ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    องครักษ์พิทักษ์หลังคา (สนพ.เฟยฮุ่ย)

    ลำดับตอนที่ #13 : ลอบโจมตี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.89K
      249
      10 ก.ค. 62

         การเดินทางเป็นไปอย่างระมัดระวังเหลืออีกประมาณห้าสิบลี้ก็พ้นชายป่าแห่งนี้ไปและเข้าสู่ตัวเมืองที่เป็นจุดหมายของพวกเขา อาการป่วยของจ้าวเยว่เทียนเนื่องจากลงไปแช่ในน้ำเย็นหายดีแล้วมี่ฮวาจึงได้โอกาสไปนั่งอยู่ที่รถม้าคันเดียวกับเหมยซือโดยปล่อยให้เกาเทียนฉีไปดูแลจ้าวเยว่เทียนแทนนาง

         นี่เรียกได้ว่าอาจเป็นครั้งแรกที่นางได้คุยกับสตรีที่มีอายุไล่เลี่ยกันโดยไม่มีการแอบแฝงหรือหลอกเอาข้อมูลแต่อย่างใด เป็นการพูดคุยเรื่องทั่วไปเพียงเท่านั้น เมื่อถึงเวลาที่ว่างมากๆเข้านางจึงยัดเยียดให้นางปักถุงหอมแก้เบื่อ

         อ่า...เหมยซือคงไม่รู้หรือว่าเรื่องที่น่าเบื่อที่สุดของมี่ฮวาคือเรื่องงานบ้านงานเรือน

         “ข้าเห็นว่าคุณหนูไม่พกถุงหอมเลยจึงคิดที่จะทำถุงหอมให้ ระหว่างทางพ่อบ้านเกาไปเก็บดอกไม้มาให้มากมายเชียวเจ้าค่ะ” เหมยซือกล่าวอย่างยิ้มแย้มอารมณ์ดี โดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วดอกไม้เหล่านั้นล้วนเป็นเหล่าเงาที่ยัดเยียดให้เกาเทียนฉีนำมาให้นาง

         มี่ฮวาได้แต่แอบหัวเราะอยู่ในใจ พวกนางไม่มีใครพกถุงหอมทั้งนั้นเพราะกลิ่นของถุงหอมอาจทำให้คนอื่นรู้ตัวยามพวกนางเข้าใกล้ อันที่จริงนางก็เคยโดนเจิ้งหูบ่นว่านางมีกลิ่นตัวอ่อนๆออกมาเหมือนกัน แต่ให้ทำอันใดได้นางมักใช้น้ำมันสกัดผสมน้ำผึ้งจากเกสรจวี๋ฮวาป่าเนื่องจากมันมีฤทธิ์ในการแก้พิษเบื้องต้น นางพกยาพิษติดตัวมากขนาดนี้นางก็ต้องป้องกันไว้บ้างสิ

         “คุณหนูไม่ลองปักลายง่ายๆก่อนล่ะเจ้าคะ เอาเป็นลายดอกไม้ทั่วไปก็ได้เจ้าค่ะ” มี่ฮวาได้แต่ทำหน้าตาโง่งมไปให้เหมยซือนางอยากบอกว่าลายดอกไม้ทั่วไปนางก็ทำไม่ได้! นางทำเป็นแค่เย็บไปตามแนวแผลเท่านั้น พลันหูนางก็ได้ยินเสียงหัวเราะมาจากที่ไกลๆจากเจิ้งซื่อ นี่เขากำลังสมน้ำหน้านางใช่หรือไม่

         เมื่อเห็นคุณหนูของนางได้แต่ถือเข็มค้างเอาไว้เหมยซือจึงปลอบใจ “งั้นเอาเป็นรูปอะไรก็ได้ที่คุณหนูคิดว่าพอทำได้ก็ได้เจ้าค่ะ” คุณหนูของนางนิ่งไปนานก่อนที่ใบหน้าจะค่อยๆขึ้นสีระเรื่อพร้อมกับตอบเสียงเบา

         “พระ...พระจันทร์ ข้าอยากปักลายพระจันทร์” สาบานว่านางไม่ได้คิดถึงใคร เพียงแต่มันดูง่ายดีไม่ซับซ้อน

         เหมยซือนิ่งไปเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวให้กำลังใจ “เป็นความคิดที่ดีนะเจ้าคะ” นางกล่าวพร้อมกับเลือกด้ายให้ พ่อบ้านเกาช่างเตรียมพร้อมเพียงนางเอ่ยปากก็สามารถหาของมาให้ได้ทั้งหมด

         ในที่สุดมี่ฮวาก็ได้ลงมือปักพระจันทร์ลงถุงหอมตามคำแนะนำของเหมยซือที่ชมนางไม่หยุด “ฝีเข็มของคุณหนูเป็นระเบียบเรียบร้อยมากเลยเจ้าค่ะ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่เคยปักหากไปบอกใครคงไม่มีใครเชื่อ” จากนั้นเหมยซือก็บอกให้นางเติมก้อนเมฆอีกเพียงนิดก็เรียบร้อยได้ถุงหอมถุงแรกในชีวิตมาหนึ่งถุง

         เชื่อเถิดว่านางไม่เคยปักผ้า แต่เอาเข็มปักอย่างอื่นนางทำมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว!

        

         จู่ๆมี่ฮวาก็ได้ยินเสียงบางอย่างที่ผิดปกติ นางจึงบอกให้เหมยซือเก็บของทั้งหมดก่อนแล้วนั่งให้เรียบร้อยในรถม้านางเพียงบอกว่าจะออกไปคุยกับคนขับเพียงครู่ เมื่อมี่ฮวายื่นหน้าออกมานางก็เห็นความผิดปกติทันที เหล่าเงาทั้งหลายเริ่มจัดขบวนตั้งรับนางไม่รอช้าที่จะรีบเปลี่ยนไปที่รถม้าของจ้าวเยว่เทียนทันที

         เมื่อนางเข้าไปด้านในก็เห็นเกาเทียนฉีนั่งหน้าเครียดอยู่ “พวกไหนท่านพอจะรู้หรือไม่” นางถามเจิ้งซื่อที่แฝงกายอยู่ข้างรถม้าใกล้ๆ

         “ยังบอกไม่ได้ แต่พวกมันวางขบวนได้เป็นระเบียบยิ่งนัก ดูท่าคราวนี้คงไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านมาเสียแล้ว” เจิ้งซื่อบอกหลังจากที่เขาแอบไปดูลาดเลามา

         “กลับไปครานี้ข้าจะขอเรียกรางวัลจากไท่จื่อให้สาสมกับความลำบากที่ได้รับในครั้งนี้ให้มาก” จ้าวเยว่เทียนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบน้องชายคนนี้ไม่น้อย

        

         หากมองจากมุมสูงจะเห็นกลุ่มคนในชุดสีดำกลุ่มใหญ่เริ่มกระจายตัวหลบซ่อนอยู่ในป่ารอบข้างทางที่รถม้าทั้งสองคันกำลังแลนผ่าน เหล่านักฆ่าที่ได้รับคำสั่งมาตอนนี้กำลังเริ่มเข้าประชิดขบวนรถม้าของจ้าวเยว่เทียน โดยที่ผู้คุ้มกันยังไม่รู้ตัว ทันใดนั้นหัวหน้าของพวกมันก็ส่งสัญญาณโจมตีรถม้าทันที

         เหล่านักฆ่าร่วมร้อยคนเริ่มลงมืออย่างเป็นระบบทำให้เหล่าองครักษ์เงาหน่วยสือซว่านที่หลบซ่อนอยู่ต้องออกมาปะทะทำให้ในหุบเขายามนี้เกิดเสียงกระทบกันของโลหะดังก้องไปหมด

         “ฆ่าให้หมดอย่าให้เหลือ ถ้าเป็นไปได้ให้นำศพจ้าวเยว่เทียนกลับไป” หัวหน้าของมือสังหารสั่งการ พร้อมกับสั่งให้บุกเต็มที่ หน่วยสือซว่านที่มีสีแดงคาดอยู่ที่ข้อมือทำให้สามารถแยกแยะกับเหล่ามือสังหารได้โดยง่าย จากที่มันเห็นดูเหมือนว่าจ้าวเยว่เทียนคงไม่คาดว่าจะโดนลอบสังหารจึงไม่ได้เตรียมอารักขามามากนัก เพียงไม่นานหน่วยสือซว่านก็เริ่มเหลือน้อยลงที่เหลือจึงกลับไปอารักขารถม้าต่อ

         “ไม่ต้องไปสนใจพวกมันแล้วทำลายรถม้าซะ” หลังจากนั้นนักฆ่าทุกคนจึงพุ่งเป้าไปที่รถม้าที่พยายามหนีอย่างเต็มที่ รถม้าทั้งสองควบจนเต็มกำลัง เหล่าคนคุ้มกันที่สู้ไม่ไหวต่างก็โดนสังหารไปทีละคน จนในที่สุดรถม้าทั้งสองก็วิ่งแยกออกจากกันไปคนละทาง

         หัวหน้าของหน่วยสังหารเห็นดังนั้นจึงออกคำสั่งทันที “แบ่งกำลังตามไปคนละฝั่ง” เมื่อได้ยินดังนั้นทั้งหมดก็แยกย้ายกัน รถม้าคันแรกที่เหลือเพียงคนขับรถม้าแล้วเท่านั้นวิ่งเข้าไปในป่าทึบพร้อมกับหน่วยสือซว่านที่ตามติดไปเป็นระยะ เมื่อทั้งหมดตามมาถึงจึงเกิดการปะทะกัน

         หน่วยสังหารต่างเข้ามารุมบริเวณรถม้าเพื่อที่จะเข้าไปด้านในให้ได้ ขณะที่พวกมันกำลังมั่นใจว่าจ้าวเยว่เทียนต้องอยู่ในรถม้าคันนี้ จู่ๆหน่วยองครักษ์เงาของจ้าวเยว่เทียนก็ถอยพร้อมกัน ก่อนที่จะทันได้ทำสิ่งใดต่อรถม้าก็ระเบิดขึ้นมา แรงระเบิดทำให้คนที่อยู่ใกล้เสียชีวิตลงทันทีกว่าที่เหลือจะรู้ตัวว่าถูกหลอก ก็ไม่ทันเสียแล้ว

         อีกฝั่งหนึ่งของรถม้าที่ไม่มีคนคุ้มกันมากนัก ได้ขับผ่านมาบริเวณที่เป็นขอบผาเหล่านักฆ่าที่สามารถประชิดเข้ามาในรถม้าได้เนื่องจากองครักษ์เงาของจ้าวเยว่เทียนสู้ไม่ไหวต่างหล่นไปจากรถม้ากันหมด ในที่สุดมันก็สามารถเข้ามาในรถม้าได้ ภายในรถม้าจ้าวเยว่เทียนนั่งอย่างสบายใจรอพวกมันอยู่ ทำให้พวกมันชะงักไปเล็กน้อยกับท่าทีของเขา

         “ได้ตายข้างสาวงามถือว่าเป็นเกียรติอันสูงสุดของบุรุษรู้หรือไม่” เขายังคงกล่าวด้วยท่าทีสบายๆ เห็นดังนั้นนักฆ่าที่เหลือจึงส่งสัญญาณว่าเขาอยู่ที่นี่ จากนั้นก็เข้ามาโจมตีทันที แรงต่อสู้ในรถม้าทำให้รถม้าโยกไปมาเกือบตกเขา ในที่สุดมือสังหารชุดแรกที่ไม่สามารถต่อกรได้ก็โดนถีบกระเด็นออกมา ที่เหลือจึงเข้าไปซ้ำทันที

         ในที่สุดคนขับรถม้าก็ถูกฆ่า ทำให้รถม้าที่โงนเงนอยู่ขอบผาตกลงไปด้านล่าง เหล่านักฆ่าที่ตามอยู่ผละตัวออกมาจากรถม้าทันที รถม้าคันใหญ่ลอยละลิ่วลงไปเบื้องล่างที่เป็นเหวลึก พวกมันเห็นจ้าวเยว่เทียนพยายามจะปีนออกมาจากประตูรถม้าแต่ว่าไม่สามารถออกมาได้ เสียงร้องสุดท้ายของเขาดังก้องไปทั่วหุบเขาในขณะนั้น ในที่สุดรถม้าก็ตกลงไปด้านล่างจนแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี

         หัวหน้าของเหล่านักฆ่าเฝ้ามองอยู่นิ่งๆที่ปากเหวจนรถม้าที่กลายเป็นเศษซากทั้งหมดลงไปนอนนิ่งที่ก้นหุบเขา ตอนนี้ภารกิจของเขาสำเร็จแล้วถึงแม้ไม่ได้ร่างกายของจ้าวเยว่เทียนกลับไป แต่ภาพการตายแบบอเนจอนาถของมันนั้นเขาเห็นชัดเจนเต็มสองตา “จะต้องลงไปตรวจสอบมั้ยขอรับ” ลูกน้องคนหนึ่งของเขาเข้ามาถามข้างๆ

         “ไม่ต้องปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นอาหารสัตว์อยู่ด้านล่างนั่นแหละ” จากนั้นจึงหันไปถามลูกน้องที่เหลือที่ตามมาสมทบ “อีกด้านหนึ่งเป็นอย่างไรบ้าง”

         “ไม่พบผู้รอดชีวิตขอรับรถม้าคันนั้นเป็นเพียงตัวล่อให้เราหลงกล ด้านในพบศพของสาวใช้และบ่าวเพียงสองคนขอรับ”

         “ดี งั้นแยกย้ายกันกลับได้” เขาหันไปมองเหล่าลูกน้องของเขาที่เหลือเพียงสามสิบกว่าคน คนที่เขาสูญเสียไปในครั้งนี้มีไม่น้อยยังดีที่เขาสามารถสังหารจ้าวเยว่เทียนได้ นับว่าการตายครั้งนี้ทำให้ศัตรูที่น่ากลัวของเจ้านายเขาลดไปได้อีกคน จากนั้นทั้งหมดก็แยกย้ายกันไปทันทีอย่างรวดเร็ว


    คนที่เมื่อครู่ส่งเสียงร้องโหยหวนอยู่ในรถม้าขณะนี้กำลังนอนกอดสาวอย่างสบายใจอยู่ไม่ไกลจากกลุ่มนักฆ่านั้นมากนัก มี่ฮวาแอบบิดเอวคนที่อาสาใช้ตัวเองเป็นเบาะรองเนื่องจากไม่ยอมทำตัวเป็นศพที่ดี คอยแต่หลอกกินเต้าหู้นางอยู่ได้

         “ชู่ว... เดี๋ยวก็โดนจับได้หรอก” จ้าวเยว่เทียนกระซิบข้างๆหูมี่ฮวา

         “ท่านก็ปล่อยมือจากเอวข้าสิ” นางกระซิบเสียงเบาพอๆกับเขา

         “ไม่ได้ ศพต้องอยู่ท่าไหนท่านั้น” เขากล่าวพร้อมกับกดใบหน้านางให้แนบกับเขามากกว่าเดิมหลังจากที่นางพยายามเกร็งตัวออกห่าง เมื่อมีเสียงพวกนั้นเดินเข้ามาใกล้นางจึงยอมปล่อยศีรษะแนบไปกับเขา

         “ศพพวกนี้จะจัดการเยี่ยงไรขอรับ” หนึ่งในหน่วยสังหารถามหัวหน้าของมัน

         “ไม่ต้อง ปล่อยไว้องค์ชายท่านจะปล่อยข่าวว่าโดนโจรดักปล้นเอง เพราะไหนๆพวกมันก็ปลอมตัวมาเป็นขบวนสินค้าอยู่แล้ว” มันที่ถือว่าตนเป็นลูกน้องคนสนิทของหัวหน้าใหญ่พูดแบบอวดภูมิขึ้นมาพร้อมกับเก็บอาวุธของผู้อื่นที่ดูมีค่าไป

         “แต่ข้าได้ข่าวว่าสาวใช้ของมันหน้าตางดงาม เสียดายที่นางตายไปเสียแล้ว” มือสังหารคนนั้นยังจ้อไม่หยุด

         “จบเรื่องนี้ไปพวกเราก็ได้รางวัลกันอยู่แล้ว ถึงคราวนั้นเจ้าจะให้สาวงามเป็นสิบคนมาปรนนิบัติก็ยังได้” มันกล่าวพร้อมกับเดินมาใกล้ที่ที่ทั้งสองนอนอยู่

         มี่ฮวาภาวนาให้มันเดินผ่านไปไม่เห็นท่าทางการตายแบบแปลกพิสดารของพวกนาง นางหวังว่าพวกมันคงเคยเห็นศพที่ตายแล้วกอดกันแนบชิดขนาดนี้ แต่เหมือนสวรรค์ไม่เป็นใจจู่ๆพวกมันก็มาหยุดตรงเหนือหัวนาง

         “หน่วยเรามีคนตัวเล็กขนาดนี้ด้วยหรือ” มันถามพร้อมกับจ้องมองมาที่มี่ฮวา

         “นั่นสิ เจ้าลองพลิกตัวมันมาดูหน่อย” คนที่เป็นหัวหน้าสั่งลูกน้องของตนทันที ขณะที่มือของมันกำลังจะโดนตัวมี่ฮวากระบี่เล่มยาวเล่มหนึ่งก็แทงสวนขึ้นมาทันที มันได้แต่มองตาค้างพูดอันใดไม่ออก ส่วนหัวหน้าของมันที่กำลังจะชักอาวุธขึ้นมาก็ถูกมีดสั้นเล่มหนึ่งปักกลางหน้าผากจนหงายหลังลงไป

       

          มี่ฮวารีบผละตัวออกจากจ้าวเยว่เทียนเมื่อผ่านไปสักพักไม่ได้ยินเสียงใครแล้ว นางมองไปที่ศพพวกที่โลภมาก ไม่ว่าทหารที่ใดก็มักมีพวกที่แตกแถวอยู่เสมอ แต่ก็ขอบคุณความปากมากของพวกมันที่ทำให้พวกนางได้ข้อมูลมาเพิ่มเติม

         “เจ้านอนทับข้าจนเป็นตะคริว ไม่สนใจที่จะช่วยพยุงข้าลุกขึ้นยืนหน่อยหรือ” จ้าวเยว่เทียนที่ยังคงนอนอยู่กับพื้นพูดขึ้นมา พร้อมกับขว้างกระบี่ที่เปื้อนเลือดออกไปไกลๆ

         “เป็นท่านที่อาสาเอง” นางไม่ได้ขอให้เขาเอาตัวมาเป็นเบาะรองให้นางเสียหน่อย

         สุดท้ายก็เป็นจ้าวเยว่เทียนที่ต้องลุกขึ้นมาเอง “ใจร้ายที่สุด ข้าอุตส่าห์เฝ้าถนอมเจ้าไม่ให้เป็นอันใด” เขายอมเอาตัวเขารับแรงกระแทกตอนที่กระโดดออกมาจากรถม้า

         ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ พวกเขารู้กันแต่ต้นแล้วว่าจะโดนโจมตี จึงให้เกาเทียนฉีพาเหมยซือแยกตัวออกไปก่อน ส่วนหน่วยองครักษ์เงาของเขา เขาก็สั่งให้ทุกคนต่อสู้พอประมาณไม่ให้พวกนั้นสงสัย ถ้าเป็นไปได้ให้หาเรื่องสลับตัวกับพวกนั้นทำให้ดูเหมือนหน่วยของเขาเพลี่ยงพล้ำ

         เมื่อพวกนั้นติดกับด้วยการที่พวกนั้นย่อมใจจดใจจ่อกับการจัดการจ้าวเยว่เทียนทำให้ไม่สนใจคนที่เหลือ หน่วยองครักษ์เงาของเขาจึงแทบไม่เป็นอะไร หลังจากนั้นก็ให้เจิ้งซื่อแยกไปกับรถม้าอีกคันหนึ่งแล้วให้หาโอกาสจัดการเอาเอง ศพที่อยู่บนรถม้านั่นเจิ้งซื่อก็นำมาลอกคราบตั้งแต่ไปลาดตระเวนครั้งแรกแล้ว

         ส่วนจ้าวเยว่เทียนที่ทุกคนต้องการให้ตายเขาต้องรับบทที่เหนื่อยที่สุดโดยการนั่งเป็นตัวล่อให้พวกนั้นเข้ามาโจมตีในรถม้าโชคดีในการพรางตัวของมี่ฮวาที่สามารถสลับสับเปลี่ยนพวกเขากับมือสังหารในรถม้าได้อย่างรวดเร็วก่อนที่เจิ้งหู่จะเหวี่ยงให้รถม้าตกลงไปสุดท้ายแล้วมือสังหารเคราะห์ร้ายในคราบเขาก็ตกลงไปในเหวอย่างน่าสงสาร

         ดูท่าแล้วฝีมือการแสดงของคนในหน่วยเขาคงแนบเนียนเป็นอย่างมาก พวกนั้นไม่สงสัยเลยซักนิดว่าเหตุใดประดาบกันเพียงนิดก็พากันตกจากรถม้าไปทั้งหมด

         “รีบออกไปจากที่นี่กันก่อน ประเดี๋ยวค่ำแล้วจะเป็นอันตราย” มีศพนอนมากมายขนาดนี้อีกไม่นานสัตว์ป่าทั้งหลายคงแห่มากันเต็มไปหมดจ้าวเยว่เทียนรีบพานางออกไปทันทีพร้อมกับคว้ามือนางมาจับอย่างเป็นธรรมชาติ

         “ท่าน!...ข้าเดินเองได้หาใช่เด็กๆให้ท่านมาจูง” นางบิดมืออกจากมือเขา

         “เจ้ารู้ทางหรือ ตอนนี้เราออกนอกเส้นทางมาไม่น้อยให้ข้านำไปดีกว่า” จ้าวเยว่เทียนกล่าวแบบหน้าไม่อายออกมาโดยแกล้งลืมไปว่ามี่ฮวาเพียงทะยานขึ้นไปดูทิศทางเพียงนิดก็สามารถหาทางไปต่อได้ทันที

         “แต่ถ้าเราเดินย้อนกลับไปเพียงนิดก็จะเจอทางแยกที่เราแยกมา” นางยังคงค้านเขาต่อ

         “ทางที่เราผ่านมาล้วนมีแต่ซากศพ กลับไปตอนนี้อันตราย อีกอย่างตอนนี้ใกล้ค่ำแล้วเราควรหาที่พักมากกว่า” จ้าวเยว่เทียนกล่าวพร้อมกับเดินนำทันที เมื่อมี่ฮวาเห็นว่าสิ่งที่เขาพูดมาล้วนถูกจึงยอมตามเขาไปแบบเงียบๆ เพราะตอนนี้อากาศก็เริ่มเย็นลงแล้ว คนที่พึ่งหายจากไข้แบบจ้าวเยว่เทียนควรรีบหาที่พัก

         เดินกันมาประมาณหนึ่งชั่วยามในที่สุดก็ได้ยินเสียงลำธารทั้งสองตัดสินใจที่จะค้างคืนกันที่นี่ มี่ฮวาจึงรับหน้าที่ไปหาอาหาร ส่วนจ้าวเยว่เทียนก็ก่อกองไฟรออยู่แล้ว เนื่องจากอยู่ใกล้ลำธารนางจึงได้ปลาตัวใหญ่มาสามตัว พร้อมกับผลไม้ป่าสองชนิดนางไม่กล้าออกไปหาอาหารไกลกว่าระยะที่จะได้ยินเสียงของเขา

         ในที่สุดปลาย่างทั้งสามตัวก็หายไปพร้อมกับผลไม้กองโตซึ่งจ้าวเยว่เทียนเป็นคนจัดการทุกอย่างก่อนหน้านี้ เขาทั่งย่างและแกะปลาให้นางอย่างดี หากคนอื่นมาเห็นคงคิดว่านางเป็นเจ้านายของเขา

         เมื่อนั่งไปได้สักครู่เขาก็ลุกขึ้น“ข้าจะไปชำระกายที่ลำธาร ห้ามเจ้ามาแอบด้อมๆมองล่ะ” จ้าวเยว่เทียนที่เห็นว่าร่างกายของตนสกปรกจึงคิดจะไปล้างร่างกายหันมาบอกมี่ฮวาที่กำลังนั่งนับอาวุธที่เหลืออยู่ นางได้ยินเขาพูดจึงเงยหน้าขึ้นมาทันที “ไม่ต้องตามมาหรอกเพียงเจ้ามองมาก็เห็นข้าแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นนางทำท่าจะลุกขึ้นตามมา เมื่อเห็นนางกลับไปสนใจอาวุธตามเดินเขาจึงเดินไปที่ลำธาร

         น้ำในลำธารค่อนข้างเย็น เขาได้แต่ถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วเอาพาดที่ไว้ที่ก้อนหินก่อนจะเดินลงในน้ำที่สูงถึงเอวเขา เขาได้แต่กัดฟันทนความเจ็บเอาไว้ เนื่องจากตอนที่ตกลงมาจากรถม้า หลังของเขาครูดไปกับพื้นหินเต็มแรง ถ้าให้นางเห็นเขาต้องโดนบ่นอีกเป็นแน่ที่หาเรื่องใส่ตัว

         “กลัวข้าแอบมองจนไม่ยอมถอดเสื้อเลยหรือเจ้าคะ” เสียงนางดังขึ้นข้างหลังเขาโดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อจ้าวเยว่เทียนหันกลับไปก็เห็นนางนั่งหย่อนขาอยู่บนก้อนหิน

         “เพราะเจ้าทำตัวเป็นแมวป่าแบบนี้อย่างไรเล่าข้าก็ต้องระวังตัวสิ” มี่ฮวาไม่ตอบเขาแต่นางกลับลงมาในลำธารเหมือนกัน

         “นี่เจ้าติดใจจุมพิตของข้าจากคืนวานงั้นหรือ” จ้าวเยว่เทียนแกล้งเอ่ยเย้านางเมื่อเห็นนางตรงมาหาเขาเรื่อย ๆ นางถอนหายใจน้อย ๆก่อนจะเดินอ้อมไปด้านหลังเขา โดยทำเป็นไม่ได้ยินประโยคที่น่าโมโหนั่น

         “ท่านคิดว่าข้าโง่นักหรือ ข้าได้กลิ่นเลือดของท่านตั้งนานแล้ว” ตอนแรกนางคิดว่าคงเป็นกลิ่นคาวเลือดของคนที่โดนฆ่าเหล่านั้นแต่พอเดินมาได้สักพักกลิ่นไม่หายไปอีกทั้งท่าทางที่พูดน้อยลงของเขานางก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคงบาดเจ็บเสียแล้ว

         มี่ฮวาค่อย ๆถอดเสื้อของเขาออกจากทางด้านหลัง เผยให้เห็นแผ่นหลังกว้างที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นริ้วยาว แผลที่ใหญ่ที่สุดมีสองแผลล้วนยังมีเลือดซึมออกมาไม่หยุด นางจึงใช้มือค่อยๆวักน้ำจากลำธารล้างเศษดินและเศษหินที่ติดอยู่ในแผลออกให้เขา

         “ท่านขึ้นมาจากน้ำก่อนเถิดเจ้าค่ะข้าจะได้ใส่ยาให้” จ้าวเยว่เทียนที่เห็นว่ายังไงก็คงคัดค้านนางไม่ได้จึงยอมขึ้นมานั่งหันหลังให้นางอยู่หน้ากองไฟ นางค่อย ๆใส่ยาที่แผลให้เขาอย่างเบามือ

         ขณะที่มี่ฮวากำลังจะหาผ้ามาพันแผลให้เขากลับพบว่าไม่มีผ้าที่สะอาดพอ นางจึงคิดที่จะใช้เสื้อตัวนอกของนางมาฉีกเป็นผ้าพันแผลให้แต่เสื้อตัวนอกก็ไม่ได้สะอาดเหมือนกัน คิดไปคิดมาจู่ๆนางก็หน้าแดง จ้าวเยว่เทียนที่เห็นนางนิ่งเงียบไปนานจึงเอ่ยทัก

         “เจ้าจะจ้องหลังข้าอีกนานหรือไม่ข้าเริ่มหนาวแล้ว”

         นางไม่ตอบเขาแต่ค่อยๆลุกขึ้นยืนก่อนที่จะตอบเบาๆกับเขา “ข้า...จะไปหาผ้าพันแผลให้ท่าน ไม่ต้องตามมานะเจ้าคะ” นางตอบพร้อมกับผลุบหายไปทันที รอไม่ถึงหนึ่งก้านธูปนางก็กลับมาพร้อมกับผ้าสีขาวสะอาดผืนหนึ่ง

         จ้าวเยว่เทียนกำลังสงสัยว่านางไม่เอาผ้ามาจากที่ใด แต่เมื่อได้กลิ่นหอมที่ติดมากับผ้าก็พลอยให้เลือดทั้งกายเขาสูบฉีดเดือดพล่านไปหมด จึงได้แต่นั่งเงียบๆให้นางทำแผลให้ เขาพยายามไม่มองนางที่ตอนนี้หน้าก็แดงก่ำไม่แพ้เขา จนกระทั่งนางทำแผลให้เขาเสร็จนางจึงยื่นเสื้อคลุมของนางให้เขา

         “ท่านสวมเสื้อคลุมนี้ไปก่อนนะเจ้าคะ เสื้อของท่านมันสกปรกไปหมดประเดี๋ยวแผลจะติดเชื้อ” นางยื่นไปให้เขาทั้งที่ยังคงกุมหน้างุดเสื้อคลุมของนางยังสะอาดกว่าของเขาเพราะเป็นเสื้อที่นางใส่คลุมทับชุดเดิมของนางเฉยๆเพื่อปลอมตัว

         มี่ฮวาได้แต่นั่งห่าง ๆเขาเนื่องจากอายเพราะดูท่าแล้วเขาก็น่าจะรู้ว่านางนำผ้ามาจากที่ใด นั่นมันผ้ารัดอกของนางเชียวนะ! ปกติเวลาออกมาทำภารกิจนางไม่ได้ใส่แต่เอี๊ยมเหมือนสตรีทั่วไปเพราะมันไม่กระฉับกระเฉง นางได้แต่นั่งเข้าหน้าเขาไม่ติดอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน

         จ้าวเยว่เทียนเห็นนางหนีเขาไปนั่งเสียไกลดังนั้นจึงหยิบเสื้อคลุมตัวเก่าที่เปื้อนเล็กน้อยมาปูรองนอนก่อนจะลากนางมานั่งข้างๆเขา

         “เจ้าจะนั่งห่างออกไปทำไม ตรงนั้นมันไกลกองไฟตกดึกจะหนาวเอาได้ อีกทั้งสัตว์ป่าอีก เราไม่ได้เดินมาไกลกว่าระยะหากินของพวกมัน” จ้าวเยว่เทียนเอ่ยประโยคยาวรวดเดียวเพื่อไม่ให้นางขัดขืนเขา

         “แต่ข้าต้องระวังภัยให้ท่าน” มี่ฮวาเอ่ยแย้งเขา

         “นอนเถิด วันนี้ไม่มีอันใดแล้วเชื่อข้าสิ” กล่าวพร้อมกับพยายามดันตัวนางให้นอนลง

         “แต่ว่า...”

         “ถ้าเจ้ายังไม่นอนงั้นข้าจะทำอย่างอื่นแทน” เขากล่าวพร้อมกับโน้มตัวลงมาใกล้ๆนาง มี่ฮวาที่เห็นว่าขัดขืนเขาไปก็เสียเปรียบจึงล้มตัวหันหลังให้เขาทันที แต่หลังจากนั้นจ้าวเยว่เทียนก็ไม่ได้เข้ามากวนนางอีก

         นางหลับไปนานเท่าไหร่นางไม่แน่ใจ จู่ๆนางก็สะดุ้งตื่นกลางดึกเนื่องจากได้ยินเสียงหายใจที่หอบหนักของจ้าวเยว่เทียน กองไฟที่เกือบมอดแล้วทำให้นางเห็นร่างของเขาลางๆที่คู้ตัวอยู่ไม่ห่างจากนางมากนัก นางลืมให้เขากินยา!

         เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันชุลมุนมาก ตอนนั้นทุกคนลืมเรื่องนี้ไปหมด อีกทั้งยาของเขาส่วนมากอยู่ที่เจิ้งซื่อมี่ฮวาได้แต่พลิกตัวของเขาขึ้นมาและพยายามช่วยนวดเพื่อคลายความเจ็บทั่วร่างกายเหมือนที่เคยทำจนกระทั่งเขาสงบลง ตอนนี้นางได้พักผ่อนเต็มที่แล้วจึงคิดจะเฝ้าเขาจนถึงเช้า จ้าวเยว่เทียนที่พอความเจ็บคลายลงเขาก็หลับไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากอาการล้าสะสม

         เปาะ! เสียงกิ่งไม้หักดังมาจากที่ไกล ๆ

         มี่ฮวารีบใช้เท้าเตะดินไปที่กองไฟเพื่อดับไฟก่อนจะตั้งท่ารับการจู่โจมเต็มที่ เสียงฝีเท้านั้นชะงักลงไปเล็กน้อย ก่อนจะเงียบหายไป สักพักนางก็รู้สึกได้ถึงสายลมที่วูบไหวมาด้านหน้า ก่อนที่นางจะขว้างมีดสั้นออกไปทางทิศนั้นนางก็ทันเห็นดาบสีขาวสองด้ามที่เอวเขาเสียก่อนจึงหยุดลง

         “เจิ้งหู่!

         เจิ้งหู่กำลังมองไปที่มี่ฮวาที่คราแรกนางเหมือนแมวที่กำลังพองขนขู่ฟ่อ แต่เมื่อเขาปรากฎกายให้เห็นชัดๆนางตอนนี้มองเขาเหมือนลูกหมาเห็นเจ้าของแทนถ้าหากนางมีหางเขาคงคิดว่ามันคงสะบัดจนแทบหลุดเป็นแน่ ในอ้อมแขนของนางมีจ้าวเยว่เทียนที่ตอนนี้ไม่ได้สติอยู่ เขาในสภาพที่สะบักสะบอมไม่น้อยหน้าก็ได้แต่ทรุดตัวลงไปนั่งข้างๆนาง

        เขาได้รับบาดเจ็บหนักกว่าใครเพื่อนทั้งคอยขับรถม้า ไหนจะคอยกันนักฆ่าเพื่อประคองไม่ให้แผนแตก อีกทั้งต้องสละตัวออกมาจากรถม้าที่กำลังจะตกเหว เมื่อเห็นสหายรักที่ไม่มีริ้วรอยแม้แต่น้อยก็ได้แต่เบ้หน้า

         ทำ! ไม! ต้อง! เป็น! ข้า! ตลอด!

         “ข้าเหนื่อยมาก!” เขารีบกล่าวออกมาก่อนที่นางจะได้พูดอันใด “ดีนะข้าคิดไว้แล้วว่าพวกเจ้าต้องไปไหนได้ไม่ไกลเพราะซื่อจื่อไม่สบาย ข้าจึงเดินย้อนเข้ามาในป่า” กล่าวพร้อมกับปัดที่นั่งรอบข้างแล้วล้มตัวลงนอนข้างๆนางทันที มี่ฮวาที่กำลังจะเอ่ยปากเพื่อถามบางอย่างกลับโดนเขานอนหันหลังใส่และพูดตัดบททันที

         “ราตรีสวัสดิ์ ฝากเจ้าเฝ้ายามให้ข้าด้วย” กล่าวเสร็จก็นอนหลับไปโดยไม่สนใจนางอีกเลย นางได้แต่อ้าปากค้างพูดอันใดไม่ออก ตกลงเขาจะมาช่วยนางหรือว่าจะมาเป็นภาระกันแน่

         สุดท้ายก็เป็นนางที่เป็นสตรีเพียงผู้เดียวที่ได้แต่นั่งเฝ้าบุรุษร่างโตทั้งสองคนให้หลับสบายจวบจนรุ่งสาง


    #พี่เยว่คนกาก   จะกากก็ต้องกากให้สุด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×