...เ รื่ อ ง ดี ๆ ร ะ ห ว่า ง พี่ น้ อ ง... - ...เ รื่ อ ง ดี ๆ ร ะ ห ว่า ง พี่ น้ อ ง... นิยาย ...เ รื่ อ ง ดี ๆ ร ะ ห ว่า ง พี่ น้ อ ง... : Dek-D.com - Writer

    ...เ รื่ อ ง ดี ๆ ร ะ ห ว่า ง พี่ น้ อ ง...

    เรื่องดีๆ " ระหว่างพี่น้อง " อยากให้อ่าน...แล้วจะซึ้ง

    ผู้เข้าชมรวม

    389

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    389

    ความคิดเห็น


    8

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  1 เม.ย. 49 / 15:54 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ




      6 ครั้ง ที่ฉันต้อง หลั่งน้ำตาให้น้องชาย ของฉัน
      ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน

      แต่ละวัน พ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ

      ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี



      วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ ของฉันมีกัน

      ... จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง

      พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
      โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

      " ใครขโมยเงินไป " พ่อตวาด

      ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

      " ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ "

      พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

      ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้ แล้วพูดว่า
      " ผมขโมยเองครับ "


      ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง

      พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย

      พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน " ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้
      ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย "

      คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
      แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

      กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

      น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
      " พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะ มันผ่านไปแล้ว "

      ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

      หลายปีผ่านไป แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

      ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี...




      เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
      .ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
      ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

      คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

      ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า "ลูกเราทั้งคู่เรียนดี เรียนดีมากนะ"

      แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
      " แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน "

      ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
      " ผมไม่ต้องการเรียนต่อ ผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว "
      พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

      " ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
      พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้ "

      คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน เพื่อขอยืมเงิน

      ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
      "ต้องให้น้องได้เรียนต่อ
      ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"

      แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

      ใครจะรู้ได้ ... วันต่อมาในตอนเช้ามืด
      น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
      และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
      ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ

      " พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ... ผมจะไปหางานทำ
      แล้วจะส่งเงินมาให้พี่ "


      ฉันนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า
      ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี ...

      ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
      รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหาม
      ที่ไซท์ก่อสร้าง ... ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3



      วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
      เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ อยู่ข้างนอกแน่ะ"

      ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ??? ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
      ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง ... ฉันถามเขาว่า
      " ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ "

      น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า
      " ก็ดูผมสิ สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้
      ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี "

      ฉันน้ำตานองหน้า ค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
      และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
      "พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"

      จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
      เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ ... เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า
      "ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"

      ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
      ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี ...



      วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก ฉันสังเกตเห็นว่า
      หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

      เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

      หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
      "แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
      เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"

      แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า "แม่ไม่ได้จ้างหรอก น้องชายลูกต่างหาก
      วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
      ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ ….น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"

      ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
      ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
      ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด " เจ็บมากไหม " ฉันถาม

      "ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
      มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ..."

      น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
      น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...



      หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
      หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน
      ... แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

      ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไปแล้ว
      ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

      น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป
      เขาบอกกับฉันว่า
      "พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"

      สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว

      เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
      แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

      วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
      และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด ... เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

      ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
      น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา ... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

      " ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
      ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้ ดูตัวเองซิ
      เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง "

      คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
      "
      พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
      ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
      คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด "


      น้ำตาปริ่มดวงตาของฉัน รวมทั้งสามีของฉันด้วย ...




      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×