คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ณ จุดเริ่มต้น
ทำความเข้าใจก่อนเข้าสู่เนื้อหา
มนต์จันทรา มายาลวงนี้แต่งขึ้นตามจินตนาการ มิได้ตั้งใจให้กระทบกระเทือนถึงเรื่องศาสนาและความเชื่อต่างๆ ของคนในท้องถิ่นทะเลทราย ฉะนั้น ชื่อสถานที่ ชื่อตัวละคร คำเรียกขานและอื่น ๆ ล้วนเป็นสิ่งสมมุติขึ้นทั้งสิ้น
จึงอาจไม่ถูกต้องตามหลักภาษาโดยทั่วไป ผู้เคร่งครัดสำนวนภาษาโปรดทำใจ และขออภัยมา ณ ที่นี้
บทที่ 1
ณ จุดเริ่มต้น
หญิงสาวในชุดสูทเดินทางสีขาว แบบเรียบ แต่การตัดเย็บและเนื้อผ้าบ่งบอกถึงฐานะและรสนิยมของผู้สวมใส่ ตัวเสื้อตัดกระชับเข้ารูปพอดีกับร่างโปร่งระหง ผิวขาวนวลเนียนละเอียด ดวงหน้ารูปไข่รับกับริมฝีปากได้รูปสวยเคลือบด้วยลิปต์กรอสสีอ่อน จมูกโด่งงามรับกับดวงตากลมโตสีเข้ม ผมยาวหยักเป็นลอนทิ้งตัวลงไปเบื้องหลัง
หญิงสาวเอนตัวชะโงกมองจนใบหน้าเกือบจะชิดกระจกหน้าต่างเครื่องบิน บนที่นั่งชั้นเฟริสคลาสที่มีคนนั่งไม่ถึงห้าคน เธอไม่สนใจจะสนทนากับเพื่อนร่วมทางที่ล้วนเป็นหนุ่มใหญ่ชาวต่างชาติที่มีทีท่าอยากจะสานไมตรีกับหญิงสาวสวยเพียงคนเดียวบนที่นั่งชั้นนี้
เธอทอดตามองไปเบื้องล่างอย่างตื่นเต้นยินดี ‘บ้าน’ ที่จากไปนาน อีกไม่กี่นาทีเธอจะได้เหยียบย่างเข้าสู่แผ่นดินเกิดอีกครั้ง เครื่องบินลดระดับลงเรื่อย ๆ จนเธอสามารถมองเห็นความเวิ้งว้างว่างเปล่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผืนทรายท่ามกลางเปลวแดดอันร้อนระอุครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล ลาดเนินสูงต่ำลดหลั่นกันไป
อัลมาฮาร์ ประเทศเล็ก ๆ ในทะเลทราย ประเทศที่สร้างตัวเองจนร่ำรวยด้วยทรัพยากรน้ำมันที่มีอยู่แทบจะทุกตารางนิ้วของพื้นที่ประเทศแห่งนี้ โลกแห่งอัลมาฮาร์แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับโลกที่เธอจากมา ที่นี่ระบบการปกครองยังเป็นระบบราชาผู้ครองแคว้น ผู้มีอำนาจสูงสุดคือองค์กษัตริย์อาซาริยัส ทรงเป็นทั้งองค์ประมุขและผู้บริหารประเทศ โดยมีคณะรัฐบาลและคณะมนตรีที่ปรึกษาอยู่ภายใต้อำนาจ บิดาของเธอก็เป็นหนึ่งในคณะมนตรีที่ปรึกษา ท่านอับดุลลา อาร์ ซาเวียย์
ประเทศอัลมาฮาร์เปิดรับวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตลอดช่วงระยะเวลาห้าสิบกว่าปีที่ผ่านมา แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วนั้นก่อให้เกิดความแตกต่างในเรื่องชนชั้นมากมาย ประชาชนส่วนใหญ่ยังยากจน ในขณะที่ชนชั้นปกครองเท่านั้นที่ร่ำรวย เป็นเจ้าของกิจการน้ำมันและธุรกิจสำคัญ ๆ ของประเทศ จุดที่ได้รับการพัฒนาจะอยู่ตามเมืองใหญ่ และเมืองหลวงเท่านั้น
หญิงสาวหยิบผ้าคลุมศรีษะสีขาวนวลเข้ากับชุดเดินทางจากกระเป๋าถือขึ้นมาคลุมศรีษะตามธรรมเนียมก่อนจะหยิบแว่นดำขึ้นมาสวมทับใบหน้าป้องกันแสงจ้าจากไอแดด เมื่อแอร์โฮสเตสสาวเข้ามาจัดการรัดเข็มขัดให้กับผู้โดยสารชั้นหนึ่งแล้วกล่าวว่าเครื่องจะลงจอดในอีกไม่กี่วินาทีนี้
ร่างสูงสมส่วนก้าวอย่างมาดมั่น ไม่สนใจสายตาของผู้โดยสารต่างชาติหลายคนที่มองตามมาอย่างสนใจ เมื่อเครื่องลงจอดเรียบร้อย รถซีเลอมูนคันยาวก็แล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าบันไดเครื่อง คนขับแต่งกายในชุดคลุมสีทรายก้าวลงมาเปิดประตูที่นั่งตอนหลังให้หญิงสาวพลางโค้งคำนับ หญิงสาวพยักหน้าให้นิดหนึ่งแล้วขึ้นนั่ง รถคันยาวแล่นฝุ่นตลบจากไป
ประตูห้องรับรองVIPเปิดกว้างรอรับร่างหญิงสาวที่ก้าวลงจากรถ ตลอดทางที่หญิงสาวก้าวผ่านผู้คนที่ยืนรอต่างก้มศรีษะทำความเคารพอย่างนอบน้อม ผู้ที่ยืนอยู่ด้านในสุดของห้องคือชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ ชุดที่สวมเป็นชุดทูนิคยาวสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อคลุมตัวยาวสีเดียวกัน มีผ้าคลุมศรีษะสีขาวคาดทับ หญิงสาวถลาเข้าไปหาอ้อมแขนที่กางออกรอรับ
“จัสมิน!”
“ท่านพ่อ! คิดถึงเหลือเกินค่ะ” หญิงสาวกล่าว คลายอ้อมกอดจากผู้เป็นบิดา เปลี่ยนเป็นจูบแก้มซ้ายขวา เสียงหัวเราะร่าเริงแจ่มใส
“อย่าเอาธรรมเนียมฝรั่งมาใช้กับพ่อ” น้ำเสียงดุไม่จริงจังนัก สายตาผู้เป็นบิดากวาดมองร่างที่อยู่ตรงหน้า แววตาปลาบปลื้มยินดี ชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งขยับขึ้นมา
“จำเบซาร์ได้ไหม ? พอรู้ว่าลูกจะกลับวันนี้ก็เลยตามมารับด้วยกัน” หญิงสาวหันไปมองชายหนุ่มร่างสูง หน้าเข้มในชุดสูทสีเทา ดูเด่นแตกต่างจากบุคคลภายในห้องรับรองแห่งนี้ที่อยู่ในชุดประจำถิ่นสีขาว
“เบซาร์ อิล ฮาหมัด” หญิงสาวเอ่ยนามชายหนุ่มพร้อมส่งยิ้มให้
“ขอบคุณที่มาต้อนรับ”
“ยินดีที่ยังจำผมได้” ฝ่ายชายก้มศรีษะให้นิดหนึ่งอย่างผู้เสมอกัน
“เบซาร์ไปเรียนที่อเมริกา กลับมาได้ปีกว่าแล้ว” ท่านอับดุลลาบอก
“เรียนด้านไหนคะ ?”
“ปิโตรเคมีครับ” อีกฝ่ายตอบ สายตายังจับอยู่ที่หญิงสาวไม่คลาดเคลื่อนไปไหน
“ดีค่ะ” หญิงสาวพูดเพียงแค่นั้นแล้วหันไปทางผู้เป็นบิดา พลางเอ่ยถาม
“พี่ซาลวาละคะ ไม่เห็นมารับลูกเลย”
“พี่เขาติดประชุม แต่เดี๋ยวพอเรากลับถึงบ้านพี่เขาอาจมารออยู่แล้วก็ได้ ไปเถอะ มาถึงเหนื่อย ๆ” ท่านอับดุลลาบอก หญิงสาวจึงคว้าแขนผู้เป็นบิดามาเกาะพาก้าวเดินไปด้วยกันอย่างสนิทสนมผู้เป็นพ่อหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
บรรดาผู้ติดตามก้าวตามมาในระยะห่าง สายตาชายหนุ่มนามเบซาร์ทอดมองตามร่างสองคนพ่อลูกไป ด้วยแววตาประหลาดที่ไม่มีใครทันสังเกต
รถซีเลอมูนคันยาวและรถผู้ติดตามแล่นช้า ๆ ออกจากบริเวณสนามบินไปตามถนนสายกว้างที่เรียบโล่งแทบจะไม่มีรถวิ่งสวน เครื่องปรับอากาศภายในรถทำงานอย่างหนักเนื่องจากอากาศภายนอกที่ร้อนระอุ รถแล่นไปตามถนนสาบเรียบอย่างเงียบกริบนุ่มนวล สองข้างทางมีบ้านเรือนตึกสูงปลูกสร้างอยู่เป็นระยะ ไกลออกไปจากถนน คือ ทะเลทรายอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ไพศาล มองเห็นเพียงเงาของต้นปาล์มขึ้นอยู่เป็นหย่อม ๆ ภาพบ้านเรือนดูแปลกตากว่าก่อนที่เธอจะจากไปศึกษายังประเทศอันไกลโพ้น
“แปลกตาไปมากเลยนะคะ” หญิงสาวทอดสายตามองออกไปนอกรถ
“ใช่ อัลมาฮาร์พัฒนาไปมากทีเดียว” แววตาท่านอับดุลลามีความกังวลเพียงวูบเดียวแล้วก็จางหายไปจนบุตรสาวไม่ทันสังเกต
“วันนี้พักให้หายเหนื่อยเสียก่อน พรุ่งนี้พ่อจะพาเจ้าเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์ที่พระราชวัง” ผู้เป็นบิดาบอก
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำ สายตาทอดมองแนวพืชสีเขียวชอุ่มที่กินอาณาบริเวณกว้างขวางอันเกิดจากฝีมือมนุษย์ในความพยายามจะเอาชนะความร้อนแรงและแห้งแล้งของธรรมชาติกลางทะเลทราย หญิงสาวนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยแต่แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อรถเบรกอย่างกะทันหัน
“รถเป็นอะไรคะ ?” เธอเอ่ยถามผู้เป็นบิดา ที่กดปุ่มสื่อสารภายในรถเพื่อสอบถามคนขับก่อนหันมาตอบบุตรสาว
“กองคาราวานจากทะเลทรายน่ะลูก กำลังข้ามถนน คงจะเข้ามาขายสินค้าในเมือง เรารอให้เขาพ้นไปก่อนก็แล้วกัน” ท่านอับดุลลาบอกอย่างใจเย็น
“ลูกอยากเห็นกองคาราวานค่ะ” จัสมินบอก และก่อนที่ผู้เป็นบิดาจะทันห้ามปราม หญิงสาวก็เปิดประตูก้าวลงจากรถคันงาม กระไอแดดร้อนวูบปลิวเข้ามาปะทะ หญิงสาวก้าวเดินพลางสวมแว่นกันแดดเพื่อลดแสงที่จ้าจัดจนเกินไป ผ้าคลุมผมที่ยาวคลุมลงมาถูกตวัดขึ้นปิดใบหน้า ท่านอับดุลลารีบก้าวตามบุตรสาวลงมา พาให้ผู้ทำหน้าที่อารักขาก้าวตามลงมาด้วยทั้งกลุ่ม
ขบวนอูฐนับสิบบนหลังบรรทุกสินค้ามากมายจนล้น รวมทั้งกองเกวียนที่บรรทุกสินค้าจนเต็มโดยมีผ้าใบคลุมทับอีกชั้น คนกลุ่มหนึ่งในชุดพื้นเมืองประจำถิ่นสีดำขะมุกขะมอมจากฝุ่นทรายดูรุ่มร่ามรุงรัง ใบหน้าถูกคลุมมิดชิดป้องกันความร้อนจากแสงแดด คนกลุ่มนั้นช่วยกันต้อนเหล่าอูฐทั้งหลายที่ทำท่าขี้เกียจไม่อยากเดินให้รีบเร่งข้ามผ่านถนนไปโดยเร็ว
“พวกนี้เขาจะเข้าไปขายของในเมืองหรือคะ มีอะไรบ้าง ?” หญิงสาวถามอย่างสนใจ สายตายังจับอยู่ที่กองคาราวานที่เคลื่อนพ้นถนนไปแล้ว
“ก็พวกสินค้าพื้นเมือง ผ้าทอ เครื่องราง แล้วแต่ว่าเขาจะหาอะไรมาขายได้” ท่านอับดุลลาอธิบายพลางดึงบุตรสาวให้กลับเข้ามาในรถ
ขบวนรถเริ่มเคลื่อนไปอีกครั้ง คนภายในรถไม่ทันสังเกตเห็น หนึ่งในผู้ที่นั่งอยู่บนหลังอูฐหันกลับมามอง ร่างภายใต้ผ้าคลุมดำสกปรก มองเห็นเพียงดวงตาดำคมและคิ้วเข้มที่ทอดสายตามองตามรถไปอย่างครุ่นคิด
“ขบวนรถท่านอับดุลลา คงมารับบุตรสาวที่ว่าเพิ่งกลับจากอังกฤษ เห็นว่าไปอยู่ที่นั่นเสียหลายปี เรียนจบมาทางด้านภาษาและวรรณคดี” คนที่อยู่ในชุดคล้ายคลึงกันอธิบายให้ทราบโดยไม่ต้องถาม
ผู้ฟังไม่เอ่ยอะไรทั้งสิ้น กระตุ้นอูฐมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมือง
ชายสูงอายุในชุดขาวยาวขลิบทองนั่งอยู่โดดเดี่ยวภายในห้องโถงกว้าง เสาโมราสลักประดับกระจกสีสลับหักเหเล่นแสงกับช่องชั้นกับแผ่นหินบางเรียบที่ฉลุลวดลาย ลมจากทะเลสาบพัดพากระไอน้ำขึ้นมาช่วยให้เย็นสบาย แต่สีหน้าของผู้ที่นั่งอยู่ในห้องกับขมวดมุ่นอย่างคิดไม่ตก ชายชราขยับเพ่งมองเอกสารในมืออย่างหนักใจ กลิ่นกำยานที่นางข้าหลวงจุดไว้รำเพยพัดมาอ่อน ๆ
“รู้สึกว่าเอกสารในพระหัตถ์จะทำให้หนักพระทัยมากเหลือเกิน ?” เสียงถามที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้นทำให้ร่างนั้นสะดุ้งเฮือก ค่อย ๆ ผินหน้ากลับมามอง ร่างสูงในชุดดำคลุมยาวก้าวเข้ามาอย่างเงียบกริบ ไม่มีแม้เสียงฝีเท้า
“เคยบอกหลายครั้งแล้ว ว่าอย่ามาเงียบ ๆ อยากให้ข้าหัวใจวายตายไปเลยหรือไง ?”
“ไม่คิดว่าองค์กษัตริย์แห่งอัลมาฮาร์จะขวัญอ่อน” ร่างนั้นบอกขยับมายืนอยู่จนชิดโต๊ะทรงงานที่องค์กษัตริย์แห่งอัลมาฮาร์ประทับอยู่
“นี่มาในฐานอะไร ต้องให้ทำความเคารพไหม ?” รับสั่งถามแกมประชดจากผู้มากวัยกว่ามาก
“ตามพระทัยซิ ทรงอยากพบหม่อมฉันในฐานะไหนล่ะ ?” ร่างที่ปกปิดมิดชิดย้อนถาม แต่แล้วก็ก้มศรีษะลงทำความเคารพผู้มีฐานะเป็นองค์กษัตริย์แห่งอัลมาฮาร์
“ขอความสันติจงมีแด่ท่าน”
“ขอสันติจงมีแด่ท่านเช่นกัน” กษัตริย์อาซาริยัสตรัสตอบ
“เอาละ ที่นี้เราก็มาเข้าเรื่องกันได้แล้ว ฉันมีเรื่องจะปรึกษา ลองอ่านนี่ซิ” องค์กษัตริย์ส่งเอกสารในพระหัตถ์ให้อีกฝ่ายรับไปอ่าน ฝ่ายนั้นรับไปยืนพินิจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่งกลับคืน
“ยังไง เห็นด้วยไหม ?”
“ไม่!” คำเดียวสั้น ๆ ง่าย ๆ นั้นทำให้กษัตริย์อาซาริยัสถอนพระทัยยาว เพราะไม่เกินที่คาดหมายไว้อยู่แล้ว
“เหตุผลล่ะ ?”
“อัลมาฮาร์เป็นประเทศเก่าแก่ มีซากอารยธรรมโบราณมากมาย กระจัดกระจายอยู่ตามทะเลทรายที่กว้างใหญ่นั่น เราพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปแล้วก็หลายเมือง แต่ทำไมจะต้องไปพัฒนาที่คาเธย์ ทรงทราบไม่ใช่หรือว่าที่นั่นเป็นอย่างไร”
“ก็แค่ตำนานนิทานพื้นบ้านที่เล่าลือกันต่อ ๆ มา.....” องค์กษัตริย์ตรัสยังไม่ทันจบคู่สนทนาก็ยกมือเป็นเชิงให้หยุดพลางกล่าว
“มันไม่ใช่ตำนาน คาเธย์ล่มทั้งเมืองจริง ! หรือว่าทรงอยากเห็นอัลมาฮาร์เป็นแบบคาเธย์”
องค์อาซาริยัสถอนพระทัยอีกครั้ง ก็แค่ตำนานนิทานปรัมปรา ทรงเชื่อเรื่องนั้นเพียงน้อยนิด โลกวิวัฒนาการไปถึงไหน ๆ แล้ว เรื่องแบบนี้ยังจะมีอยู่อีกหรือ
“ถ้าไม่ทรงเชื่อหม่อมฉัน ก็แสดงว่าไม่ทรงเชื่อในถ้อยคำแห่งบรรพกษัตริย์ที่ดำรัสตกทอดกันมาด้วย ทรงคิดว่าบรรพกษัตริย์ทุกพระองค์โง่เขลางมงายหรือไร”
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เพียงแต่ในขณะนั้นการศึกษาค้นคว้า เครื่องไม้เครื่องมืออะไรมันก็ไม่เจริญเหมือนเดี๋ยวนี้ ก็อาจมีการเข้าใจผิดกันได้”
“งั้นก็ทรงเห็นว่าหม่อมฉันมีความเชื่อที่งมงายด้วยใช่ไหม ทรงคิดว่าพวกเราหูป่าตาเถื่อนจนไม่ยอมรับวัฒนธรรมภายนอกอย่างนั้นหรือ ?” คำถามเพิ่มระดับความไม่พอใจเข้าไปอีก
“เอ่อ....ไม่ใช่อย่างนั้น....เพียงแต่ว่า” องค์กษัตริย์ทรงหาข้อขัดแย้งไม่ทัน
“ถ้าทรงคิดอย่างนั้น แล้วมาปรึกษาหม่อมฉันทำไม อยากทำอะไรก็ทำกันไปซิ”
“ราฟาเอล อัลซา อาซาริยัส! เจ้าพูดอยู่กับใคร” กระแสเสียงกริ้วโกรธอย่างเหลือทน
“ท่านล่ะ รับสั่งอยู่กับใคร!” คำยอกย้อนไม่เกรงกลัว องค์อาซาริยัสทรงนิ่งไปชั่วครู่ สายตาคมเข้มมองสบโดยไม่หลบ ในที่สุดผู้มากวัยกว่าก็ถอนพระทัยยาว
“เอาละข้าขอโทษ ข้าไม่ควรพูดอย่างนั้น”
“ทำไมคณะรัฐบาลถึงเห็นพ้องต้องกันว่าจะบูรณะคาเธย์ขึ้นมา ?” เมื่อองค์กษัตริย์เอ่ยขอโทษ น้ำเสียงคนถามก็ราบเรียบสงบลงจนเป็นปกติ
“คาเธย์อยู่ใกล้บาสร่า ที่ตอนนี้ชาวต่างชาติหลายคณะหลั่งไหลเข้าไปท่องเที่ยว แต่ซากอารยธรรมของบาสร่านั้นก็ยังไม่สมบูรณ์เท่าคาเธย์”
“รัฐบาลก็เลยคิดว่าควรเข้าไปสำรวจคาเธย์เพื่อเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวต่อไปงั้นสิ ?”
“แต่มันเป็นผลดีกับประชาชน นี่เป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่พวกเขาเลยทีเดียว” องค์กษัตริย์พยายามยกเหตุผล
“แค่จำนวนกำไรจากน้ำมันดิบที่ขายได้ของแต่ละท่าน ๆ ในรัฐบาล ช่วยกันบริจาคคนละนิดละหน่อย สร้างงาน ส่งเสริมความรู้ให้กับประชาชน จัดระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานให้ดี แค่นี้ก็สามารถเกื้อกูลประชาชนได้แล้ว” สีพระพักตร์ผู้ฟังหนักพระทัย
“ไม่มีใครยอมละซิ” ร่างในชุดคลุมดำถามแกมเยาะเพราะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
“ใครริเริ่มความคิดนี้ ?”
“ฮัดซัน” คำตอบขององค์กษัตริย์ทำให้คนที่รับฟังหวนนึกถึงข้อมูลที่เคยได้รับมา ฮัดซันหนึ่งในคณะมนตรีที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจแห่งอัลมาฮาร์ เป็นคนหนุ่มไฟแรงหัวก้าวหน้า ชาติตระกูลดีหนำซ้ำระดับการศึกษายังดีเยี่ยม
“ฮัดซันงั้นเหรอ” ร่างสูงในชุดดำเดินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิด
“ทำไมเขาถึงเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา มีเบื้องหลังอะไรหรือเปล่า”
“ฮัดซันเป็นคนดี และยังมีความสามารถ เธออย่าช่างระแวงไปหน่อยเลย” องค์อาซาริยัสทรงท้วง
“ตามพระทัยก็แล้วกัน” บุรุษในชุดดำทำท่าจะผละจากไปเสียดื้อ ๆ
“เดี๋ยว! เรายังคุยกันไม่จบเลย”
“อยากทำอะไรก็ทรงทำเถอะ หน้าที่พัฒนาเป็นของฝ่าบาท หน้าที่ปกปักษ์รักษาเป็นของหม่อมฉัน”
ร่างนั้นกล่าวแล้วเดินลับผ่านหลังม่านไป ไม่ต้องเสด็จไปทอดพระเนตรก็ทราบว่าบุรุษผู้นั้นกลับไปแล้ว กลับไปโดยที่ไม่มีใครในบริเวณพระราชวังได้เห็นเหมือนกับตอนที่เข้ามา
องค์กษัตริย์ถอนพระทัยยาวพลางเอนพระวรกายพิงเก้าอี้ที่ประทับ ทรงทราบดีว่านั่นคือคำอนุญาตให้ดำเนินการโครงการต่อไปได้ แต่ถึงแม้จะได้รับคำอนุญาตแล้วแต่แทนที่จะสบายพระทัยกลับทรงรู้สึกหนักพระทัยมากกว่า อาจเป็นเพราะความเชื่อนมนานที่เล่าขานกันต่อ ๆ มา ความเชื่อที่นำพาพระองค์ให้ต้องมาเกี่ยวพันธ์และพานพบกับ
“ราฟาเอล อัลซา อาซาริยัส!”
บุรุษร่างสูงในชุดคลุมดำยืนกอดอกตัวตรง ใบหน้าที่บัดนี้ปราศจากผ้าคลุมแหงนเงยขึ้นมองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นกระจ่างฟ้าเหนือสันทรายอันทอดยาวสลับซับซ้อน ความระอุอุ่นจากแสงแดดที่เริงแรงเมื่อตอนกลางวันเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความหนาวเหน็บ ชายที่แต่งกายไม่แผกกันก้าวเข้ามาน้อมศรีษะลงทำความเคารพพลางเอ่ย
“ดำริเรื่องคาเธย์หรือครับ ?” ผู้ถูกตั้งคำถามถอนใจยาว
“หรือคำพยากรณ์จะเป็นจริง วันเวลาแห่งการครบวาระกำลังเวียนมาบรรจบ วันที่อำนาจแห่งอาบรีซาจะเติมเต็มและจันทรามหามายาจะเสื่อมลง”
ผู้ได้ฟังคำปรารภนั้นถึงกับทอดถอนใจด้วยความวิตก
“มันไม่ใช่เหตุบังเอิญ เหมือนมีความจงใจที่จะทำให้เกิดภาวะบีบคั้นกับเราเช่นนี้”
“ผมสั่งให้คนของเราตรวจสอบฮัดซันแล้วครับ”
“ดี จับตาดูไว้ การเคลื่อนไหวของฮัดซันอาจมีผลกระทบกับเรา ต้องระวังให้ดี ตอนนี้พวกเตตามีความเคลื่อนไหวอะไรหรือเปล่า ?”
“ไม่มีครับ ระยะหลังมานี่พวกมันเงียบไป”
“ระวังความเงียบก่อนจะเกิดพายุใหญ่ มุตตาฟา” ผู้ถูกเรียกค้อมศรีษะลงเมื่อร่าง สูง ๆ นั้นก้าวผ่านไปหยุดยืนนิ่งบนสันทราย
“แล้วเรื่องคาเธย์เราจะจัดการอย่างไรครับ ?” มุตตาฟาถาม มีความหนักใจในน้ำเสียง
“คาเธย์เป็นแค่เงา สิ่งที่พวกเราต้องระวังจริง ๆ คือการพลัดหลงเข้าไปโดยบังเอิญ ก่อนการสำรวจจะเริ่มเราต้องตรวจดูให้แน่ใจว่ามนตราที่ผนึกไว้มีจุดบกพร่องตรงไหนหรือเปล่า”
“ครับ” มุตตาฟารับคำก่อนจะบอกต่อไป
“ผมเตรียมกระโจมให้ท่านเรียบร้อยแล้ว”
“เราจะอยู่ตรงนี้อีกซักพัก เธอไปก่อนเถอะ” ร่างของมุตตาฟาก้มศรีษะลงทำความเคารพก่อนจะถอยออกไป ปล่อยให้ร่างสูงยืนสงบนิ่งอยู่อย่างนั้นเพียงลำพัง
ยามเช้าตรู่ในย่านตลาดค้าขายในเมืองหลวงแห่งอัลมาฮาร์สับสน วุ่นวาย เต็มไปด้วยผู้คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนพื้นเมือง ที่มาจับจ่ายเลือกซื้อสินค้าตามความต้องการ จะมีก็ส่วนน้อยที่เป็นชาวต่างชาติ เสียงเรียกลูกค้า เสียงต่อรองราคา เสียงบีบแตรรถ เสียงอูฐและเสียงสัตว์อีกหลากหลายชนิดดังประสานกันจนฟังไม่ได้ศัพท์ ที่นี่เป็นแหล่งรวมสินค้าพืชผลของชนพื้นเมืองและสินค้าจากถิ่นทะเลทรายอันไกลโพ้นที่ชาวบ้านต่างนำมาวางขายกันแต่เช้า หากเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มสูงก็จะสลายตัวแยกย้ายกันไป ห้างร้าน ร้านอาหาร และกิจการสำคัญต่าง ๆ จะเปิดให้บริการหลังจากนั้นในเวลาสิบนาฬิกา ฉะนั้นคนที่มุ่งหน้ามาตลาดในยามเช้าเช่นนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นพวกคนรับใช้ ตามคฤหาสน์ต่าง ๆ ชาวบ้านร้านถิ่นทั่วไป กรรมกรจากท่าเรือและบรรดาพ่อค้าชาวถิ่นทะเลทรายเท่านั้น มีน้อยครั้งที่บรรดาชนชั้นระดับสูงจะลงมาเดินเลือกซื้อสินค้าตามตลาดแบบนี้
หญิงสาวในชุดคลุมยาวสีเข้ม มีชาดราห์คลุมศีรษะปิดหน้าเห็นเพียงดวงตาเดินปะปนอยู่ในกลุ่มคน เบื้องหลังมีหญิงรับใช้เดินมามาด้วย ในมือของหญิงรับใช้ถือตะกร้ารอรับสิ่งของที่ผู้เป็นนายเลือกซื้อ นายสาวหยิบธนบัตรจากกระเป๋าสตางค์ขึ้นมานับเพื่อจ่ายเป็นค่าของตามราคาที่ตกลงกับพ่อค้า แต่ในขณะที่เอื้อมมือไปรับของก็รู้สึกว่าถูกกระแทกจากเบื้องหลัง หญิงสาวเสียหลักเซไปข้างหน้าพร้อม ๆ กับกระเป๋าในมือถูกกระชากไป เสียงกรีดร้องอย่างตระหนกของหญิงรับใช้ดังลั่นแต่นายสาวไม่สนใจเพราะพอตั้งหลักได้หญิงสาวก็ถลาวิ่งตาม ปากก็ร้องให้คนช่วยจับขโมยไปด้วย หญิงรับใช้ยิ่งละล้าละลังหนัก
“คุณหนู อย่าตาม! อย่าตามนะคะ ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยที คุณหนู!”
ผู้ที่ถูกเรียกว่าคุณหนูนั้นไม่ได้อยู่รอฟังเพราะวิ่งตามเจ้าหัวขโมยวิ่งราวกระเป๋าไปติด ๆ
body <>
ความคิดเห็น