คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ความสุขของนักปราชญ์ พยัคฆ์และดอกไม้ (2) รีไรท์
‘องครักษ์เงาบางครั้งก็ไม่ต่างจากศรีภรรยา นอกจากจะต้องเชื่อฟังผู้เป็นนาย การนอนหลับก็ต้องตื่นก่อนนอนทีหลังอยู่เสมอ
ไหนจะต้องคอยดูแลความสงบเรียบร้อยภายในเรือน เหลือเพียงการปรนนิบัติบางเรื่องพวกเขาก็เกือบแทนตัวเองว่าเป็นฮูหยินได้แล้ว’
เจิ้งหู่
ในต้นยามเหม่า (05.00 น. - 06.59 น.) ของทุกวันเหล่าเงาของจ้าวเยว่เทียนจะต้องติดตามเขาไปฝึกซ้อมวรยุทธ์ที่ลานอยู่เสมอ
บริเวณที่ฝึกซ้อมนั่นถึงแม้จะอยู่ในบริเวณเดียวกัน แต่สถานที่ซ้อมกลับมีเรือนหลังยาวเป็นจุดบังสายตา
มีลานเล็ก ๆเชื่อมกันเท่านั้นเพื่อปิดบังไม่ให้คนภายนอกเห็นการฝึกขององครักษ์เงา ต่อให้คนที่อยู่ภายในลานด้านหน้าจะเป็นกองทหารในควบคุมของจ้าวอ๋องก็ตาม
อันที่จริงจ้าวเยว่เทียนมีตำแหน่งเป็นถึงรองแม่ทัพของกองกำลังรักษาเมือง ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตอนเขาอายุได้
17 ทำให้หน้าที่ควบคุมการฝึกซ้อมทหารในสังกัดเป็นของเขาแทนจ้าวซงหยวนที่อายุมากขึ้น
ถึงแม้จ้าวเยว่เทียนจะมีทั้งตำแหน่งและชาติกำเนิดอันสูงศักดิ์ อีกทั้งวรยุทธ์และรูปโฉมก็จัดว่าไม่เป็นรองใคร
แต่ข่าวทางด้านไม่ดีของเขากลับมีอิทธิพลต่อคนในเมืองมากกว่า เป็นธรรมดาของมนุษย์เดินดินที่ย่อมจะมองข้อเสียของผู้อื่นมากกว่าด้านที่ดี
ต่อให้ข้อเสียจะมากน้อยเพียงใด คนก็พร้อมที่จะทำให้เป็นเรื่องใหญ่กว่าเดิมเพื่อทำให้ตนเองรู้สึกสูงส่งขึ้นมาบ้าง
“เมื่อคืนข้ารู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่ คืนนี้แลกที่กันดีหรือไม่” เจิ้งหู่พูดไปบิดตัวเพื่อคลายความเมื่อยไปด้วย
“ได้สิ” มี่ฮวาตอบตกลง เมื่อคืนนางนอนเฝ้าจ้าวเยว่เทียนอยู่ที่ชุดโต๊ะชาเล็ก
ๆที่อยู่ไม่ไกลจากเตียงของเขา มีเพียงผ้าม่านบาง ๆกั้นไว้ ก่อนจะนอนก็ยังหันตะแคงข้างมานั่งจ้องนางพร้อมทำสายตาละห้อย
นางจึงตัดรำคาญด้วยการสะบัดมือดับเทียนที่อยู่ในห้องลงพร้อมแกล้งหลับตาเสีย
ส่วนเจิ้งหู่ขึ้นไปนอนบนคานของตัวเรือน ที่จริงคานของเรือนมีขนาดที่ใหญ่กว่าเรือนทั่วไป
แต่เจิ้งหู่ที่เป็นบุรุษรูปร่างสูงและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อคงรู้สึกอึดอัด ที่จะไปทรงตัวอยู่บนนั้นทั้งคืน
แต่ก่อนตอนที่ทั้งสองยังตัวเท่า ๆกัน นางจำได้ว่าอยู่ด้านบนนั้นสองคนยังไม่อึดอัดเท่าใด
ยามนี้สหายของนางเติบโตแซงนางไปมากโข ไม่แปลกที่จะอยู่ไม่ได้
เมื่อทั้งสองก้าวเข้าไปในลานมี่ฮวาและเจิ้งหู่แยกกันไปหาแต่ละฝ่ายของตนเพื่อตรวจทานงานที่ได้มอบให้
เนื่องจากมี่ฮวากลับมาก่อนงานจะสำเร็จ นางจึงได้ให้เงาที่อยู่ในสังกัดนางที่ติดตามไปด้วยอยู่สืบข่าวต่อ
และตอนนี้เขาก็พึ่งกลับมาถึงและรอรายงานความคืบหน้าอยู่
“รายงานมา” นางกล่าวเสียงเรียบ
“หลังจากวันนั้นมีการประมูลซื้อขาย แจกันหยกหายากในราคาที่ต่ำผิดปกติอีกสองครั้งขอรับ”
เงาที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเอ่ยรายงาน
“แล้วที่ข้าหายไปกระทันหันมีใครสงสัยหรือไม่” นางออกมาแบบกระทันหัน
ตัวตนของนางที่นางวางเอาไว้หายไปแบบน่าสงสัยย่อมไม่เป็นผลดีต่อการสืบข่าวครั้งถัดไป
“ไม่ต้องห่วงขอรับ ข้าน้อยปล่อยข่าวว่าขบวนสินค้าของเถ้าแก่เนี้ยถูกดักปล้น
ในจำนวนสินค้าที่หายไปมีของหายากจากต่างเมืองที่ต้องส่งลูกค้า ตอนนี้เถ้าแก่เนี้ยจึงออกเดินทางไปหาของใหม่ขอรับ”
ลูกน้องตรงหน้าตอบอย่างฉะฉาน
การปล่อยข่าวเช่นนี้ต่อให้นางหายตัวไปนานแล้วปรากฎตัวไปใหม่ก็คงไม่มีใครสงสัยเป็นแน่
เป็นการดีที่นางไม่ต้องสร้างตัวตนใหม่เพื่อสร้างความสนิทสนมกับเหล่าพ่อค้าพวกนั้นอีก
“ดีมาก เจ้าไปพักได้” พูดจบเงาด้านหน้าก็แสดงความเคารพแล้วเดินออกไป
หันไปที่ลานอีกฝั่งหนึ่ง มีเสียงประดาบดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่างใหญ่โตในชุดสีดำสนิทกำลังเหวี่ยงดาบเล่มใหญ่ในมืออย่างดุดันใส่คู่ต่อสู้ที่แทบจะปลิวไปตามแรงดาบ
แววตาที่โผล่พ้นผ้าที่ปิดบังใบหน้ามีแววอำมหิตอย่างผิดแผกไปจากยามที่ไม่ได้จับดาบ ใครจะไปเชื่อว่ายามที่เจิ้งสี่ไม่ได้จับดาบเขาจะมีท่าทางที่ใสซื่อบริสุทธิ์
และมักมาพร้อมรอยยิ้มอันสดใสเสมอ
เหล่าองครักษ์เงาขั้นสองตัวเล็ก
ๆยามนี้ที่อยู่ในสังกัดของเจิ้งสี่ได้แต่ลอบกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับภาวนาให้เขาหมดแรงก่อนที่จะถึงตาของตนที่ต้องขึ้นไปต่อสู้แทนสหายที่พึ่งโดนเขี่ยกระเด็นออกจากลานประลองแต่ดูจากลักษณะการวาดลวดลายยามนี้
คงอีกนานกว่าที่เขาจะหมดแรง
ไม่รู้วันนี้ท่านหัวหน้าไปกินรังแตนมาจากที่ใดจู่
ๆก็เรียกทุกคนในสังกัดให้เข้ามาประลอง บอกว่าถ้าหากไม่มีใครล้มเขาได้ก็จะให้วนต่อสู้ไปเรื่อย
ๆ ก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นท่านเจิ้งสี่คุยกับท่านเจิ้งซื่ออยู่แท้ ๆ ครู่เดียวก็หันมาตวาดเรียกรวมทุกคนให้มารวมตัวกัน
พลันสายตาทุกคนเหลือบไปเห็นท่านรองหัวหน้าเจิ้งหู่เดินเข้ามา ทุกชีวิตรีบส่งสายตาขอความช่วยเหลือ
พวกเขาโดนซัดกันไปคนละสองรอบแล้วให้โดนกันอีกทีคงต้องหามออกจากลานเป็นแน่
เจิ้งหู่เห็นสายตาของเหล่าลูกน้องพร้อมยิ้มน้อย ๆ เขาเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นที่เจิ้งสี่คุยกะเจิ้งซื่อแล้วผละออกมา
เกรงว่าต้นเหตุของพายุอารมณ์ในคราวนี้คงหนีไม่พ้นบุรุษดูคล้ายนักปราชญ์ที่นั่งจิบชาอยู่ใต้ไม้ใหญ่อย่างสบายอารมณ์
เจิ้งสี่ที่เห็นเจิ้งหู่เดินเข้ามาจึงเรียกให้เข้ามาสู้กับเขา “เจิ้งหู่ เจ้าช่วยมาเป็นคู่ซ้อมกับข้าทีสิ
เจ้าพวกนี้เหยาะแหยะกันเหลือเกิน” ลูกน้องเขาสงสัยยังฝึกหนักไม่พอ ประดาบกับเขาได้เพียงนิดก็พากันถลาออกนอกลานประลองเสียแล้ว
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวข้าต้องซ้อมกับมี่ฮวาอีก เชิญท่านตามสบาย” เขารีบปฏิเสธทันที พร้อมกับเดินไปหามี่ฮวา เรื่องอะไรเขาต้องออกแรงเยอะเกิน
เมื่อคืนก็นอนไม่ค่อยสบายวันนี้เลยไม่อยากหักโหมตั้งแต่เช้า
“มี่ฮวา วันนี้เจ้าจะซ้อมกับข้าหรือไม่” เขาถามนางที่ตอนนี้กำลังนั่งจิบชาอยู่กับเจิ้งซื่อ
“ได้สิ ไม่ได้ซ้อมกับเจ้านานแล้วเหมือนกัน” นางตอบตกลง
และหันไปคุยกับเจิ้งซื่อ
“ท่านจะไม่ซ้อมกับคู่ของท่านซักหน่อยหรือ” นางเห็นนะว่าเจิ้งสี่ส่งสายตาท้าทายมาให้เขาได้สักระยะแล้ว
เจิ้งซื่อเพียงจิบชาแล้วตอบกลับมาเบา ๆ “ข้าไม่ชอบสู้กะคนป่าเถื่อน”
จบคำของเจิ้งซื่อทุกคนพลันเห็นหางตาของเจิ้งสี่กระตุก ถึงแม้เจิ้งซื่อจะพูดเสียงเบาปานใดแต่ด้วยในที่นี้ทุกคนมีวรยุทธ์
ย่อมได้ยินกันถ้วน
หลังจากวางระเบิดเสร็จเขาก็พลิ้วกายหายไปส่งแต่เสียงลอยมาตามลม “ ข้าจะไปเฝ้าซื่อจื่อ” ทุกคนหันไปมองเจิ้งสี่ที่ได้แต่ยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่กลางลาน เจิ้งหู่กลัวว่าตนจะกลายเป็นที่ระบายจึงรีบส่งสายตาเร่งมี่ฮวาออกไปฝึกกลางลาน
ทั้งสองตกลงกันว่าจะซ้อมกันแบบเบา ๆจึงเลือกดาบไม้เท่านั้นในการซ้อม
เพลงดาบของทั้งคู่มีลักษณะที่คล้ายกัน หากแต่ของเจิ้งหู่จะเน้นที่ความแรงและดุดันส่วนของมี่ฮวานั้นมีความลื่นไหลเฉียบขาดในทุกกระบวนท่า
เหตุที่ทั้งสองมีเพลงคล้ายคลึงกันเป็นเพราะทั้งคู่มีอาจารย์ที่ฝึกสอนคนเดียวกัน แต่เนื่องจากสรีระที่ต่างกันจึงมีการพลิกแพลงให้เข้ากับแต่ละคน
ภาพที่ทุกคนเห็นยามนี้เป็นการต่อสู้ที่งดงามทั้งสองสอดประสานกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ
อีกทั้งแสงอาทิตย์ที่สาดแสงอ่อน
ๆกระทบที่กายของทั้งสองทำให้ดูเหมือนดูการร่ายรำกระบี่ของเทพและเทพธิดาก็ไม่ปาน
ช่างเป็นภาพที่สวยงาม
ใช่ ! สวยงามจนเกินไป สวยงามจนพานให้หงุดหงิด
จ้าวเยว่เทียนมายืนดูทั้งสองได้สักครู่หลังจากที่เขาตรวจความเรียบร้อยของทหารที่อีกฟากนึงแล้วเขาจึงเดินมาดูเหล่าเงาของเขาและทันได้เห็นการร่ายรำกระบี่อันงดงามของทั้งคู่
พลันความคิดชั่วร้ายค่อย ๆคืบคลานเข้ามาในใจเขา จากนั้นความคิดชั่วร้ายจึงสั่งให้เขาตะโกนบางอย่างออกไป
“ใครชนะข้ามีรางวัลใหญ่ให้!”
“…”
เพียงเท่านั้นการร่ายรำกระบี่อันงดงามก็เปลี่ยนไป จากเทพธิดาและเทพบุตรกลายเป็นมารชายหญิงเข้าห้ำหั่นกัน
ทั้งสองโยนดาบไม้ทิ้งไปพลางดึงอาวุธประจำตัวที่เหน็บไว้ที่เอวออกมา เจิ้งหู่ใช้ดาบเกล็ดหิมะที่มีลักษณะเป็นดาบคู่เข้าจู่โจมระยะประชิดมี่ฮวาจึงต้องดึงกระบี่ที่เอวออกมาสกัดไว้
‘เจ้าสหายตัวดี! ไม่คิดจะยั้งแรงเลยหรือไร’
มี่ฮวาแขนชาไปหมดจากแรงปะทะพลันพลิกกระบี่ออกมาจากดาบของเจิ้งหู่พร้อมกับกวาดเท้าเตะไปที่ข้อพับเพื่อเพิ่มระยะห่างจากกัน
เจิ้งหู่ที่เห็นดังนั้นพลันถอยหลบแล้วรีบจู่โจมเข้าไปใหม่เพื่อไม่ให้มี่ฮวาถอยออกไปจากเขา
ถ้าหากเริ่มมีระยะห่างการต่อสู้ครั้งนี้นางจะได้เปรียบทันที
มี่ฮวาพยายามหาช่องว่างเพื่อเว้นระยะแต่เจิ้งหู่ก็ยังคงตามติดทำให้มองจากภายนอกเห็นเป็นเงาวูบไหว
แต่ถ้าเรื่องความเร็วแล้วมี่ฮวานับว่าเหนือกว่าเจิ้งหู่อยู่ระดับหนึ่ง จนเมื่อสบโอกาสมี่ฮวาจึงโปรยผงสีขาวใส่ตาของเขา
“เจ้าบ้านี่!” นี่นางอยากให้เขาตาบอดรึถึงได้เอายาพิษนางมาใช้กะเขา กล่าวพลางวาดกระบี่อย่างรุนแรงเพื่อให้ลมจากดาบพัดผงให้หายไป
“เจ้าพยัคฆ์โง่! นั่นผงแป้งธรรมดาต่างหากเล่า”
นางหัวเราะพลางถอยห่างจนถึงระยะที่พอใจ จากนั้นจึงเก็บกระบี่ไว้ที่ข้างเอวแล้วหยิบแส้ออกมาแทน
อาวุธที่นางถนัดนอกจากอาวุธประเภทซัดเช่นมีดสั้นและเข็มแล้ว ที่นางมักใช้บ่อยคือแส้
แส้ของนางด้ามจับเป็นสีขาวทำมาจากงาช้างส่วนปลายพู่ยาวเป็นสีแดงถักทออย่างประณีตสวยงาม
‘อ่า… นี่สิถึงจะเหมาะกับการเป็นดอกไม้ของเขา’
จ้าวเยว่เทียนคิดพลางยิ้มกริ่ม เขาชอบยามนางแผลงฤทธิ์แบบนี้ยิ่งนัก
“ได้เวลาเอาคืนละนะ” นางบอกพร้อมสะบัดแส้อย่างรวดเร็วไปหาเขา
ก่อนหน้านี้เจ้านั่นฟาดดาบมาที่นางแบบไม่ยั้งแขนนางชาไปหมด จนบางทีกันไม่ทันทำให้ได้รอยแผลที่แขนแบบถากๆมาหลายรอย
พายุแส้กระหน่ำฟาดมาที่เจิ้งหู่แบบไม่ยั้งมือ ครั้นเขาจะใช้ดาบฟันแส้นางก็เหนียวเกินไป
เริ่มมีรอยแผลเล็ก ๆปรากฏบนร่างของเขา นับว่านางยังเมตตาเขาที่ไม่กระชากให้เนื้อหลุดออกไปด้วย
นางฟาดไปได้สักพักเมื่อสบโอกาสนางใช้แส้ตวัดจนดาบหลุดจากมือเขาไปหนึ่งเล่ม ช่วงที่ดาบหลุดจากมือเขาก็รีบพุ่งเข้าไปประชิดนาง
นางจึงรีบใช้แส้ตวัดแขนเขาเอาไว้เพื่อไม่ให้เขาฟาดดาบลงมา เจิ้งหู่เห็นดังนั้นจึงฟันศอกไปที่นางพอดีกับที่นางเตะไปที่คางของเขา
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเห็นอีกทีทั้งสองก็ลงไปกองที่พื้นพร้อมๆกัน
การฝึกช่วงเช้าจบลงแล้วเมื่อถึงยามเฉินจ้าวเยว่เทียนจึงสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักได้
เจิ้งสี่กับเจิ้งซื่อได้มาหิ้วเอาเจ้าโง่สองคนที่คอพับคออ่อนไปจากลานฝึกอย่างรวดเร็ว
ชนิดที่ว่าหัวทั้งสองยังไม่กระแทกพื้นก็หายวับออกไป เหลือแต่ลานโล่ง
ๆให้เงาน้อยทั้งหลายมองตาค้าง ทั้งสองไม่สามารถปล่อยภาพพจน์อันน่าเกรงขามของทั้งคู่ย่อยยับลงได้ในฐานะหัวหน้าระดับสูงขององครักษ์เงา
ส่วนตัวการที่ก่อความร้าวฉานเดินผิวปากกลับไปกับเกาเทียนฉีที่เรือนแล้ว
ความคิดเห็น