ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลิขิตรัก พรหมใจ

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 3+++++100%(ตัวประกัน)

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.ย. 59


    บทที่ 3++++100%
    ตอน : ตัวประกัน

    เขาไม่ลืมที่จะแวะซื้อของติดไม้ติดมือไปด้วยก่อนที่จะตรงไปที่บ้านของเธอ ไปถึงก็เห็นรัมภาอยู่ในบ้านเขาจึงรีบยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “สวัสดีครับคุณน้า”

    “อ้าว!คุณศรัญวีย์มาแต่เช้าเชียว เข้ามาข้างในก่อนสิคะ” รัมภาเอ่ยทักชายหนุ่มอย่างเป็นกันเอง

    เขาเดินตามรัมภาเข้ามาในบ้านและวางกระเช้าผลไม้ไว้บนโต๊ะและอดไม่ได้ที่จะมองหาใครบางคนแต่ก็ไม่พบ ทำให้ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อนรู้ทันความคิดของอีกฝ่าย “มองหายัยลินอยู่หรือเปล่าค่ะ?”

    เมื่อมีคนรู้ทันทำเอาชายหนุ่มยิ้มแก้เก้อและรีบเปลี่ยนเรื่องสนทนาทันที “คุณน้าหายดีแล้วหรือครับ?”

    “ดีขึ้นแล้วค่ะ ที่จริงคุณศรัญวีย์ไม่น่าลำบากหิ้วกระเช้ามาเยี่ยมน้าเลยลำบากเปล่า ๆ มีธุระจะไปไหนหรือเปล่าคะ?”

    “พอดีจะแวะไปทำธุระแต่เป็นทางผ่านพอดี ก็เลยแวะมาเยี่ยมคุณน้าครับ”

    การพูดคุยของชายหนุ่มทำให้รัมภาประทับใจ บุคคลิกและหน้าตาของเขาบ่งบอกฐานะและชาติตระกูลเป็นอย่างมาก แต่ชายหนุ่มตรงหน้าก็ไม่นึกรังเกียจคนจน ๆ อย่างเธอ และยังจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด เธอรู้สึกเกรงใจมาก เพราะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่เขาก็มีน้ำใจต่อเธอและลูกสาวเป็นอย่างมาก

    “ขอบคุณคุณศรัญวีย์มาก ๆ ที่จัดการค่ารักษาพยาบาลให้เมื่อวาน ถ้าไม่ได้คุณ น้าก็คงแย่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง” เธอรู้สึกเกรงใจอย่างบอกถูกเมื่อคนแปลกหน้ายื่นมือเข้าช่วยและประมาณน้ำใจของเขาไม่ถูกทีเดียว

    “ไม่ต้องเกรงใจครับคุณน้า เพราะคุณลินก็ต้องเจ็บตัวเพราะผม ถือว่าเป็นค่าเสียหายก็แล้วกันครับ”

    “ยัยลินก็ซุ่มซ่าม ไม่รู้ว่าเดินอีท่าไหนถึงโดนรถชน วันนี้ก็เลยไม่ได้ไปทำงานกว่าจะหายก็อีกหลายวัน”

    เขาถึงกับนิ่งไปพักใหญ่และพอจะเดาสถาณการณ์ออก ลัลญ์ลลินคงไม่อยากให้มารดารู้ว่าเธอตกงาน เขาจึงนั่งฟังเงียบ ๆ โดยไม่ได้ปริปากพูดอะไร เมื่อรู้ว่าว่าเธอทำทุกอย่างและแบกภาระอีกมากเพื่อครอบครัว

    “น้าขอโทษด้วยนะคะ ที่ทำให้คุณต้องลำบากไปด้วย”

    “ไม่เป็นไรครับ ถือว่าเราก็ต่างผิดด้วยกันทั้งคู่”

    เธอยิ้มและรู้สึกเอ็นดูผู้ชายตรงหน้าเมื่อเขาแสดงความมีน้ำใจอย่างจริงจัง “คุณศรัญวีย์ทานอะไรมาหรือยังค่ะ?”

    “เรียบร้อยแล้วครับ”

    ทั้งสองนั่งสนทนากันไม่นาน ลัลญ์ลลินก็เดินออกมาพร้อมกับการแต่งกายเรียบร้อยที่พร้อมจะออกไปข้างนอก ทั้งที่ยังไม่หายดี พอเขาเห็นแล้วก็รู้สึกผิดไม่หายเมื่อรู้ว่าเธอตกงานและไม่อยากให้มารดารับรู้เพราะเกรงว่าจะคิดมาก

    “อ้าว! ลินจะไปทำงานหรือลูก ยังไม่หายดีเลย ทำไมไม่ขอลางานอีกวันสองวัน หายดีแล้วค่อยไปทำงานก็ได้”

    “โธ่! แม่” เธอค้อนมารดาและปรายตามองศรัญวีย์เล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “ลินไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย พอดีวันนี้ มันจำเป็นจริง ๆ ลินก็เลยต้องไปค่ะแม่”

    หญิงสาวคุยกับมารดาราวกับว่าศรัญวีย์ไม่มีตัวตนอยู่ในบ้านหลังนี้ หลังกลับจากโรงพยาบาลเมื่อวานก็มีบริษัทฯที่สัมภาษณ์ไว้ นัดไปทำสัญญวาว่าจ้างแม้จะลำบากก็ต้องไปให้ได้เมื่อโอกาสมาถึงแล้ว  มันคือสิ่งที่เธอรอคอยทุกวันเมื่อรู้ว่าได้งานทำให้เธอรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีกำลังใจขึ้นแม้จะยังเจ็บอยู่ก็ตาม และทราบรายละเอียดคร่าว ๆ จากฝ่ายบุคคลถึงผลตอบแทนที่จะได้รับทำให้เธอตื่นเต้นเป็นอย่างมากเพราะมันมากกว่าเงินเดือนที่เดิมหลายเท่า เธอจึงไม่ลังเลเมื่อมีโอกาส

    “ถ้างั้นก็ดูแลตัวเองดี ๆ หน่อยแล้วกัน อย่าไปซุ่มซ่ามให้เกิดเรื่องอีกล่ะ”

    ลัลญ์ลลินมองมารดาอย่างงอน ๆ ก่อนจะหันมาที่ชายหนุ่มและถามเสียงห้วน “คุณมาทำไมอีก?”

    “ลิน! ทำไมพูดแบบนั้นล่ะลูก คุณศรัญวีย์อุตส่าห์มาเยี่ยม” รัมภาไม่คิดว่าลูกสาวจะเสียมารยาทขนาดนี้ เธอจึงรีบเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อเห็นสีหน้าของเขา “น้าขอโทษแทนยัยลินด้วยนะคะคุณศรัญวีย์”

    เธอจำเป็นต้องพูดแบบนั้นเพราะไม่อยากให้เขาอยู่บ้านนาน ๆ เพราะเกรงว่าความจะแตก หากมารดารู้ว่าเธอตกงานจึงรีบหาทางให้เขาออกจากบ้านให้เร็วที่สุด

    “ไม่เป็นไรครับ ถ้างั้นผมไม่รบกวนแล้วครับคุณน้า เดี๋ยววันหลังผมจะมาเยี่ยมใหม่”

    “ขอบคุณมากค่ะที่มาเยี่ยม วันหลังไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากนะคะ ลำบากเปล่า ๆ ”

    ศรัญวีย์คิดว่าเขาเป็นคนนอกและลัลญ์ลลินเองก็คงไม่อยากให้เขาจุ้นจ้านที่บ้านของเธอเพราะท่าทางไม่อยากต้อนรับเขาเท่าไหร่นักซึ่งเขาเข้าใจข้อนี้ดี เมื่อยังเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอ เห็นแบบนั้นเขาจึงยกมือไหว้รัมภาทันที

    เมื่อเห็นท่าทีของชายหนุ่มรัมภาจึงเอ่ยขึ้น “ลินไปส่งคุณศรัญวีย์หน่อยสิลูก”

    “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณน้า” เขาชิงพูดขึ้น ก่อนจะหันไปคุยกับหญิงสาวต่อ “ให้ผมไปส่งที่ทำงานดีกว่าครับคุณลิน ท่าทางคุณจะเดินไม่สะดวก”

    หญิงสาวกำลังจะอ้าปากพูดแต่รัมภาก็พูดแทรกขึ้นเสียก่อน “ถ้างั้นน้ารบกวนคุณศรัญวีย์ด้วยแล้วกันค่ะ”

    “แม่! ลัลญ์ลลินเผลอร้องเสียงดังเมื่อเห็นว่ามารดาเห็นดีขึ้นงามกับเขาไปด้วย

    “ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะไปส่งคุณลินถึงที่ทำงาน” เขารีบเสริมทัพและร่วมมือกับมารดาของเธอทันที ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรก่อนจะพูดต่อ “ถ้างั้นก็ไปเถอะครับเดี๋ยวจะสาย” ลัลญ์ลลินยอมไปกับเขาโดยปฏิเสธไม่ได้

    ตลอดเวลาที่นั่งรถมาด้วยกันลัลญ์ลลินรู้สึกอึดอัดและหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อเขาไม่ได้ปริปากพูดอะไร ทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก แม้จะรู้จักกันมาบ้างแล้วแต่เขาก็เป็นคนแปลกหน้าอยู่ดี ยิ่งอยู่ด้วยกันตามลำพังแบบนี้ยิ่งทำให้เธออึดอัดใจพลันให้บรรยากาศในรถอึมครึม และสุดท้ายจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นในที่สุด “คุณจอดรถให้ฉันลงตรงนี้ก็ได้คะ ฉันจะต่อรถไปเอง”

    “คุณยังเจ็บเท้าอยู่เลย ให้ผมไปส่งดีกว่าครับ ไม่ต้องห่วงนะครับผมไว้ใจผมได้”

    “ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้ก็เกรงใจคุณมากแล้ว ขอบคุณที่คุณเออออเรื่องงานไปกับฉันด้วยนะคะ ฉันยังไม่อยากให้แม่รู้กลัวแม่จะเครียดค่ะ” สีหน้าของเธอไม่ค่อยดีนักเมื่อมีหลายเรื่องให้ขบคิดและยังมีเรื่องของผู้ชายอีกที่ตอนนี้ยังติดต่อไม่ได้

    “ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ แต่ให้ผมไปส่งเถอะครับ ถือว่าเป็นการไถ่โทษที่ทำให้คุณเจ็บตัว”

    “ฉันไม่อยากรบกวนคุณค่ะ เพราะคุณคงมีธุระต้องไปเหมือนกัน” เธอพยายามหว่านล้อมเพราะไม่อยากไปกับเขา

    “ไม่เป็นไรครับ ผมมีเวลาอีกมาก ว่าแต่คุณลินจะไปไหนครับ?”

    เธอไม่ตอบเพราะไม่อยากให้เขารู้รายละเอียดไปมากกว่านี้ จึงเลือกที่จะนิ่งเงียบแทนคำตอบ

    ศรัญวีย์เห็นอีกฝ่ายเงียบจึงเอ่ยขึ้น “ถ้าคุณลินยังไม่ได้งาน ลองไปสมัครงานที่บริษัทฯ ผมก็ได้ครับ ตอนนี้กำลังเปิดรับหลายตำแหน่ง อาจจะมีตำแหน่งที่เหมาะสมกับคุณก็ได้” ไม่พูดเปล่าเขายังหยิบนามบัตรยื่นให้เธออีกด้วย

    “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันได้งานทำแล้ว และวันนี้ฉันก็จะไปทำสัญญาพอดี” ศรัญวีย์พยักหน้าเบา ๆ

    เธอไม่ลืมที่จะเก็บนามบัตรเขาไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างค่ะ ถ้างั้นรบกวนคุณจอดตรงนี้ก็ได้ค่ะ พอดีฉันจะต่อรถไฟฟ้าไปค่ะ”

    “คุณแน่ใจนะครับว่าไหว?” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างห่วงใย

    “แน่ใจค่ะ” เมื่อเห็นสีหน้าและคำพูดที่หนักแน่น เขาจึงไม่อยากเซ้าซี้มากก่อนจะจอดรถให้เธอ

    ลัลญ์ลลินก้าวลงจากรถหรูราคาแพงและยืนมองรถของเขาจนลับตาก่อนจะเป่าลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกและเดินกระเผลก ๆ เพื่อเข้าไปสถานีรถไฟฟ้า ทันใดนั้นก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีชายฉกรรจ์สองคนปิดใบหน้าอย่างมิดชิดมายืนดักรอ สถานการณ์เริ่มไม่น่าไว้ใจแต่เธอก็ใจดีสู้เสือและเดินเลี่ยงไปอีกทางแต่ก็ไม่พ้น เมื่อชายฉกรรจ์สองคนรั้งแขนเธอไว้ ความกลัวแทรกเข้ามาอย่างอย่างบอกไม่ถูกเมื่อไม่เคยเจอสถาณการณ์แบบนี้มาก่อน

    “ปะปล่อยฉันนะ!

    เธอพยายามตั้งสติอย่างที่สุดและเชื่อว่าอาจจะเป็นการเข้าใจผิด เมื่อเธอไม่ได้มีศัตรูที่ไหนจึงพยายามขัดขืนเพื่อเอาตัวรอดแต่ก็ไม่เป็นผล ทำให้เธอเริ่มใจขอไม่ดีกับสถาณการณ์ที่เกิดขึ้น จึงได้แต่ภาวนาขอให้มีคนผ่านมาแถวนี้ช่วยเหลือ

    แวบนั้นพลันให้เธอคิดถึงศรัญวีย์ขึ้นมาทันที แต่เพราะความกลัวทำให้ร้องขึ้นเสียงดัง “ช่วยด้วยค่ะ ๆ”

    และเสียงของเธอก็เงียบลง เมื่อมีวัตถุบางอย่างมาจี้ที่เอวของเธอ “ถ้าไม่อยากตายก็หุบปากซะ”

    คราวนี้หญิงสาวถึงกับเงียบกริบเมื่อเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันแบบนี้ และรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจจนทำอะไรแทบไม่ถูก จึงได้แต่ตั้งสติและทำตามที่พวกมันสั่ง กระทั่งชายฉกรรจ์สองคนลากเธอขึ้นรถตู้ที่มาจอดรอตอนไหนก็ไม่รู้ พวกมันยัดเธอขึ้นรถตู้ก่อนที่เสียงประตูจะปิดดังโครม

    “ออกรถได้แล้ว” เสียงคนพูดเหี้ยมเกรียม

    เธอพยายามข่มความกลัวเอาไว้เพื่อไม่ให้พวกมันรู้ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “พวกนายจะพาฉันไปไหน?”

    ไม่มีคำตอบใด ๆ หลุดรอดออกมาจากคนในรถตู้ เธอมองซ้ายขวาไปมา ในรถตู้มีเพียงคนขับและชายชุดดำอีกสองคนที่นั่งมาด้วยกันพลันทำให้เธอเริ่มใจคอไม่ดีก่อนจะตะโกนขึ้นเสียงดัง “จอดรถ!

    ทุกคนในรถตู้เหมือนคนไม่มีชีวิตจิตใจ ทุกคนนั่งนิ่งราวกับถูกสาปไม่มีใครพูดอะไร พลันให้เธอหวาดกลัวและเริ่มไม่มั่นใจในความปลอดภัยในชีวิตและต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้

    “นี่ลุงฉันบอกให้ลุงจอดรถไงล่ะ?” เธอตะโกนเสียงดังและกลัวจนตัวเริ่มสั่น

    “ผมจอดไม่ได้หรอกครับคุณ นั่งนิ่ง ๆ ดีกว่านะครับ”

    เธอเริ่มทนไม่ไหวก่อนจะหันมองชายหนุ่มที่นั่งขนาบเธอทั้งสองด้านและคิดว่าทั้งสองน่าจะให้คำตอบแก่เธอได้ แต่พอเริ่มมองรอบตัวรถ ที่ติดฟิล์มดำทั้งคันทำให้เธอใจคอไม่ดีและไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่ถ้านั่งอยู่เฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรเลยเธอก็อาจจะจบชีวิตแน่ ๆ

    ลัลญ์ลลินถามย้ำอีกครั้ง และน้ำเสียงของเธอเริ่มดังขึ้น “พวกแกจะพาฉันไปไหน จอดรถเดี๋ยวนี้!

    “อย่าพูดมากถึงเวลาก็รู้เองนั่นแหละ หรือว่าอยากให้จับมัดมือมัดเท้า”

    ชายที่นั่งข้าง ๆ พูดขึ้นด้วยเสียงเหี้ยมเกรียมและมองเธอด้วยสายตาคาดโทษ เมื่อเห็นฤทธิ์เดชของหญิงสาวที่ดื้อรันและไม่ยอมเชื่อฟัง

    เธอกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ คราวนี้เธอถึงกับเงียบกริบจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก จึงได้แต่ภาวนาให้มีคนมาช่วยแต่ก็ริบหลี่เหลือเกิน แวบนั้นพลันให้เธอนึกถึงรติพลขึ้นมาทันทีและเชื่อว่าพี่ชายต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน คิดได้แบบนั้นเธอจึงลุกขึ้นไปกระชากคนขับทำให้รถส่ายไปมา

    ศรัญวีย์ขับรถไปได้ไม่ไกลนัก เขาเหลือบเห็นโทรศัพท์ของลัลญ์ลลินตกอยู่บนเบาะคนนั่ง เขาจึงกลับรถทันทีเพราะคิดว่าเธอคงเดินไปไม่ไกลเพราะเข่ายังเจ็บอยู่ เขาจึงขับย้อนไปยังจุดที่ส่งเธอก่อนหน้า แต่พอไปถึงเขาก็เห็นเอกสารของเธอหล่นอยู่บนพื้น จึงลงจากรถและรีบไปหยิบขึ้นมาแต่ก็อดแปลกใจไม่ได้เมื่อวันนี้เธอบอกจะไปเซ็นต์สัญญาและแวบนั้นพลันให้เขาคิดอะไรขึ้นมาหรือว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับลัลญ์ลลินคิดได้เพียงแบบนั้นเรียกสติของเขาขึ้นทันที

    “ลัลญ์ลลิน!

    ชายหนุ่มรีบขับรถออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนแต่ยังขับไปเรื่อยที่คิดว่าลัลญ์ลลินจะไป ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นรถตู้ที่ติดฟิล์มดำทั้งคันซึ่งอยู่ไม่ไกลนักและยังขับส่ายไปมาด้วยสัญชาตญาณทำให้เขารู้สึกว่ารถตู้คันนั้นมีอะไรแปลก ๆ ก่อนที่เขาจะเร่งเครื่องและขับตามรถตู้คันนั้นไปทันที

    เขาขับตามห่าง ๆ โดยที่ไม่ให้รถคนนั้นรู้ ยิ่งขับตามก็ยิ่งพบความผิดปกติเมื่อรถตู้คันนั้นวิ่งออกนอกเส้นทาง ทำให้รู้สึกแปลกใจและคิดว่าลัลญ์ลลินอาจจะอยู่ในรถตู้คันนั้นก็ได้ ศรัญวีย์ขับตามไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่มีอาวุธติดตัวแต่ความรู้สึกที่เป็นห่วงหญิงสาวมันมีมากกว่าความกลัวทำให้เขาขับตามโดยไม่กลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น

    เมื่อรถตู้จอดสนิทศรัญวีย์จึงจอดรถอยู่ห่าง ๆ โดยไม่ให้พวกมันรู้ตัว ก่อนที่จะเห็นลัลญ์ลลินลงจากรถและกำลังถูกควบคุมตัวโดยที่พวกมันกำลังเดินเข้าไปยังโกดังร้างที่มีคนดูแลความปลอดภัยอย่างแน่นหนาและมีอาวุธครบมือทีเดียว

    “โอ๊ย! ลัลญ์ลลินร้องลั่นเมื่อเธอถูกผลักให้เข้าไปในบ้านไม้เก่า ๆ และพยายามปลอบใจตัวเองให้ข่มความกลัวเอาไว้ ก่อนจะกวาดสายตามองบริเวณโดยรอบและไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน และไม่รู้ว่าจะหนีเอาตัวรอดจากที่นี่ได้อย่างไรจึงได้แต่เดินตามคำสั่งของพวกมันไปเรื่อย ๆ และก็ต้องตกใจจนหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นรติลพถูกมัดมือมัดเท้าอยู่ในบ้านหลังนั้น

    “พี่ลพ!

    เธอรีบเข้าไปสวมกอดพี่ชายด้วยความรู้สึกหวาดกลัว และยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่หายเพราะไม่เคยเจอเรื่องราวที่เลวร้ายแบบนี้มาก่อนในชีวิต ความรู้สึกแรกทำให้เธอคิดถึงมารดาขึ้นมาทันทีกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับมารดาที่อยู่บ้านคนเดียวลำพัง

    “ลิน...พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้”

    “ทำไมพี่ลพไม่พูดความจริงให้ลินรู้ตั้งแต่แรก ถ้าลินรู้ลินจะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น”

    “พี่คิดไม่ออกไม่รู้จะทำยังไง พี่ขอโทษจริง ๆ ที่ทำให้ทุกคนต้องเดือนร้อน” เสียงหัวเราะดังแทรกขึ้นมาทำให้สองพี่น้องต้องหันไปตามเสียงนั้นและหยุดการสนทนาชั่วขณะ ก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเดินจะเข้ามาและมองมายังลัลญ์ลลิน อย่างพอใจ

    ความกลัวแทรกซึมเข้ามาแม้พยายามจะตั้งสติแต่ก็ปิดไม่มิด เมื่อชูชัยมองลัลญ์ลลินและยิ้มอย่างเยือกเย็น

    “น้องสาวแกหน้าตาสวยดีนี่ไอ้ลพ ต้องแบบนี้สิว่ะ ค่อยสมน้ำสมเนื้อหน่อย” ชายร่างสูงโปร่งหัวเราะอย่างพอใจ

    “เฮียผมขอร้องล่ะ อย่าทำอะไรน้องผมเลย เขาไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้เวลาผมอีกหน่อยได้ไหมเฮีย”

    “น้ำหน้าอย่างแกจะเอาปัญญาที่ไหนหามาให้ฉันว่ะไอ้ลพ ช่วยไม่ได้แกเสือกทำไม่ได้ตามสัญญา”

    ชูชัยหันมาจับใบหน้าเรียวเล็กของลัลญ์ลลินอย่างพอใจ “จริงไหมจ๊ะสาวน้อย”

    ลัลญ์ลลินสบัดหน้าหนี ก่อนที่ชูชัยจะตะโกนบอกลูกน้อง “จับมันแยกจากกันแล้วก็เฝ้าไว้อย่าให้คลาดสายตา”

    หน้าตาของเขาไม่ได้บอกว่าเป็นเสี่ยใหญ่แต่อย่างใด เพราะรูปร่างลักษณะของเขายังหนุ่มยังแน่นและไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นมาเฟียสักนิดแต่ใบหน้าดูเกรงขามและทรงอำนาจเป็นอย่างมากจนเธอเริ่มหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก
                  +++ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามผลงานและให้กำลังใจนักเขียนตัวเล็ก ๆ คนนี้ค่ะ++++

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×