ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    องครักษ์พิทักษ์หลังคา (สนพ.เฟยฮุ่ย)

    ลำดับตอนที่ #8 : คุณหนูของจวนแม่ทัพ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.14K
      218
      1 ก.ค. 62

    คุณหนูของจวนแม่ทัพ

         เสียงกระทบกันของดาบดังขึ้นเรื่อย ๆเมื่อรถม้าขยับเข้าไปใกล้ เมื่อเห็นระยะห่างที่พอเหมาะจ้าวเยว่เทียนจึงสั่งให้หยุดรถม้าเอาไว้

         “ท่านจะให้ความช่วยเหลือแก่นางหรือไม่” มี่ฮวาถามจ้าวเยว่เทียนเผื่อเขาอยากแสดงไมตรีให้แก่หญิงสาวที่อาจเป็นพระชายาของเขาในอนาคต

         จ้าวเยว่เทียนไม่ตอบนางแต่หันไปคุยกับเจิ้งซื่อแทน “เจ้าไปดูสถานการณ์แบบละเอียดแล้วมารายงานข้าอีกที”

         “ขอรับ” เจิ้งซื่อตอบพลันหายไปเหลือแต่สายลมอ่อน ๆ พัดมา

         “ส่วนเจ้าเกาเทียนฉี เจ้าไปคอยช่วยคนของนางแต่อย่าพึ่งแสดงตัวหากยังไม่ถึงคราวคับขันหากสถานะการณ์ไม่ร้ายแรงให้กลับมาทันทีอย่าให้นางรู้ตัว” องครักษ์เกาตอบรับพร้อมกับออกไปด้านนอกรถม้า

         เมื่อจ้าวเยว่เทียนหันกลับมาหลังจากมอบหน้าที่เสร็จก็เห็นสายตาของคนตรงข้ามเหมือนจะบอกว่า ´ให้ข้าออกไปด้วย´ เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องส่งคนไปมากมายเพื่อช่วยเหลือคนอื่นจึงนั่งอยู่เงียบ ๆ เหมือนเดิม แต่เหมือนความอดทนของคนตรงหน้าเขาจะหมดลง

         “ท่านไม่ให้ข้าออกไปดูบริเวณรอบ ๆ นี้หน่อยหรือเจ้าคะ” นางอยากออกไปดูรอบด้าน นางไม่ได้เป็นห่วงคนในรถม้าด้านหน้า แต่นางกลัวว่าจะมีคนใช้โอกาสที่รถม้าของจ้าวเยว่เทียนหยุดนิ่งแล้วลอบเข้ามาโจมตี

         “แล้วเจ้าจะปล่อยให้ข้าเผชิญอันตรายอยู่เพียงผู้เดียวในนี้งั้นหรือ” เขากล่าวพร้อมกับทำท่าทางอ่อนแอ

         “เจิ้งหู่กับพี่เจิ้งสี่ก็อยู่” อีกทั้งองครักษ์เงาในหน่วยอีกเป็นโขยง ไม่มีใครปล่อยให้เข้าถึงตัวท่านได้ง่าย ๆ ประโยคหลังก็ยังคงเป็นความคิด

         “แต่ข้าอยากอยู่กับเจ้า”

         “...”

         “ข้าพูดจริง ๆ” เขารีบบอกทันทีที่เห็นนางส่งสายตาวาวโรจน์มาให้

         “ถ้า... ถ้าหากมีเสียงดังผิดปกติด้านนอกข้าจะออกไปดูทันที” นางรีบต่อรองกับเขา นางไม่ชอบอยู่กันสองต่อสองในที่แคบ ๆ กับเขา คำพูดแบบไม่ยั้งคิดของเขามักจะทำให้นางว้าวุ่นเสมอ นางถึงได้อยากอยู่ห่างจากเขาสักนิดก็ยังดี นางไม่ใช่สตรีในห้องหอที่จะหลงคารมคนอย่างจ้าวเยว่เทียนได้ง่ายๆ     

         จ้าวเยว่เทียนได้แต่มองคนตรงหน้าที่ตอนนี้มีเพียงดวงตากระจ่างใสที่ยังมีร่องรอยความขุ่นเคืองหลงเหลืออยู่โผล่พ้นผ้าผืนบาง ๆที่คลุมเอาไว้ออกมา นางไม่อยากอยู่กับเขาสองคนทำไมเขาจะไม่รู้ ต่อให้นางจะอยากหนีเขาไปสุดขอบฟ้าแต่ถ้าหากเขาอยากให้อยู่นางก็หนีเขาไปไหนไม่พ้นหรอก

         เสียงปะทะกันดังอย่างต่อเนื่อง รอบบริเวณเขาเริ่มมีคนทั้งได้รับบาดเจ็บและนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น เกาเทียนฉีที่ยังไม่เข้าไปเห็นกลุ่มคนสองฝ่ายกำลังต่อสู้กัน ฝ่ายหนึ่งคือทหารของจวนแม่ทัพประจิม ส่วนอีกฝั่งใส่ชุดดำปิดหน้าตา ฝั่งหลังดูเหมือนจะมีคนมากกว่า แต่ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบอาจเป็นเพราะถึงแม้จำนวนที่จะน้อยกว่าแต่ฝีมือไม่ได้ด้อยตาม

         ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง บริเวณรถม้าที่เอียงกระเท่เร่อยู่ คุณหนูซุนกรีดร้องขึ้นมาเมื่อถูกหนึ่งในชายฉกรรจ์ฉุดกระชากนางออกไปจากบริเวณนั้น เหล่าข้ารับใช้ของนางพยายามเข้าไปช่วยแต่บ่าวตัวเล็ก ๆ พวกนั้นจะทำอันใดได้นอกจากทำให้คนเหล่านั้นหงุดหงิดมากกว่าเดิม เขาจึงจะพุ่งเข้าไปช่วยเนื่องจากทหารที่เหลือกำลังพัวพันกับการต่อสู้ แต่ทันใดนั้นเจิ้งซื่อก็ส่งสัญญาณมาให้เขาว่าอย่าเข้าไป

          เขาได้แต่สงสัยแต่ก็คอยตามประกบนางที่โดนพาตัวออกไปอยู่เป็นระยะเพื่อไม่ให้นางโดนทำร้าย

         “ถ้านางยังไม่มีเลือดออกอย่าพึ่งเข้าไปช่วย” เจิ้งซื่อที่มาโผล่ด้านหลังเขาอย่างกะทันหันกระซิบบอก

         “ซื่อจื่อบอกมางั้นรึ?”

         “ข้าบอก” พูดจบก็หายตัวไปทันที

         เกาเทียนฉีจึงได้แต่ตามคุณหนูซุนไปเป็นระยะ นางก็กรีดร้องไม่หยุดพร้อมกับทุบตีไปที่คนที่จับตัวนางมา ทันทีที่ความอดทนของชายผู้นั้นกำลังจะหมดลงและทำท่าจะทำร้ายคุณหนูซุน ก็มีทหารของแม่ทัพประจิมเข้ามาช่วยนางทัน ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด เสียงดาบกระทบกันเสียงดังทำให้คุณหนูซุนเริ่มกรีดร้องอีกครั้ง ทันใดนั้นคนร้ายก็โดนเหวี่ยงมาบริเวณที่เกาเทียนฉีซ่อนอยู่ เขาเห็นทหารของแม่ทัพประจิมตกใจเพียงเล็กน้อย จากนั้นจึงพุ่งเข้ามาจัดการผู้ร้ายต่อ

         เมื่อคนร้ายที่ถูกเหวี่ยงมาบริเวณเกาเทียนฉีอยู่ ซุนซูลี่ที่มองการต่อสู้อยู่ตลอดเวลาอย่างลุ้นระทึกจึงเห็นเขา นางจึงรีบวิ่งเข้ามาหาเพื่อขอความช่วยเหลือจากเขาทันที

         “ช่วยด้วยเจ้าค่ะ ...ช่วยข้าด้วย ” นางพูดพร้อมกับสั่นน้อยๆ  “ท่านคือองครักษ์ของจวนจ้าวอ๋องใช่หรือไม่ ท่านช่วยพาข้าออกไปจากบริเวณนี้ที” สิ่งที่นางเจอในวันนี้มันเกินกว่าที่สตรีที่โดนเลี้ยงมาเยี่ยงไข่ในหินจะรับได้

         เกาเทียนฉีที่โดนเปิดเผยที่อยู่อย่างไม่ทันตั้งตัวจึงได้แต่ตามน้ำกับนางไปก่อน “คุณหนูรออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าต้องไปช่วยทหารคนนั้น”

         “มะ...ไม่...ไม่ต้อง ท่านข้าพาข้าออกไปก่อน...ข้ากลัว” นางคิดแต่ว่านางต้องรีบออกไปจากที่นี่

         “แต่ว่า...”

         “ออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะเจ้าค่ะ” นางพูดพร้อมกับรีบดึงแขนเสื้อเขาทันที

         คนร้ายเห็นเป้าหมายกำลังจะหนีไป จึงรีบผละออกจากทหารและหวังจะตามไปทันทีแต่จู่ๆฝีมือของทหารที่มันสู้ด้วยก็เพิ่มขึ้นจนตั้งรับไม่ทัน ได้แต่ปัดป้องไปมา จนทำให้ซุนซูลี่และเกาเทียนฉีออกไปจากบริเวณนั้นได้ง่าย เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าทั้งสองออกไปไกลจากระยะที่ได้ยินแล้วจึงหยุดการต่อสู้ และพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงร่าเริงผิดปกติ

         “ถุงเงินของเจ้าวิ่งหนีหายไปเสียแล้ว...น่าเสียดาย”

         “เจ้า...เจ้าเป็นทหารของนางไม่ใช่รึ”  ทหารจวนใดไยพูดถึงนายของตนเยี่ยงนี้

         “หืม...ข้าหรอ” ทหารคนนั้นชี้นิ้วมาที่ตัวเอง

         “...”

         “อ้อ...ขออภัยที่ทำให้พี่ชายเข้าใจผิด พอดีข้ายืมชุดผู้อื่นมาใส่น่ะ” บอกพลางซัดไปที่คอของชายตรงหน้าจนสลบเหมือดไปทันที

         จ้าวเยว่เทียนที่นั่งอยู่ในรถม้าได้ยินเสียงการต่อสู้ที่หยุดลงหลังจากเจิ้งซื่อกลับมารายงานเขาก่อนหน้านี้ นั่งรอได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของสตรีลอยมาแต่ไกล ทันใดนั้นคนที่เขารั้งให้อยู่ข้างกายอย่างยากลำบากก็หายไปทันที พานให้อารมณ์หงุดหงิดที่ได้ยินเสียงร้องไห้พุ่งสูงขึ้น

         เสียงเคาะรถม้าดังขึ้นเป็นเกาเทียนฉีที่รายงานเขา “ซื่อจื่อขอรับ...คุณ”

         “อย่ามากวนข้า” เขาส่งเสียงหงุดหงิดตอบกลับไปทันที

         ด้านนอกมีอาการชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะมีเสียงสั่นๆของสตรีตอบกลับมา

        “ท่านชายจ้าวเยว่เทียนเจ้าคะ...ข้าซุนซูลี่เองเจ้าค่ะ” นางตอบเสียงสั่นด้วยไม่คิดว่าบุรุษที่อยู่ด้านในจะปฏิบัติกับนางเยี่ยงนี้ ปกติบุรุษใดก็ล้วนพูดจาสุภาพอ่อนหวานกับนาง เมื่อนางพูดเสร็จได้รับความเงียบกลับมาพักหนึ่งจึงเห็นมือเรียวยาวเปิดประตูรถม้าออกมา

         “ขออภัยคุณหนูซุน พอดีข้ากำลังเคลิ้มหลับไป” จ้าวเยว่เทียนตอบพร้อมกับยิ้มให้กับนาง

         เมื่อซุนซูลี่เห็นดังนั้นจึงเกิดความขวยเขินขึ้นมา “ไม่ทราบว่าท่านให้ข้าโดยสารรถม้าของท่านกลับจวนได้หรือไม่เจ้าคะ” นางรีบทำใจกล้าขอทันทีที่เห็นจ้าวเยว่เทียนยิ้มให้นาง แสดงว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้ตั้งใจตะคอกใส่นางหัวใจนางพลันพองโตขึ้นมา

         “เชิญคุณหนู” เขากล่าวพร้อมกับเปิดรถม้าให้นาง

         “ต้องขอบพระคุณท่านชายมากนะเจ้าคะ ที่ช่วยเหลือข้า” นางกล่าวขึ้นมาเมื่อรถม้าเริ่มเคลื่อนตัว

         “มิเหลือบ่ากว่าแรงข้านักหรอก เพียงให้สตรีตัวเล็กๆ ขึ้นมาด้วยไม่ทำให้ม้าข้าเหนื่อยเพิ่ม”

         “มิใช่เจ้าค่ะ ข้าหมายถึงที่ท่านชายส่งคนไปช่วยข้าเมื่อครู่ หากมีโอกาสข้าก็อยากตอบแทนท่าน” นางตอบพร้อมกับทำท่าเอียงอาย

         “งั้นคุณหนูคงต้องตอบแทนองครักษ์ของข้าเสียแล้ว เพราะเขาเป็นคนลงไปช่วยท่าน ส่วนข้ากลับนั่งหลับอยู่ในรถม้าหาได้ทำอันใดไม่” เมื่อนางได้ยินเขาพูดสีหน้าของนางเหมือนจะอึ้งไปเล็กน้อย

         “ตะ...แต่... องครักษ์ของท่านก็ต้องทำตามคำสั่งของท่านมิใช่หรือเจ้าค่ะ” นางรีบแย้งทันที

         “คุณหนูเข้าใจผิดแล้ว เมื่อครู่ข้ายังไม่สร่างเมาเลย ข้าไม่ได้ออกคำสั่งอันใดกับองครักษ์ทั้งนั้น” เขารีบโยนเผือกร้อนไปให้เกาเทียนฉีทันที เขาสั่งแล้วว่าห้ามให้นางรู้ นี่นอกจากนางจะรู้ยังตามมาถึงที่

         เกาเทียนฉีที่รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของผู้เป็นนายจึงรีบรับคำ “ข้าได้ยินเสียงต่อสู้น่ะขอรับ กลัวจะรบกวนการนอนของท่านชายเข้าข้าจึงลงไปจัดการ”

         นี่การต่อสู้เอาชีวิตรอดของนางเป็นเพียงแค่สิ่งกวนใจเวลานอนของเขาเท่านั้นหรือ ซุนซูลี่ได้แต่อึ้งไปจนพูดอันใดไม่ออก

     

         หลังจากที่รถม้าเคลื่อนตัวอย่างเงียบเชียบไปเรื่อยๆได้เพียงครู่  จ้าวเยว่เทียนจึงตัดสินใจทำลายความเงียบลง

        “บิดาและมารดาเจ้าล่ะ ข้าจำได้ว่าเห็นทั้งสองในงาน”

         นางสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงเบา “ทั้งสองกลับจวนไปก่อนแล้วเจ้าค่ะ ข้าอยู่รอรับของจากสหายของข้าจึงออกมาทีหลัง”

        “แล้วเหตุใดจึงผ่านมาทางนี้เล่า มิใช่ว่าจวนของแม่นางไปอีกทางหรอกรึ” จ้าวเยว่เทียนเอ่ยอย่างรู้ทัน

         “เอ่อ... ทางกลับจวนข้ามีสิ่งของมากีดขวางน่ะเจ้าค่ะ ข้าเลยต้องเปลี่ยนมาใช้ทางอ้อม ข้าคิดว่าคงเป็นพวกที่ดักทำร้ายข้าเอามาวางไว้” นางรีบตอบคำถามแบบรัวเร็ว สายตาของเขาที่มองมาทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ

         “อืม... โจรพวกนี้ช่างเหิมเกริมยิ่งนัก กล้าวางแผนการกระทำอุกอาจใกล้กับจวนอ๋องเชียวรึ” ไม่ใช่เหิมเกริม แต่เป็นโจรโง่ต่างหาก จ้าวเยว่เทียนแอบแก้คำพูดอยู่ในใจ

     

         เกือบหนึ่งชั่วยามในที่สุดก็มาถึงเรือนแม่ทัพประจิม ด้านหน้าของจวนมีการจุดไฟสว่างไปทั่ว เหล่าคนรับใช้ทั้งหลายต่างออกมายืนรออยู่ที่หน้าประตูจวน จ้าวเยว่เทียนได้แต่แอบยิ้มอยู่ในใจ

         “คุณหนูคงเป็นที่รักของทุกคนมาก ดูเถิดมีแต่คนมารอรับเจ้า” เขาเห็นคนงานบางคนอ้าปากหาวเป็นระยะ

         “ท่านชายกล่าวเกินไปแล้ว ทุกคนคงแค่เพียงตกใจน่ะเจ้าค่ะ”

         ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องไห้ดังขึ้นมาจากนอกรถม้า จ้าวเยว่เทียนจึงก้าวลงจากรถม้าไปก่อน ซุนซูลี่จึงยื่นมือออกมาเล็กน้อยเพื่อหวังให้จ้าวเยว่เทียนประคอง เขาเห็นดังนั้นจึงหยิบพัดที่เหน็บอยู่ที่เอวขึ้นมาแล้วใช้พัดดันที่ฝ่ามือของนางแทนการใช้มือจับ เสียงร้องไห้นั้นเหมือนจะชะงักไปเล็กน้อยพร้อมๆกับซุนซูลี่

         “ลี่เอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดบ้าง” หญิงอวบผู้หนึ่งวิ่งเข้ามากอดนางทันทีพร้อมกับร้องห่มร้องไห้เสียงดัง และหมุนตัวบุตรสาวไปมาเพื่อดูว่าได้รับบาดเจ็บที่ใดหรือไม่

         “ข้ามิเป็นอันใดมากเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านชายช่วยข้าได้ทันพอดี”

         “ขอบคุณท่านชายมากนะเจ้าคะที่ช่วยลี่เอ๋อร์ของข้าเอาไว้” นางหันมากล่าวขอบคุณกับจ้าวเยว่เทียน

         “หามิได้ซุนฮูหยิน ข้าคงต้องขอกล่าวย้ำอีกทีว่าข้ามิได้ช่วยนางแต่เป็นองครักษ์ของข้าที่ตัดสินใจลงมือเอง ถ้าหากว่าท่านต้องการจะขอบคุณท่านควรจะขอบคุณองครักษ์ของข้ามากกว่า ที่ยอมเสี่ยงไปช่วยลูกสาวท่านและปล่อยให้เจ้านายอย่างข้าหลับอยู่ในรถม้าโดยไร้คนคุ้มกัน” จ้าวเยว่เทียนรีบเอ่ยยาวๆเพื่อมิให้สองแม่ลูกขัดเขาอีก ซุนฮูหยินตกใจเล็กน้อยแต่ก็ยังแสดงท่าทางยิ้มแย้มให้เขาอยู่

         “ถึงอย่างไรข้าก็ต้องขอบคุณท่านชายอยู่ดีที่ยอมมาส่งลี่เอ๋อร์ ไม่ปล่อยให้ลี่เอ๋อร์กลับมาเพียงลำพัง” ดูท่าสกุลซุนคงอยากติดหนี้บุณคุณกับเขาเสียเหลือเกิน

         จ้าวเยว่เทียนจึงได้แต่ยิ้มรับและกล่าวลา “นี่ก็ดึกมากแล้วข้าคงต้องขอตัวลาก่อน”

         “ขอบคุณมากนะเจ้าคะที่ช่วยข้า...หมายถึงมาส่งข้าน่ะเจ้าค่ะ” นางรีบเปลี่ยนคำพูดทันทีเมื่อเห็นสีหน้าของจ้าวเยว่เทียน

         เมื่อรถม้าของจ้าวเยว่เทียนจากไปบรรยากาศที่หน้าจวนแม่ทัพประจิมก็เปลี่ยนไปทันที ซุนฮูหยินหันมาถามนางอย่างเอาเรื่อง

         อธิบายเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟัง

         ในเรือนหลังหนึ่งภายในจวนแม่ทัพประจิมถึงแม้ตอนนี้จะล่วงเลยเข้าถึงยามโฉ่ว แต่เสียงเทียนในห้องก็ยังไม่ดับลง ในห้องมีสตรีสองวัยที่ใบหน้าคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วนกำลังหันหน้าสนทนากันอยู่

         “ไหนเจ้าบอกว่าวิธีนี้ต้องได้ผลแน่นอนมิใช่หรือ เหตุใดท่านชายจึงไม่ยอมรับว่าช่วยเจ้า” สตรีที่สูงวัยกว่าถามขึ้นซึ่งสตรีนางนั้นก็คือซุนฮูหยิน

         “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านชายจะตอบแบบนี้ ท่านแม่ท่านต้องจัดการให้ข้านะ ข้ายอมเจ็บตัวมิใช่น้อย” นางทั้งยอมให้พวกกักขฬะพวกนั้นจับตัวและฉุดกระชากไปตั้งไกล ทั้งยังต้องกรีดร้องเสียงดังไม่หยุดหวังให้จ้าวเยว่เทียนสนใจและเข้ามาช่วยเหลือนาง กลับกลายเป็นว่าเขาส่งองครักษ์มาแทน อีกทั้งยังไม่ยอมรับความดีความชอบที่นางมอบให้

         “ข้าสู้อุตส่าห์ถ่วงเวลาให้ท่านชายมาช่วยข้าตั้งนาน จนพวกนั้นทนไม่ไหวเริ่มจะเอาจริงแต่สุดท้ายคนที่โผล่มาช่วยกลายเป็นองครักษ์ข้างกายของจ้าวเยว่เทียน” นางได้แต่แค้นใจที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนที่นางต้องการ

         “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าให้เจ้าใจ ๆเย็นก่อน อย่าพึ่งลงมือเจ้าก็ใจร้อนอยู่ได้” นางได้แต่ปลอบ

         “แต่ถ้าหากไม่ใช้ช่วงเวลาเช่นนี้ข้าก็เจอท่านชายได้ยากแล้วนะเจ้าคะ” ซุนซูลี่คร่ำครวญและได้แต่ตัดพ้อในใจ นางพยายามเป็นจุดเด่นเสมอเวลาออกงาน อีกทั้งแสดงท่าทางให้เขารับรู้ว่านางมีใจให้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดมักมีเหตุที่ทำให้นางคลาดกับเขาอยู่เสมอ

         “ข้าย่อมมีแผนให้เจ้าเจอท่านชายโดนที่ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายขนาดนี้” บุตรีคนนี้ของนางค่อนข้างใจร้อนและไม่ค่อยมีความอดทนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่เมื่อเห็นางเสียใจผู้เป็นแม่ก็พร้อมที่จะลองเสี่ยงดูอีกครั้ง

         “ท่านแม่เจ้าคะ หรือว่าที่ท่านชายไม่ยอมรับอาจเป็นเพราะว่าท่านรู้สึกไม่ดีที่ไม่ได้เป็นคนลงมือช่วยเหลือลูกด้วยตนเองหรือเปล่าเจ้าคะ” นางคิดเข้าข้างตนเอง อย่างไรเสียจ้าวเยว่เทียนก็เป็นถึงลูกชายของแม่ทัพ ถ้าหากมีข่าวว่าเขาแอบอ้างผลงานของลูกน้องอาจทำให้เขารู้สึกไม่ดี

        ซุนฮูหยินคิดตามที่ลูกสาวนางพูด “อาจจะจริง ถึงท่านชายจะทำตัวเหลวไหลเพียงไรถึงอย่างไรเสียท่านก็เป็นหนึ่งในเชื่อพระวงศ์ ย่อมมีความหยิ่งในศักด์ศรีเป็นทุนเดิม”

         เมื่อซุนซูลี่ได้ยินมารดาของตนคิดไปทางเดียวกับนาง นางจึงสบายใจขึ้นมาและมีความหวังเพิ่มขึ้น แต่ทันใดนั้นนางก็มีสีหน้าวิตกอย่างเห็นได้ชัดทันทีเมื่อนึกอะไรบางอย่างได้

        “ท่านแม่เจ้าค่ะ ท่านว่าท่านชายจะเจอคนที่เราจ้างไปหรือไม่เจ้าคะ” นางกังวลกับสายตาที่ดูเหมือนรู้ทันของจ้าวเยว่เทียนอยู่ไม่น้อย

         “คงไม่หรอก เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าคนพวกนั้นทหารของเราประกบทุกคนไม่มีใครหนีรอดไปได้ เมื่ออยู่ในมือของฝ่ายเรา จ้าวเยว่เทียนคงไม่กล้ามาก้าวก่ายกับการตัดสินของพวกเราหรอก”

         ซุนซูลี่นิ่งไปและได้แต่คล้อยตามที่มารดาบอก

         ไม่กี่วันต่อมามีข่าวที่เกิดขึ้นกับคุณหนูสกุลซุนก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมือง ทุกคนต่างร่วมประณามโจรที่หาญกล้ามาทำร้ายหญิงงามของเมือง และหญิงงามย่อมต้องคู่ควรกับบุรุษผู้เพียบพร้อมทุกคนในเมืองเหมือนกับจะแกล้งลืม ´ข่าวคาว´ของจ้าวเยว่เทียนที่ผ่านมา จึงได้สรรเสริญความกล้าหาญของเขาไปช่วยหญิงงาม ทุกคนในเมืองต่างชะเง้อรอดูอยู่ที่ประตูจวนทั้งสองว่าเมื่อไหร่จะมีแม่สื่อเดินผ่านเข้าไปในจวนเสียที

         ในตำหนักของจ้าวอ๋องขณะนี้ จ้าวซงหยวนกำลังเรียกบุตรชายตัวดีเข้ามาไถ่ถามเรื่องที่กำลังเป็นที่โจษจันไปทั่ว แต่ดูเหมือนตัวต้นเรื่องยังคงมีความผ่อนคลายไม่ได้รู้สึกอันใด

         “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ฝ่ายสนับสนุนขององค์รัชทายาทบางคนไม่พอใจ”

         การที่มีข่าวระหว่างจวนจ้าวอ๋องกับจวนของแม่ทัพประจิมก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำในราชสำนักไม่น้อย ฝั่งแม่ทัพประจิมคือสกุลเดิมของซุนเต๋อเฟยพระมารดาขององค์ชายใหญ่ ทำให้มีบางคนคิดว่าเขาอาจจะเปลี่ยนฝั่ง

         “เรื่องนี้ข้ากราบทูลพระองค์ไปแล้ว และพระองค์ก็รับทราบไม่ได้หวาดระแวงอันใดกับเรา”  เขารับรู้ได้ว่ามีตาเฒ่าบางคนยังคิดระแวงเขา

         “รัชทายาทท่านไม่ระแวงเจ้าแต่ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะไม่ระแวง”

         “ท่านไม่ต้องห่วงข้ามีวิธีจัดการ ถ้าหากท่านกลัวว่าการคานอำนาจจะเสียสมดุลเพราะเรื่องนี้ ข้าก็จะทำให้มันสมดุลเอง” จ้าวเยว่เทียนกล่าวพร้อมกับหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ

         “เจ้าคิดจะทำการใดอีก” บางครั้งเขาก็ตามไม่ทันกับความคิดนอกกรอบของบุตรชายเขา

         “หากปัญหาเกิดจากการที่ข้าแสดงน้ำใจต่อคุณหนูจวนแม่ทัพประจิม ดังนั้นข้าก็แค่แสดงน้ำใจต่อผู้อื่นเพิ่มก็เท่านั้น” จ้าวเยว่เทียนเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาทันที และไม่รอให้จ้าวซงหยวนเอ่ยคัดค้านอีกเขาจึงรีบจัดการทันที

         “หูกงกง ข้าวานท่านส่งของบำรุงไปให้คุณหนูใหญ่จากจวนแม่ทัพบูรพา ข้าได้ข่าวมาว่านางป่วยมานาน อ้อ! เอาไก่ตุ๋นโสมส่งไปให้นางด้วยล่ะ” เขากล่าวพร้อมกับดูท่าทางของคนที่อยู่ในห้องทันที

         “จวนแม่ทัพหยางน่ะหรือขอรับ” หูกงกง ถามเพื่อความแน่ใจ

         “ใช่น่ะสิ ในเมื่อข้ามีข่าวกับคุณหนูฝั่งแม่ทัพประจิม ข้าก็ควรแก้ข่าวกับคุณหนูฝั่งแม่ทัพบูรพา เจ้าว่าดีหรือไม่”

         หูกงกงได้ยินคำตอบของจ้าวเยว่เทียนเขาก็แทบจะลงไปกองกับพื้น ท่านชายของเขาไม่ควรล้อเล่นกับจวนสกุลหยางเช่นนี้ ท่านจะแก้สมดุลโดยการเข้าหาจวนอีกฝั่งตามทิศทางไม่ได้!

         เขาหันไปหาจ้าวซงหยวนเพื่อขอความเห็น แต่กลับเห็นจ้าวอ๋องพยักหน้าน้อย ๆกลับมาแทน

         “ถ้าหากเจ้ายังไม่รีบไปส่งของให้นาง ข้าจะให้เจ้าพาแม่สื่อไปทาบทามนางเสีย”

         “ข้าจะไป...ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละขอรับ” เขาขนหัวลุกไปหมดแล้ว ท่านชายของเขาล้อเล่นอันใดถึงขั้นจะส่งแม่สื่อไปที่จวนผู้อื่นง่าย ๆเช่นนี้ !

         หลังจากที่รอกันอยู่นานในที่สุดประตูจวนจ้าวอ๋องก็เปิดออกมาพร้อมกับรถม้าคันโตสองคันที่คล่อย ๆเคลื่อนออกไปผู้คนที่รอดูอยู่ต่างก็รีบเล่าลือกันปากต่อปาก แต่เมื่อเห็นทิศทางที่รถม้าเคลื่อนไปไม่ใช่ทิศทางของจวนที่พวกเขาเดากันไว้ต่างก็พากันแสดงสีหน้าผิดหวัง

         ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยาม รถม้าคันใหญ่ที่ดูหรูหราประทับตราจ้าวอ๋องเด่นเป็นสง่าก็มาถึงจวนของแม่ทัพบูรพา หูกงกงรีบบอกพ่อบ้านของจวนว่ามีของบำรุงส่งมาให้จากจ้าวเยว่เทียน ทำให้ทั้งหมดเกิดอาการตกตะลึงกันไปไม่น้อย จนหูกงกงต้องย้ำอีกทีพ่อบ้านของจวนจึงเข้าไปตามคุณหนูใหญ่มาให้เขา

         “ขออภัยท่านหูกงกง คุณหนูท่านไม่ค่อยสบายนางไม่สามารถมาที่เรือนใหญ่ได้ ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไปนางขอเชิญท่านที่เรือนของนางขอรับ” พ่อบ้านวัยกลางคนกล่าวอย่างนอบน้อม

         “ท่านนำทางได้เลย” หูกงกงตอบรับพร้อมกับให้บ่าวรับใช้ขนของตามมา หีบที่นำมามีขนาดใหญ่ถึงสามหีบทำให้คนในจวนต้องชะเง้อคอแอบดูกัน แต่สิ่งทีทำให้ทุกคนประหลาดใจที่สุดคงหนีไม่พ้นหูกงกงขันทีคนสนิทของจ้าวอ๋องที่ประคองหม้อใบหนึ่งอยู่ในมือตลอดเวลา

         ท่านชายท่านจะเอาแต่ใจเกินไปแล้ว!

         หูกงกงคร่ำครวญพร้อมกับมองหม้อที่ยังมีความร้อนหลงเหลืออยู่ในมือ ท่านชายกำชับเขาว่าต้องให้เขาเป็นคนมอบไก่ตุ๋นโสมให้นางกับมือเท่านั้น และต้องดูตอนนางรับประทานเสียด้วย สวรรค์ท่านส่งท่านชายมาลงโทษข้าใช่หรือไม่!

         เมื่อเดินเข้ามาได้ซักพักเขาก็ได้กลิ่นดอกเบญจมาศอบอวลเต็มไปหมดเนื่องจากรอบ ๆเรือนของนางปลูกไว้หลากหลายสี อีกทั้งมีผีเสื้อและและผึ้งบินอยู่ไปทั่วทำให้บรรยากาศดูสงบร่มรื่น

         คนที่เขาอยากพบตอนนี้นางกำลังนั่งอยู่ในศาลาหลังน้อยในสวนดอกไม้ของนาง สายลมอ่อน ๆโชยมากระทบร่างบางของนางก็พานให้กายนางสั่นน้อย ๆ หูกงกงจึงรีบเข้าไปหานางทันทีด้วยไม่อยากให้นางขึ้นชื่อว่าทรุดลงเพราะมารอเขา

         “คารวะท่านหูกงกงเจ้าค่ะ”

         คุณหนูใหญ่หยางซินหลินค้อมตัวเคารพเขาพร้อมกับแอบมองมาที่หม้อในมือของเขา เขาได้แต่มองคนตรงหน้าที่เปลี่ยนไปมากนัก สมัยก่อนตอนนางยังเป็นเด็กยังดูเป็นเด็กที่ร่าเริงแจ่มใสไม่คิดว่านางจะป่วยไข้จนร่างกายทรุดโทรมได้ขนาดนี้ ใบหน้าของนางขึ้นสีน้อยๆ แต่ปากนางกลับซีดเซียวยิ่งนัก อีกทั้งหยาดเหงื่อที่แซมตามไรผมของนางไหนจะอาการหอบของนางยามที่เอ่ยพูดออกมาทำให้เขารู้สึกสงสารนางที่ถูกจ้าวเยว่เทียนใช้เป็นเครื่องมือ

         “อย่างที่คุณหนูหยางรู้ ข้านำของบำรุงจากท่านจ้าวเยว่เทียนมาให้ท่านเนื่องจากท่านชายเห็นว่าท่านไม่ค่อยแข็งแรงนัก” เขาบอกนางพร้อมกับกล่าวขอโทษนางในใจที่ทำให้นางติดร่างแหไปด้วย

         “ส่วนนี่คือไก่ตุ๋นโสม ท่านชายเป็นคนเลือกโสมให้คุณหนูเองกับมือท่านชายบอกว่ามันจะช่วยบำรุงกำลังให้แก่คุณหนู” เรื่อง

    นี้เขาไม่ได้โกหก ท่านชายเป็นคนเลือกโสมเองเขายังไม่อยากเชื่อว่าจ้าวเยว่เทียนจะลงมือเองแบบนี้

         “ลำบากท่านหูกงกงกับท่านชายของท่านแย่แล้ว”

         “มิได้ลำบากอันใดคุณหนูอย่าคิดมาก ไก่ตุ๋นยังคงร้อนอยู่หากนำไปอุ่นอีกรอบคงไม่อร่อยคุณหนูจะลองชิมเลยหรือไม่” หูกงกงสบโอกาสได้กำจัดหม้อที่เขาต้องรักษามานานตั้งแต่ออกมาจากจวนจ้าวอ๋องได้เสียที

         “งั้นรบกวนท่านหูกงกงด้วยเจ้าค่ะ” นางบอกพลางหันไปพยักหน้าให้บ่าวในเรือนของนางนำถ้วยและตะเกียบมาให้ เมื่อนางคีบไก่เพียงนิดเนื้อก็เปื่อยยุ่ยออกมาพอดี อีกทั้งน้ำซุปที่มีกลิ่นหอมหวานชวนให้น้ำลายสอ เมื่อเห็นหยางซินหลินกินอาหารได้อย่างเอร็ดอร่อย หูกงกงพลอยดีใจไปด้วย

         “เห็นคุณหนูชอบข้าก็ดีใจ ท่านชายคงพอใจเป็นแน่ถ้าหากทราบว่าคุณหนูทานได้เยอะขนาดนี้” เขาพูดพร้อมกับส่งสายตาเอ็นดูไปให้นาง

         ตอนนางยังเด็กสมัยที่แม่ทัพหยางยังเป็นรองแม่ทัพให้กับจ้าวอ๋องเขายังเคยได้ดูแลนางช่วงที่มารดาของนางพึ่งเสียไปใหม่ๆ ตอนนี้นางผ่ายผอมลงไปมากข้อมือของนางมีกระดูกโปนออกมาเล็กน้อยข้อนิ้วของนางก็เห็นกระดูกชัดเจน ดวงตาของนางก็หม่นแสงไม่มีวี่แววของความสดใส นางคงเหงาไม่น้อย

     

         นางมีท่าทีเขินขันทีชราเล็กน้อยที่เผลอแสดงกิริยาไม่งามต่อหน้าเขา “ฝากขอบคุณท่านชายจ้าวเยว่เทียนด้วยนะเจ้าคะที่เมตตาข้าน้อย ถ้าหากข้ามีโอกาสข้าจะตอบแทนทีหลังนะเจ้าคะ”

         “มิต้องลำบากหรอกคุณหนูหยางขอเพียงท่านรักษาตัวให้แข็งแรงดังเดิมก็พอแล้ว ข้ายังอยากเห็นคุณหนูวิ่งเล่นได้เหมือนเก่าอยู่มิน้อย” หูกงกงพูดจากใจจริงเขาอยากให้นางแข็งแรงมากกว่าที่นางจะมาตอบแทนจ้าวเยว่เทียนจนต้องเข้ามาเล่นตามเกมที่ถูกวางเอาไว้

         “หากว่าไม่เป็นการรบกวนท่านเกินไปข้ามีพรมขนสัตว์อยู่ผืนหนึ่งฝากท่านมอบให้ท่านชายด้วยนะเจ้าคะ” นางกล่าวพลางหยิบหีบไม้สวยงามที่ด้านในมีพรมขนสัตว์พับเอาไว้อยู่

         เมื่อหูกงกงรับหีบไม้มาเขาก็รู้สึกสังเวชนางไม่น้อย ขนาดหีบไม้ยังมีกลิ่นสมุนไพรเต็มไปหมดนางคงต้องทรมานกับอาการป่วยของนางที่มีมานาน “ข้าจะมอบให้ท่านชายกับมือข้าเองคุณหนูไม่ต้องห่วง”

         “ข้าต้องรบกวนหูกงกงแล้วเจ้าค่ะ” นางกล่าวพร้อมกับยิ้มให้เขา

         “ข้ารบกวนเวลาพักผ่อนของคุณหนูเสียนานท่านไปพักผ่อนเถิดไม่ต้องไปส่งข้าหรอก” หูกงกงบอกนางพร้อมกับยิ้มอย่างใจดีให้นาง เขารอส่งจนนางเดินเข้าไปในเรือนจึงจะเดินออกมา

         อันที่จริงขันทีระดับเขาไม่จำเป็นต้องปฏิบัติกับนางแบบให้เกียรติเยี่ยงนี้ก็ยังได้ แต่ด้วยความสงสารเขารู้ว่านางอยู่ตัวคนเดียวเนื่องจากแม่ทัพหยางไม่ได้กลับจวนมานานและเป็นเรื่องปกติที่นางจะต้องโดนกลั่นแกล้งเป็นแน่ดูจากร่างกายของนางที่ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นแม้แต่น้อย เพราะนอกจากนางแล้วเขารู้ว่าในจวนยังมีฮูหยินรองและบุตรีของแม่ทัพหยางอยู่ด้วย เขาจึงแสดงให้บ่าวในจวนและคนอื่นเห็นว่านางได้รับความเอ็นดูจากจวนจ้าวอ๋องอยู่ไม่น้อย ถ้าหากจะหาเรื่องนางคงต้องเกรงใจอยู่หลายส่วน

         จ้าวเยว่เทียนรอหูกงกงมารายงานอยู่ไม่เกินสองชั่วยาม เขาก็เห็นขันทีชราเดินมาพร้อมกับหีบใบหนึ่ง ขาไปถือหม้อขากลับถือหีบสิขันทีชรายามนี้ดูตลกยิ่งนัก

         “ท่านชายนางน่าสงสารยิ่งนัก ท่านไม่ควรลากนางเข้ามายุ่งด้วยเลยข้าว่าแค่นี้นางก็ทรมานมากแล้วนางไม่ควรต้องมาติดร่างแหไปด้วยนะท่านชาย” หูกงกงบ่นเขายาวเหยียดทันทีที่พบเขา “ข้าทำอันใดผิด ข้าแค่อยากแก้ข่าวเท่านั้น เจ้าไปพบนางเพียงนิดเดียวก็หลงเสน่ห์นางแล้วรึ”  จ้าวเยว่เทียนเอ่ยเย้าหูกงกง

         “หามิได้ ท่านชายตอนนี้ชาวบ้านร้านตลาดคงเล่าลือเรื่องนี้กันไปทั่ว”

         “ก็นั่นเป็นสิ่งที่เราต้องการมิใช่หรือ แล้วเจ้าจะเดือดร้อนไปทำไม” เขาให้หูกงกงไปหานางเพื่อให้เกิดข่าวลือแล้วตอนนี้ขันทีเฒ่าผู้นี้กลับมากลัวข่าวลือเสีย

         “เฮ้อ... ข้าน้อยเถียงไปก็เท่านั้น นี่เป็นของที่คุณหนูหยางซินหลินฝากมาให้ท่านชายขอรับ” เขายื่นหีบให้กับจ้าวเยว่เทียน

         “พรมขนสัตว์งั้นหรือ” จ้าวเยว่เทียนกล่าวพลางพลิกดูอย่างละเอียด เมื่อรับรู้ว่าเป็นของสัตว์ชนิดใดเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นมาทันทีทำให้หูกงกงตกใจจนแทบจะหงายหลัง

         ´ท่านชายของเขาวิปลาสไปเสียแล้ว´

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×