คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ผู้มาจากบาลันเทียร์
บทที่ 1
ผู้มาจากบาลันเทียร์
ท่ามกลางความมืดและดวงดาวที่พร่างพราวบนท้องฟ้ายามราตรีกาล ณ จุดสุดสายตาแห่งขอบฟ้า แสงสว่างสีขาวเจิดจ้าพุ่งวาบเป็นลำยาวก่อนจะกระจายหายไปท่ามกลางความระยิบระยับของหมู่ดาว หาก ณ มุมหนึ่งในดินแดนห่างไกล แม้จะเป็นยามดึกที่ผู้คนหลับใหลกันแล้วเป็นส่วนใหญ่แต่ยังมีสถานที่แห่งหนึ่งที่ยังคงสว่างไสวเต็มไปด้วยแสงสี กลิ่นหอมอันอบอวลและเสียงดนตรีที่บรรเลงขับกล่อมให้ความบันเทิงใจ
เสียงดนตรีเร้าจังหวะผสานเข้ากับลีลาการเต้นที่อ่อนช้อยยั่วยวนของเหล่านางระบำหน้าตาพริ้มเพราเรียกเสียงปรบมือ เสียงโห่ฮาเป่าปากจากเหล่าชายหนุ่มไล่อายุจนถึงชายแก่ที่นั่งชมการแสดงอยู่โดยรอบ ข้างกายของชายเหล่านั้นยังมีสาวสวยอีกหลายนางคอยปรนนิบัติพัดวี รินสุรา ป้อนกับแกล้มให้เป็นระยะ
ชายหนุ่มผิวขาวจัด นัยน์ตาสีนิลระยับ ดวงหน้าเรียวได้รูปประกอบเข้ากับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ผมดำยาวสลวยถึงกลางหลังถูกคาดทับด้วยผ้าทอลวดลายแปลก ร่างสูงอยู่ในชุดยาวติดกันคอปิดสีน้ำเงินเข้ม เสื้อคลุมตัวยาวคลุมทับอีกชั้น ตามขอบแขนเสื้อและชายผ้าปักลวดลายงดงามลักษณะนั้นส่อเค้าเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ ชายหนุ่มเอนพิงหมอนอิงอยู่บนเบาะหนานุ่ม สายตาจับอยู่ที่นางระบำ บางครั้งก็หันไปโปรยยิ้มกับสาวสวยข้างกายซ้ายขวาที่คอยรินเหล้า ป้อนอาหารให้มิได้ขาด
“ท่านสนใจแต่พวกนางระบำ ข้าชักจะน้อยใจเสียแล้ว” เสียงหวานกระเง้ากระงอดจากหญิงสาวข้างกายพลางขยับค้อนได้อย่างน่ารักด้วยเป็นจริตที่ฝึกฝนมาอย่างดี ชายหนุ่มหันมายิ้มดวงตาสีดำจัดแพรวพราว
“เจ้าอยู่ในอ้อมกอดของข้าแล้ว ทำไมจะต้องน้อยใจอีก” ปากว่ามือก็ไวตามปาก คว้าร่างอ้อนแอ้นอรชรเข้ามากอด จูบไซร้ไปตามซอกคอหอมกรุ่น สาวงามปัดป้องพอเป็นพิธีด้วยมารยาหญิง หากแล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!
แสงสว่างเจิดจ้าบาดตาปรากฏวาบทำให้มองอะไรไม่เห็นไปชั่วครู่ ก่อนจะตามมาด้วยเสียง
“โครม! เฮ้ย!”
แสงบาดตาเมื่อครู่จางหายไปแล้วหากเมื่อทุกคนหันไปตามเสียงก็พบกับภาพประหลาด หนุ่มเจ้าสำราญที่ตระกองกอดสาวงามอยู่เมื่อครู่ บัดนี้ในอ้อมแขนมีร่างของเด็กรุ่นหนุ่มหน้าตามอมแมมอยู่แทน เจ้าของวงแขนผลักเจ้าเด็กหนุ่มที่จู่ ๆ ก็โผล่มากระเด็นไปจากตัก ตนเองลุกขึ้นถอยห่างอย่างตกใจ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ?! เด็กบ้านี่เป็นใคร มาได้ยังไง !” ชายหนุ่มตั้งต้นโวยวายลั่นอย่างไม่เกรงใจใคร ในขณะที่ ‘เด็กบ้า’ ยังนั่งกองอยู่กับพื้นทั้งจุกที่ถูกผลักและตกใจที่จู่ ๆ ก็มาโผล่ในอ้อมแขนใครก็ไม่รู้
“ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ” เด็กหนุ่มที่มาอย่างประหลาดพึมพำกับตนเอง ดวงตาสีมรกตมองไปรอบๆ ห้องอย่างงง ๆ สายตาของบรรดาผู้ที่ล้อมรอบนั้นต่างก็ประหลาดใจพอกัน เด็กหนุ่มทรงตัวลุกขึ้นแล้วทำท่าจะผละไปเสียเฉย ๆ
“อ้าว! เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนสิ ยังไม่ทันรู้เรื่องอะไรเลยจะไปไหนล่ะนั่น ?” เจ้าหนุ่มผู้ได้กอดผู้ชายด้วยกันร้องถามพลางคว้าแขนคนตัวเล็กกว่าไว้ แต่ถูกสะบัดหลุดทันควัน สายตาที่มองสบโกรธกรุ่น
“ข้าต่างหากควรจะเป็นฝ่ายโกรธที่เจ้ามาขัดจังหวะ ใจคอจะไม่พูดอะไรเลยหรือไง ขอโทษสักนิดน่ะมีไหม?”
“ขอโทษ!” เด็กหนุ่มกล่าวเสียงหนักแล้วแหวกผู้คนออกไปโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น ชายหนุ่มผู้ได้รับคำขอโทษยักไหล่ หมดความสนใจเพียงแค่นั้นพลางก้าวกลับไปทรุดลงนั่งบนเบาะหนานุ่มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้คนที่ห้อมล้อมอยู่จึงแยกย้ายกันไป ดนตรีเริ่มบรรเลงและเหล่านางระบำก็เริ่มวาดลวดลายไปตามจังหวะเพลง ชั่วครู่ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความครึกครื้นตามปกติ
สาวงามที่ถูกแรงเหวี่ยงที่มองไม่เห็นผลักกระเด็นไปเมื่อครู่กลับเข้ามาทิ้งกายลงนั่งข้างชายหนุ่มอีกครั้ง พลางรินเหล้าในขวดใส่จอกทรงสูงส่งให้ผู้เป็นลูกค้าเป็นการเอาใจ
“ต้องขออภัยด้วยนะคะท่านเฮรอสที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือ” ชายหนุ่มตอบพลางรับจอกทรงสูงยกขึ้นดื่ม
“เด็กหนุ่มนั่นคงเป็นพวกผู้ใช้เวทฝึกหัด สงสัยจะจำคาถาผิด“ หญิงสาวอีกนางที่ทอดกายเบียดกระแซะอยู่อีกข้างคาดเดาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ในขณะที่แววตาชายหนุ่มผู้มีนามว่าเฮรอสกลับมีประกายประหลาดแวบหนึ่ง หากแล้วรอยยิ้มกรุ้มกริ่มก็กลับมาแทนที่อย่างรวดเร็ว
เด็กหนุ่มที่ถูกหาว่าเป็นผู้ใช้เวทฝึกหัดขณะนี้กำลังยืนคว้างอยู่ท่ามกลางตรอกซอกซอยที่มีหลายแยกหลายเลี้ยวจนทำให้งง เพียงก้าวออกจาก ‘หอแสงจันทร์’ อันเป็นที่ที่หล่นตุ้บลงมา รอบด้านที่มีแต่ความสว่างไสวเต็มไปด้วยความคึกคัก ผู้คนมากหน้าหลายตาพลุกพล่านก็กลับแปรเปลี่ยนเป็นความมืดและความเงียบจนดูน่ากลัว แสงไฟจากตะเกียงรายทางขมุกขมัว ยามลมพัดก็ไหววูบก่อให้เกิดรูปเงามากมาย บ้านเรือนที่ปลูกสร้างจากหินทรายแต่ละหลังไร้ซึ่งแสงไฟ
“นี่มันที่ไหนกันเนี่ย ก็ไหนท่านเฮกาบอกว่าพลังของลูกแก้วบาลันเทียร์จะส่งให้มาพบ’แสงแห่งความหวัง’ แล้วคน ๆ นั้น มันอยู่ที่ไหนกันล่ะ” เด็กหนุ่มครุ่นคิดอย่างกังวล
“หรือว่า ‘แสงแห่งความหวัง’ ที่ท่านจอมปราชญ์กล่าวจะหมายถึงเจ้าหนุ่มนั่น ไม่หรอกน่า เป็นไปไม่ได้หรอก ผู้เป็นแสงแห่งความหวังของคนทั้งแดนพิภพจะไปอยู่ในที่แบบนั้นได้ยังไง ท่าทางเจ้าสำราญเสียขนาดนั้น ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่” เขาเฝ้าย้ำกับตนเอง พยายามนึกหาทางแก้ปัญหา แต่ก็มองไม่เห็นทางใดดีกว่า
‘คงต้องกลับไปที่หอแสงจันทร์นั่นอีกครั้ง’ เมื่อตัดสินใจได้ ร่างเล็กผอมบางก็หันกลับ หากพอก้าวพ้นจากตรอกก็พบเข้ากับคนกลุ่มหนึ่งที่ยืนขวางทางอยู่ด้วยท่าทีคุกคาม
“เจ้ามายืนทำอะไรมืด ๆ ค่ำ ๆ อย่างนี้ !?” เสียงดุดัน เข้มงวดดังจากชายคนหนึ่งในกลุ่มที่แต่งกายด้วยผ้าคลุมตัวยาวรุ่มร่าม มีฮูดสวมคลุมศรีษะแทบมองไม่เห็นหน้าตา
“คือว่า....ข้าหลงทาง เออ..ขอถามหน่อยสิว่าที่นี่เมืองอะไร ?” คนตัวเล็กกว่าพยายามยิ้มสู้แม้ในใจจะไม่ค่อยไว้ใจเจ้าคนกลุ่มนี้นัก
“เจ้าเป็นคนต่างถิ่น ?” ไม่มีคำเฉลยแต่ชายในกลุ่มชุดดำย้อนถามอีก
“อ้อ! ใช่ แล้วที่นี่มันคือเมืองอะไรล่ะ?”
“เจ้าเป็นคนที่มาพร้อมกับแสงนั่นใช่ไหม ?” เด็กหนุ่มไม่ตอบแต่ถอยหลังห่างจากคนกลุ่มนั้นทันทีอย่างเตรียมระวังภัย
“ข้าถามว่าใช่ไหม !?”
“ไม่...ไม่ใช่”
“โกหก! จับมันไว้!” สิ้นเสียงสั่งอีกสี่ห้าคนก็กรูกันเข้ามา เด็กหนุ่มก้าวถอยหลังมองหาช่องทางเอาตัวรอด เสียงหัวเราะเยาะหยันพร้อม ๆ กับกลุ่มชายในชุดดำเริ่มกระจายกันโอบล้อม ท่าทางดั่งหมาป่าจ้องตระคลุบเหยื่อ
“เจ้าคิดว่าจะหนีพ้นหรือไง!” สิ้นเสียงมือคนพูดก็สะบัด เด็กหนุ่มยกมือขึ้นป้องกันตามสัญชาตญาณ แรงปะทะที่ส่งมาถูกรัศมีสว่างขาวนวลที่จู่ ๆ ก็สว่างวาบรอบตัวเด็กหนุ่มกั้นไว้
“ใช่จริง ๆ มันเป็นคนที่ท่านเดมาลต้องการตัว ไปจับมันมาเร็ว ๆ เข้า!” เหล่าชายฉกรรจ์ดาหน้าเข้ามา เด็กหนุ่มมองไปรอบตัวเพื่อหาทางรอด แล้วก็ตัดสินใจวิ่งฝ่าออกไปทางด้านหนึ่งด้วยความเร็วจนฝ่ายที่ถูกวิ่งชนตั้งตัวไม่ทัน แม้จะยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแต่ยังไงตอนนี้ก็ขอหนีเอาตัวรอดก่อน
เสียงฝีเท้าไล่หลังกระชั้นเข้ามา ร่างเล็ก ๆ วิ่งลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยอย่างเปะปะไม่รู้ทิศทาง ความมืดและตรอกซอยที่มากมายทำให้ไม่ยากที่จะซอกซอนไป แต่ฝ่ายไล่ล่าก็ยังตามติดไม่ยอมปล่อย เด็กหนุ่มตัดสินใจหักเลี้ยวเข้าไปในตรอกแคบ ๆ ข้างหน้า หากแล้วก็รู้สึกถึงวงแขนแข็งแรงที่รวบตัวไว้พร้อมกับผ้าหนาหนักคลุมทับลงมา ยังไม่ทันจะขัดขืน เสียงดุก็สั่งสำทับ
“ถ้าไม่อยากถูกจับก็เงียบ!” คำสั่งนั้นทำให้คนที่ทำท่าจะดิ้นรนหยุดนิ่ง เสียงฝีเท้าวิ่งใกล้เข้ามาในขณะที่อ้อมแขนนั้นยิ่งโอบกระชับในลักษณะหนุ่มสาวกำลังพลอดรักกัน คนตัวเล็กกว่าซบอยู่ในอ้อมอกของคนตัวใหญ่ ชิดใกล้จนได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ต่างจากคนที่ถูกกอดที่ขณะนี้ใจสั่นระรัวราวกับจะออกมาเต้นอยู่นอกอก เสียงฝีเท้าของคนหลายคนใกล้เข้ามา!
“เฮ้ย! นั่นใคร ทำอะไรอยู่ตรงนั้น” เสียงตวาดนำมาก่อน ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเสียงอุทานอย่างประหลาดใจแทน
“อ้าว!.....อะ
เอ่อ...ทะ..ท่าน....ท่านมาทำอะไรอยู่แถวนี้ครับ ?” น้ำเสียงนั้นนอบน้อมผิดจากเมื่อครู่
ไม่มีคำตอบแต่กลับถูกย้อนถาม
“เอะอะโวยวายอะไรกัน!?” น้ำเสียงแสดงแจ่มชัดถึงความไม่พอใจอย่างยิ่ง ฝ่ายที่มากกว่าชักเริ่มมองหน้ากัน
“เอ่อ...เรากำลังตามจับขโมยกันครับ ไม่ทราบว่าท่านเห็นเด็กหนุ่มท่าทางมีพิรุธผ่านมาแถวนี้บ้างหรือไม่?”
“ข้าไม่ได้สนใจ แล้วก็ไม่เห็นมีใครผ่านมาซักคนนอกจากพวกเจ้าที่เข้ามาขัดจังหวะนี่แหละ” เสียงบอกแกมตำหนิ
“เอ่อ....กระผมขออภัย แต่...”
“น่ารำคาญ เมื่อไหร่จะไปเสียที!” น้ำเสียงหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม
“อย่าให้ข้าอารมณ์เสียมากกว่านี้!” ชายฉกรรจ์ทั้งกลุ่มต่างก้มศรีษะแสดงความคารวะแล้วจำใจล่าถอยไปไม่เซ้าซี้อะไรอีก
คล้อยหลังคนกลุ่มนั้นอ้อมแขนที่กอดรัดก็คลายออกแทบจะพร้อม ๆ กับคนตัวเล็กที่สะบัดตัวให้พ้นจากวงแขนถอยห่างออกมา
“ไม่ต้องดิ้นหรอกน่า ข้าไม่พิสมัยกอดหนุ่ม ๆ เหมือนกันแหละ ถ้าเป็นสาว ๆ ก็ว่าไปอย่าง” ร่างสูงบอกแกมหัวเราะ น้ำเสียงดุดันเมื่อครู่จางหายไป
“เจ้า....เด็กที่ข้าพบที่หอแสงจันทร์ใช่ไหม ? แล้วนี่ไปทำอะไรมาถึงถูกไล่ล่า รึว่าเป็นขโมยจริง ๆ”
คำถามนี้ทำให้เด็กหนุ่มพยายามเพ่งมองดวงหน้าชายหนุ่มร่างสูง แสงไฟที่จุดไว้ตามรายทางแม้จะให้ความสว่างไม่มากนักแต่ก็พอจะมองเห็นหน้ากันได้ลางเลือน ‘เจ้าหนุ่มที่เจอในหอแสงจันทร์นั่นเอง !’
“ข้าไม่ใช่ขโมย!” เด็กหนุ่มบอกอย่างหงุดหงิด แต่พอนึกได้ก็เสียงอ่อนลง
“ขอโทษ ขอบคุณที่ช่วยเหลือ” เฮรอสยักไหล่พลางว่า
“ไม่เป็นไร ข้าบังเอิญผ่านมาน่ะ เออ....แล้วเจ้าไปมีเรื่องอะไรกับทหารของอาณาจักรพวกนั้นล่ะ ?”
“ไม่รู้ พอเจอหน้าพวกนั้นก็ตามจับข้า ยังไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย” คนถูกตามล่าเองก็งง คนถามพยักหน้ารับรู้แต่ก็ไม่ได้สนใจที่จะซักไซ้ต่อแถมทำท่าจะผละไปเสียเฉย ๆ แต่ถูกเรียกรั้งไว้
“เดี๋ยวก่อน! ขอถามอะไรหน่อยสิ” ร่างสูงหันกลับมาตามเสียงเรียกเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ที่นี่ที่ไหน ?”
“เมืองหลวงแห่งอาณาจักรวินเดเนีย”
“วินเดเนีย” เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเอง
“ทำไมเหรอ ?”
“เปล่า ๆ ไม่มีอะไร” เด็กหนุ่มรีบปฏิเสธ
“หมดเรื่องแล้วใช่ไหม ข้าไปละนะ” เมื่อเห็นเด็กหนุ่มไม่ซักถามอะไรอีก เฮรอสก็ผละจากมา หากพอก้าวเดินได้สักพักก็รู้สึกว่าถูกติดตามพอหันกลับไปมองก็พบเจ้าเด็กหนุ่มที่เขาช่วยไว้ มันเดินตามมาห่าง ๆ พอหยุดมันก็หยุด พอเดินมันก็เดิน
“ตามมาทำไม ?” หลายครั้งเข้าเขาก็ทนไม่ไหวต้องเดินย้อนกลับไปหาเพื่อถาม
“คือ...ข้ามาจากอาณาจักรอื่น” เสียงบอกอ่อย ๆ
“แล้วไง ?”
“ข้าไม่มีที่พัก ไม่รู้จักใคร” เสียงยิ่งอ่อนลงเรียกความสงสาร
“จะให้ข้าช่วยว่างั้นเถอะ ?”
“ไหน ๆ ก็ช่วยมาครั้งหนึ่งแล้ว ช่วยอีกหน่อยไม่ได้เหรอ?” เด็กหนุ่มอ้อน ส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างพยายามให้น่าเห็นใจที่สุด
“ข้าไม่ชอบอยู่ร่วมบ้านกับผู้ชาย” คำตอบไร้เยื่อใย เด็กหนุ่มผู้ฟังมีสีหน้าเศร้าสลด และเพราะแววตาเศร้าๆ กึ่งเว้าวอนนั่นแหละที่ทำให้ต้องใจอ่อน เฮรอสถอนใจยาว
“ก็ได้ ตามมา” ดวงหน้าซึมสลดนั้นกลับระรื่นชื่นบานขึ้นมาทันทีทันควัน
พ้นจากตรอกซอกซอยที่คดเคี้ยวก็ถึงบริเวณชายป่านอกเมือง ต้นไม้สองข้างทางขึ้นสูง ยิ่งเดินยิ่งทึบเข้าไปเรื่อย ๆ ทางเบื้องหน้ามืดสนิท แต่คนเดินนำยังเดินมุ่งหน้าต่อไปโดยไม่มีสะดุด และไม่มีวี่แววว่าจะถึงที่พักเสียที พอคนตามหลังสะดุดรากไม้เป็นครั้งที่ 5 เฮรอสก็หันกลับมาราวกับมีตาหลังคว้าข้อมืออีกฝ่ายให้เดินตาม
“ทางมันมืด เดินดี ๆ”
“เอ่อ....ข้าชื่อเซเนต มาจากอาณาจักรบาลันเทียร์” เด็กหนุ่มแนะนำตัวเอง
“เรียกข้าว่าเฮรอส เจ้าว่าเจ้ามาจากบาลันเทียร์เหรอ ?”
“ใช่” เซเนตตอบแถมพยักหน้าแต่คนเดินนำคงไม่เห็น
“บาลันเทียร์อยู่ไกลจากวินเดเนียมากนี่นา เจ้ามาทำอะไรที่นี่ล่ะ ?”
“ข้ามา...เอ่อ...ข้ามาตามหาคน”
“หาคน ? ใคร วินเดเนียออกกว้างใหญ่ หาคนใช่ว่าจะหาได้ง่าย ๆ”
“ข้าก็ไม่รู้ว่าคนที่ต้องตามหาเป็นใคร” เสียงพึมพำตอบมา
“อ้าว! แล้วจะเจอไหมนี่”
“ข้าต้องการพบนักเวทที่เก่ง ๆ น่ะ ระดับจอมเวทยิ่งดี”
“จะพบไปทำไม ?” คนเดินนำถามต่อ แต่คนตามหลังยังเงียบใคร่ครวญนึกหาคำตอบดีๆ
“นักเวทในวินเดเนียมีมากมาย แต่ก็ใช่ว่าจะเก่งกาจกันทุกคน และก็ใช่ว่าจะสามารถเข้าพบกันได้ง่าย ๆ ถ้าเจ้าไม่รู้จักใครที่นี่เลยยิ่งยากเข้าไปใหญ่”
“จอมเวทที่มีชื่อเสียงในวินเดเนียมีมากมายนักเหรอ ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามหลังจากเงียบฟัง
“ถ้าระดับจอมเวทละก้อไม่มาก เฉพาะที่เมืองหลวงนี่ก็ราว ๆ 10 20 คนละมั๊ง”
“นั่นนะไม่มาก!” เซเนตร้องลั่น แล้วนี่เขาจะหาคนที่ต้องการได้ยังไงกัน เวลายิ่งมีจำกัดอยู่ด้วย
“แล้วในจำนวนนี้จอมเวทที่เก่งที่สุด ชื่ออะไร ?”
“ไม่เคยมีใครจัดอันดับไว้เสียด้วยก็เลยไม่รู้ว่าใครเก่งที่สุด” เฮรอสตอบง่าย ๆ
“โอ๊ย! อยากจะบ้าตาย”
“เจ้าจะตามหาจอมเวทเก่ง ๆ ไปทำไม ?”
‘ก็หาคนที่เป็นแสงแห่งความหวังน่ะซิ’ เซเนตนึกในใจแต่ที่บอกออกไปคือ
“ข้ามาขอความช่วยเหลือ อาณาจักรของข้าและอีกหลายอาณาจักรในแดนพิภพกำลังเดือดร้อน ภัยพิบัติในตำนานกำลังจะกลับมา” น้ำเสียงทุกข์ร้อนเป็นกังวลของเด็กหนุ่มทำให้เฮรอสถอนใจยาวแล้วตัดบทเสียเฉย ๆ เหมือนไม่สนใจ
“วันนี้ดึกแล้ว ข้าขี้เกียจฟังความเดือดร้อนของชาวบ้าน พรุ่งนี้ค่อยเล่า ถึงบ้านข้าแล้ว”
เฮรอสบอกทำให้เด็กหนุ่มเหลียวมองรอบตัวแล้วสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับกระท่อมหลังเล็กที่ปลูกซ่อนอยู่ท่ามกลางแมกไม้หนาทึบ แสงสว่างที่ทำให้มองเห็นกระท่อมมาจากตะเกียงน้ำมันในมือชายหนุ่มที่ไม่รู้ว่าถือเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ร่างสูงเดินนำเข้าไปภายในกระท่อม
เด็กหนุ่มยืนหมุนคว้างอยู่กลางห้อง ในขณะที่เจ้าของบ้านเดินไปจุดไฟให้แสงสว่าง แสงจากตะเกียงที่วางซ่อนไว้ตามมุมต่าง ๆ สว่างขึ้นทำให้มองเห็นรอบด้านได้ชัดเจน ภายในห้องนอกจากโต๊ะและเก้าอี้ที่ตั้งอยู่แล้วนอกนั้นแทบจะเรียกได้ว่าห้องทั้งห้องปราศจากเครื่องเรือนอื่น ๆ
“จะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหม ?” เซเนตสั่นศีรษะ อากาศเย็นจัดขนาดนี้ใครจะบ้าอาบน้ำตอนดึก ๆ
“งั้นก็นอน โน่นห้องนอนข้าอยู่โน่น” พูดจบเฮรอสก็สาวเท้าตรงไปยังประตูบานหนึ่งที่ปิดสนิทอยู่พลางเปิดออกกว้าง ห้องนอนแทบไม่ต่างอะไรจากห้องด้านนอก ต่างกันตรงที่ห้องนอนมีเตียงนอนขนาดกลางวางชิดมุมหนึ่งใกล้กับหน้าต่างที่ปิดสนิทไว้ อีกมุมหนึ่งเป็นตู้ไม้บานใหญ่ปิดสนิทเช่นกัน
“เตียงเล็กไปหน่อย แต่เบียด ๆ กันก็พอได้” เจ้าของห้องหันมาบอก หากแต่เซเนตส่ายหน้ายิ้มแหย
“ข้านอนพื้น หรือไม่ก็ออกไปนอนข้างนอกก็ได้ไม่รบกวนเจ้าหรอก”
“ข้าไม่ชอบนอนเบียดกับผู้ชายเหมือนกัน แต่ที่ให้เจ้านอนด้วยก็เพราะที่นี่ยิ่งดึกอากาศจะหนาวจัด เจ้าไม่สังเกตหรือว่าข้างนอกหมอกลงจัดมาก ขืนให้เจ้านอนที่พื้นหรือนอนข้างนอกมีหวังแข็งตาย แล้วข้าก็ไม่มีเครื่องนอนอีกชุดให้เจ้ายืมด้วย” เหตุผลของเฮรอสทำให้เขาเถียงไม่ออก
“นอนเถอะ ข้าง่วง!” ชายหนุ่มบอกพลางทิ้งตัวลงนอน ปล่อยให้เด็กหนุ่มยืนลังเลอยู่ตรงนั้น พอขยับจะก้าวขาก็มีเสียงสั่งสำทับมาอีก
“ดับไฟข้างนอกด้วย” เซเนตเม้มปากอย่างขัดใจ เจ้าหนุ่มคนนี้มันประหลาดพิกล ท่าทางมันเหมือนหนุ่มเสเพลธรรมดาแต่ทำไมคนกลุ่มนั้นถึงทำท่ายำเกรงนัก หนำซ้ำเจ้าหนุ่มนี่ยังให้ความช่วยเหลือคนแปลกหน้าได้หน้าตาเฉยโดยไม่คิดระแวงระวังใด ๆ ‘หรือคนอาณาจักรนี้มันแปลกอย่างนี้ทุกคน!
เช้าวันใหม่ของเซเนตถูกปลุกด้วยเสียงนกร้องเพลงประสานกันจุ๊กจิ๊กดังลอดผ่านหน้าต่างข้างเตียงที่เปิดกว้างไว้ เจ้าของบ้านที่นอนบนเตียงเดียวกันเมื่อคืนลุกจากไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เด็กหนุ่มพลิกตัวนอนหงายแผ่เต็มเตียงทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิด
‘เป็นไปได้ยังไงที่ลูกแก้วบาลันเทียร์จะผิด แต่ทำไมถึงไม่พบกับสิ่งที่ตั้งใจมาหา อำนาจของลูกแก้วเกิดสับสนอะไรหรือเปล่า รึเจ้าคนที่ชื่อเฮรอสจะเป็นคนตามคำทำนาย’ เซเนตนึกทบทวนอย่างไม่เข้าใจ
‘ไม่ใช่หรอกน่า ‘แสงแห่งความหวัง’ คนที่จะเป็นความหวังของแดนพิภพ คนที่จะต่อต้านภัยพิบัติในตำนานจะชีกอบ้าผู้หญิงอย่างนั้นได้ยังไง มันต้องดูดีน่านับถือ ดูทรงภูมิหน่อยสิ นี่อะไร ! ท่าทางเป็นหนุ่มเจ้าสำอาง ออกแนวเสเพลแบบนั้น โอย...รับไม่ได้’
เสียงประตูเปิดเข้ามาพร้อมร่างสูงในชุดยาวติดกันเกือบถึงเข่าคลุมทับกางเกงรัดข้อเท้าสีดำ ผ้าคาดเอวทิ้งชายยาวลงไปด้านข้าง ดวงหน้าคมคายทอดสายตามาหยุดอยู่ที่ร่างบนเตียง
“ข้าจะเข้าไปในเมือง อยากได้อะไรไหม ?”
“ไปด้วย!” เซเนตผุดลุกจากเตียงทันควัน
“งั้นข้าออกไปรอข้างนอก จัดการธุระของเจ้าให้เรียบร้อย เสื้อผ้าข้าเจ้าใช้เปลี่ยนไปก่อนก็ได้ อยู่ในตู้นั่น”
เฮรอสบอกเพราะสังเกตว่าเด็กหนุ่มไม่มีข้าวของติดตัวมาเลยซักชิ้น
“ อ้อ ! ห้องน้ำอยู่ตรงนั้น” เฮรอสชี้มือไปที่ผนังอีกฝั่งก่อนจะออกไปจากห้อง เมื่อคืนในห้องสลัวจนเด็กหนุ่มไม่ทันสังเกตเห็น เขาใช้เวลาไม่นานก็ออกจากห้องทั้งที่อยู่ในชุดเดิม
แสงแดดยามเช้าส่องลอดรำไรตามช่องใบไม้ที่ขึ้นเบียดหนาจนทึบทึม อย่างนี้นี่เองเวลากลางคืนจึงแทบจะมองไม่เห็นอะไร ร่างสูงเดินนำคนตัวเล็กกว่าไปตามทางที่ทอดยาวคดเคี้ยวสองข้างทางมีแต่ป่า
“นี่ เจ้าพอจะรู้จักผู้ใช้เวทที่เก่ง ๆ บ้างไหม ?” เซเนตเอ่ยถามคนที่เดินนำ
“ก็พอจะรู้ ถามทำไม ?”
“อย่างที่บอกเมื่อคืนไง ข้ากำลังต้องการความช่วยเหลือ”
“แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ ?”
“อาณาจักรข้าตอนนี้มีปีศาจออกอาละวาดเต็มไปหมด!”
“ปีศาจเต็มไปหมด ? พูดเป็นเล่น”
“ข้าพูดจริง บาลันเทียร์เป็นอาณาจักรเล็ก ๆ เราอยู่ด้วยความสงบสุขมายาวนาน แต่ตอนนี้เมืองรอบนอกของอาณาจักรถูกพวกปีศาจรบกวนมากขึ้นเรื่อย ๆ อาณาจักรข้างเคียงก็เหมือนกัน”
“บาลันเทียร์ก็มีผู้ใช้เวทไม่ใช่เหรอ ?” เฮรอสถาม และเป็นคำถามเดียวกับที่เซเนตเคยถามผู้ที่ส่งให้เขามาไกลถึงที่นี่
“ท่านเฮกาบอกข้าว่าภัยพิบัติเมื่อ 800 ปีก่อนกำลังจะกลับมาตามคำทำนาย และนี่คือลางบอกเหตุ”
“ภัยพิบัติเมื่อ 800 ปีก่อน ก็แค่คำเล่าลือกันต่อ ๆ มา” เฮรอสหัวเราะพลางท่องคำทำนายที่ถูกถ่ายทอดเล่าขานมาช้านาน
“ เมื่อดินแดนมืดมนอันธกาล
ภัยพิบัติรุกรานเข่นฆ่า
ความโลภหลงเข้าครอบครอง
เลือดจะนองทั่วแผ่นดิน
ทั้งพสุธาทั้งฟ้าจะพิโรธ
แผ่นดินแสนวิปโยคโศกศัลย์
จุดเริ่มต้นแห่งการล่มสลาย
ราชาจอมมารจะคืนมา.......
หมดสิ้นทุกความหวัง
หากว่ายังคงหลงลืม
ทั้งพิภพจะวอดวาย
สายเลือดศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งหมาย
นำแสงแห่งความหวังให้กลับมา”
น้ำเสียงที่เอ่ยถึงคำทำนายแกมหัวเราะเหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องจริงจัง
“เจ้าไม่เชื่อคำทำนายของท่านมหาปราชญ์ดาไรอัสหรือ ?” เซเนตถามออกจะไม่พอใจอยู่ครามครัน
“ข้าเชื่อตัวเองมากกว่าคำทำนายพวกนั้น” คำตอบอันแสนยโสนั้นทำเอาเด็กหนุ่มเบ้หน้า
“เจ้ารู้ไหมภัยพิบัติต่าง ๆ ที่อยู่ในคำทำนายนั้นมันเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ อาณาจักรพันท์กับอาณาจักรลิเทียทำสงครามผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก อาณาจักรแกลนเดียเมื่อหลายปีก่อนเกิดอุทกภัยแต่ปีนี้แห้งแล้งแผ่นดินแตกระแหงผู้คนอดอยาก อาณาจักรแอสเตรียกำลังเกิดโรคระบาดรุนแรง อาณาจักรทางเหนือก็หนาวจัด และที่บาลันเทียร์เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดมาหลายร้อยปีแล้ว วินเดเนียเองก็ภูเขาไฟระเบิด ไม่ใช่แค่นั้นอาณาจักรต่าง ๆ ที่มีอาณาเขตติดกับป่าอาถรรพ์จะมีปีศาจออกอาละวาดทั้งที่เมื่อก่อนนั้นถึงจะมีบ้างแต่ก็ไม่มากเท่านี้ แต่เดี๋ยวนี้มันออกมาเพ่นพ่านเต็มไปหมด แล้วพวกมันก็กล้าแข็งขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย เห็นไหมเหตุการณ์ตามคำทำนายกำลังเกิดขึ้นทีละอย่าง”
“มันก็เรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว อุทกภัยภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหวเป็นเรื่องธรรมชาติ ส่วนภัยสงครามก็เกิดเพราะความบ้าสงครามของชาวพิภพเอง เรื่องปีศาจที่ออกมาเพ่นพ่านอยู่ตอนนี้ก็คงเป็นเพราะเขตอาคมในแต่ละอาณาจักรกำลังอ่อนแอลงเพราะมีเรื่องวุ่น ๆ นั่นแหละทำให้เจ้าพวกนั้นหลบรอดออกมาได้ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับคำทำนายของมหาปราชญ์ที่ตรงไหนเลย ” เฮรอสแย้งไม่ยอมเชื่อ
“ข้าไม่รู้ และก็ไม่อยากเถียงกับเจ้าเรื่องนี้ ข้ารู้แต่ว่าตอนนี้หน้าที่ของข้าคือตามหาคนที่จะมาหยุดยั้งเจ้าปีศาจพวกนั้นก่อนที่ผนึกอาคมของราชาเซธารอสที่กางกั้นป่าอาถรรพ์ไว้จะถูกทำลายลง แล้วปีศาจที่ร้ายกาจกว่านี้จะโผล่ออกมา อีกอย่างข้ารับหน้าที่แจ้งข่าวให้กับทางมหาวิหารอาร์เซนโทเฟียให้ทราบเรื่องนี้ด้วย” เซเนตเอ่ยถึงวิหารศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาออสตราลิส วิหารที่ทำหน้าที่ดูแลเหล่าผู้ใช้เวททั่วแดนพิภพและกำจัดปีศาจร้าย
“แล้วใครกันที่จะหยุดยั้งเจ้าปีศาจพวกนั้น ?”
“ไม่รู้!” เซเนตบอกหน้าตาเฉยบ้าง
“อ้าว!”
“ข้ารู้เพียงแต่ดวงแก้วแห่งบาลันเทียร์จะนำทางให้ข้าไปพบกับคนผู้นั้นตามคำทำนาย”
“เฮ้อ! คำทำนายอีกแล้ว”
“ก็ใช่สิ คำทำนายบอกว่าลูกแก้วแห่งบาลันเทียร์จะนำไปพบกับผู้ที่สามารถหยุดยั้งภัยพิบัติในตำนานที่กำลังจะมาเยือนได้ ผู้ที่เป็นแสงแห่งความหวัง”
“เจ้าก็เลยคิดว่าเป็นข้า!?” เฮรอสชี้ที่ตัวเองเป็นเชิงถาม เด็กหนุ่มเองก็ไม่ค่อยจะแน่ใจเหมือนกัน
“ข้าเนี่ยนะ เจ้าว่าข้าเหมือนคนที่เก่งกล้า คนที่จะเป็นความหวังให้ใคร ๆ ได้หรือไง โอ้....สวรรค์!”
“ข้าก็คิดเหมือนกันว่ามันต้องมีอะไรผิดพลาด” เซเนตกระแทกเสียง ชักเริ่มโมโห
“แสงแห่งความหวังที่ไหนจะหมกมุ่นอยู่กับสุรานารี แถมยังลามก ไร้ความคิดสิ้นดี”
“เฮ้! เฮ้! เจ้าว่าข้าหรือไงน่ะ”
“ใช่! ที่พูดมาน่ะมันตัวเจ้าเลย” เฮรอสหัวเราะอย่างขบขันไม่ยักโกรธที่ถูกว่ากระทบ
“ใช่ ๆ เจ้าคิดถูกแล้ว ข้าไม่ใช่ผู้กล้า ไม่ใช่แสงแห่งความหวังของใคร ข้าเป็นคนธรรมด้า...ธรรมดาเท่านั้นเอง เจ้าไปหาที่อื่นเถอะ” เฮรอสกวัดไกวไสส่ง
“แต่ข้าไม่รู้ว่าจะไปหาที่ไหน ลูกแก้วบาลันเทียร์ก็ไม่เห็นส่องแสง ตั้งแต่ข้าหล่นตุ้บลงไปที่หอแสงจันทร์นั่นแสงแห่งลูกแก้วมันก็ดับไปเลย” เจ้าหนุ่มน้อยเซเนตบอก
“เจ้าใช้พลังจากลูกแก้วในการเดินทางมาวินเดเนียงั้นเหรอ ?” ท่าทางเฮรอสเริ่มสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“ใช่ ถ้าเดินทางตามปกติมันต้องใช้เวลามาก ไหนจะต้องผ่านป่าหลงลืมที่เต็มไปด้วยภูตพราย ไหนจะผ่านอาณาจักรต่างๆ ที่กำลังมีปัญหากันอยู่ ยุ่งยากแล้วก็อันตราย ท่านจอมปราชญ์ก็เลยให้ข้าใช้ลูกแก้วนี่ช่วยในการเดินทางและนำทาง”
“ข้าขอดูลูกแก้วบาลันเทียร์หน่อยได้ไหม” เฮรอสถาม ตอนนี้ทั้งคู่หยุดเดินหันมาเผชิญหน้าคุยกันอย่างเคร่งเครียด เซเนตออกจะลังเลแต่แล้วก็ตัดสินใจหยิบลูกแก้วที่เก็บไว้ในอกเสื้อออกมา ดวงแก้วใสกระจ่างวางอยู่บนฝ่ามือผู้ที่เป็นเจ้าของ เฮรอสมองอย่างพิจารณาประกายในดวงตาวาบขึ้นเพียงนิดเดียวก่อนจะสลายไปจนเด็กหนุ่มไม่ทันสังเกตเห็น
“เจ้าเป็นใคร?” เซเนตกระพริบตาปริบ ๆ มองอีกฝ่ายงุนงง
“ก็ข้าชื่อเซเนต เป็นชาวบาลันเทียร์ไง”
“ชาวบาลันเทียร์ธรรมดาจะครอบครองลูกแก้วแห่งบาลันเทียร์ได้หรือ เท่าที่ข้ารู้ลูกแก้วบาลันเทียร์เป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของวิหารหลวง ผู้ที่สามารถจะครอบครองลูกแก้วได้นอกจากราชาแห่งบาลันเทียร์ จอมปราชญ์ หรือจอมเวทแห่งอาณาจักรแล้วก็มีอีกเพียงไม่กี่คน ฉะนั้นคนที่เป็นที่วางใจให้ครอบครองลูกแก้วบาลันเทียร์ได้ย่อมต้องมีความสำคัญมาก”
เซเนตยังรักษาสีหน้าให้ราบเรียบเป็นปกติแม้จะนึกทึ่งกับความฉลาดรอบรู้ของเจ้าหนุ่มเสเพลผู้นี้อยู่เหมือนกัน
“ข้าเซเนต เป็นเด็กกำพร้า ถูกเลี้ยงดูมาโดยผู้เฒ่าเบล จอมเวทแห่งอาณาจักรบาลันเทียร์ ส่วนลูกแก้วบาลันเทียร์นั้น ท่านเฮกาจอมปราชญ์แห่งอาณาจักรของข้าเป็นคนมอบให้เพื่อย่นระยะเวลาในการเดินทางและให้ลูกแก้วนำพาข้าไปพบกับคนที่ท่านจอมปราชญ์ทำนาย”
ดูเหมือนเฮรอสจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่สนใจในสิ่งที่เด็กหนุ่มบอกจึงไม่ซักไซ้ต่อ แต่กลับย้อนถาม
“จอมเวทคนเดียวจะหยุดยั้งภัยพิบัติตามคำทำนายได้หรือ ?” คำถามไม่เชื่อถือเลยซักนิด
“ไม่รู้ ข้ามีหน้าที่ทำตามคำสั่ง ไม่มีอำนาจตัดสินใจ ข้ารู้แต่ว่าข้าต้องตามหาคนในคำทำนายเท่านั้น” เซเนตมองสบตาเฮรอส ประกายตาเด็กหนุ่มมุ่งมั่น
“แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าคนที่เจ้าต้องตามหาอยู่ที่ไหน ?” เซเนตส่ายศรีษะจนปัญญาที่จะตอบเช่นกัน
“ไปหาอะไรกินกันก่อนค่อยคิดทีหลังก็แล้วกัน” ชายหนุ่มสรุปง่าย ๆ พลางก้าวนำ
ความคิดเห็น