คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : คุณหนูของจวนแม่ทัพ
คุณหนูของจวนแม่ทัพ
เสียงกระทบกันของดาบดังขึ้นเรื่อย
ๆเมื่อรถม้าขยับเข้าไปใกล้
เมื่อเห็นระยะห่างที่พอเหมาะจ้าวเยว่เทียนจึงสั่งให้หยุดรถม้าเอาไว้
“ท่านจะให้ความช่วยเหลือแก่นางหรือไม่”
มี่ฮวาถามจ้าวเยว่เทียนเผื่อเขาอยากแสดงไมตรีให้แก่หญิงสาวที่อาจเป็นพระชายาของเขาในอนาคต
จ้าวเยว่เทียนไม่ตอบนางแต่หันไปคุยกับเจิ้งซื่อแทน
“เจ้าไปดูสถานการณ์แบบละเอียดแล้วมารายงานข้าอีกที”
“ขอรับ”
เจิ้งซื่อตอบพลันหายไปเหลือแต่สายลมอ่อน ๆ พัดมา
“ส่วนเจ้าเกาเทียนฉี
เจ้าไปคอยช่วยคนของนางแต่อย่าพึ่งแสดงตัวหากยังไม่ถึงคราวคับขันหากสถานะการณ์ไม่ร้ายแรงให้กลับมาทันทีอย่าให้นางรู้ตัว”
องครักษ์เกาตอบรับพร้อมกับออกไปด้านนอกรถม้า
เมื่อจ้าวเยว่เทียนหันกลับมาหลังจากมอบหน้าที่เสร็จก็เห็นสายตาของคนตรงข้ามเหมือนจะบอกว่า
´ให้ข้าออกไปด้วย´ เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องส่งคนไปมากมายเพื่อช่วยเหลือคนอื่นจึงนั่งอยู่เงียบ
ๆ เหมือนเดิม แต่เหมือนความอดทนของคนตรงหน้าเขาจะหมดลง
“ท่านไม่ให้ข้าออกไปดูบริเวณรอบ ๆ
นี้หน่อยหรือเจ้าคะ” นางอยากออกไปดูรอบด้าน นางไม่ได้เป็นห่วงคนในรถม้าด้านหน้า
แต่นางกลัวว่าจะมีคนใช้โอกาสที่รถม้าของจ้าวเยว่เทียนหยุดนิ่งแล้วลอบเข้ามาโจมตี
“แล้วเจ้าจะปล่อยให้ข้าเผชิญอันตรายอยู่เพียงผู้เดียวในนี้งั้นหรือ”
เขากล่าวพร้อมกับทำท่าทางอ่อนแอ
“เจิ้งหู่กับพี่เจิ้งสี่ก็อยู่”
อีกทั้งองครักษ์เงาในหน่วยอีกเป็นโขยง ไม่มีใครปล่อยให้เข้าถึงตัวท่านได้ง่าย ๆ
ประโยคหลังก็ยังคงเป็นความคิด
“แต่ข้าอยากอยู่กับเจ้า”
“...”
“ข้าพูดจริง ๆ”
เขารีบบอกทันทีที่เห็นนางส่งสายตาวาวโรจน์มาให้
“ถ้า...
ถ้าหากมีเสียงดังผิดปกติด้านนอกข้าจะออกไปดูทันที” นางรีบต่อรองกับเขา
นางไม่ชอบอยู่กันสองต่อสองในที่แคบ ๆ กับเขา
คำพูดแบบไม่ยั้งคิดของเขามักจะทำให้นางว้าวุ่นเสมอ
นางถึงได้อยากอยู่ห่างจากเขาสักนิดก็ยังดี นางไม่ใช่สตรีในห้องหอที่จะหลงคารมคนอย่างจ้าวเยว่เทียนได้ง่ายๆ
จ้าวเยว่เทียนได้แต่มองคนตรงหน้าที่ตอนนี้มีเพียงดวงตากระจ่างใสที่ยังมีร่องรอยความขุ่นเคืองหลงเหลืออยู่โผล่พ้นผ้าผืนบาง
ๆที่คลุมเอาไว้ออกมา นางไม่อยากอยู่กับเขาสองคนทำไมเขาจะไม่รู้
ต่อให้นางจะอยากหนีเขาไปสุดขอบฟ้าแต่ถ้าหากเขาอยากให้อยู่นางก็หนีเขาไปไหนไม่พ้นหรอก
เสียงปะทะกันดังอย่างต่อเนื่อง
รอบบริเวณเขาเริ่มมีคนทั้งได้รับบาดเจ็บและนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น
เกาเทียนฉีที่ยังไม่เข้าไปเห็นกลุ่มคนสองฝ่ายกำลังต่อสู้กัน
ฝ่ายหนึ่งคือทหารของจวนแม่ทัพประจิม ส่วนอีกฝั่งใส่ชุดดำปิดหน้าตา
ฝั่งหลังดูเหมือนจะมีคนมากกว่า
แต่ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบอาจเป็นเพราะถึงแม้จำนวนที่จะน้อยกว่าแต่ฝีมือไม่ได้ด้อยตาม
ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง
บริเวณรถม้าที่เอียงกระเท่เร่อยู่ คุณหนูซุนกรีดร้องขึ้นมาเมื่อถูกหนึ่งในชายฉกรรจ์ฉุดกระชากนางออกไปจากบริเวณนั้น
เหล่าข้ารับใช้ของนางพยายามเข้าไปช่วยแต่บ่าวตัวเล็ก ๆ
พวกนั้นจะทำอันใดได้นอกจากทำให้คนเหล่านั้นหงุดหงิดมากกว่าเดิม
เขาจึงจะพุ่งเข้าไปช่วยเนื่องจากทหารที่เหลือกำลังพัวพันกับการต่อสู้
แต่ทันใดนั้นเจิ้งซื่อก็ส่งสัญญาณมาให้เขาว่าอย่าเข้าไป
เขาได้แต่สงสัยแต่ก็คอยตามประกบนางที่โดนพาตัวออกไปอยู่เป็นระยะเพื่อไม่ให้นางโดนทำร้าย
“ถ้านางยังไม่มีเลือดออกอย่าพึ่งเข้าไปช่วย”
เจิ้งซื่อที่มาโผล่ด้านหลังเขาอย่างกะทันหันกระซิบบอก
“ซื่อจื่อบอกมางั้นรึ?”
“ข้าบอก” พูดจบก็หายตัวไปทันที
เกาเทียนฉีจึงได้แต่ตามคุณหนูซุนไปเป็นระยะ
นางก็กรีดร้องไม่หยุดพร้อมกับทุบตีไปที่คนที่จับตัวนางมา
ทันทีที่ความอดทนของชายผู้นั้นกำลังจะหมดลงและทำท่าจะทำร้ายคุณหนูซุน
ก็มีทหารของแม่ทัพประจิมเข้ามาช่วยนางทัน ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด เสียงดาบกระทบกันเสียงดังทำให้คุณหนูซุนเริ่มกรีดร้องอีกครั้ง
ทันใดนั้นคนร้ายก็โดนเหวี่ยงมาบริเวณที่เกาเทียนฉีซ่อนอยู่
เขาเห็นทหารของแม่ทัพประจิมตกใจเพียงเล็กน้อย
จากนั้นจึงพุ่งเข้ามาจัดการผู้ร้ายต่อ
เมื่อคนร้ายที่ถูกเหวี่ยงมาบริเวณเกาเทียนฉีอยู่ ซุนซูลี่ที่มองการต่อสู้อยู่ตลอดเวลาอย่างลุ้นระทึกจึงเห็นเขา
นางจึงรีบวิ่งเข้ามาหาเพื่อขอความช่วยเหลือจากเขาทันที
“ช่วยด้วยเจ้าค่ะ ...ช่วยข้าด้วย ”
นางพูดพร้อมกับสั่นน้อยๆ
“ท่านคือองครักษ์ของจวนจ้าวอ๋องใช่หรือไม่
ท่านช่วยพาข้าออกไปจากบริเวณนี้ที” สิ่งที่นางเจอในวันนี้มันเกินกว่าที่สตรีที่โดนเลี้ยงมาเยี่ยงไข่ในหินจะรับได้
เกาเทียนฉีที่โดนเปิดเผยที่อยู่อย่างไม่ทันตั้งตัวจึงได้แต่ตามน้ำกับนางไปก่อน
“คุณหนูรออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าต้องไปช่วยทหารคนนั้น”
“มะ...ไม่...ไม่ต้อง
ท่านข้าพาข้าออกไปก่อน...ข้ากลัว” นางคิดแต่ว่านางต้องรีบออกไปจากที่นี่
“แต่ว่า...”
“ออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
นางพูดพร้อมกับรีบดึงแขนเสื้อเขาทันที
คนร้ายเห็นเป้าหมายกำลังจะหนีไป
จึงรีบผละออกจากทหารและหวังจะตามไปทันทีแต่จู่ๆฝีมือของทหารที่มันสู้ด้วยก็เพิ่มขึ้นจนตั้งรับไม่ทัน
ได้แต่ปัดป้องไปมา จนทำให้ซุนซูลี่และเกาเทียนฉีออกไปจากบริเวณนั้นได้ง่าย
เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าทั้งสองออกไปไกลจากระยะที่ได้ยินแล้วจึงหยุดการต่อสู้
และพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงร่าเริงผิดปกติ
“ถุงเงินของเจ้าวิ่งหนีหายไปเสียแล้ว...น่าเสียดาย”
“เจ้า...เจ้าเป็นทหารของนางไม่ใช่รึ” ทหารจวนใดไยพูดถึงนายของตนเยี่ยงนี้
“หืม...ข้าหรอ”
ทหารคนนั้นชี้นิ้วมาที่ตัวเอง
“...”
“อ้อ...ขออภัยที่ทำให้พี่ชายเข้าใจผิด
พอดีข้ายืมชุดผู้อื่นมาใส่น่ะ” บอกพลางซัดไปที่คอของชายตรงหน้าจนสลบเหมือดไปทันที
จ้าวเยว่เทียนที่นั่งอยู่ในรถม้าได้ยินเสียงการต่อสู้ที่หยุดลงหลังจากเจิ้งซื่อกลับมารายงานเขาก่อนหน้านี้
นั่งรอได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของสตรีลอยมาแต่ไกล
ทันใดนั้นคนที่เขารั้งให้อยู่ข้างกายอย่างยากลำบากก็หายไปทันที
พานให้อารมณ์หงุดหงิดที่ได้ยินเสียงร้องไห้พุ่งสูงขึ้น
เสียงเคาะรถม้าดังขึ้นเป็นเกาเทียนฉีที่รายงานเขา “ซื่อจื่อขอรับ...คุณ”
“อย่ามากวนข้า” เขาส่งเสียงหงุดหงิดตอบกลับไปทันที
ด้านนอกมีอาการชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะมีเสียงสั่นๆของสตรีตอบกลับมา
“ท่านชายจ้าวเยว่เทียนเจ้าคะ...ข้าซุนซูลี่เองเจ้าค่ะ”
นางตอบเสียงสั่นด้วยไม่คิดว่าบุรุษที่อยู่ด้านในจะปฏิบัติกับนางเยี่ยงนี้
ปกติบุรุษใดก็ล้วนพูดจาสุภาพอ่อนหวานกับนาง
เมื่อนางพูดเสร็จได้รับความเงียบกลับมาพักหนึ่งจึงเห็นมือเรียวยาวเปิดประตูรถม้าออกมา
“ขออภัยคุณหนูซุน พอดีข้ากำลังเคลิ้มหลับไป”
จ้าวเยว่เทียนตอบพร้อมกับยิ้มให้กับนาง
เมื่อซุนซูลี่เห็นดังนั้นจึงเกิดความขวยเขินขึ้นมา “ไม่ทราบว่าท่านให้ข้าโดยสารรถม้าของท่านกลับจวนได้หรือไม่เจ้าคะ”
นางรีบทำใจกล้าขอทันทีที่เห็นจ้าวเยว่เทียนยิ้มให้นาง
แสดงว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้ตั้งใจตะคอกใส่นางหัวใจนางพลันพองโตขึ้นมา
“เชิญคุณหนู”
เขากล่าวพร้อมกับเปิดรถม้าให้นาง
“ต้องขอบพระคุณท่านชายมากนะเจ้าคะ ที่ช่วยเหลือข้า”
นางกล่าวขึ้นมาเมื่อรถม้าเริ่มเคลื่อนตัว
“มิเหลือบ่ากว่าแรงข้านักหรอก
เพียงให้สตรีตัวเล็กๆ ขึ้นมาด้วยไม่ทำให้ม้าข้าเหนื่อยเพิ่ม”
“มิใช่เจ้าค่ะ
ข้าหมายถึงที่ท่านชายส่งคนไปช่วยข้าเมื่อครู่ หากมีโอกาสข้าก็อยากตอบแทนท่าน”
นางตอบพร้อมกับทำท่าเอียงอาย
“งั้นคุณหนูคงต้องตอบแทนองครักษ์ของข้าเสียแล้ว เพราะเขาเป็นคนลงไปช่วยท่าน
ส่วนข้ากลับนั่งหลับอยู่ในรถม้าหาได้ทำอันใดไม่”
เมื่อนางได้ยินเขาพูดสีหน้าของนางเหมือนจะอึ้งไปเล็กน้อย
“ตะ...แต่...
องครักษ์ของท่านก็ต้องทำตามคำสั่งของท่านมิใช่หรือเจ้าค่ะ” นางรีบแย้งทันที
“คุณหนูเข้าใจผิดแล้ว
เมื่อครู่ข้ายังไม่สร่างเมาเลย ข้าไม่ได้ออกคำสั่งอันใดกับองครักษ์ทั้งนั้น”
เขารีบโยนเผือกร้อนไปให้เกาเทียนฉีทันที เขาสั่งแล้วว่าห้ามให้นางรู้
นี่นอกจากนางจะรู้ยังตามมาถึงที่
เกาเทียนฉีที่รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของผู้เป็นนายจึงรีบรับคำ
“ข้าได้ยินเสียงต่อสู้น่ะขอรับ กลัวจะรบกวนการนอนของท่านชายเข้าข้าจึงลงไปจัดการ”
นี่การต่อสู้เอาชีวิตรอดของนางเป็นเพียงแค่สิ่งกวนใจเวลานอนของเขาเท่านั้นหรือ
ซุนซูลี่ได้แต่อึ้งไปจนพูดอันใดไม่ออก
หลังจากที่รถม้าเคลื่อนตัวอย่างเงียบเชียบไปเรื่อยๆได้เพียงครู่ จ้าวเยว่เทียนจึงตัดสินใจทำลายความเงียบลง
“บิดาและมารดาเจ้าล่ะ
ข้าจำได้ว่าเห็นทั้งสองในงาน”
นางสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงเบา
“ทั้งสองกลับจวนไปก่อนแล้วเจ้าค่ะ ข้าอยู่รอรับของจากสหายของข้าจึงออกมาทีหลัง”
“แล้วเหตุใดจึงผ่านมาทางนี้เล่า
มิใช่ว่าจวนของแม่นางไปอีกทางหรอกรึ” จ้าวเยว่เทียนเอ่ยอย่างรู้ทัน
“เอ่อ...
ทางกลับจวนข้ามีสิ่งของมากีดขวางน่ะเจ้าค่ะ ข้าเลยต้องเปลี่ยนมาใช้ทางอ้อม
ข้าคิดว่าคงเป็นพวกที่ดักทำร้ายข้าเอามาวางไว้” นางรีบตอบคำถามแบบรัวเร็ว
สายตาของเขาที่มองมาทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ
“อืม... โจรพวกนี้ช่างเหิมเกริมยิ่งนัก
กล้าวางแผนการกระทำอุกอาจใกล้กับจวนอ๋องเชียวรึ” ไม่ใช่เหิมเกริม
แต่เป็นโจรโง่ต่างหาก จ้าวเยว่เทียนแอบแก้คำพูดอยู่ในใจ
เกือบหนึ่งชั่วยามในที่สุดก็มาถึงเรือนแม่ทัพประจิม
ด้านหน้าของจวนมีการจุดไฟสว่างไปทั่ว
เหล่าคนรับใช้ทั้งหลายต่างออกมายืนรออยู่ที่หน้าประตูจวน
จ้าวเยว่เทียนได้แต่แอบยิ้มอยู่ในใจ
“คุณหนูคงเป็นที่รักของทุกคนมาก
ดูเถิดมีแต่คนมารอรับเจ้า” เขาเห็นคนงานบางคนอ้าปากหาวเป็นระยะ
“ท่านชายกล่าวเกินไปแล้ว
ทุกคนคงแค่เพียงตกใจน่ะเจ้าค่ะ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องไห้ดังขึ้นมาจากนอกรถม้า
จ้าวเยว่เทียนจึงก้าวลงจากรถม้าไปก่อน
ซุนซูลี่จึงยื่นมือออกมาเล็กน้อยเพื่อหวังให้จ้าวเยว่เทียนประคอง
เขาเห็นดังนั้นจึงหยิบพัดที่เหน็บอยู่ที่เอวขึ้นมาแล้วใช้พัดดันที่ฝ่ามือของนางแทนการใช้มือจับ
เสียงร้องไห้นั้นเหมือนจะชะงักไปเล็กน้อยพร้อมๆกับซุนซูลี่
“ลี่เอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดบ้าง”
หญิงอวบผู้หนึ่งวิ่งเข้ามากอดนางทันทีพร้อมกับร้องห่มร้องไห้เสียงดัง
และหมุนตัวบุตรสาวไปมาเพื่อดูว่าได้รับบาดเจ็บที่ใดหรือไม่
“ข้ามิเป็นอันใดมากเจ้าค่ะท่านแม่
ท่านชายช่วยข้าได้ทันพอดี”
“ขอบคุณท่านชายมากนะเจ้าคะที่ช่วยลี่เอ๋อร์ของข้าเอาไว้”
นางหันมากล่าวขอบคุณกับจ้าวเยว่เทียน
“หามิได้ซุนฮูหยิน
ข้าคงต้องขอกล่าวย้ำอีกทีว่าข้ามิได้ช่วยนางแต่เป็นองครักษ์ของข้าที่ตัดสินใจลงมือเอง
ถ้าหากว่าท่านต้องการจะขอบคุณท่านควรจะขอบคุณองครักษ์ของข้ามากกว่า
ที่ยอมเสี่ยงไปช่วยลูกสาวท่านและปล่อยให้เจ้านายอย่างข้าหลับอยู่ในรถม้าโดยไร้คนคุ้มกัน”
จ้าวเยว่เทียนรีบเอ่ยยาวๆเพื่อมิให้สองแม่ลูกขัดเขาอีก
ซุนฮูหยินตกใจเล็กน้อยแต่ก็ยังแสดงท่าทางยิ้มแย้มให้เขาอยู่
“ถึงอย่างไรข้าก็ต้องขอบคุณท่านชายอยู่ดีที่ยอมมาส่งลี่เอ๋อร์
ไม่ปล่อยให้ลี่เอ๋อร์กลับมาเพียงลำพัง”
ดูท่าสกุลซุนคงอยากติดหนี้บุณคุณกับเขาเสียเหลือเกิน
จ้าวเยว่เทียนจึงได้แต่ยิ้มรับและกล่าวลา
“นี่ก็ดึกมากแล้วข้าคงต้องขอตัวลาก่อน”
“ขอบคุณมากนะเจ้าคะที่ช่วยข้า...หมายถึงมาส่งข้าน่ะเจ้าค่ะ”
นางรีบเปลี่ยนคำพูดทันทีเมื่อเห็นสีหน้าของจ้าวเยว่เทียน
เมื่อรถม้าของจ้าวเยว่เทียนจากไปบรรยากาศที่หน้าจวนแม่ทัพประจิมก็เปลี่ยนไปทันที
ซุนฮูหยินหันมาถามนางอย่างเอาเรื่อง
“อธิบายเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟัง”
ในเรือนหลังหนึ่งภายในจวนแม่ทัพประจิมถึงแม้ตอนนี้จะล่วงเลยเข้าถึงยามโฉ่ว
แต่เสียงเทียนในห้องก็ยังไม่ดับลง
ในห้องมีสตรีสองวัยที่ใบหน้าคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วนกำลังหันหน้าสนทนากันอยู่
“ไหนเจ้าบอกว่าวิธีนี้ต้องได้ผลแน่นอนมิใช่หรือ
เหตุใดท่านชายจึงไม่ยอมรับว่าช่วยเจ้า” สตรีที่สูงวัยกว่าถามขึ้นซึ่งสตรีนางนั้นก็คือซุนฮูหยิน
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านชายจะตอบแบบนี้
ท่านแม่ท่านต้องจัดการให้ข้านะ ข้ายอมเจ็บตัวมิใช่น้อย”
นางทั้งยอมให้พวกกักขฬะพวกนั้นจับตัวและฉุดกระชากไปตั้งไกล
ทั้งยังต้องกรีดร้องเสียงดังไม่หยุดหวังให้จ้าวเยว่เทียนสนใจและเข้ามาช่วยเหลือนาง
กลับกลายเป็นว่าเขาส่งองครักษ์มาแทน อีกทั้งยังไม่ยอมรับความดีความชอบที่นางมอบให้
“ข้าสู้อุตส่าห์ถ่วงเวลาให้ท่านชายมาช่วยข้าตั้งนาน
จนพวกนั้นทนไม่ไหวเริ่มจะเอาจริงแต่สุดท้ายคนที่โผล่มาช่วยกลายเป็นองครักษ์ข้างกายของจ้าวเยว่เทียน”
นางได้แต่แค้นใจที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนที่นางต้องการ
“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าให้เจ้าใจ ๆเย็นก่อน
อย่าพึ่งลงมือเจ้าก็ใจร้อนอยู่ได้” นางได้แต่ปลอบ
“แต่ถ้าหากไม่ใช้ช่วงเวลาเช่นนี้ข้าก็เจอท่านชายได้ยากแล้วนะเจ้าคะ”
ซุนซูลี่คร่ำครวญและได้แต่ตัดพ้อในใจ นางพยายามเป็นจุดเด่นเสมอเวลาออกงาน
อีกทั้งแสดงท่าทางให้เขารับรู้ว่านางมีใจให้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดมักมีเหตุที่ทำให้นางคลาดกับเขาอยู่เสมอ
“ข้าย่อมมีแผนให้เจ้าเจอท่านชายโดนที่ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายขนาดนี้”
บุตรีคนนี้ของนางค่อนข้างใจร้อนและไม่ค่อยมีความอดทนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
แต่เมื่อเห็นางเสียใจผู้เป็นแม่ก็พร้อมที่จะลองเสี่ยงดูอีกครั้ง
“ท่านแม่เจ้าคะ
หรือว่าที่ท่านชายไม่ยอมรับอาจเป็นเพราะว่าท่านรู้สึกไม่ดีที่ไม่ได้เป็นคนลงมือช่วยเหลือลูกด้วยตนเองหรือเปล่าเจ้าคะ”
นางคิดเข้าข้างตนเอง อย่างไรเสียจ้าวเยว่เทียนก็เป็นถึงลูกชายของแม่ทัพ
ถ้าหากมีข่าวว่าเขาแอบอ้างผลงานของลูกน้องอาจทำให้เขารู้สึกไม่ดี
ซุนฮูหยินคิดตามที่ลูกสาวนางพูด “อาจจะจริง ถึงท่านชายจะทำตัวเหลวไหลเพียงไรถึงอย่างไรเสียท่านก็เป็นหนึ่งในเชื่อพระวงศ์
ย่อมมีความหยิ่งในศักด์ศรีเป็นทุนเดิม”
เมื่อซุนซูลี่ได้ยินมารดาของตนคิดไปทางเดียวกับนาง
นางจึงสบายใจขึ้นมาและมีความหวังเพิ่มขึ้น
แต่ทันใดนั้นนางก็มีสีหน้าวิตกอย่างเห็นได้ชัดทันทีเมื่อนึกอะไรบางอย่างได้
“ท่านแม่เจ้าค่ะ
ท่านว่าท่านชายจะเจอคนที่เราจ้างไปหรือไม่เจ้าคะ”
นางกังวลกับสายตาที่ดูเหมือนรู้ทันของจ้าวเยว่เทียนอยู่ไม่น้อย
“คงไม่หรอก
เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าคนพวกนั้นทหารของเราประกบทุกคนไม่มีใครหนีรอดไปได้
เมื่ออยู่ในมือของฝ่ายเรา
จ้าวเยว่เทียนคงไม่กล้ามาก้าวก่ายกับการตัดสินของพวกเราหรอก”
ซุนซูลี่นิ่งไปและได้แต่คล้อยตามที่มารดาบอก
ไม่กี่วันต่อมามีข่าวที่เกิดขึ้นกับคุณหนูสกุลซุนก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมือง
ทุกคนต่างร่วมประณามโจรที่หาญกล้ามาทำร้ายหญิงงามของเมือง และหญิงงามย่อมต้องคู่ควรกับบุรุษผู้เพียบพร้อมทุกคนในเมืองเหมือนกับจะแกล้งลืม
´ข่าวคาว´ของจ้าวเยว่เทียนที่ผ่านมา
จึงได้สรรเสริญความกล้าหาญของเขาไปช่วยหญิงงาม
ทุกคนในเมืองต่างชะเง้อรอดูอยู่ที่ประตูจวนทั้งสองว่าเมื่อไหร่จะมีแม่สื่อเดินผ่านเข้าไปในจวนเสียที ในตำหนักของจ้าวอ๋องขณะนี้
จ้าวซงหยวนกำลังเรียกบุตรชายตัวดีเข้ามาไถ่ถามเรื่องที่กำลังเป็นที่โจษจันไปทั่ว
แต่ดูเหมือนตัวต้นเรื่องยังคงมีความผ่อนคลายไม่ได้รู้สึกอันใด
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ฝ่ายสนับสนุนขององค์รัชทายาทบางคนไม่พอใจ”
การที่มีข่าวระหว่างจวนจ้าวอ๋องกับจวนของแม่ทัพประจิมก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำในราชสำนักไม่น้อย
ฝั่งแม่ทัพประจิมคือสกุลเดิมของซุนเต๋อเฟยพระมารดาขององค์ชายใหญ่
ทำให้มีบางคนคิดว่าเขาอาจจะเปลี่ยนฝั่ง “เรื่องนี้ข้ากราบทูลพระองค์ไปแล้ว
และพระองค์ก็รับทราบไม่ได้หวาดระแวงอันใดกับเรา”
เขารับรู้ได้ว่ามีตาเฒ่าบางคนยังคิดระแวงเขา
“รัชทายาทท่านไม่ระแวงเจ้าแต่ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะไม่ระแวง” “ท่านไม่ต้องห่วงข้ามีวิธีจัดการ
ถ้าหากท่านกลัวว่าการคานอำนาจจะเสียสมดุลเพราะเรื่องนี้ ข้าก็จะทำให้มันสมดุลเอง”
จ้าวเยว่เทียนกล่าวพร้อมกับหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ “เจ้าคิดจะทำการใดอีก”
บางครั้งเขาก็ตามไม่ทันกับความคิดนอกกรอบของบุตรชายเขา “หากปัญหาเกิดจากการที่ข้าแสดงน้ำใจต่อคุณหนูจวนแม่ทัพประจิม
ดังนั้นข้าก็แค่แสดงน้ำใจต่อผู้อื่นเพิ่มก็เท่านั้น”
จ้าวเยว่เทียนเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาทันที
และไม่รอให้จ้าวซงหยวนเอ่ยคัดค้านอีกเขาจึงรีบจัดการทันที “หูกงกง
ข้าวานท่านส่งของบำรุงไปให้คุณหนูใหญ่จากจวนแม่ทัพบูรพา
ข้าได้ข่าวมาว่านางป่วยมานาน อ้อ! เอาไก่ตุ๋นโสมส่งไปให้นางด้วยล่ะ”
เขากล่าวพร้อมกับดูท่าทางของคนที่อยู่ในห้องทันที “จวนแม่ทัพหยางน่ะหรือขอรับ” หูกงกง
ถามเพื่อความแน่ใจ “ใช่น่ะสิ
ในเมื่อข้ามีข่าวกับคุณหนูฝั่งแม่ทัพประจิม ข้าก็ควรแก้ข่าวกับคุณหนูฝั่งแม่ทัพบูรพา
เจ้าว่าดีหรือไม่”
หูกงกงได้ยินคำตอบของจ้าวเยว่เทียนเขาก็แทบจะลงไปกองกับพื้น
ท่านชายของเขาไม่ควรล้อเล่นกับจวนสกุลหยางเช่นนี้
ท่านจะแก้สมดุลโดยการเข้าหาจวนอีกฝั่งตามทิศทางไม่ได้! เขาหันไปหาจ้าวซงหยวนเพื่อขอความเห็น
แต่กลับเห็นจ้าวอ๋องพยักหน้าน้อย ๆกลับมาแทน “ถ้าหากเจ้ายังไม่รีบไปส่งของให้นาง
ข้าจะให้เจ้าพาแม่สื่อไปทาบทามนางเสีย” “ข้าจะไป...ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละขอรับ”
เขาขนหัวลุกไปหมดแล้ว
ท่านชายของเขาล้อเล่นอันใดถึงขั้นจะส่งแม่สื่อไปที่จวนผู้อื่นง่าย ๆเช่นนี้ !
หลังจากที่รอกันอยู่นานในที่สุดประตูจวนจ้าวอ๋องก็เปิดออกมาพร้อมกับรถม้าคันโตสองคันที่คล่อย
ๆเคลื่อนออกไปผู้คนที่รอดูอยู่ต่างก็รีบเล่าลือกันปากต่อปาก
แต่เมื่อเห็นทิศทางที่รถม้าเคลื่อนไปไม่ใช่ทิศทางของจวนที่พวกเขาเดากันไว้ต่างก็พากันแสดงสีหน้าผิดหวัง
ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยาม
รถม้าคันใหญ่ที่ดูหรูหราประทับตราจ้าวอ๋องเด่นเป็นสง่าก็มาถึงจวนของแม่ทัพบูรพา
หูกงกงรีบบอกพ่อบ้านของจวนว่ามีของบำรุงส่งมาให้จากจ้าวเยว่เทียน
ทำให้ทั้งหมดเกิดอาการตกตะลึงกันไปไม่น้อย จนหูกงกงต้องย้ำอีกทีพ่อบ้านของจวนจึงเข้าไปตามคุณหนูใหญ่มาให้เขา “ขออภัยท่านหูกงกง
คุณหนูท่านไม่ค่อยสบายนางไม่สามารถมาที่เรือนใหญ่ได้
ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไปนางขอเชิญท่านที่เรือนของนางขอรับ”
พ่อบ้านวัยกลางคนกล่าวอย่างนอบน้อม “ท่านนำทางได้เลย”
หูกงกงตอบรับพร้อมกับให้บ่าวรับใช้ขนของตามมา หีบที่นำมามีขนาดใหญ่ถึงสามหีบทำให้คนในจวนต้องชะเง้อคอแอบดูกัน
แต่สิ่งทีทำให้ทุกคนประหลาดใจที่สุดคงหนีไม่พ้นหูกงกงขันทีคนสนิทของจ้าวอ๋องที่ประคองหม้อใบหนึ่งอยู่ในมือตลอดเวลา ท่านชายท่านจะเอาแต่ใจเกินไปแล้ว! หูกงกงคร่ำครวญพร้อมกับมองหม้อที่ยังมีความร้อนหลงเหลืออยู่ในมือ
ท่านชายกำชับเขาว่าต้องให้เขาเป็นคนมอบไก่ตุ๋นโสมให้นางกับมือเท่านั้น
และต้องดูตอนนางรับประทานเสียด้วย สวรรค์ท่านส่งท่านชายมาลงโทษข้าใช่หรือไม่! เมื่อเดินเข้ามาได้ซักพักเขาก็ได้กลิ่นดอกเบญจมาศอบอวลเต็มไปหมดเนื่องจากรอบ
ๆเรือนของนางปลูกไว้หลากหลายสี
อีกทั้งมีผีเสื้อและและผึ้งบินอยู่ไปทั่วทำให้บรรยากาศดูสงบร่มรื่น
คนที่เขาอยากพบตอนนี้นางกำลังนั่งอยู่ในศาลาหลังน้อยในสวนดอกไม้ของนาง
สายลมอ่อน ๆโชยมากระทบร่างบางของนางก็พานให้กายนางสั่นน้อย ๆ
หูกงกงจึงรีบเข้าไปหานางทันทีด้วยไม่อยากให้นางขึ้นชื่อว่าทรุดลงเพราะมารอเขา “คารวะท่านหูกงกงเจ้าค่ะ” คุณหนูใหญ่หยางซินหลินค้อมตัวเคารพเขาพร้อมกับแอบมองมาที่หม้อในมือของเขา
เขาได้แต่มองคนตรงหน้าที่เปลี่ยนไปมากนัก
สมัยก่อนตอนนางยังเป็นเด็กยังดูเป็นเด็กที่ร่าเริงแจ่มใสไม่คิดว่านางจะป่วยไข้จนร่างกายทรุดโทรมได้ขนาดนี้
ใบหน้าของนางขึ้นสีน้อยๆ แต่ปากนางกลับซีดเซียวยิ่งนัก อีกทั้งหยาดเหงื่อที่แซมตามไรผมของนางไหนจะอาการหอบของนางยามที่เอ่ยพูดออกมาทำให้เขารู้สึกสงสารนางที่ถูกจ้าวเยว่เทียนใช้เป็นเครื่องมือ “อย่างที่คุณหนูหยางรู้ ข้านำของบำรุงจากท่านจ้าวเยว่เทียนมาให้ท่านเนื่องจากท่านชายเห็นว่าท่านไม่ค่อยแข็งแรงนัก”
เขาบอกนางพร้อมกับกล่าวขอโทษนางในใจที่ทำให้นางติดร่างแหไปด้วย “ส่วนนี่คือไก่ตุ๋นโสม
ท่านชายเป็นคนเลือกโสมให้คุณหนูเองกับมือท่านชายบอกว่ามันจะช่วยบำรุงกำลังให้แก่คุณหนู”
เรื่อง นี้เขาไม่ได้โกหก
ท่านชายเป็นคนเลือกโสมเองเขายังไม่อยากเชื่อว่าจ้าวเยว่เทียนจะลงมือเองแบบนี้ “ลำบากท่านหูกงกงกับท่านชายของท่านแย่แล้ว” “มิได้ลำบากอันใดคุณหนูอย่าคิดมาก
ไก่ตุ๋นยังคงร้อนอยู่หากนำไปอุ่นอีกรอบคงไม่อร่อยคุณหนูจะลองชิมเลยหรือไม่”
หูกงกงสบโอกาสได้กำจัดหม้อที่เขาต้องรักษามานานตั้งแต่ออกมาจากจวนจ้าวอ๋องได้เสียที “งั้นรบกวนท่านหูกงกงด้วยเจ้าค่ะ”
นางบอกพลางหันไปพยักหน้าให้บ่าวในเรือนของนางนำถ้วยและตะเกียบมาให้
เมื่อนางคีบไก่เพียงนิดเนื้อก็เปื่อยยุ่ยออกมาพอดี อีกทั้งน้ำซุปที่มีกลิ่นหอมหวานชวนให้น้ำลายสอ
เมื่อเห็นหยางซินหลินกินอาหารได้อย่างเอร็ดอร่อย หูกงกงพลอยดีใจไปด้วย “เห็นคุณหนูชอบข้าก็ดีใจ
ท่านชายคงพอใจเป็นแน่ถ้าหากทราบว่าคุณหนูทานได้เยอะขนาดนี้”
เขาพูดพร้อมกับส่งสายตาเอ็นดูไปให้นาง
ตอนนางยังเด็กสมัยที่แม่ทัพหยางยังเป็นรองแม่ทัพให้กับจ้าวอ๋องเขายังเคยได้ดูแลนางช่วงที่มารดาของนางพึ่งเสียไปใหม่ๆ
ตอนนี้นางผ่ายผอมลงไปมากข้อมือของนางมีกระดูกโปนออกมาเล็กน้อยข้อนิ้วของนางก็เห็นกระดูกชัดเจน
ดวงตาของนางก็หม่นแสงไม่มีวี่แววของความสดใส นางคงเหงาไม่น้อย
นางมีท่าทีเขินขันทีชราเล็กน้อยที่เผลอแสดงกิริยาไม่งามต่อหน้าเขา
“ฝากขอบคุณท่านชายจ้าวเยว่เทียนด้วยนะเจ้าคะที่เมตตาข้าน้อย
ถ้าหากข้ามีโอกาสข้าจะตอบแทนทีหลังนะเจ้าคะ”
“มิต้องลำบากหรอกคุณหนูหยางขอเพียงท่านรักษาตัวให้แข็งแรงดังเดิมก็พอแล้ว
ข้ายังอยากเห็นคุณหนูวิ่งเล่นได้เหมือนเก่าอยู่มิน้อย”
หูกงกงพูดจากใจจริงเขาอยากให้นางแข็งแรงมากกว่าที่นางจะมาตอบแทนจ้าวเยว่เทียนจนต้องเข้ามาเล่นตามเกมที่ถูกวางเอาไว้
“หากว่าไม่เป็นการรบกวนท่านเกินไปข้ามีพรมขนสัตว์อยู่ผืนหนึ่งฝากท่านมอบให้ท่านชายด้วยนะเจ้าคะ”
นางกล่าวพลางหยิบหีบไม้สวยงามที่ด้านในมีพรมขนสัตว์พับเอาไว้อยู่
เมื่อหูกงกงรับหีบไม้มาเขาก็รู้สึกสังเวชนางไม่น้อย
ขนาดหีบไม้ยังมีกลิ่นสมุนไพรเต็มไปหมดนางคงต้องทรมานกับอาการป่วยของนางที่มีมานาน
“ข้าจะมอบให้ท่านชายกับมือข้าเองคุณหนูไม่ต้องห่วง” “ข้าต้องรบกวนหูกงกงแล้วเจ้าค่ะ”
นางกล่าวพร้อมกับยิ้มให้เขา
“ข้ารบกวนเวลาพักผ่อนของคุณหนูเสียนานท่านไปพักผ่อนเถิดไม่ต้องไปส่งข้าหรอก”
หูกงกงบอกนางพร้อมกับยิ้มอย่างใจดีให้นาง
เขารอส่งจนนางเดินเข้าไปในเรือนจึงจะเดินออกมา อันที่จริงขันทีระดับเขาไม่จำเป็นต้องปฏิบัติกับนางแบบให้เกียรติเยี่ยงนี้ก็ยังได้
แต่ด้วยความสงสารเขารู้ว่านางอยู่ตัวคนเดียวเนื่องจากแม่ทัพหยางไม่ได้กลับจวนมานานและเป็นเรื่องปกติที่นางจะต้องโดนกลั่นแกล้งเป็นแน่ดูจากร่างกายของนางที่ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นแม้แต่น้อย
เพราะนอกจากนางแล้วเขารู้ว่าในจวนยังมีฮูหยินรองและบุตรีของแม่ทัพหยางอยู่ด้วย
เขาจึงแสดงให้บ่าวในจวนและคนอื่นเห็นว่านางได้รับความเอ็นดูจากจวนจ้าวอ๋องอยู่ไม่น้อย
ถ้าหากจะหาเรื่องนางคงต้องเกรงใจอยู่หลายส่วน
จ้าวเยว่เทียนรอหูกงกงมารายงานอยู่ไม่เกินสองชั่วยาม
เขาก็เห็นขันทีชราเดินมาพร้อมกับหีบใบหนึ่ง
ขาไปถือหม้อขากลับถือหีบสิขันทีชรายามนี้ดูตลกยิ่งนัก “ท่านชายนางน่าสงสารยิ่งนัก
ท่านไม่ควรลากนางเข้ามายุ่งด้วยเลยข้าว่าแค่นี้นางก็ทรมานมากแล้วนางไม่ควรต้องมาติดร่างแหไปด้วยนะท่านชาย”
หูกงกงบ่นเขายาวเหยียดทันทีที่พบเขา “ข้าทำอันใดผิด ข้าแค่อยากแก้ข่าวเท่านั้น
เจ้าไปพบนางเพียงนิดเดียวก็หลงเสน่ห์นางแล้วรึ”
จ้าวเยว่เทียนเอ่ยเย้าหูกงกง “หามิได้
ท่านชายตอนนี้ชาวบ้านร้านตลาดคงเล่าลือเรื่องนี้กันไปทั่ว” “ก็นั่นเป็นสิ่งที่เราต้องการมิใช่หรือ
แล้วเจ้าจะเดือดร้อนไปทำไม”
เขาให้หูกงกงไปหานางเพื่อให้เกิดข่าวลือแล้วตอนนี้ขันทีเฒ่าผู้นี้กลับมากลัวข่าวลือเสีย “เฮ้อ... ข้าน้อยเถียงไปก็เท่านั้น
นี่เป็นของที่คุณหนูหยางซินหลินฝากมาให้ท่านชายขอรับ” เขายื่นหีบให้กับจ้าวเยว่เทียน “พรมขนสัตว์งั้นหรือ”
จ้าวเยว่เทียนกล่าวพลางพลิกดูอย่างละเอียด
เมื่อรับรู้ว่าเป็นของสัตว์ชนิดใดเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นมาทันทีทำให้หูกงกงตกใจจนแทบจะหงายหลัง ´ท่านชายของเขาวิปลาสไปเสียแล้ว´
ความคิดเห็น