คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ซื่อจื่อแสนซื่อ(บื้อ) รีไรท์
ซื่อจื่อแสนซื่อ(บื้อ)
ดึกสงัดคืนหนึ่งปลายยามโฉ่วของฤดูร้อนทั้ง
ๆที่ควรเงียบสงบกลับมีสายลมสายหนึ่งพัดพามาแบบผิดปกติ พาให้ใบไม้และแสงไฟในตะเกียงวูบไหวเป็นระยะหากสังเกตให้ดี
ๆจะมองเห็นเป็นกลุ่มเงาสีดำสองสายทะยานไปตามหลังคาบ้านเรือนของผู้คน
เงาสองสายที่เห็นหาใช่ภูตผีหรือตัวประหลาดอันใด
แต่กลับเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่เคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วบนหลังคาบ้านเรือนของผู้อื่น
แต่ด้วยทักษะหรืออะไรก็แล้วแต่ถือเป็นเรื่องน่ายินดีของชาวบ้านที่คนกลุ่มนี้ไม่ได้ทำให้กระเบื้องหลังคาของพวกเขาแตกหักขณะเหยียบย่ำ
หรือทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้ให้เป็นที่น่าสงสัย
“อีกไกลหรือไม่” เสียงหวานใสเอื้อนเอ่ยออกมา
“ไม่นานเพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น”
บุรุษที่นำหน้าหญิงสาวไปไม่ใกล้ไม่ไกลเกินเสียงพูดคุยกันเอ่ยออกมา หลังจากบอกไปเขาได้ลอบมองสีหน้าของนางที่แสดงอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
นางเพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อยกลับมา
เขาพยายามชวนนางคุยเพื่อให้นางไม่หงุดหงิดไปมากกว่าเดิมหลังจากที่จู่
ๆเขาก็ไปหิ้วตัวนางออกมาจากภารกิจที่นางกำลังทำอยู่แบบกะทันหัน
ทั้งเขาและนางนั้นล้วนเป็นองครักษ์ในสังกัดของจ้าวหวังซื่อจื่อ*แห่งแคว้นต้าเหลียง
ซื่อจื่อคนสำคัญที่ไม่มีใครไม่รู้จักหากเอ่ยถึงชื่อของเขา
ควรเรียกว่าอย่างไรดีล่ะ....
ฉาวโฉ่คงพอได้กระมัง....
แต่ไม่ได้เป็นองครักษ์ธรรมดาทั่วไปเหมือนใครอื่นเขา
มิเช่นนั้นคงปรากฏตัวออกไปเช่าโรงเตี๊ยมนอนหรือควบม้าสบายอุราไปแล้วไม่ต้องมาทนลำบากปวดกล้ามเนื้อขาเพื่อทรงตัวให้มั่นบนหลังคา
แล้วถ้าหากถามกลับว่าแล้วเป็นใครล่ะถึงต้องลำบากถึงเพียงนี้....
มีเพียงคำตอบเดียว
เพราะว่าพวกนางคือ องครักษ์เงา อย่างไรล่ะ!!!
เรียกได้ว่าอยู่ในจุดต่ำสุดของห่วงโซ่ของการทำงานรับใช่เจ้านาย
เจ้านายสั่งอะไรก็ต้องทำตามอย่างไม่มีข้อแม้
หากสะบัดมือเพียงนิดก็จำต้องกระโจนแบบถวายชีวิตเข้าไปหา
บางครั้งบางคราก็เกือบคิดว่าตัวเองเป็นปลวกที่แอบอยู่ตามซอกตู้เสียด้วยซ้ำ
หากวันไหนไม่โดนเรียกก็จงยืนขาแข็งถวายกายาอยู่ข้างตู้เตียงต่อไป
ในบรรดาพวกเขาคนที่รับหน้าที่หาข่าวและแฝงตัวได้ดีที่สุดก็คือนาง
เพราะความสามารถในการปลอมตัว และความปราดเปรียวในการเข้าไปล้วงความลับต่าง ๆ
เพียงนางเผยมารยาหญิงเล็กน้อย พวกนั้นก็แทบจะคายความลับแทบเท้านาง จะให้ชายร่างใหญ่อย่างพวกเขาไปหาความลับ
นอกจากจะไม่ได้ความลับแล้วอาจพานให้เป้าหมายหงุดหงิดจนประเคนกำปั้นมาให้เพราะต้องมาเสวนากับกล้ามเนื้อเคลื่อนที่แทนก็เป็นได้
ส่วนเหตุผลที่เขาต้องรีบตามนางกลับมาเพราะว่าเจ้านายของเขาถูกวางยาพิษ
และนางก็ถือว่าเป็นหมอที่เชี่ยวชาญด้านนี้คนหนึ่งเท่าที่เขาเคยรู้จัก
แต่นั่นก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่พวกเขาต้องเร่งเดินทางกันเท่ากับนายเหนือหัวของเขาระบุอย่างชัดเจนว่าต้องเป็นนางเท่านั้น
แล้วลูกน้องอย่างเขาจะทำอะไรได้ล่ะ
ขณะที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองเพลิน ๆคนด้านข้างเขาก็ถามขึ้นมา
“นายท่านทำไมถึงโดนพิษได้
มิใช่ว่าท่านองครักษ์เกาอยู่ด้วยตลอดเวลาหรอกรึ” นางถามด้วยความสงสัย
ปกติองครักษ์ต้องอยู่ติดเจ้านายตลอดเวลา ไหนจะองครักษ์เงาคนอื่นอีก ทำไมโดนวางยาได้อย่างง่ายดาย
“เอ่อ…มันก็…มีเวลาที่แม้แต่องครักษ์เงาเช่นเราไม่สามารถอยู่กับนายท่านได้อยู่เหมือนกันหนา”
เมื่อเขาพูดจบทันเห็นหางคิ้วเรียวงามกระตุกเบา ๆ
‘ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยเยี่ยงนั้นหรือ’
นางเริ่มตระหนักได้แล้วว่าเจ้านายของนางโดนพิษได้อย่างไร แต่ก็ยังถามออกไป “ตกลงนายท่านโดนพิษจากที่ใด ใครเป็นคนทำ”
คำถามที่เขาไม่ต้องการตอบที่สุดในที่สุดมันก็มาคิดพลางน้ำตาตกใน
“นายท่านไปทำธุระที่หอบัวสวรรค์ แล้วต้องการคุยธุระกับแม่นางซือเซียนตามลำพัง
จึงไล่พวกข้าออกมาน่ะสิ”
ตอบเสร็จก็ยิ้มสู้ถือว่ารับหน้าแทนเจ้านายของตน
แหม...จะมีใครภักดีเท่าเขาอีกกันเล่า ไม่มี๊!!
โธ่…ใครจะไปคิดกันเล่าว่าแม่นางน้อยผู้อ่อนหวานอยู่ดี
ๆนึกอันใดขึ้นมาถึงกล้าวางยานายท่าน ก่อนหน้านี้ก็ไปมาหาสู่กันตั้งหลายรอบก็ยังไม่เห็นมีปัญหาแลดูว่าง่ายปานนั้นแต่ถึงอย่างไรก็เป็นความผิดพวกเขาอยู่ดี
บุรุษหนอบุรุษ…
จะมีธุระอันใดที่จะกระทำในสถานที่แบบนั้นกับแม่คนงามกันนอกจากแลกเปลี่ยนหยินหยาง
พูดแก้ตัวให้นายไปก็เท่านั้น
“ตกลงข้าต้องทิ้งทุกอย่างมาเพื่อแก้พิษจากนางคณิกาสินะ”
“จะว่าเช่นนั้นก็ได้”
เขาได้แต่ตอบเสียงค่อย ๆกลับไป
ใช่!! เพียงแค่แก้พิษจากนางคณิกา
ทั้งยังเป็นพิษธรรมดาสามัญที่นางคณิกาทั่วไปมักใช้กัน
อีกทั้งนายท่านของเขายังไม่ยอมให้ตามหมอจากที่อื่นมารักษาเพียงเหตุผลเพราะว่าไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าโดนพิษจากหญิงหอโคมเขียว
อันที่จริงนายท่านของเขาไม่น่าเหลือชื่อเสียงอันใดให้ต้องอับอายไปมากกว่านี้แล้ว
เขาต้องรีบเดินทางอย่างเร่งด่วนแทบไม่ได้พักเป็นเวลาสามวันเพื่อมาตามนางกลับไป
เพราะแม่นางที่กล้าวางยานายท่านตอนนี้ไม่เหลือลมหายใจให้ได้เค้นเอาคำตอบว่าพิษที่ใช้เป็นพิษชนิดใดเสียแล้ว
ทั้ง ๆใจเย็นอีกหน่อยก็ไม่ต้องลำบากกันถึงเพียงนี้
'นายท่านนะนายท่าน...บางทีข้าก็อยากจะลาออกวันละหลายๆรอบเพราะความเอาแต่ใจของท่านเสียเหลือเกิน'
แต่นึกอีกทีอาชีพนี้มันไม่ได้ลาออกกันง่าย
ๆนี่หน่า
เขาได้แต่ตัดพ้ออยู่ในใจ เพราะหากพูดออกไปอาจได้โดนตัดอย่างอื่นแทน ในฐานะองครักษ์เงาเขาก็ต้องทำตามคำสั่งของเจ้านายอยู่ดี
ได้แต่สงสารคนข้างกายที่โดนฤทธิ์เดชความเอาแต่ใจมากกว่าเขาหลายเท่านัก
เขาได้แต่เอาน้ำเย็นเข้าลูบนางก่อนจะถึงที่หมาย
หาไม่แล้วนางอาจเอาอย่างอื่นมาลูบหน้าเขาแทน โทษฐานคือหนึ่งในตัวต้นเหตุ
“เฮ้อ...จะให้ทำเยี่ยงไรเล่าซื่อจื่อบอกว่าต้องให้เจ้ามาดูเท่านั้นอย่าอารมณ์เสียไปเลย
ถือเสียว่ากลับมาพักละกัน”
นางได้กรอกลูกตาไปมากับความเอาแต่ใจของเจ้านายของตน
เมื่อเห็นสีหน้านางยังไม่ดีขึ้นเขาจำต้องทำให้นางอารมณ์ดีเพิ่มขึ้นอีก
"มี่ฮวา ถ้าเสร็จจากงานครานี้
ข้าจะยกวันลาของข้าให้เจ้าสองวันดีหรือไม่"
“ขอบคุณพี่ เจิ้งสี่ มากเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่อยากได้วันลา
ข้าอยากได้เวลาทำงานแบบสบาย ๆไม่ต้องวิ่งรอกไปมาแบบนี้มากกว่า”
นางตอบพร้อมกับส่งรอยยิ้มแบบคนปลงตกแล้วมาให้เขา
เจิ้งสี่ได้แต่ยิ้มแหยกลับไปให้นางอย่างคนที่เข้าใจกัน
ไม่ทันได้ปลอบใจนางมากกว่านี้จุดหมายปลายทางที่ทำให้เขาต้องรีบเร่งไปนำนางมาที่นี่ก็ปรากฎ
เขาจึงให้นางเข้าไปด้านใน เพราะดูแล้วอารมณ์นางน่าจะดีขึ้นแล้วจากบทสนทนา
“ถึงแล้ว เจ้ารีบเข้าไปเถิด ซื่อจื่อรออยู่” เขาบอกพร้อมกับส่งเสียงคล้ายนกร้องออกมาเพื่อเป็นสัญญาณให้แก่บุคคลที่อยู่ด้านใน
ด้านหน้าของนางเป็นจวนหลังหนึ่งขนาดไม่ใหญ่มากนัก ดูก็รู้ว่าเป็นแหล่งมั่วสุมแห่งใหม่ของซื่อจื่อเจ้าปัญหาของนาง แสดงว่าเหตุการณ์ที่โดนยาพิษครานี้เรื่องยังไปไม่ถึงหูของ จ้าวซงหยวนหรือจ้าวอ๋อง
พระบิดาของซื่อจื่อ ถึงต้องระหกระเหินกันมาอยู่ในที่ไกลจากตัวเมืองเช่นนี้
กำแพงสีขาวตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า ทั้งสองกระโดดหายไปเข้าไปด้านในโดยไม่ต้องรอให้ใครมาเปิดประตูจวน
เจิ้งสี่เดินนำนางเพื่อหลบหลีกกับดักที่คนอื่นวางเอาไว้อย่างคล่องแคล่ว จากนั้นจึงเดินไปตามทางเดินไม้พลันได้กลิ่นหอมอ่อนๆของกำยานลอยตามลมมาเป็นระยะจนกระทั่งถึงห้องๆหนึ่งที่มีแสงไฟสลัวๆลอดออกมา
เจิ้งสี่หันมาเปิดประตูให้นางและพยักหน้าให้นางนำไป
ทันทีที่เปิดคลื่นความร้อนจากด้านในห้องก็ทะลักออกมาปะทะหน้าคนทั้งคู่ อากาศในฤดูนี้ว่าร้อนอยู่แล้วยังต้องมาอยู่ในห้องที่ร้อนขนาดนี้
นางคิดว่าซื่อจื่อของนางคงสุกไปเสียแล้วกระมัง
ไม่ทันจะได้บ่นอะไรเสียงอ่อนระโหยโรยแรงก็ดังมาก่อนที่ตัวคนจะปรากฎ
“มี่ฮวา ในที่สุดเจ้าก็มา ข้าทนอยู่ในนี้แทบไม่ไหวแล้ว” เสียงโอดครวญลอยออกมาจากม่านหมอกของควัน เห็นเป็นเงาตะคุ่ม ๆชวนให้เข้าใจผิด
สักพักเจ้าของเสียงจึงเดินออกมาพร้อมอาภรณ์ที่เปียกไปทั้งกาย
“เจิ้งหู่ นี่เจ้าไปทำอันใดมาไยจึงเปียกเช่นนี้”
สหายของนางยามนี้เปียกมะล่อกมะแล่กไปทั้งตัว พานให้เห็นกล้ามเนื้อเรียงตัวสวยภายใต้ร่มผ้า
หากเป็นสตรีอื่นคงต้องผินหน้าหนีด้วยความขวยเขิน แต่กับนางที่เห็นมาตั้งแต่ยังเป็นเพียงเจ้าก้อนแป้งหาได้รู้สึกอันใด
“ซื่อจื่อบอกว่าหนาวแล้วสั่งให้ข้าจุดเตาในนี้ แต่ข้าทนไม่ไหวจึงลงไปแช่ในน้ำ”
บอกพลางพยักเพยิดหน้าไปที่เตียงที่มีม่านสีขาวโปร่งบังอยู่ ด้านในเห็นเป็นก้อนผ้าห่มก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งขนาดกินพื้นที่บนเตียงไปเกือบหมด
มี่ฮวาเห็นจึงเดินเข้าไปเปิดผ้าม่านขึ้น
อาการของซื่อจื่อตอนนี้ถ้าบอกว่าคนตรงหน้านางเป็นบุรุษรูปงามที่สุดในเมืองหลวงคงไม่มีใครเชื่อ
สภาพที่เห็นตอนนี้คือหน้าตาที่ซีดเซียว คิ้วทรงกระบี่ขมวดมุ่นเข้าหากัน เปลือกตาปิดสนิททำให้มองไม่เห็นดวงตาสีนิลที่มีแววเจ้าเล่ห์อยู่เสมอ
ปากที่เคยเป็นสีแดงระเรื่อตอนนี้มีสีม่วงและแห้งแตก ผมสีน้ำหมึกยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงคล้ายนกมาทำรัง
นอกจากนี้ยังเกาะผ้าห่มไม่ยอมปล่อยไม่ว่านางจะดึงเท่าใดก็ไม่หลุด
“จ้าวเยว่เทียน ท่านจะห่อตัวเป็นดักแด้อีกนานหรือไม่
ท่านเร่งให้ข้ามาหาแต่ท่านไม่ให้ความร่วมมือข้าในการรักษาแล้วจะให้ข้าทำเช่นใด”
ว่าไปพลางดึงผ้าห่มไป หลังจากดึงไปสักระยะอย่างไรก็สู้แรงคนป่วยไม่ได้
นางจึงหันไปเพื่อขอความช่วยเหลือจากคนที่เหลืออยู่ แต่ปรากฏว่าทั้งสองคนทนความร้อนไม่ไหวหนีออกไปด้านนอกนานแล้ว
ในเมื่อไม่มีใครช่วย แถมคนป่วยไม่ให้ความร่วมมือนางจึงต้องขออนุญาตใช้ความรุนแรงโดยการกระตุกอีกด้านของผ้าห่มก่อนจะสะบัดอย่างแรง
“หวา....”
มนุษย์หนึ่งก้อนกระเด็นออกมาจากกองผ้าห่มทันที เห็นดังนั้นก็รีบสกัดจุดไม่ให้เจ้านายงี่เง่าเอาผ้ามาห่อตัวอีก
เมื่อไม่มีสิ่งใดมาปิดบัง ริมฝีปากที่แห้งแตกจึงเอ่ยอ้อนวอนขอความเห็นใจออกมา
“หนาว...ข้า…หนาว”
เสียงแหบแห้งออกมาจากซากตรงหน้านาง นางจะใช้คำว่าซากก็คงไม่ผิดเพราะสภาพนั้นดูไม่ได้เหลือทน
นอกจากนี้เหมือนคิดว่ายังทำให้นางอารมณ์เสียไม่พอจึงได้พ่นวาจาน่าแทงขึ้นมาอีก
“กอดข้าที ข้าหนาวเหลือเกิน”
ซากตรงหน้าอ้อนวอนขอความเห็นใจ นางได้แต่ปรายตามองอย่างเฉยชา จากนั้นนำเอายาขับพิษเบื้องต้นออกมาให้เขากินก่อนจึงลงมือตรวจต่อ
“ข้า...ไม่คิดว่านางจะวางยาข้า” เจ้าซากยังคงพร่ำบ่นต่อไป หรือว่านางควรสกัดจุดให้เงียบไปเสียเหมือนคนตรงหน้าจะรับรู้ได้ถึงอาการหงุดหงิดของนางจึงเริ่มสงบปากสงบคำลง
“ก่อนหน้านี้ท่านคุยอันใดกับนางหรือเจ้าคะ นางจึงคิดวางยาท่านได้” นางถามคนตรงหน้าที่สีหน้าเริ่มมีเลือดฝาดหลังจากได้รับยาจากนางไป
จ้าวเยว่เทียนหลุบตาต่ำลงดั่งคนมีชะนักติดหลังก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเบา “ข้าเพียงคุยกับนางเรื่องทั่วไปเหมือนทุกทีนั่นแหละน่า”
จ้าวเยว่เทียนรีบตอบแบบปัดๆไป
เพราะเมื่อโดนมี่ฮวาถามจี้ขึ้นมาก็เหมือนเขาจะนึกขึ้นมาได้ว่าเคยเอ่ยเกี้ยวนางตอนเมาสุรามาเป็นอนุ
แต่นั่นคำพูดของคนเมาเขาไม่คิดว่านางจะจริงจังขนาดนี้ อีกทั้งนางยังดังเป็นอันดับต้นๆของหอบัวสวรรค์
ไม่จำเป็นต้องรอแต่เขาเพียงผู้เดียว
เขารู้ว่านางมีแขกประจำคนอื่นอีกมากนัก เพราะหลายคราเวลาเขาไปที่นั่นเขาก็ไม่ได้พบนางตลอด
แถมเวลานางจะทวงถามสิ่งที่เขาเคยเอ่ยนางก็ไม่พูดตรงๆ นางกลับมาเล่นพิณแว่วหวานส่งสายตาตัดพ้อให้เขานั่งตีความไปเอง
ไม่มีใครมีสมาธิตีความสารของนางเวลาไปดื่มกันหรอก
เขาไปหอบัวสวรรค์ แฮ่ม… เขาก็ต้องตั้งใจดูบัวสิ
ใครจะคิดว่านางจะแค้นเขาขนาดนี้
มี่ฮวาได้แต่หรี่ตามองคนที่ดูท่าว่าจะโกหกตรงหน้านาง “อย่างนั้นหรือ… แต่ท่านไม่ควรทำเกินเลยเช่นนี้”
เมื่อผู้ร้ายยังปากแข็ง นางก็ป่วยการที่จะเซ้าซี้เอาคำตอบจากเขาอีก
แม่นางซือเซียนคนนี้นางก็เคยพบครั้งที่ต้องตามไปอารักขาจ้าวเยว่เทียนยามเขาออกตระเวนราตรี
จากที่นางเคยดูจากท่าทางลักษณะนิสัยและตามสืบพื้นเพเดิมของนางก็ไม่พบสิ่งใดให้น่าสงสัยว่าจะเป็นฝ่ายตรงข้าม
มีความเป็นไปได้ว่าเหตุเกิดจากซื่อจื่อซื่อบื้อของนางครั้นจะถามจากศิษย์พี่เจิ้งสี่หรือองครักษ์เกาทั้งสองก็ดันไม่ได้อยู่ด้วย
พิษที่นางใช้ก็ไม่ได้ร้ายแรงกะเอาให้ถึงตายยาแก้พิษจึงเป็นสมุนไพรง่ายๆทั่วไปเนื่องจากพิษที่โดนไม่ได้ร้ายแรง
เป็นพิษที่ออกฤทธิ์แรงกว่ายากำหนัดเพียงขั้นหนึ่ง คนที่โดนจะโหยหาความอบอุ่นจากเจ้าของพิษเพียงผู้เดียวตลอดเวลา
แก้พิษเบื้องต้นก็แค่ยอมมีสัมพันธ์กับเจ้าของพิษจากนั้นพิษก็จะค่อยทุเลาลงเรื่อย
ๆ แต่ไม่รู้แม่นางคนนั้นไปทำอันใดให้พ่อยอดชายแห่งเมืองหลวงไม่ถูกใจถึงได้โดนจัดการไปเสียก่อนได้ช่วยคลายพิษ
หลังจากตรวจจนถี่ถ้วนนางจึงเรียกเจิ้งสี่เข้ามาและเขียนเทียบยาให้จากนั้นจึงเดินไปเปิดหน้าต่างห้องเพื่อระบายความร้อน
เพราะดูแล้วถ้าอากาศในห้องเป็นอย่างนี้ต่อไปเจ้าสหายตัวดีและศิษย์พี่ของนางคงไม่ยอมเข้ามาช่วยนางทำอันใดในห้องนี้เป็นแน่
หลังจากอาการของคนป่วยดีขึ้นจ้าวเยว่เทียนก็เริ่มทำการป่วนประสาทนางทันที
“เจ้าผอมลงไปใช่หรือไม่” เขาพูดพลางหรี่ตามองเล็กน้อย
‘ใช่ ก็ต้องผอมลงสิ นางเร่งเดินทางขนาดนี้ข้าวปลาแทบไม่ได้กิน’
“แถมผิวเจ้าคล้ำขึ้นนิดหน่อย” สายตาก็เริ่มสำรวจตามผิวที่พ้นผ้าออกมา
‘วิ่งตากแดดบนหลังคาชาวบ้านหลายวันติดกัน จะให้ขาวผ่องเป็นยองใยรึ’
คนไม่รู้ตัวก็ยังคงไม่รู้ตัวว่ากำลังทำให้ผู้อื่นอารมณ์เสียนางเริ่มนับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อข่มอารมณ์
ซื่อจื่อแสนซื่อ(บื้อ) ของนางก็ยังคงบ่นงุ้งงิ้งต่อไปแบบไม่รู้ตัว
ก่อนที่นางจะทนต่อไม่ไหวเจิ้งสี่ก็นำยาสีเข้มใส่ถาดเข้ามาถ้วยหนึ่งด้านข้างมีจานเล็กๆใส่ผลไม้เชื่อมเอาไว้เพื่อให้เจ้านายเขากินล้างปาก
เขามั่นใจว่ายาถ้วยนี้ต้องขมเป็นอย่างมากเพราะแค่ตอนเคี่ยวแล้วกลิ่นโชยขึ้นมาเขายังรู้สึกขมแทนเพราะดูแล้วคนให้เทียบยามาไม่ยั้งมือในการเลือกสมุนไพรเท่าไหร่จากนั้นจึงช่วยประคองร่างกายที่ซีดเซียวขึ้นมาเพื่อให้ทานยา
“ทานยาก่อนขอรับ ข้าเตรียมผลไม้เชื่อมไว้ให้ท่านด้วย”
เจิ้งสี่พูดพลางยื่นถ้วยยาสีเข้มให้ แต่เมื่อหันกลับมาเพื่อหยิบจานผลไม้เชื่อปรากฏว่าในจานผลไม้พลันอันตรธานหายไปหมดแล้วจะหันไปบอกจ้าวเยว่เทียนว่าอย่าพึ่งดื่มก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อยาเหลือเพียงก้นถ้วยพร้อมสีหน้าเหยเกของเขาเจิ้งสี่จึงรีบหยิบกาชาเพื่อจะเทชาให้ดื่มเพื่อล้างปากแทนแต่ในกากลับว่างเปล่า
ไม่ต้องสงสัยว่าหายไปได้อย่างไรแม่ตัวดีก็แสร้งทำเป็นตาโตเอามือทาบอกทำหน้าตาตกใจอยู่ข้าง
ๆ พร้อมกับคำกล่าวอ้างที่เป็นข้อแก้ตัวออกมา
“โอ๊ะ…ขออภัยเจ้าค่ะ พอดีผลไม้เชื่อมมันหวานเกินไปข้าเลยเผลอดื่มชาจนหมด”
“…”
“ยาขมเพียงเท่านี้ทำอันใดท่านไม่ได้หรอกใช่ไหมเจ้าคะ”
“…”
มี่ฮวาฉีกยิ้มกว้างให้ทั้งสองพร้อมกับทำเมินสีหน้ากลั้นอาเจียนของจ้าวเยว่เทียนไปพร้อม
ๆกัน
การแก้แค้นเล็ก ๆน้อย
ๆของนางในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ!!!
นางก็แค่รู้สึกว่าเจิ้งสี่ประคบประหงมจ้าวเยว่เทียนเกินไปเกาเทียนฉีก็อีกคนถ้าหากเมื่อใดปล่อยให้สองคนนี้ได้อยู่ด้วยกันมักจะปล่อยให้ซื่อจื่อทำทุกเรื่องตามใจตนและไม่สนใจที่จะรักษาภาพลักษณ์ผู้สืบทอดที่ดีของจ้าวอ๋องถ้าหากเจิ้งซื่อติดตามไปด้วยนางมั่นใจว่าไม่มีทางที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
แต่ตั้งแต่มาถึงที่นี่นางยังไม่เห็นเจิ้งซื่อและเกาเทียนฉี คาดว่าทั้งคู่คงต้องไปทำการเก็บกวาดเรื่องที่นายน้อยของทั้งสองทำทิ้งไว้เป็นแน่
จ้าวเยว่เทียนในยามนี้ได้รับฉายาว่าคุณชายเจ้าสำราญของเมืองหลวงแทบจะเรียกได้ว่าหากอยากเจอเขาเพียงแค่ไปตามหาที่ที่มีสุราและนารี
ก็พบเขาได้ง่าย
อาจเพราะสถานะการในแคว้นต้าเหลียงยามนี้ยังสงบสุข บัลลังก์ของกษัตริย์ยังมั่นคงประชาชนไม่มีเรื่องเดือดร้อนมากนักขุนนางที่คดโกงยังเกรงในอำนาจอยู่หลายส่วนจึงโกงได้เพียงน้อยนิด
เพราะฮ่องเต้จ้าวฉงซานจัดการคานอำนาจของขุนนางทั้งหลายได้เป็นอย่างดีอีกทั้งด้วยพระปรีชาสามารถขององค์รัชทายาททำให้ขุนนางฝ่ายเจ้าชายพระองค์อื่นสงบปากสงบคำไม่มีเรื่องให้คัดค้านได้มากนัก
จ้าวเยว่เทียนที่มีศักดิ์เป็นพระนัดดาในฮ่องเต้ทั้งยังพ่วงตำแหน่งผู้สืบทอดตำแหน่งแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินต่อจากบิดาเลยสามารถทำตัวลอยไปลอยมาเช่นนี้ได้
จริงๆนางก็รู้ว่าการที่จ้าวเยว่เทียนทำตัวสำมะเลเทเมาแบบนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากการไม่ต้องการทำตัวเป็นจุดเด่นนักเพราะยังคงมีฝ่ายที่ระแวงคิดว่าเขาจะคิดการใหญ่ขึ้นมาเพราะทั้งอำนาจและกำลังพลที่อยู่ในมือของจ้าวอ๋องก็มีไม่น้อย
แต่บางครั้งนางก็รู้สึกว่าเขาทำตัวสมบทบาทจนเกินไปจากก่อนหน้านี้มีคนคอยปล่อยข่าวลือมากมายกลายเป็นว่าข่าวลือทุกอย่างกลายเป็นจริงไปหมดแล้ว
อย่างเช่นเรื่องหลงใหลในมารยาหญิงจนได้เรื่องเหมือนดั่งตอนนี้ยังไงล่ะ
!!
หลังจากปล่อยให้คนป่วยดื่มยาแล้วได้พักผ่อนเจิ้งหู่จึงกลับมาประจำตำแหน่งเดิมคอยอยู่ในมุมข้างเตียงของผู้เป็นนาย
เจิ้งสี่ที่รู้สึกผิดจึงมาเฝ้าอยู่ด้วยและให้นางไปพักผ่อนแทน
ภายในจวนนี้ขนาดไม่ใหญ่ ดูทรงแล้วคงมาแบบกะทันหันและเป็นความลับที่สุดในจวนไม่มีบ่าวรับใช้หรือพ่อบ้านเลยแม้แต่คนเดียว
นางจึงสุ่มเลือกห้องที่อยู่ใกล้ที่สุดกับห้องของจ้าวเยว่เทียนเพื่อเป็นที่พักผ่อนในคืนนี้
แต่ไม่ทันจะได้พักผ่อนดีก็ได้ยินเสียงคนป่วยที่ควรจะหลับไปแล้วเรียกนางอยู่ไม่หยุด
ได้ยินแว่ว ๆว่าอย่างฟังพิณก่อนนอน
นางแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินก่อนจะเดินตัวปลิวเข้ามาในห้องถึงแม้ว่าการกระทำของนางนี่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นความผิดทางวินัยขององครักษ์เงา
แต่ก็นั่นแหละ...นางไม่เคยได้รีบโทษถึงแม้จะทำอะไรแบบนี้
บอกแล้วว่าซื่อจื่อของนางน่ะเป็นคนซื่อ(บื้อ)ที่สุด!!
ซื่อจื่อ* /ซื่อหวัง =ใช้เรียกผู้ที่เป็นผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์หวัง(อ๋อง) ชั้นหนึ่ง ขั้นเอก
ความคิดเห็น