้าลานกว้างของบ้านไม้ชั้นเดียวขนาดกลางอันมีระเบียงยื่นออกมาเพื่อใช้พักผ่อนและชมวิว    รอบบ้านมีแปลงกุหลาบที่ออกดอกแคระแกรน  ใบหงิก ๆ งอ ๆ เนื่องจากขาดการใส่ใจดูแล     ซุ้มกระดังงาที่ปลูกปกคลุมศาลาหลังเล็ก ๆ ใช้สำหรับเป็นที่นั่งเล่น   

     

                “วิวมันก็สวยหรอกนะฟ้า   แต่สภาพอะไรต่าง ๆ เนี่ยมันไม่ชวนให้น่าอยู่เลย”    ภูมิพงษ์ก้าวลงจากรถพลางเหลียวมองรอบด้าน

     

                “มันก็ต้องค่อย ๆ ปรับปรุงไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น   คุณลุงฉันเสียมาตั้งห้าหกปีแล้วมันก็เลยหย่อนการดูแลรักษาไปหน่อย   ไปเถอะอย่าเพิ่งบ่นเลยน่าขึ้นไปข้างบนกันก่อนดีกว่า”    ทอฟ้าต้อนให้เพื่อนชายเดินขึ้นบ้านไป  

     

                หญิงสาวเดินนำเพื่อนทั้งสองคนเข้ามาในห้องรับแขกของบ้าน   ภูมิพงษ์วางกระเป๋าเดินทางใบเล็กของตนแอบไว้ทางหนึ่งพลางทรุดลงนั่งบนโซฟารับแขก      หญิงวัยกลางคนหน้าตายิ้มแย้มอารมณ์ดีเดินยกน้ำเย็นมาวางให้

     

                “ขอบใจจ๊ะป้า    พงษ์นี่ป้าจันดาเป็นเมียลุงสอนหัวหน้าคนงานที่ดูแลที่นี่”    ทอฟ้าแนะนำ   ชายหนุ่มยกมือไหว้ทำความเคารพ

     

                “ป้าทำอาหารเย็นไว้ให้แล้วนะ   ถ้าหิวก็อุ่นรับประทานได้เลย”     ป้าจันดาบอก

     

                “ป้าจะกลับแล้วหรือจ๊ะ   วันนี้ทำไมกลับเร็วจังน่าจะอยู่ทานข้าวด้วยกัน”   หญิงสาวทักถาม   ป้าจันดามาดูแลเรื่องอาหารการกินและการทำความสะอาดบ้านเรือนให้เธอชั่วคราวขณะที่ยังไม่มีคนดูแล    ตอนนี้เธอกำลังต้องการหญิงรับใช้สักคนเพื่อจะมาทำงานดูแลบ้าน

     

                “ฮื่อ   วันนี้เจ้าน้อยไม่ค่อยสบายป้าว่าจะพามันไปหาหมอซะหน่อย”   

     

                “ตายจริง  แล้วจะไปยังไงละจ๊ะ   ฉันขับรถไปส่งให้ไหม”     ทอฟ้าถามอย่างเอื้อเฟื้อ    นี่ก็เกือบบ่ายสามโมงแล้วกว่าจะเข้าไปในเมืองก็คงมืดค่ำพอดี

     

                “โอ๊ย   ไม่เป็นไรหรอก    แค่เอาเจ้าน้อยมันซ้อนมอเตอร์ไซด์ข้ามไปไร่ใหญ่เท่านั้นเอง   ไร่โน้นเขามีหมอประจำเวลาคนแถวนี้เป็นอะไรถ้าไม่หนักหนาเราก็ไปหาที่นั่นกันทุกทีละค่ะ”

     

                “แล้วเจ้าของไร่เขายอมหรือคะ”    วรรณวลีถามอย่างสงสัย  ไอ้เรื่องการมีน้ำใจช่วยเหลือกันแบบนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ ในเมืองที่เจริญทางวัตถุ

     

                “นายใจดีค่ะ   ช่วยเหลือดูแลพวกชาวบ้านที่อยู่ในแถบนี้มาตั้งนานแล้ว   จะจ่ายค่ายาค่าอะไรให้นายก็ไม่รับ    ชาวบ้านแถวนี้รักนายกันทั้งนั้นละค่ะ”   ป้าจันดาชื่นชมเจ้าของ  ไร่ใหญ่ ให้ฟัง

     

                “งั้นถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกฟ้าก็แล้วกันนะคะ”    

     

                “ค่ะ   ป้าไปก่อนนะ”   ป้าจันดารับคำแล้วเดินอย่างกระฉับกระเฉงลงเรือนไป

     

                “ไร่ใหญ่   ไร่ไหนเหรอ  หรือว่าไร่ที่เราขับรถผ่านมา”       ภูมิพงษ์ถามอย่างสงสัยหลังจากได้ฟังคำสนทนา    วรรณวลียิ้มพลางอธิบายแทน

     

                “ไร่ใหญ่   ก็ไร่ที่อยู่อีกฝั่งของทิวเขาลูกนี้ไงล่ะ   มันมีทางเล็ก ๆ ที่พวกชาวบ้านเขาใช้เดินทางติดต่อหากันได้   ได้ข่าวว่าเป็นไร่ที่สวยมากแล้วก็ใหญ่มาก   เป็นของพ่อเลี้ยงคนสำคัญของจังหวัด    เห็นเรียกกันว่า นาย  นาย  แต่ไม่รู้ชื่อจริงๆ ว่าอะไรเหมือนกัน”

     

                “ชาวบ้านแถวนี้เขาเรียกกันจนติดปากน่ะก็เลยไม่รู้ชื่อ”    ทอฟ้าขยายความ

     

                “แล้วชื่อว่าไร่ใหญ่เหรอ  แปลกดีนะ”     ภูมิพงษ์พึมพำ

     

                “ไม่รู้ซิ   ไม่ได้สนใจเหมือนกัน  แต่ชาวบ้านเขาเรียกกันแบบนั้น  ฉันก็เรียกตามเขาอีกที  ไม่เคยถามเหมือนกันว่าชื่ออย่างนั้นจริง ๆ หรือเปล่า”   

     

                “ฟ้า  พงษ์ว่าฟ้าเปลี่ยนใจเถอะนะ   ที่นี่ไม่เหมาะกับฟ้าเลย”     เพื่อนชายเริ่มงานเกลี้ยกล่อม

     

                “มาแบบเดียวกับวรรณอีกแล้ว   พงษ์เอาอะไรมาวัดว่ามันไม่เหมาะกับฟ้าละจ๊ะ”

     

                “มันห่างไกลความเจริญเกินไป    ฟ้าเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวไม่รู้จักใครที่นี่  ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไง”

                “โดนยายวรรณเป่าหูมาละซิ”   หญิงสาวดักคออย่างรู้ทัน  พลางบอกต่อ

     

                “ไม่มีอะไรหรอกน่า     ป้าจันดาก็บอกว่าที่นี่ไม่มีอะไรน่ากลัว   เขาก็อยู่กันอย่างนี้  พึ่งพาอาศัยกัน”

     

                “ก็เขาเป็นคนที่นี่เขาก็เลยไม่กลัวน่ะซิ   แต่เธอมันคนต่างถิ่นนะยะ”    วรรณวลีอดไม่ไหวต้องเตือนสติให้เพื่อนรู้จักกลัวเสียมั่ง    

     

                “เขายังอยู่กันได้แล้วทำไมฉันจะอยู่ไม่ได้”    

     

                “เธอจะไปเปรียบกับพวกนั้นได้ยังไง  เขาอยู่กับไร่กับสวนมาตั้งแต่เกิด  แต่เธอน่ะแค่เคยมาเที่ยวป็อบ ๆ แป๊บๆ มันต่างกันมากรู้ไหม    ที่สำคัญเธอหลบมาอย่างนี้มิเท่ากับยอมแพ้แม่ธิดาหรือไง   ป่านนี้มิดีใจตีปีกพั่บ ๆ ไปแล้วหรือ”

     

                ตอนท้ายผู้เป็นเพื่อนวกเข้าสู่ปัญหาหัวใจที่เป็นตัวการทำให้เธอหลบมาพักใจที่นี่

     

                “แล้วจะไปเอาชนะคะคานเขาทำไมล่ะ    เรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับคนกลาง   เธอต้องยอมรับนะว่าเชนเป็นคนผิด   เขาทรยศความรักของฉัน   ทรยศต่อความไว้เนื้อเชื่อใจมันก็เท่ากับว่าเขาหมดค่าไม่คู่ควรให้ฉันรักอีกต่อไป   แล้วก็ไม่มีค่าพอที่ฉันจะต้องไปตบตีแก่งแย่งกับผู้หญิงที่ไหนเพื่อให้ได้คนไม่มีค่าแบบนั้น”     วาจานั้นอาจจะเด็ดขาดเยือกเย็น   หากแววตายังวูบไหวสั่นระริกจากความรู้สึกภายในที่ยังมิอาจตัดขาดได้ดั่งคำพูด    

     

                “แต่เธอยังรักเขา”     วรรณวลีถอนใจเฮือกเข้าใจเพื่อนเป็นอย่างดี

     

                “รักมันหมดไปตั้งแต่ฉันรู้ว่าเขามีอะไรกับธิดาแล้วละ   เขาทำได้ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าธิดาเป็นญาติของฉัน   บ้านเราก็อยู่ใกล้กันแค่นั้น   ทำได้ทั้งที่บอกว่ารักฉัน   เขาทำให้ธิดามาเยาะหยันฉันได้ว่าคิดแย่งสามีญาติตัวเอง”      ผู้เป็นเพื่อนถึงกับอึ้งไปเพราะเป็นเรื่องที่รับรู้กันอยู่   เห็นคาตาขนาดนั้นจะว่าโดนผู้หญิงยั่วจนอดใจไม่ไหวก็ดูไม่สมจริงกับสิ่งที่เห็น 

     

    “ที่มันเหลืออยู่ตอนนี้เป็นแค่ความผูกพันที่เคยมีให้กันต่างหาก   ฉันเสียดายเวลาและความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้กับผู้ชายคนนั้น” 

     

    “แต่การที่ฟ้ามาหมกตัวอยู่ที่นี่แม่ธิดายิ่งดีใจใหญ่ซิว่าฟ้าเสียศูนย์เพราะหล่อนจนแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน   ทิ้งอนาคตตัวเองหนีหายจากสังคมมาแบบนี้”   วรรณวลีเป็นฝ่ายพูดส่วนภูมิพงษ์เงียบฟังเขารู้ว่าเรื่องแบบนี้ควรปล่อยให้ผู้หญิงกับผู้หญิงคุยกันจะดีกว่า     ทอฟ้าถอนใจยาวพลางบอก

     

    “แต่ฉันชอบที่นี่จริง ๆ นะ   แล้วมันก็ไม่ได้กันดารขนาดเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนเสียหน่อย  วรรณกับพงษ์ก็คิดมากกันไปได้”    

     

    “คิดมากก็ดีกว่าคิดน้อยละ”

     

    “เอาน่า....พงษ์มาเหนื่อย ๆ ไปดูห้องพักล้างหน้าล้างตาซะก่อน  เดี๋ยวค่อยคุยกันก็ได้”   ทอฟ้าตัดบทพลางลุกนำไปยังห้องพักที่จัดไว้ให้เพื่อนชาย    ทำให้เพื่อนทั้งสองคนต้องลุกตามไปด้วย

     

     

    เสียงเปิดประตูห้องเข้ามาไม่ทำให้ทอฟ้าที่นั่งอยู่บนเตียงละสายตาหันกลับไปมอง   สายตาของหญิงสาวยังจับอยู่กับของสิ่งหนึ่งที่วางอยู่เบื้องหน้า   ใบหน้าที่ระยะหลังขาดแคลนรอยยิ้มวันนี้กลับพริ้มพราย   แววตาก็สดใสขึ้นอย่างประหลาด

     

    “ดูอะไรอยู่น่ะฟ้า  ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว”    วรรณวลีขยับเข้ามายืนดูบ้างด้วยอยากรู้ว่าของอะไรกันที่ทำให้เพื่อนของเธอดูสดชื่นขึ้นขนาดนี้

     

    “สร้อยกับล็อกเก็ต  เอ๋  ของคนที่ชนกับเธอเมื่อบ่ายใช่ไหม”    ผู้เป็นเพื่อนไม่ค่อยเข้าใจ   ของของคนที่ผ่านกันไปชั่ววูบ  หน้าตาเป็นยังไงก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำทำไมถึงทำให้เพื่อนเธอดูมีชีวิตชีวาขึ้นขนาดนี้ได้

    “ดูนี่ซิ”    ทอฟ้าเลื่อนของอีกชิ้นหนึ่งให้เพื่อนดู    ของที่เหมือนกันราวกับแกะ

     

    “อะไรน่ะฟ้า  ทำไมมันถึงเหมือนกันทั้งสองชิ้นเลยล่ะ  ล็อกเก็ตเนี่ย”    วรรณวลีอดความอยากรู้ไม่ไหว   หญิงสาวขยับขึ้นมานั่งตรงข้ามกับเพื่อนสาว

     

    “ดูให้ดี ๆ ซิ  เหมือนกันที่ไหน”   คำบอกของผู้เป็นเพื่อนทำให้วรรณวลีหยิบล็อกเก็ตทั้งสองชิ้นขึ้นมาเทียบเคียงกัน  

    ลวดลายเคลือเถาว์ที่สลักลงบนโลหะละเอียดปราณีตไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย  หากที่แตกต่างคือตัวอักษรที่สลักลงบนโลหะต่างหาก

     

                “เห็นไหมอันนี้สลักตัว ท   ส่วนอันนี้ตัว บ”     สิรินภาชี้ให้ดูพลางบอกต่อ

     

                “แล้วดูนี่นะ”    หญิงสาวหยิบล็อกเก็ตทั้งสองชิ้นคืนมา   วางชิ้นที่สลักตัวอักษร บ ลงบนที่นอนเหลือเพียงอีกชิ้นที่สลักอักษร ท  ไว้ในมือพลางเปิดออกให้เพื่อนสาวดู

     

                “มันเปิดข้างในได้   แล้วข้างในนี้ก็เป็น......”  

     

                “แหวน!?”      วรรณวลีงงงัน

     

                “ใช่    ล็อกเก็ตอันที่สลักอักษร ท  เป็นของฉันมีแหวนผู้ชายวงใหญ่   ส่วนอันที่สลักอักษร บ  เป็นของผู้ชายที่เราชนเมื่อบ่าย   ข้างในก็มีแหวนเหมือนกันแต่เป็นแหวนวงเล็ก”    ทอฟ้าหยิบล็อกเก็ตอีกอันมาเปิดและหยิบของที่วางอยู่ภายในให้เพื่อนดู  แหวนทองเกลี้ยงสองวงที่มีขนาดต่างกันจริงอย่างที่บอก      วรรณวลีอยู่ในอาการสงสัยสุด ๆ ไปเรียบร้อยแล้ว

     

                “เธอรู้ได้ยังไงน่ะฟ้า   เธอกำลังจะบอกอะไรฉันเนี่ย  อย่าบอกนะว่าเกิดรักแรกพบกับเจ้าของล็อกเก็ตนี่    หน้าตาเป็นยังไงเธอจำได้รึเปล่า”

     

                “บ้า   ฉันไม่ใจง่ายขนาดนั้นซะหน่อย  มันก็แค่เรื่องสมัยเด็กที่ฉันเองยังเกือบลืมไปแล้ว    ไม่คิดด้วยซ้ำไปว่าคนคนนั้นเขาจะยังสวมมันติดตัวมาจนถึงป่านนี้”     ดวงตาคู่สวยเป็นประกายคล้ายรำลึกเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีความสุข

     

                “เล่ามาเดี๋ยวนี้เลย   เธอแอบไปมีรักแรกรักฝังใจกับใครตั้งแต่เมื่อไหร่   ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่อง”    วรรณวลีคาดคั้นอย่างอยากรู้   ทอฟ้าจึงเริ่มต้นเล่าถึงสัมพันธ์ระหว่าง คุณหนูขี้แยกับนายม้าโยกเยก  ด้วยดวงตาที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มเมื่อรำลึกถึงความทรงจำดี ๆ ครั้งเยาว์วัย

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×