คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1
ดอยสูง ฟ้าใสกับหัวใจสองดวง
บทที่ 1
ประตูเลื่อนกระจกเปิดออกเองโดยอัตโนมัติเมื่อมีผู้ก้าวผ่านออกมา ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีเข้ม มือหนึ่งถือเอกสารพลางก้มดูเวลาท่าทางเร่งร้อนทำให้ไม่ทันเห็นหญิงสาวสองคนที่เดินสวนเข้ามา ร่างสูง ๆ เฉียดเอาสาวคนหนึ่งเข้าแฟ้มในมือชายหนุ่มหล่นลงพื้นในขณะที่ฝ่ายถูกชนแค่ซวดเซแต่ถูกเพื่อนสาวที่มาด้วยกันคว้าไว้ได้
“ขอโทษครับ” พร้อมคำกล่าวขอโทษชายหนุ่มก็ก้มลงเก็บเอกสารแล้วเดินจากไปอย่างเร่งรีบไม่ได้มองหน้าคนถูกชนเสียด้วยซ้ำ ฝ่ายถูกชนเห็นเพียงแผ่นหลังหยัดตรงและผมดำสนิทตัดสั้นหวีเรียบสาวเท้าก้าวอย่างรวดเร็วแทรกผ่านปะปนกับผู้คนมากมายภายนอกไป
“บ้าจริง เดินไม่ดูตาม้าตาเรือบ้างเลย” วรรณวลีบ่นไล่หลัง เธอเป็นสาวร่างเล็กออกท้วมนิด ๆ ผิวขาวนวล ดวงหน้ารูปไข่รับกับผมยาวตรงตัดสั้นประบ่า ดวงตาชั้นเดียวบอกลักษณะของความเป็น ‘หมวย’ ชัดเจน
“แต่งตัวก็ดีแต่ไม่มีมารยาท” สาวหมวยยังวิพากษ์ต่อไป
“เอาน่าวรรณเขาขอโทษแล้วก็แล้วไปเถอะ ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรด้วย” ทอฟ้าหญิงสาวคนที่ถูกชนบอกไม่เดือดร้อนเท่าใดนัก รูปร่างของเธอสูงโปร่งกว่าเพื่อนสาว ดวงตากลมโตดำขลับรับกับจมูกโด่งงาม ริมฝีปากเต็มอิ่มแดงระเรื่ออย่างคนสุขภาพดี ผมยาวหยักศกเล็กน้อยสีน้ำตาลอ่อนถูกมัดเป็นหางม้าดูทะมัดทะแมงเข้ากับชุดเสื้อเชิ้ตขาวเข้ารูปกับกางเกงยีนฟอกเนื้อนุ่ม
“ไม่รู้จะรีบร้อนไปไหน” คนเป็นเพื่อนยังไม่หยุดบ่น
“เขาก็คงมีธุระของเขาละมั๊ง แต่งตัวแบบนี้อาจจะเป็นพวกนักธุรกิจรีบร้อนไปทำธุระ มีประชุมด่วนอะไรประมาณนั้น ว่าแต่นี่มันเลยเวลาเครื่องลงมาตั้งเกือบชั่วโมงแล้วป่านนี้พงษ์คอยแย่แล้ว” ทอฟ้าบอกเพื่อนแต่พอขยับจะก้าวเดินสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับของสิ่งหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้น เธอก้มลงเก็บขึ้นมาพิจารณาหากแล้วก็ถึงกับอึ้งไป
“อะไรเหรอฟ้า เจออะไรเข้า” วรรณวลีถามพลางยื่นหน้าเข้ามามองของที่อยู่ในมือเพื่อน
“โธ่เอ๊ย นึกว่าอะไรสร้อยคอกับล็อกเก็ตนี่เอง ทำไมทำท่าอ้ำอึงตะลึงค้างอย่างนั้นล่ะ” ฝ่ายถามไม่เข้าใจกริยาของผู้เป็นเพื่อนที่พอมองเห็นล็อกเก็ตที่อยู่ในมือก็ทำท่าตาค้างแล้วก็ชะเง้อคอยาวมองไปทางด้านนอกเหมือนต้องการจะหาอะไรหรือใครซักคน
“นายคนที่ชนกับเราคงทำหล่นโดยไม่รู้ตัวละมั้ง ขอเกี่ยวท่าจะหลวม หายไปกับฝูงชนแบบนี้สุดปัญญาจะตามไปคืนได้เหมือนกัน ไม่เป็นไรหรอกมั๊งสายสร้อยก็ธรรมดาดูแล้วไม่มีราคาค่างวดเท่าไหร่” วรรณวลีบอกหากพอหันกลับมาเห็นเพื่อนก็ร้องถามอย่างประหลาดใจ
“อ้าวคุณฟ้าเจ้าขาไหนว่าจะรีบไปไงคะทำไมยืนรากงอกอยู่อย่างนั้นล่ะ ไปได้แล้วเดี๋ยวนายพงษ์มันรอนานมันก็หน้างอง้ำหาว่าไม่มีใครสนใจ” คนเป็นเพื่อนเร่ง ทอฟ้าเก็บ ‘สร้อยพร้อมล็อกเก็ต’ เส้นนั้นใส่กระเป๋าถือแล้วเดินตามเพื่อนไปอย่างเร่งรีบ
คล้อยหลังเพียงไม่นานชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทก็วิ่งผ่านประตูเข้ามาหยุดตรงที่เขาชนกับหญิงสาวเมื่อครู่ กวาดสายตาไล่ไปตามพื้นแต่กลับไม่พบสิ่งที่ตนทำตกไว้ เขาแน่ใจว่ามันน่าจะหล่นที่นี่แน่นอนแต่กลับไม่มี น่าแปลก ‘สร้อย’ ที่ไม่มีราคาค่างวดอะไร ไม่น่าจะมีใครสนใจด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงหายไปได้อย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มถอนใจยาวอย่างเสียดาย ไม่ใช่ราคาของสร้อยแต่เป็น ‘ค่า’ ของมันต่างหาก สร้อยเส้นนี้เขาสวมติดกายมานานนักหนา มันเปรียบประดุจสิ่งเชื่อมโยงความผูกพันจากคนคนหนึ่งสู่ใครอีกคนที่จากกันไกลและไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีกหรือไม่ เป็นตัวแทนของความรู้สึกดี ๆ เมื่อครั้งยังเยาว์ที่ยังอยากจะเก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดี
ชายหนุ่มพลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา คงต้องตัดใจจริง ๆ แล้วละ เขามีประชุมทำให้ต้องรีบ แค่นี้ก็ช้าไปมากแล้ว ช่วงนี้รู้สึกชีพจรจะลงเท้าทำให้ต้องขึ้นล่องไปโน่นมานี่อยู่บ่อย ๆ ชักจะเริ่มล้าเต็มทีคงต้องหาเวลาไปชาร์ตแบตให้ตัวเองซักสองสามวัน ร่างสูง ๆ นั้นหันกลับสาวเท้ายาว ๆ ก้าวปะปนไปกับผู้คนขวักไขว่ด้านนอก
รถดีแม็กซ์ป้ายแดงสีบร์อนทองแล่นทะยานไปตามถนนที่คดเคี้ยวไต่ระดับความสูงบ้างต่ำบ้าง ทั้งสองฝากข้างทางเป็นทิวเขาและป่าไม้รกบ้างโปร่งบ้าง บางครั้งรถก็แล่นผ่านสวนผลไม้ เส้นทางเรียบโล่งแทบจะไม่มีรถสวน
“ฟ้า ฟ้าแน่ใจเหรอว่าจะอยู่ทำไร่ที่นี่จริง ๆ” ภูมิพงษ์หรือชื่อที่เพื่อน ๆ เรียกกันว่า ‘พงษ์’ เอ่ยถาม พงษ์เป็นชายหนุ่มผิวพรรณขาวสะอาด ใบหน้าหลอเหลาเกลี้ยงเกลาออกจะเกินชายไปซักนิดจนเคยถูกเข้าใจผิดบ่อยครั้ง แต่ความที่คบหากันมานานทำให้รู้ว่าไม่ใช่ ชายหนุ่มเอ่ยถามเพื่อนสาวที่ทำหน้าที่ขับรถ
“แน่ใจซิ ทำไมพงษ์คิดว่าฟ้าจะไม่ทำล่ะ”
“ก็....ดูสิ ที่นี่มันห่างไกล เปลี่ยวก็เปลี่ยว ดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้”
“คนไม่คุ้นมันก็รู้สึกอย่างงั้นแหละ แรก ๆ ที่ฟ้ามาอยู่ที่นี่ก็เป็นเหมือนกัน มันอาจจะเงียบไปซักนิดแต่อยู่ไปซักพักก็ชิน แล้วก็สงบดีออก ฟ้าชอบ” หญิงสาวตอบเพื่อนสายตายังพุ่งความสนใจไปที่การขับรถ
“เหมาะสำหรับคนอกหักมารักษาแผลใจ” วรรณวลีอดปากไม่อยู่และคำพูดนี้มีผลให้เพื่อนสาวแววตาผิดปกติไปวูบหนึ่งแม้จะเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ แต่เพื่อนทั้งสองก็สังเกตเห็น
ทอฟ้าสาวสวยมีดีกรีปริญญาโทจากเมืองนอกอนาคตกำลังสดใสแต่กลับต้องมาหมกตัวอยู่ในป่าในดงเช่นนี้สาเหตุก็เพราะหนุ่มคนรักที่รักกันมาสามปีดันนอกใจไปมีสาวอื่นเนื่องจากความห่างไกลเป็นอุปสรรคสำคัญอะไรก็ไม่เจ็บใจเท่าผู้หญิงคนนั้นดันเป็นลูกพี่ลูกน้องคนกันเองเสียอีก อย่างนี้ใจจึงช้ำนักหนา แต่ถึงแม้ว่าจะเข้าใจว่ามันเจ็บแต่วรรณวลีและภูมิพงษ์ก็ไม่เห็นด้วยกับการมาหมกตัวอยู่ที่ ‘ไร่ฟ้าหมอก’ อันเป็นไร่ของผู้เป็นลุงของทอฟ้าซึ่งได้เสียชีวิตไปแล้วและได้ยกมรดกที่ดินผืนนี้ให้กับหลานสาวซึ่งก็คือทอฟ้านั่นเอง
“ตอนแรกอาจจะใช่ แต่ยิ่งอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ฉันกลับรู้สึกรัก แล้วก็อยากจะใช้ชีวิตที่นี่ อยากทำไร่แบบที่คุณลุงเคยทำ”
“แต่แกเป็นผู้หญิง ไอ้งานแบบนั้นมันต้องใช้แรงใช้คนเยอะ แกจะไปควบคุมคนงานไหวเหรอ” วรรณวลีค้านอย่างไม่เห็นด้วย เธอกับทอฟ้าคบหากันมานานตั้งแต่สมัยมัธยม เธอรู้ว่าเพื่อนสาวไม่เคยลำบาก ฐานะทางบ้านก็จัดว่าอยู่ในขั้นมีอันจะกิน ตอนแรกที่เพื่อนบอกว่าจะมาอยู่ที่ไร่ซักพักนั้นเธอสนับสนุนเพราะถือว่าเป็นการหลบมารักษาแผลใจ แต่นี่ทำท่าจะอยู่เลยแบบนี้เห็นทีไม่ดีแน่ วรรณวลีจึงต้องรีบโทรตามภูมิพงษ์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทอีกคนมาช่วยเกลี้ยกล่อม
“จริงด้วยฟ้า พงษ์เป็นผู้ชายแท้ ๆ ยังไม่กล้าคิดเลย แล้วฟ้าเป็นผู้หญิงบอบบางออกจะไปควบคุมพวกผู้ชาย พวกคนงานจะไหวเหรอ พวกนั้นน่ะเขาไม่เหมือนเราหรอกนะ”
“ใช่ ถ้าเธอแค่คิดจะอยู่พักผ่อนแค่เดือนสองเดือนดูเขาทำไร่กันฉันจะไม่ค้านเลย แต่นี่เล่นวาดโครงการซะใหญ่โต ทั้งพ่อทั้งแม่เธอไม่มีใครเห็นด้วยซักคน อีกไม่เท่าไหร่ฉันก็ต้องกลับกรุงเทพฯแล้วเธอจะอยู่คนเดียวได้ยังไง”
วรรณวลีกล่อมเพราะเธออุตส่าห์หนีงานมาอยู่เป็นเพื่อนทอฟ้า แต่ถึงจะเป็นงานระบบครอบครัวแต่ยังไงเธอก็ยังต้องเกรงใจปาป๊ากับมาม๊าอยู่ดี
“เอาไว้ไปถึงที่ไร่ค่อยคุยกันดีกว่านะ” ทอฟ้าตัดบททำให้เพื่อนทั้งสองคนอ้าปากค้างแล้วก็ต้องหุบฉับมองหน้ากันพลางถอนใจเพราะรู้นิสัยกันดีว่า ‘คุณหนูฟ้า’ นั้น บทจะดื้อขึ้นมาใครก็เอาไม่อยู่
‘ไร่ฟ้าหมอก’ เป็นไร่เล็ก ๆ มีเนื้อที่ประมาณ
รถแล่นเข้ามาจอดหน้าลานกว้างของบ้านไม้ชั้นเดียวขนาดกลางอันมีระเบียงยื่นออกมาเพื่อใช้พักผ่อนและชมวิว รอบบ้านมีแปลงกุหลาบที่ออกดอกแคระแกรน ใบหงิก ๆ งอ ๆ เนื่องจากขาดการใส่ใจดูแล ซุ้มกระดังงาที่ปลูกปกคลุมศาลาหลังเล็ก ๆ ใช้สำหรับเป็นที่นั่งเล่น
“วิวมันก็สวยหรอกนะฟ้า แต่สภาพอะไรต่าง ๆ เนี่ยมันไม่ชวนให้น่าอยู่เลย” ภูมิพงษ์ก้าวลงจากรถพลางเหลียวมองรอบด้าน
“มันก็ต้องค่อย ๆ ปรับปรุงไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น คุณลุงฉันเสียมาตั้งห้าหกปีแล้วมันก็เลยหย่อนการดูแลรักษาไปหน่อย ไปเถอะอย่าเพิ่งบ่นเลยน่าขึ้นไปข้างบนกันก่อนดีกว่า” ทอฟ้าต้อนให้เพื่อนชายเดินขึ้นบ้านไป
หญิงสาวเดินนำเพื่อนทั้งสองคนเข้ามาในห้องรับแขกของบ้าน ภูมิพงษ์วางกระเป๋าเดินทางใบเล็กของตนแอบไว้ทางหนึ่งพลางทรุดลงนั่งบนโซฟารับแขก หญิงวัยกลางคนหน้าตายิ้มแย้มอารมณ์ดีเดินยกน้ำเย็นมาวางให้
“ขอบใจจ๊ะป้า พงษ์นี่ป้าจันดาเป็นเมียลุงสอนหัวหน้าคนงานที่ดูแลที่นี่” ทอฟ้าแนะนำ ชายหนุ่มยกมือไหว้ทำความเคารพ
“ป้าทำอาหารเย็นไว้ให้แล้วนะ ถ้าหิวก็อุ่นรับประทานได้เลย” ป้าจันดาบอก
“ป้าจะกลับแล้วหรือจ๊ะ วันนี้ทำไมกลับเร็วจังน่าจะอยู่ทานข้าวด้วยกัน” หญิงสาวทักถาม ป้าจันดามาดูแลเรื่องอาหารการกินและการทำความสะอาดบ้านเรือนให้เธอชั่วคราวขณะที่ยังไม่มีคนดูแล ตอนนี้เธอกำลังต้องการหญิงรับใช้สักคนเพื่อจะมาทำงานดูแลบ้าน
“ฮื่อ วันนี้เจ้าน้อยไม่ค่อยสบายป้าว่าจะพามันไปหาหมอซะหน่อย”
“ตายจริง แล้วจะไปยังไงละจ๊ะ ฉันขับรถไปส่งให้ไหม” ทอฟ้าถามอย่างเอื้อเฟื้อ นี่ก็เกือบบ่ายสามโมงแล้วกว่าจะเข้าไปในเมืองก็คงมืดค่ำพอดี
“โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก แค่เอาเจ้าน้อยมันซ้อนมอเตอร์ไซด์ข้ามไปไร่ใหญ่เท่านั้นเอง ไร่โน้นเขามีหมอประจำเวลาคนแถวนี้เป็นอะไรถ้าไม่หนักหนาเราก็ไปหาที่นั่นกันทุกทีละค่ะ”
“แล้วเจ้าของไร่เขายอมหรือคะ” วรรณวลีถามอย่างสงสัย ไอ้เรื่องการมีน้ำใจช่วยเหลือกันแบบนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ ในเมืองที่เจริญทางวัตถุ
“นายใจดีค่ะ ช่วยเหลือดูแลพวกชาวบ้านที่อยู่ในแถบนี้มาตั้งนานแล้ว จะจ่ายค่ายาค่าอะไรให้นายก็ไม่รับ ชาวบ้านแถวนี้รักนายกันทั้งนั้นละค่ะ” ป้าจันดาชื่นชมเจ้าของ ‘ไร่ใหญ่’ ให้ฟัง
“งั้นถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกฟ้าก็แล้วกันนะคะ”
“ค่ะ ป้าไปก่อนนะ” ป้าจันดารับคำแล้วเดินอย่างกระฉับกระเฉงลงเรือนไป
“ไร่ใหญ่ ไร่ไหนเหรอ หรือว่าไร่ที่เราขับรถผ่านมา” ภูมิพงษ์ถามอย่างสงสัยหลังจากได้ฟังคำสนทนา วรรณวลียิ้มพลางอธิบายแทน
“ไร่ใหญ่ ก็ไร่ที่อยู่อีกฝั่งของทิวเขาลูกนี้ไงล่ะ มันมีทางเล็ก ๆ ที่พวกชาวบ้านเขาใช้เดินทางติดต่อหากันได้ ได้ข่าวว่าเป็นไร่ที่สวยมากแล้วก็ใหญ่มาก เป็นของพ่อเลี้ยงคนสำคัญของจังหวัด เห็นเรียกกันว่า นาย นาย แต่ไม่รู้ชื่อจริงๆ ว่าอะไรเหมือนกัน”
“ชาวบ้านแถวนี้เขาเรียกกันจนติดปากน่ะก็เลยไม่รู้ชื่อ” ทอฟ้าขยายความ
“แล้วชื่อว่าไร่ใหญ่เหรอ แปลกดีนะ” ภูมิพงษ์พึมพำ
“ไม่รู้ซิ ไม่ได้สนใจเหมือนกัน แต่ชาวบ้านเขาเรียกกันแบบนั้น ฉันก็เรียกตามเขาอีกที ไม่เคยถามเหมือนกันว่าชื่ออย่างนั้นจริง ๆ หรือเปล่า”
“ฟ้า พงษ์ว่าฟ้าเปลี่ยนใจเถอะนะ ที่นี่ไม่เหมาะกับฟ้าเลย” เพื่อนชายเริ่มงานเกลี้ยกล่อม
“มาแบบเดียวกับวรรณอีกแล้ว พงษ์เอาอะไรมาวัดว่ามันไม่เหมาะกับฟ้าละจ๊ะ”
“มันห่างไกลความเจริญเกินไป ฟ้าเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวไม่รู้จักใครที่นี่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไง”
“โดนยายวรรณเป่าหูมาละซิ” หญิงสาวดักคออย่างรู้ทัน พลางบอกต่อ
“ไม่มีอะไรหรอกน่า ป้าจันดาก็บอกว่าที่นี่ไม่มีอะไรน่ากลัว เขาก็อยู่กันอย่างนี้ พึ่งพาอาศัยกัน”
“ก็เขาเป็นคนที่นี่เขาก็เลยไม่กลัวน่ะซิ แต่เธอมันคนต่างถิ่นนะยะ” วรรณวลีอดไม่ไหวต้องเตือนสติให้เพื่อนรู้จักกลัวเสียมั่ง
“เขายังอยู่กันได้แล้วทำไมฉันจะอยู่ไม่ได้”
“เธอจะไปเปรียบกับพวกนั้นได้ยังไง เขาอยู่กับไร่กับสวนมาตั้งแต่เกิด แต่เธอน่ะแค่เคยมาเที่ยวป็อบ ๆ แป๊บๆ มันต่างกันมากรู้ไหม ที่สำคัญเธอหลบมาอย่างนี้มิเท่ากับยอมแพ้แม่ธิดาหรือไง ป่านนี้มิดีใจตีปีกพั่บ ๆ ไปแล้วหรือ”
ตอนท้ายผู้เป็นเพื่อนวกเข้าสู่ปัญหาหัวใจที่เป็นตัวการทำให้เธอหลบมาพักใจที่นี่
“แล้วจะไปเอาชนะคะคานเขาทำไมล่ะ เรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับคนกลาง เธอต้องยอมรับนะว่าเชนเป็นคนผิด เขาทรยศความรักของฉัน ทรยศต่อความไว้เนื้อเชื่อใจมันก็เท่ากับว่าเขาหมดค่าไม่คู่ควรให้ฉันรักอีกต่อไป แล้วก็ไม่มีค่าพอที่ฉันจะต้องไปตบตีแก่งแย่งกับผู้หญิงที่ไหนเพื่อให้ได้คนไม่มีค่าแบบนั้น” วาจานั้นอาจจะเด็ดขาดเยือกเย็น หากแววตายังวูบไหวสั่นระริกจากความรู้สึกภายในที่ยังมิอาจตัดขาดได้ดั่งคำพูด
“แต่เธอยังรักเขา” วรรณวลีถอนใจเฮือกเข้าใจเพื่อนเป็นอย่างดี
“รักมันหมดไปตั้งแต่ฉันรู้ว่าเขามีอะไรกับธิดาแล้วละ เขาทำได้ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าธิดาเป็นญาติของฉัน บ้านเราก็อยู่ใกล้กันแค่นั้น ทำได้ทั้งที่บอกว่ารักฉัน เขาทำให้ธิดามาเยาะหยันฉันได้ว่าคิดแย่งสามีญาติตัวเอง” ผู้เป็นเพื่อนถึงกับอึ้งไปเพราะเป็นเรื่องที่รับรู้กันอยู่ เห็นคาตาขนาดนั้นจะว่าโดนผู้หญิงยั่วจนอดใจไม่ไหวก็ดูไม่สมจริงกับสิ่งที่เห็น
“ที่มันเหลืออยู่ตอนนี้เป็นแค่ความผูกพันที่เคยมีให้กันต่างหาก ฉันเสียดายเวลาและความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้กับผู้ชายคนนั้น”
“แต่การที่ฟ้ามาหมกตัวอยู่ที่นี่แม่ธิดายิ่งดีใจใหญ่ซิว่าฟ้าเสียศูนย์เพราะหล่อนจนแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน ทิ้งอนาคตตัวเองหนีหายจากสังคมมาแบบนี้” วรรณวลีเป็นฝ่ายพูดส่วนภูมิพงษ์เงียบฟังเขารู้ว่าเรื่องแบบนี้ควรปล่อยให้ผู้หญิงกับผู้หญิงคุยกันจะดีกว่า ทอฟ้าถอนใจยาวพลางบอก
“แต่ฉันชอบที่นี่จริง ๆ นะ แล้วมันก็ไม่ได้กันดารขนาดเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนเสียหน่อย วรรณกับพงษ์ก็คิดมากกันไปได้”
“คิดมากก็ดีกว่าคิดน้อยละ”
“เอาน่า....พงษ์มาเหนื่อย ๆ ไปดูห้องพักล้างหน้าล้างตาซะก่อน เดี๋ยวค่อยคุยกันก็ได้” ทอฟ้าตัดบทพลางลุกนำไปยังห้องพักที่จัดไว้ให้เพื่อนชาย ทำให้เพื่อนทั้งสองคนต้องลุกตามไปด้วย
เสียงเปิดประตูห้องเข้ามาไม่ทำให้ทอฟ้าที่นั่งอยู่บนเตียงละสายตาหันกลับไปมอง สายตาของหญิงสาวยังจับอยู่กับของสิ่งหนึ่งที่วางอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าที่ระยะหลังขาดแคลนรอยยิ้มวันนี้กลับพริ้มพราย แววตาก็สดใสขึ้นอย่างประหลาด
“ดูอะไรอยู่น่ะฟ้า ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว” วรรณวลีขยับเข้ามายืนดูบ้างด้วยอยากรู้ว่าของอะไรกันที่ทำให้เพื่อนของเธอดูสดชื่นขึ้นขนาดนี้
“สร้อยกับล็อกเก็ต เอ๋ ของคนที่ชนกับเธอเมื่อบ่ายใช่ไหม” ผู้เป็นเพื่อนไม่ค่อยเข้าใจ ของของคนที่ผ่านกันไปชั่ววูบ หน้าตาเป็นยังไงก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำทำไมถึงทำให้เพื่อนเธอดูมีชีวิตชีวาขึ้นขนาดนี้ได้
“ดูนี่ซิ” ทอฟ้าเลื่อนของอีกชิ้นหนึ่งให้เพื่อนดู ของที่เหมือนกันราวกับแกะ
“อะไรน่ะฟ้า ทำไมมันถึงเหมือนกันทั้งสองชิ้นเลยล่ะ ล็อกเก็ตเนี่ย” วรรณวลีอดความอยากรู้ไม่ไหว หญิงสาวขยับขึ้นมานั่งตรงข้ามกับเพื่อนสาว
“ดูให้ดี ๆ ซิ เหมือนกันที่ไหน” คำบอกของผู้เป็นเพื่อนทำให้วรรณวลีหยิบล็อกเก็ตทั้งสองชิ้นขึ้นมาเทียบเคียงกัน
ลวดลายเคลือเถาว์ที่สลักลงบนโลหะละเอียดปราณีตไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย หากที่แตกต่างคือตัวอักษรที่สลักลงบนโลหะต่างหาก
“เห็นไหมอันนี้สลักตัว ท ส่วนอันนี้ตัว บ” สิรินภาชี้ให้ดูพลางบอกต่อ
“แล้วดูนี่นะ” หญิงสาวหยิบล็อกเก็ตทั้งสองชิ้นคืนมา วางชิ้นที่สลักตัวอักษร บ ลงบนที่นอนเหลือเพียงอีกชิ้นที่สลักอักษร ท ไว้ในมือพลางเปิดออกให้เพื่อนสาวดู
“มันเปิดข้างในได้ แล้วข้างในนี้ก็เป็น......”
“แหวน!?” วรรณวลีงงงัน
“ใช่ ล็อกเก็ตอันที่สลักอักษร ท เป็นของฉันมีแหวนผู้ชายวงใหญ่ ส่วนอันที่สลักอักษร บ เป็นของผู้ชายที่เราชนเมื่อบ่าย ข้างในก็มีแหวนเหมือนกันแต่เป็นแหวนวงเล็ก” ทอฟ้าหยิบล็อกเก็ตอีกอันมาเปิดและหยิบของที่วางอยู่ภายในให้เพื่อนดู แหวนทองเกลี้ยงสองวงที่มีขนาดต่างกันจริงอย่างที่บอก วรรณวลีอยู่ในอาการสงสัยสุด ๆ ไปเรียบร้อยแล้ว
“เธอรู้ได้ยังไงน่ะฟ้า เธอกำลังจะบอกอะไรฉันเนี่ย อย่าบอกนะว่าเกิดรักแรกพบกับเจ้าของล็อกเก็ตนี่ หน้าตาเป็นยังไงเธอจำได้รึเปล่า”
“บ้า ฉันไม่ใจง่ายขนาดนั้นซะหน่อย มันก็แค่เรื่องสมัยเด็กที่ฉันเองยังเกือบลืมไปแล้ว ไม่คิดด้วยซ้ำไปว่าคนคนนั้นเขาจะยังสวมมันติดตัวมาจนถึงป่านนี้” ดวงตาคู่สวยเป็นประกายคล้ายรำลึกเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีความสุข
“เล่ามาเดี๋ยวนี้เลย เธอแอบไปมีรักแรกรักฝังใจกับใครตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่อง” วรรณวลีคาดคั้นอย่างอยากรู้ ทอฟ้าจึงเริ่มต้นเล่าถึงสัมพันธ์ระหว่าง ‘คุณหนูขี้แยกับนายม้าโยกเยก’ ด้วยดวงตาที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มเมื่อรำลึกถึงความทรงจำดี ๆ ครั้งเยาว์วัย
ความคิดเห็น