ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    องครักษ์พิทักษ์หลังคา (สนพ.เฟยฮุ่ย)

    ลำดับตอนที่ #2 : ซื่อจื่อแสนซื่อ(บื้อ) รีไรท์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 19.48K
      1.19K
      26 มิ.ย. 62

    ซื่อจื่อแสนซื่อ(บื้อ)

     

         ดึกสงัดคืนหนึ่งปลายยามโฉ่วของฤดูร้อนทั้ง ๆที่ควรเงียบสงบกลับมีสายลมสายหนึ่งพัดพามาแบบผิดปกติ พาให้ใบไม้และแสงไฟในตะเกียงวูบไหวเป็นระยะหากสังเกตให้ดี ๆจะมองเห็นเป็นกลุ่มเงาสีดำสองสายทะยานไปตามหลังคาบ้านเรือนของผู้คน

         เงาสองสายที่เห็นหาใช่ภูตผีหรือตัวประหลาดอันใด แต่กลับเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่เคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วบนหลังคาบ้านเรือนของผู้อื่น แต่ด้วยทักษะหรืออะไรก็แล้วแต่ถือเป็นเรื่องน่ายินดีของชาวบ้านที่คนกลุ่มนี้ไม่ได้ทำให้กระเบื้องหลังคาของพวกเขาแตกหักขณะเหยียบย่ำ หรือทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้ให้เป็นที่น่าสงสัย

         อีกไกลหรือไม่เสียงหวานใสเอื้อนเอ่ยออกมา

         “ไม่นานเพียงหนึ่งเค่อเท่านั้นบุรุษที่นำหน้าหญิงสาวไปไม่ใกล้ไม่ไกลเกินเสียงพูดคุยกันเอ่ยออกมา หลังจากบอกไปเขาได้ลอบมองสีหน้าของนางที่แสดงอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด

         นางเพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อยกลับมา เขาพยายามชวนนางคุยเพื่อให้นางไม่หงุดหงิดไปมากกว่าเดิมหลังจากที่จู่ ๆเขาก็ไปหิ้วตัวนางออกมาจากภารกิจที่นางกำลังทำอยู่แบบกะทันหัน

         ทั้งเขาและนางนั้นล้วนเป็นองครักษ์ในสังกัดของจ้าวหวังซื่อจื่อ*แห่งแคว้นต้าเหลียง ซื่อจื่อคนสำคัญที่ไม่มีใครไม่รู้จักหากเอ่ยถึงชื่อของเขา

         ควรเรียกว่าอย่างไรดีล่ะ....

         ฉาวโฉ่คงพอได้กระมัง....

         แต่ไม่ได้เป็นองครักษ์ธรรมดาทั่วไปเหมือนใครอื่นเขา มิเช่นนั้นคงปรากฏตัวออกไปเช่าโรงเตี๊ยมนอนหรือควบม้าสบายอุราไปแล้วไม่ต้องมาทนลำบากปวดกล้ามเนื้อขาเพื่อทรงตัวให้มั่นบนหลังคา

        แล้วถ้าหากถามกลับว่าแล้วเป็นใครล่ะถึงต้องลำบากถึงเพียงนี้....

         มีเพียงคำตอบเดียว

         เพราะว่าพวกนางคือ องครักษ์เงา อย่างไรล่ะ!!!

         เรียกได้ว่าอยู่ในจุดต่ำสุดของห่วงโซ่ของการทำงานรับใช่เจ้านาย เจ้านายสั่งอะไรก็ต้องทำตามอย่างไม่มีข้อแม้ หากสะบัดมือเพียงนิดก็จำต้องกระโจนแบบถวายชีวิตเข้าไปหา บางครั้งบางคราก็เกือบคิดว่าตัวเองเป็นปลวกที่แอบอยู่ตามซอกตู้เสียด้วยซ้ำ หากวันไหนไม่โดนเรียกก็จงยืนขาแข็งถวายกายาอยู่ข้างตู้เตียงต่อไป

         ในบรรดาพวกเขาคนที่รับหน้าที่หาข่าวและแฝงตัวได้ดีที่สุดก็คือนาง เพราะความสามารถในการปลอมตัว และความปราดเปรียวในการเข้าไปล้วงความลับต่าง ๆ

         เพียงนางเผยมารยาหญิงเล็กน้อย พวกนั้นก็แทบจะคายความลับแทบเท้านาง จะให้ชายร่างใหญ่อย่างพวกเขาไปหาความลับ นอกจากจะไม่ได้ความลับแล้วอาจพานให้เป้าหมายหงุดหงิดจนประเคนกำปั้นมาให้เพราะต้องมาเสวนากับกล้ามเนื้อเคลื่อนที่แทนก็เป็นได้

          ส่วนเหตุผลที่เขาต้องรีบตามนางกลับมาเพราะว่าเจ้านายของเขาถูกวางยาพิษ และนางก็ถือว่าเป็นหมอที่เชี่ยวชาญด้านนี้คนหนึ่งเท่าที่เขาเคยรู้จัก

         แต่นั่นก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่พวกเขาต้องเร่งเดินทางกันเท่ากับนายเหนือหัวของเขาระบุอย่างชัดเจนว่าต้องเป็นนางเท่านั้น

         แล้วลูกน้องอย่างเขาจะทำอะไรได้ล่ะ

         ขณะที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองเพลิน ๆคนด้านข้างเขาก็ถามขึ้นมา

         “นายท่านทำไมถึงโดนพิษได้ มิใช่ว่าท่านองครักษ์เกาอยู่ด้วยตลอดเวลาหรอกรึนางถามด้วยความสงสัย ปกติองครักษ์ต้องอยู่ติดเจ้านายตลอดเวลา ไหนจะองครักษ์เงาคนอื่นอีก ทำไมโดนวางยาได้อย่างง่ายดาย

         “เอ่อมันก็มีเวลาที่แม้แต่องครักษ์เงาเช่นเราไม่สามารถอยู่กับนายท่านได้อยู่เหมือนกันหนาเมื่อเขาพูดจบทันเห็นหางคิ้วเรียวงามกระตุกเบา ๆ

        ‘ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยเยี่ยงนั้นหรือ

         นางเริ่มตระหนักได้แล้วว่าเจ้านายของนางโดนพิษได้อย่างไร แต่ก็ยังถามออกไปตกลงนายท่านโดนพิษจากที่ใด ใครเป็นคนทำ

         คำถามที่เขาไม่ต้องการตอบที่สุดในที่สุดมันก็มาคิดพลางน้ำตาตกในนายท่านไปทำธุระที่หอบัวสวรรค์ แล้วต้องการคุยธุระกับแม่นางซือเซียนตามลำพัง จึงไล่พวกข้าออกมาน่ะสิ

         ตอบเสร็จก็ยิ้มสู้ถือว่ารับหน้าแทนเจ้านายของตน แหม...จะมีใครภักดีเท่าเขาอีกกันเล่า ไม่มี๊!!

         โธ่ใครจะไปคิดกันเล่าว่าแม่นางน้อยผู้อ่อนหวานอยู่ดี ๆนึกอันใดขึ้นมาถึงกล้าวางยานายท่าน ก่อนหน้านี้ก็ไปมาหาสู่กันตั้งหลายรอบก็ยังไม่เห็นมีปัญหาแลดูว่าง่ายปานนั้นแต่ถึงอย่างไรก็เป็นความผิดพวกเขาอยู่ดี

         บุรุษหนอบุรุษจะมีธุระอันใดที่จะกระทำในสถานที่แบบนั้นกับแม่คนงามกันนอกจากแลกเปลี่ยนหยินหยาง พูดแก้ตัวให้นายไปก็เท่านั้น

         “ตกลงข้าต้องทิ้งทุกอย่างมาเพื่อแก้พิษจากนางคณิกาสินะ

         “จะว่าเช่นนั้นก็ได้เขาได้แต่ตอบเสียงค่อย ๆกลับไป

    ใช่!เพียงแค่แก้พิษจากนางคณิกา

         ทั้งยังเป็นพิษธรรมดาสามัญที่นางคณิกาทั่วไปมักใช้กัน อีกทั้งนายท่านของเขายังไม่ยอมให้ตามหมอจากที่อื่นมารักษาเพียงเหตุผลเพราะว่าไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าโดนพิษจากหญิงหอโคมเขียว อันที่จริงนายท่านของเขาไม่น่าเหลือชื่อเสียงอันใดให้ต้องอับอายไปมากกว่านี้แล้ว

         เขาต้องรีบเดินทางอย่างเร่งด่วนแทบไม่ได้พักเป็นเวลาสามวันเพื่อมาตามนางกลับไป เพราะแม่นางที่กล้าวางยานายท่านตอนนี้ไม่เหลือลมหายใจให้ได้เค้นเอาคำตอบว่าพิษที่ใช้เป็นพิษชนิดใดเสียแล้ว ทั้ง ๆใจเย็นอีกหน่อยก็ไม่ต้องลำบากกันถึงเพียงนี้

         'นายท่านนะนายท่าน...บางทีข้าก็อยากจะลาออกวันละหลายๆรอบเพราะความเอาแต่ใจของท่านเสียเหลือเกิน'

         แต่นึกอีกทีอาชีพนี้มันไม่ได้ลาออกกันง่าย ๆนี่หน่า

         เขาได้แต่ตัดพ้ออยู่ในใจ เพราะหากพูดออกไปอาจได้โดนตัดอย่างอื่นแทน ในฐานะองครักษ์เงาเขาก็ต้องทำตามคำสั่งของเจ้านายอยู่ดี ได้แต่สงสารคนข้างกายที่โดนฤทธิ์เดชความเอาแต่ใจมากกว่าเขาหลายเท่านัก

         เขาได้แต่เอาน้ำเย็นเข้าลูบนางก่อนจะถึงที่หมาย หาไม่แล้วนางอาจเอาอย่างอื่นมาลูบหน้าเขาแทน โทษฐานคือหนึ่งในตัวต้นเหตุ

         เฮ้อ...จะให้ทำเยี่ยงไรเล่าซื่อจื่อบอกว่าต้องให้เจ้ามาดูเท่านั้นอย่าอารมณ์เสียไปเลย ถือเสียว่ากลับมาพักละกัน

          นางได้กรอกลูกตาไปมากับความเอาแต่ใจของเจ้านายของตน

         เมื่อเห็นสีหน้านางยังไม่ดีขึ้นเขาจำต้องทำให้นางอารมณ์ดีเพิ่มขึ้นอีก "มี่ฮวา ถ้าเสร็จจากงานครานี้ ข้าจะยกวันลาของข้าให้เจ้าสองวันดีหรือไม่"

         “ขอบคุณพี่ เจิ้งสี่ มากเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่อยากได้วันลา ข้าอยากได้เวลาทำงานแบบสบาย ๆไม่ต้องวิ่งรอกไปมาแบบนี้มากกว่า” นางตอบพร้อมกับส่งรอยยิ้มแบบคนปลงตกแล้วมาให้เขา

         เจิ้งสี่ได้แต่ยิ้มแหยกลับไปให้นางอย่างคนที่เข้าใจกัน ไม่ทันได้ปลอบใจนางมากกว่านี้จุดหมายปลายทางที่ทำให้เขาต้องรีบเร่งไปนำนางมาที่นี่ก็ปรากฎ เขาจึงให้นางเข้าไปด้านใน เพราะดูแล้วอารมณ์นางน่าจะดีขึ้นแล้วจากบทสนทนา

         “ถึงแล้ว เจ้ารีบเข้าไปเถิด ซื่อจื่อรออยู่เขาบอกพร้อมกับส่งเสียงคล้ายนกร้องออกมาเพื่อเป็นสัญญาณให้แก่บุคคลที่อยู่ด้านใน

     

         ด้านหน้าของนางเป็นจวนหลังหนึ่งขนาดไม่ใหญ่มากนัก ดูก็รู้ว่าเป็นแหล่งมั่วสุมแห่งใหม่ของซื่อจื่อเจ้าปัญหาของนาง แสดงว่าเหตุการณ์ที่โดนยาพิษครานี้เรื่องยังไปไม่ถึงหูของ จ้าวซงหยวนหรือจ้าวอ๋อง พระบิดาของซื่อจื่อ  ถึงต้องระหกระเหินกันมาอยู่ในที่ไกลจากตัวเมืองเช่นนี้

         กำแพงสีขาวตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า ทั้งสองกระโดดหายไปเข้าไปด้านในโดยไม่ต้องรอให้ใครมาเปิดประตูจวน เจิ้งสี่เดินนำนางเพื่อหลบหลีกกับดักที่คนอื่นวางเอาไว้อย่างคล่องแคล่ว จากนั้นจึงเดินไปตามทางเดินไม้พลันได้กลิ่นหอมอ่อนๆของกำยานลอยตามลมมาเป็นระยะจนกระทั่งถึงห้องๆหนึ่งที่มีแสงไฟสลัวๆลอดออกมา

         เจิ้งสี่หันมาเปิดประตูให้นางและพยักหน้าให้นางนำไป ทันทีที่เปิดคลื่นความร้อนจากด้านในห้องก็ทะลักออกมาปะทะหน้าคนทั้งคู่ อากาศในฤดูนี้ว่าร้อนอยู่แล้วยังต้องมาอยู่ในห้องที่ร้อนขนาดนี้ นางคิดว่าซื่อจื่อของนางคงสุกไปเสียแล้วกระมัง

         ไม่ทันจะได้บ่นอะไรเสียงอ่อนระโหยโรยแรงก็ดังมาก่อนที่ตัวคนจะปรากฎ

         “มี่ฮวา ในที่สุดเจ้าก็มา ข้าทนอยู่ในนี้แทบไม่ไหวแล้วเสียงโอดครวญลอยออกมาจากม่านหมอกของควัน เห็นเป็นเงาตะคุ่ม ๆชวนให้เข้าใจผิด สักพักเจ้าของเสียงจึงเดินออกมาพร้อมอาภรณ์ที่เปียกไปทั้งกาย

         “เจิ้งหู่ นี่เจ้าไปทำอันใดมาไยจึงเปียกเช่นนี้สหายของนางยามนี้เปียกมะล่อกมะแล่กไปทั้งตัว พานให้เห็นกล้ามเนื้อเรียงตัวสวยภายใต้ร่มผ้า หากเป็นสตรีอื่นคงต้องผินหน้าหนีด้วยความขวยเขิน แต่กับนางที่เห็นมาตั้งแต่ยังเป็นเพียงเจ้าก้อนแป้งหาได้รู้สึกอันใด

         “ซื่อจื่อบอกว่าหนาวแล้วสั่งให้ข้าจุดเตาในนี้ แต่ข้าทนไม่ไหวจึงลงไปแช่ในน้ำ

         บอกพลางพยักเพยิดหน้าไปที่เตียงที่มีม่านสีขาวโปร่งบังอยู่ ด้านในเห็นเป็นก้อนผ้าห่มก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งขนาดกินพื้นที่บนเตียงไปเกือบหมด มี่ฮวาเห็นจึงเดินเข้าไปเปิดผ้าม่านขึ้น

         อาการของซื่อจื่อตอนนี้ถ้าบอกว่าคนตรงหน้านางเป็นบุรุษรูปงามที่สุดในเมืองหลวงคงไม่มีใครเชื่อ สภาพที่เห็นตอนนี้คือหน้าตาที่ซีดเซียว คิ้วทรงกระบี่ขมวดมุ่นเข้าหากัน เปลือกตาปิดสนิททำให้มองไม่เห็นดวงตาสีนิลที่มีแววเจ้าเล่ห์อยู่เสมอ ปากที่เคยเป็นสีแดงระเรื่อตอนนี้มีสีม่วงและแห้งแตก ผมสีน้ำหมึกยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงคล้ายนกมาทำรัง นอกจากนี้ยังเกาะผ้าห่มไม่ยอมปล่อยไม่ว่านางจะดึงเท่าใดก็ไม่หลุด

         “จ้าวเยว่เทียน ท่านจะห่อตัวเป็นดักแด้อีกนานหรือไม่ ท่านเร่งให้ข้ามาหาแต่ท่านไม่ให้ความร่วมมือข้าในการรักษาแล้วจะให้ข้าทำเช่นใดว่าไปพลางดึงผ้าห่มไป หลังจากดึงไปสักระยะอย่างไรก็สู้แรงคนป่วยไม่ได้ นางจึงหันไปเพื่อขอความช่วยเหลือจากคนที่เหลืออยู่ แต่ปรากฏว่าทั้งสองคนทนความร้อนไม่ไหวหนีออกไปด้านนอกนานแล้ว

         ในเมื่อไม่มีใครช่วย แถมคนป่วยไม่ให้ความร่วมมือนางจึงต้องขออนุญาตใช้ความรุนแรงโดยการกระตุกอีกด้านของผ้าห่มก่อนจะสะบัดอย่างแรง

          “หวา....” มนุษย์หนึ่งก้อนกระเด็นออกมาจากกองผ้าห่มทันที เห็นดังนั้นก็รีบสกัดจุดไม่ให้เจ้านายงี่เง่าเอาผ้ามาห่อตัวอีก

         เมื่อไม่มีสิ่งใดมาปิดบัง ริมฝีปากที่แห้งแตกจึงเอ่ยอ้อนวอนขอความเห็นใจออกมาหนาว...ข้าหนาว

         เสียงแหบแห้งออกมาจากซากตรงหน้านาง นางจะใช้คำว่าซากก็คงไม่ผิดเพราะสภาพนั้นดูไม่ได้เหลือทน นอกจากนี้เหมือนคิดว่ายังทำให้นางอารมณ์เสียไม่พอจึงได้พ่นวาจาน่าแทงขึ้นมาอีก 

         กอดข้าที ข้าหนาวเหลือเกินซากตรงหน้าอ้อนวอนขอความเห็นใจ นางได้แต่ปรายตามองอย่างเฉยชา จากนั้นนำเอายาขับพิษเบื้องต้นออกมาให้เขากินก่อนจึงลงมือตรวจต่อ

         “ข้า...ไม่คิดว่านางจะวางยาข้าเจ้าซากยังคงพร่ำบ่นต่อไป หรือว่านางควรสกัดจุดให้เงียบไปเสียเหมือนคนตรงหน้าจะรับรู้ได้ถึงอาการหงุดหงิดของนางจึงเริ่มสงบปากสงบคำลง

         “ก่อนหน้านี้ท่านคุยอันใดกับนางหรือเจ้าคะ นางจึงคิดวางยาท่านได้นางถามคนตรงหน้าที่สีหน้าเริ่มมีเลือดฝาดหลังจากได้รับยาจากนางไป

         จ้าวเยว่เทียนหลุบตาต่ำลงดั่งคนมีชะนักติดหลังก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเบาข้าเพียงคุยกับนางเรื่องทั่วไปเหมือนทุกทีนั่นแหละน่า

          จ้าวเยว่เทียนรีบตอบแบบปัดๆไป เพราะเมื่อโดนมี่ฮวาถามจี้ขึ้นมาก็เหมือนเขาจะนึกขึ้นมาได้ว่าเคยเอ่ยเกี้ยวนางตอนเมาสุรามาเป็นอนุ แต่นั่นคำพูดของคนเมาเขาไม่คิดว่านางจะจริงจังขนาดนี้ อีกทั้งนางยังดังเป็นอันดับต้นๆของหอบัวสวรรค์ ไม่จำเป็นต้องรอแต่เขาเพียงผู้เดียว

         เขารู้ว่านางมีแขกประจำคนอื่นอีกมากนัก เพราะหลายคราเวลาเขาไปที่นั่นเขาก็ไม่ได้พบนางตลอด แถมเวลานางจะทวงถามสิ่งที่เขาเคยเอ่ยนางก็ไม่พูดตรงๆ นางกลับมาเล่นพิณแว่วหวานส่งสายตาตัดพ้อให้เขานั่งตีความไปเอง ไม่มีใครมีสมาธิตีความสารของนางเวลาไปดื่มกันหรอก

         เขาไปหอบัวสวรรค์ แฮ่ม…  เขาก็ต้องตั้งใจดูบัวสิ ใครจะคิดว่านางจะแค้นเขาขนาดนี้

         มี่ฮวาได้แต่หรี่ตามองคนที่ดูท่าว่าจะโกหกตรงหน้านางอย่างนั้นหรือแต่ท่านไม่ควรทำเกินเลยเช่นนี้เมื่อผู้ร้ายยังปากแข็ง นางก็ป่วยการที่จะเซ้าซี้เอาคำตอบจากเขาอีก

         แม่นางซือเซียนคนนี้นางก็เคยพบครั้งที่ต้องตามไปอารักขาจ้าวเยว่เทียนยามเขาออกตระเวนราตรี จากที่นางเคยดูจากท่าทางลักษณะนิสัยและตามสืบพื้นเพเดิมของนางก็ไม่พบสิ่งใดให้น่าสงสัยว่าจะเป็นฝ่ายตรงข้าม มีความเป็นไปได้ว่าเหตุเกิดจากซื่อจื่อซื่อบื้อของนางครั้นจะถามจากศิษย์พี่เจิ้งสี่หรือองครักษ์เกาทั้งสองก็ดันไม่ได้อยู่ด้วย

         พิษที่นางใช้ก็ไม่ได้ร้ายแรงกะเอาให้ถึงตายยาแก้พิษจึงเป็นสมุนไพรง่ายๆทั่วไปเนื่องจากพิษที่โดนไม่ได้ร้ายแรง เป็นพิษที่ออกฤทธิ์แรงกว่ายากำหนัดเพียงขั้นหนึ่ง คนที่โดนจะโหยหาความอบอุ่นจากเจ้าของพิษเพียงผู้เดียวตลอดเวลา

         แก้พิษเบื้องต้นก็แค่ยอมมีสัมพันธ์กับเจ้าของพิษจากนั้นพิษก็จะค่อยทุเลาลงเรื่อย ๆ แต่ไม่รู้แม่นางคนนั้นไปทำอันใดให้พ่อยอดชายแห่งเมืองหลวงไม่ถูกใจถึงได้โดนจัดการไปเสียก่อนได้ช่วยคลายพิษ    

     

                                                                                                                                         

         หลังจากตรวจจนถี่ถ้วนนางจึงเรียกเจิ้งสี่เข้ามาและเขียนเทียบยาให้จากนั้นจึงเดินไปเปิดหน้าต่างห้องเพื่อระบายความร้อน เพราะดูแล้วถ้าอากาศในห้องเป็นอย่างนี้ต่อไปเจ้าสหายตัวดีและศิษย์พี่ของนางคงไม่ยอมเข้ามาช่วยนางทำอันใดในห้องนี้เป็นแน่

         หลังจากอาการของคนป่วยดีขึ้นจ้าวเยว่เทียนก็เริ่มทำการป่วนประสาทนางทันที  

         “เจ้าผอมลงไปใช่หรือไม่เขาพูดพลางหรี่ตามองเล็กน้อย

         ‘ใช่ ก็ต้องผอมลงสิ นางเร่งเดินทางขนาดนี้ข้าวปลาแทบไม่ได้กิน

         “แถมผิวเจ้าคล้ำขึ้นนิดหน่อยสายตาก็เริ่มสำรวจตามผิวที่พ้นผ้าออกมา

         วิ่งตากแดดบนหลังคาชาวบ้านหลายวันติดกัน จะให้ขาวผ่องเป็นยองใยรึ

         คนไม่รู้ตัวก็ยังคงไม่รู้ตัวว่ากำลังทำให้ผู้อื่นอารมณ์เสียนางเริ่มนับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อข่มอารมณ์ ซื่อจื่อแสนซื่อ(บื้อ) ของนางก็ยังคงบ่นงุ้งงิ้งต่อไปแบบไม่รู้ตัว

         ก่อนที่นางจะทนต่อไม่ไหวเจิ้งสี่ก็นำยาสีเข้มใส่ถาดเข้ามาถ้วยหนึ่งด้านข้างมีจานเล็กๆใส่ผลไม้เชื่อมเอาไว้เพื่อให้เจ้านายเขากินล้างปาก

         เขามั่นใจว่ายาถ้วยนี้ต้องขมเป็นอย่างมากเพราะแค่ตอนเคี่ยวแล้วกลิ่นโชยขึ้นมาเขายังรู้สึกขมแทนเพราะดูแล้วคนให้เทียบยามาไม่ยั้งมือในการเลือกสมุนไพรเท่าไหร่จากนั้นจึงช่วยประคองร่างกายที่ซีดเซียวขึ้นมาเพื่อให้ทานยา

         “ทานยาก่อนขอรับ ข้าเตรียมผลไม้เชื่อมไว้ให้ท่านด้วย

         เจิ้งสี่พูดพลางยื่นถ้วยยาสีเข้มให้ แต่เมื่อหันกลับมาเพื่อหยิบจานผลไม้เชื่อปรากฏว่าในจานผลไม้พลันอันตรธานหายไปหมดแล้วจะหันไปบอกจ้าวเยว่เทียนว่าอย่าพึ่งดื่มก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อยาเหลือเพียงก้นถ้วยพร้อมสีหน้าเหยเกของเขาเจิ้งสี่จึงรีบหยิบกาชาเพื่อจะเทชาให้ดื่มเพื่อล้างปากแทนแต่ในกากลับว่างเปล่า

         ไม่ต้องสงสัยว่าหายไปได้อย่างไรแม่ตัวดีก็แสร้งทำเป็นตาโตเอามือทาบอกทำหน้าตาตกใจอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับคำกล่าวอ้างที่เป็นข้อแก้ตัวออกมา

         “โอ๊ะขออภัยเจ้าค่ะ พอดีผลไม้เชื่อมมันหวานเกินไปข้าเลยเผลอดื่มชาจนหมด

         “…”

         “ยาขมเพียงเท่านี้ทำอันใดท่านไม่ได้หรอกใช่ไหมเจ้าคะ

         “…”

         มี่ฮวาฉีกยิ้มกว้างให้ทั้งสองพร้อมกับทำเมินสีหน้ากลั้นอาเจียนของจ้าวเยว่เทียนไปพร้อม ๆกัน

          การแก้แค้นเล็ก ๆน้อย ๆของนางในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ!!!

         นางก็แค่รู้สึกว่าเจิ้งสี่ประคบประหงมจ้าวเยว่เทียนเกินไปเกาเทียนฉีก็อีกคนถ้าหากเมื่อใดปล่อยให้สองคนนี้ได้อยู่ด้วยกันมักจะปล่อยให้ซื่อจื่อทำทุกเรื่องตามใจตนและไม่สนใจที่จะรักษาภาพลักษณ์ผู้สืบทอดที่ดีของจ้าวอ๋องถ้าหากเจิ้งซื่อติดตามไปด้วยนางมั่นใจว่าไม่มีทางที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น

         แต่ตั้งแต่มาถึงที่นี่นางยังไม่เห็นเจิ้งซื่อและเกาเทียนฉี คาดว่าทั้งคู่คงต้องไปทำการเก็บกวาดเรื่องที่นายน้อยของทั้งสองทำทิ้งไว้เป็นแน่

         จ้าวเยว่เทียนในยามนี้ได้รับฉายาว่าคุณชายเจ้าสำราญของเมืองหลวงแทบจะเรียกได้ว่าหากอยากเจอเขาเพียงแค่ไปตามหาที่ที่มีสุราและนารี ก็พบเขาได้ง่าย

         อาจเพราะสถานะการในแคว้นต้าเหลียงยามนี้ยังสงบสุข บัลลังก์ของกษัตริย์ยังมั่นคงประชาชนไม่มีเรื่องเดือดร้อนมากนักขุนนางที่คดโกงยังเกรงในอำนาจอยู่หลายส่วนจึงโกงได้เพียงน้อยนิด 

         เพราะฮ่องเต้จ้าวฉงซานจัดการคานอำนาจของขุนนางทั้งหลายได้เป็นอย่างดีอีกทั้งด้วยพระปรีชาสามารถขององค์รัชทายาททำให้ขุนนางฝ่ายเจ้าชายพระองค์อื่นสงบปากสงบคำไม่มีเรื่องให้คัดค้านได้มากนัก

         จ้าวเยว่เทียนที่มีศักดิ์เป็นพระนัดดาในฮ่องเต้ทั้งยังพ่วงตำแหน่งผู้สืบทอดตำแหน่งแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินต่อจากบิดาเลยสามารถทำตัวลอยไปลอยมาเช่นนี้ได้

         จริงๆนางก็รู้ว่าการที่จ้าวเยว่เทียนทำตัวสำมะเลเทเมาแบบนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากการไม่ต้องการทำตัวเป็นจุดเด่นนักเพราะยังคงมีฝ่ายที่ระแวงคิดว่าเขาจะคิดการใหญ่ขึ้นมาเพราะทั้งอำนาจและกำลังพลที่อยู่ในมือของจ้าวอ๋องก็มีไม่น้อย

         แต่บางครั้งนางก็รู้สึกว่าเขาทำตัวสมบทบาทจนเกินไปจากก่อนหน้านี้มีคนคอยปล่อยข่าวลือมากมายกลายเป็นว่าข่าวลือทุกอย่างกลายเป็นจริงไปหมดแล้ว

         อย่างเช่นเรื่องหลงใหลในมารยาหญิงจนได้เรื่องเหมือนดั่งตอนนี้ยังไงล่ะ !!

         หลังจากปล่อยให้คนป่วยดื่มยาแล้วได้พักผ่อนเจิ้งหู่จึงกลับมาประจำตำแหน่งเดิมคอยอยู่ในมุมข้างเตียงของผู้เป็นนาย เจิ้งสี่ที่รู้สึกผิดจึงมาเฝ้าอยู่ด้วยและให้นางไปพักผ่อนแทน

         ภายในจวนนี้ขนาดไม่ใหญ่ ดูทรงแล้วคงมาแบบกะทันหันและเป็นความลับที่สุดในจวนไม่มีบ่าวรับใช้หรือพ่อบ้านเลยแม้แต่คนเดียว นางจึงสุ่มเลือกห้องที่อยู่ใกล้ที่สุดกับห้องของจ้าวเยว่เทียนเพื่อเป็นที่พักผ่อนในคืนนี้

         แต่ไม่ทันจะได้พักผ่อนดีก็ได้ยินเสียงคนป่วยที่ควรจะหลับไปแล้วเรียกนางอยู่ไม่หยุด ได้ยินแว่ว ๆว่าอย่างฟังพิณก่อนนอน

         นางแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินก่อนจะเดินตัวปลิวเข้ามาในห้องถึงแม้ว่าการกระทำของนางนี่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นความผิดทางวินัยขององครักษ์เงา

         แต่ก็นั่นแหละ...นางไม่เคยได้รีบโทษถึงแม้จะทำอะไรแบบนี้

         บอกแล้วว่าซื่อจื่อของนางน่ะเป็นคนซื่อ(บื้อ)ที่สุด!!


                                                                                                                                                                                                   

    ซื่อจื่อ* /ซื่อหวัง =ใช้เรียกผู้ที่เป็นผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์หวัง(อ๋อง) ชั้นหนึ่ง ขั้นเอก

    ขอโทษที่หายไปนานค่า เก๊ากลับมาแย้ววว
    พอดีไปสู้รบกับลูกค้าผู้น่ารักนานไปหน่อยบวกกับสุขภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยดองพี่เยว่คนกากจนเปรี้ยวไปหมด
    หลังจากนี้จะพยายามลงให้สม่ำเสมอกว่าเดิมนะคะ

    ปล. เนื้อหาที่รีไรท์ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเท่าไหร่ค่ะ แค่เพิ่มบางอย่างให้สมูทกว่าเดิม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×