คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2++++100%(เกิดเหตุไม่คาดคิด)
ต่อจากเมื่อวาน+++++
หลังจากนั้นเธอไม่ได้พูดอะไรมาก นอกจากบอกเส้นทางกลับบ้านเท่านั้น แม้จะรู้สึกเกร็งอย่างบอกไม่ถูกที่ต้องนั่งรถมากับคนแปลกหน้าเป็นครั้งแรก รถยนต์ที่เธอนั่งบ่งบอกถึงฐานะของชายแปลกหน้าเป็นอย่างดีและแอบสำรวจอยู่ห่าง ๆ เขาดูสง่างามมากยิ่งพิศมองก็เหมือนถูกมนต์สะกดจนไม่อยากจะละสายตา แต่แวบนั้นทำให้เธอนึกถึงรติลพ ความเครียดเกินขึ้นมาทันที เมื่อมีเป็นปัญหาที่ยังมองไม่เห็นทางออก พอนึกอะไรขึ้นมาได้เธอจึงรีบเอ่ยขึ้น
“คุณศรัญวีย์ค่ะ จอดให้ฉันลงแถวนี้ก็ได้คะ พอดีฉันมีธุระ”
“แต่เท้าคุณยังเจ็บอยู่นะครับ ผมคงไม่สบายใจนักหากส่งคุณไม่ถึงบ้าน งั้นผมจะรอจนกว่าคุณจะทำธุระเสร็จ”
“เอ่อ…จะดีหรือคะ คือฉันเกรงใจคุณค่ะ”
“ไม่ต้องเกรงใจครับ เพราะผมเต็มใจจริง ๆ” สีหน้าของเขารู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ก่อนจะพูดขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายเชื่อใจ
“มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกนะครับ เท้าคุณยังเจ็บจะเดินไหวหรือครับ?”
“ว่ะ...ไหวค่ะ”
“ถ้างั้นผมจะรอคุณที่รถก็แล้วกันครับ”
ศรัญวีย์นั่งรอเธอไม่นานธุระที่เธอบอกก็เสร็จและเดินกลับมาอย่างทุลักทุเลเพราะเท้ายังบวมเป่งการเดินเหินจึงไม่สะดวกเท่าไหร่นักแต่พอถึงรถท้องของเธอก็เริ่มประท้วงขึ้น ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องสักเม็ด
“คุณลัลญ์ลลินครับเราแวะหาอะไรทานกันนะครับ วันนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย คุณเองก็คงเหมือนกัน ห้ามปฏิเสธนะครับผมขอเป็นเจ้ามือ”
“จะดีหรือคะ แค่นี้ก็รบกวนคุณมากแล้ว”
“ไม่ต้องเกรงใจครับผมเต็มใจ”
พูดจบเขาก็เลี้ยวรถไปที่ร้านอาหารใกล้ ๆ ทันที “เอาร้านแถวนี้ก็แล้วกันนะครับ”
“ค่ะ” หญิงสาวไม่กล้าพูดอะไรจึงได้แต่รับคำเท่านั้น
ร้านอาหารใกล้ ๆ ที่เขาว่ามันหรูหราและราคาแพงสำหรับเธอมาก เธอคงไม่มีปัญญามานั่งทานแน่ ๆ พอลงจากรถได้เธอจึงเดินกะเผลกตามเขาโดยไม่ได้พูดจาอะไร พนักงานในร้านแต่งกายด้วยชุดไทยทันสมัยต้อนรับลูกค้าเป็นอย่างดี
“ร้านนี้อร่อยมากเลยนะครับ ผมจำได้ว่าเคยมาทานแล้วครั้งหนึ่ง คุณอยากทานอะไรพิเศษก็สั่งเลยนะครับ”
“เอ่อ…ค่ะ”
เธอรับคำอย่างเกรงใจและไม่รู้จะพูดอะไรเพราะยังไงเขายังเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธออยู่ดี ก่อนจะหยิบเมนูอาหารขึ้นมา พอเห็นราคาที่ระบุไว้ในเมนูเธอถึงกับพูดไม่ออก ราคาเท่ากับอาหารที่เธอทานสามมื้อเลยทีเดียว
“คุณลัลญ์ลลินคงไม่ได้ไปทำงานอีกหลายวันเลยนะครับ เป็นเพราะผมไม่ระมัดระวังก็เลยทำให้คุณต้องลำบาก”
“เรียกลินสั้น ๆ ก็ได้ค่ะ ถ้าไม่รังเกียจ” ศรัญวีย์พยักหน้าและยิ้มให้ ก่อนที่เธอจะพูดต่อ “ที่จริงฉันไม่ได้ทำงานหรอกค่ะ” พอพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป
“งั้นแสดงว่าคุณคงทำธุรกิจส่วนตัวใช่ไหมครับ?” ชายหนุ่มยังคงรบเร้าไม่เลิก
“เปล่าหรอกค่ะ ฉันตกงานกำลังหางานทำค่ะ ฐานะอย่างฉันคงไม่มีเงินพอที่จะทำธุรกิจ มีงานทำ มีเงินเลี้ยงครอบครัว แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับฉัน”
ชายหนุ่มรู้สึกพลาดอย่างแรงที่ถามเธอออกไปโดยที่ไม่รู้ ผู้หญิงตรงหน้าไม่เหมือนผู้หญิงหลาย ๆ คนที่เขาเคยรู้จักเธอตอบตรงไปตรงมาและไม่ได้มีจริตมารยาให้ท่าเหมือนผู้หญิงคนอื่น ความรู้สึกดี ๆ ที่มีเธอต่อเกิดขึ้นอย่างบอกไม่ถูกก่อนที่อาคารที่สั่งจะถูกวางบนโต๊ะพอดี
หญิงสาวนั่งทานเงียบ ๆ โดยไม่ได้พูดอะไร เพราะยังไงเธอก็ยังไม่ชินกับการมาทานอาหารกับชายแปลกหน้า ถึงเขาจะไม่ได้แสดงท่าทีที่จาบจ้วงแต่เธอก็ไม่ควรไว้ใจอยู่ดี บุคลิกสุขุมและสุภาพก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้เสมอไป บทเรียนที่ผ่านมาทำให้เธอมีประสบการณ์และเตือนใจอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบศรัญวีย์จึงถามขึ้น “อาหารอร่อยหรือเปล่าครับ?”
“อร่อยค่ะ”
“แล้วคุณลินจะไปไหนต่อหรือเปล่าครับ” เมื่ออีกฝ่ายไม่ค่อยพูดเขาจึงพยายามชวนคุยเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกลำบากใจ
“คงไปไหนไม่ไหวค่ะ ฉันคงจะกลับบ้านเลย ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ แล้วก็ค่ารักษาพยาบาลนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะเมื่อเทียบกับคุณที่ต้องที่ต้องเจ็บตัวเพราะผม งั้นทานเสร็จผมจะไปส่งเลยนะครับ”
“อย่าลำบากเลยค่ะ ฉันกลับแท็กซี่สะดวกกว่า”
“ไม่ลำบากเลยครับ ขอให้ผมไปส่งคุณเถอะนะครับ ผมไม่อยากรู้สึกผิดไปกว่านี้”
ทั้งสองนั่งทานเงียบ ๆ เมื่อต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้จะพูดอะไรกระทั่งทานเสร็จเรียบร้อยทั้งสองจึงออกจากร้านโดยที่ศรัญวีย์ก็ยืนยันจะไปส่งเธอที่บ้านทำให้ลัลญ์ลลินเห็นน้ำใจของชายหนุ่มจึงยอมให้ไปส่งถึงบ้าน
ไม่ชายหนุ่มคิดว่าระยะทางจากบ้านของเธอกับที่เกิดเหตุมันจะไกลขนาดนี้ เขาเดินมาส่งจนถึงข้างในบ้านเพราะเห็นว่าเธอยังเจ็บที่เท้าแต่ก็อดที่จะมองรอบบ้านไม่ได้แม้ไม่ได้ใหญ่โตแต่ก็ดูอบอุ่นและร่มรื่นมาก ต้นไม้ล้อมรอบตัวบ้านทำให้บ้านไม้สองชั้นน่าอยู่ขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
“บ้านคุณดูร่มรื่นดีและก็เงียบสงบดีนะครับ ปลูกต้นไม้เยอะ อากาศก็ดีด้วย”
“สงสัยจะไม่มีคนอยู่บ้านค่ะ ปกติแล้วแม่ฉันชอบปลูกต้นไม้ชอบจัดสวนบ้านก็เลยเต็มไปด้วยต้นไม้”
เธอพูดออกมาอย่างไม่ได้ปิดบังอะไร และศรัญวีย์เองรู้สึกพอใจที่ได้มาส่งจนถึงตัวบ้าน และดีใจที่เจ้าตัวยอมให้เข้าบ้านโดยไม่ได้ปิดบังฐานะของตัวเองทั้งที่เพิ่งจะรู้จักกันเพราะอุบัติเหตุหรืออาจจะเพราะเธอเจ็บเท้าอยู่จึงยอมให้เข้าบ้าน
“บ้านหลังเล็กหน่อยนะคะ คุณนั่งรอตรงนี้ก่อนก็ได้คะ” เธอหันมาพูดกับเขาก่อนจะเดินหายออกไปและกลับมาพร้อมกับน้ำดื่ม “สงสัยแม่คงจะไม่อยู่บ้านค่ะ ปกติแล้วฉันไม่เคยเชิญคนแปลกหน้าเข้าบ้าน แต่ดูท่าทางของคุณไม่ได้น่ากลัว” เธอยิ้มขึ้นก่อนจะพูดต่อ “ปกติแม่จะอยู่บ้านทุกวันไม่ค่อยไปไหน แต่วันนี้แปลกจังแม่ไม่อยู่”
“สงสัยดวงคงไม่สมพงษ์กัน ผมก็เลยไม่เจอแม่คุณ โอกาสหน้าก็ได้ครับ”
“แต่รู้สึกว่าวันนี้บ้านฉันแปลก ๆ ถ้าแม่ออกไปข้างนอกจะต้องปิดบ้าน...ขอตัวสักครู่ค่ะ”
ลัลญ์ลลินไม่พูดเปล่าเธอยังเดินหามารดาทั้งที่ตัวเองยังเดินขากระเผลก แต่พอเดินเข้าไปหลังบ้านเห็นผู้เป็นมารดานอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ด้วยความตกใจเธอจึงวิ่งไปหามารดาจนลืมความเจ็บปวดที่ข้อเท้าของตัวเอง
“แม่!” เธอร้องขึ้นเสียงดังทำให้เกิดความกลัวขึ้นมาจับใจ
ดวงหน้าของรัมภาซีดเผือดจนหน้าตกใจ ทำให้เธอใจคอไม่ดี เมื่อเห็นสีหน้าของมารดา แต่คนที่นอนหน้าซีดอยู่ก็ยังพอมีสติอยู่บ้าง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ลินคือ…”
“แม่ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นลินจะพาแม่ไปโรงพยาบาล” ลัลญ์ลลินถึงกับออกอาการสั่นกลัวด้วยความตกใจ
พอได้ยินเสียงของเธอเขาจึงเดินออกมาแต่ไม่คิดว่าเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด “ผมว่าไปส่งโรงพยาบาลเถอะครับ”
เธอพูดอะไรไม่ออกได้แต่พยักหน้าเท่านั้น ไม่คิดว่ากลับมาจะเจอมารดาในสภาพนี้
“ลิน ชะ....ช่วยตาลพด้วย ลพโดนจับตัวไป” รัมภาพูดยังไม่ทันจะจบประโยคทุกอย่างก็ดับวูบลง
ศรัญวีย์อุ้มร่างที่ผ่ายผอมของรัมภาตรงไปที่รถยนต์ของเขา โดยมีลัลญ์ลลินวิ่งตามออกไปด้วยความเป็นห่วง เมื่อเจอสถาณการณ์เช่นนี้เข้าทำให้รู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก โชคดีที่ว่าศรัญวีย์มาส่ง ถ้าไม่มีเขาไม่รู้ว่าเธอจะทำอย่างไร
พอถึงโรงพยาบาลรัมภาถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็วโดยที่เธอนั่งรอที่หน้าห้องฉุกเฉินด้วยความกังวลใจ ระหว่างที่ไม่อยู่บ้านไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเธอคิดไปต่าง ๆ นานาและความกลัวก็แทรกขึ้นเพราะเกรงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะเกี่ยวข้องกับพี่ชาย เธอไม่อยากให้มารดารู้เรื่องของพี่ชายเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมารดา
“ใจเย็น ๆ นะครับคุณลิน คุณแม่ของคุณคงไม่เป็นอะไรหรอกครับ ตอนนี้ถึงมือหมอแล้ว ไม่ต้องห่วงนะครับ”
“ฉันภาวนาขอให้แม่ไม่เป็นอะไร โชคดีที่ฉันกลับมาทัน ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่ทำให้คุณต้องวุ่นวายไปด้วย ทั้งที่คุณไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
สีหน้าของลัลญ์ลลินเหมือนคนกำลังมีความทุกข์ แววกังวลของเธอแสดงออกอย่างชัดเจน “ท่าทางคุณกำลังมีปัญหานะครับ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่นี้ฉันก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไง ถ้าไม่ได้คุณ แม่ฉันคงแย่”
“ผมอาจจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับคุณ แต่ถ้าคุณไว้ใจผม ผมก็ยินดีจะช่วยคุณนะครับ”
“ฉันกำลังประสบปัญหาใหญ่ และไม่รู้ว่าจะแก้ไขยังไงแต่ฉันคงไม่กล้ารบกวนคุณหรอกค่ะ ขอบคุณมากค่ะฉันจะไม่ลืมน้ำใจที่คุณมีให้ฉันในวันนี้เลย”
เธอพูดออกมาอย่างอัดอั้น ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน แต่เพราะปัญหาที่มันสุมอยู่ในอกทำให้เธอระบายออกมาอย่างลืมตัว สมองของเธอตื้อไปหมดกับปัญหาที่มันถาโถมเข้ามาอย่างหนักไม่รู้ว่าจะแก้ไขยังไง ลำพังตัวเธอก็ยังตกงานเงินที่มีอยู่มันก็ไม่เพียงพอสำหรับหนี้สินที่พี่ชายได้ก่อไว้ เมื่อมีปัญหาใหม่เข้ามาอีกทำให้เธอคิดหนัก อยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอแต่เรื่องราวที่ปวดหัวและยังมองไม่เห็นทางแก้ได้เลย
เขารู้ว่าเธอต้องมีปัญหาที่ใหญ่พอสมควรแต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยปากขอความช่วยเหลือ เพราะเขายังเป็นคนแปลกหน้าทำให้เธอไม่ไว้ใจ แต่เพราะอะไรไม่รู้ทำให้เขาอยากจะช่วยเหลือเธออย่างเต็มใจ
เมื่อหมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน ลัลญ์ลลินรีบดีดตัวขึ้นทันที ก่อนจะเอ่ยถามอาการของมารดาด้วยความร้อนใจ “คุณหมอค่ะ แม่ฉันเป็นยังไงบ้างคะ?”
“ตอนนี้คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ” หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“คุณเป็นลูกสาวของคนไข้หรือเปล่าครับ?” นายแพทย์หนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า
“ถ้างั้นหมอเชิญทางนี้ครับ” เมื่อได้ยินแบบนั้นเธอถึงกับกังวลขึ้นทันทีก่อนจะเดินตามหมอไป
สีหน้าของเธอไม่ดีนัก เขาจึงเอ่ยขึ้น “ให้ผมไปเป็นเพื่อนนะครับ”
แม้เธอไม่ตอบแต่ชายหนุ่มก็เดินตามเพราะรู้สึกห่วง เมื่อรับรู้ถึงสถาณการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขาพอจะเดาออก
ทันทีที่ถึงห้องทำงานส่วนตัวของหมอ ลัลญ์ลลินถึงกับใจคอไม่ดี รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก การขอคุยเป็นการส่วนตัวแบบนี้ทำให้ความกลัวแทรกซึมขึ้นมาทันทีแม้จะพยายามข่มความกลัวไว้ในใจก็ตาม
“ก่อนอื่นหมอต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับ ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวหลายโรคและมีโรคแทรกซ้อนค่อนข้างมาก คุณแม่คุณเป็นโรคไตถ้าปล่อยไว้จะเรื้อรัง ต้องได้รับการบำบัดและรักษาอย่างต่อเนื่องเพราะน้ำตาลในเลือดคนไข้สูงมาก และคนไข้ไม่ควรทำงานหนักเพราะอาจจะส่งผลในระยะยาว”
“แล้วต้องทำยังไงบ้างค่ะคุณหมอ?”
ลำคอของเธอแห้งผากทำอะไรไม่ถูก ปัญหาทุกอย่างมันกำลังถาโถมเข้ามาอย่างที่เธอไม่ทันตั้งตัว และคิดไม่ออกว่าจะหาทางออกกับปัญหาเหล่านี้ไปได้อย่างไรกัน สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือมีสติเท่านั้น
“ถ้าพูดถึงการรักษาเบื้องต้นก็ควรจะดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิด ควรควบคุมเรื่องอาหารครับ ไม่ควรทานรสจัด ลดอาหารประเภทโปรตีน มันอาจจะเป็นการรักษาแบบประคับประคองไปก่อน”
“แต่ถ้าอยากให้หายขาดละคะ ต้องทำยังไงบ้าง?”
“ที่จริงการรักษาแบบประคับประคองมันเป็นการรักษาเบื้องต้นแต่ถ้าอยากให้ดี ต้องรักษาร่วมกับการฟอกไตด้วยเครื่องไตเทียม โอกาสที่จะหายก็มีสูงเบื้องต้นผู้ป่วยยังไม่ถึงขั้นร้ายแรง”
แม่เป็นโรคไตงั้นหรือ ที่ผ่านมาแม่ปิดบังและไม่เคยบอกพูดถึงเลย ลัลญ์ลลินถึงกับเครียดทีเดียวเมื่อรู้ว่ามารดาเป็นอะไร ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจ “แล้วค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไหร่คะ?”
“มันขึ้นอยู่กับระยะของผู้ป่วย หมอคิดว่าควรจะรีบรักษา หากปล่อยไว้อาจจะทำให้เรื้อรังและถึงแก่ชีวิตได้ ”
เธออถึงกับชาวาบไปทั้งตัว รู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูกเมื่อมีเรื่องให้เครียด “ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ”
หลังพ้นจากห้องลัลญ์ลลินถึงกับน้ำตาคลอ เธอลืมความเจ็บปวดที่ข้อเท้าไปทันที ก่อนจะเดินไปที่ห้องมารดาโดยมีศรัญวีย์ตามมาติด ๆ เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาจะต้องห่วงใยเธอมากถึงเพียงนี้ ทั้งที่เพิ่งจะรู้จักกัน อาจจะด้วยความรู้สึกสงสารทำให้เขาอยากจะช่วยเหลือเธอโดยไม่ได้หวังผลตอบแทนอะไร
“แม่เป็นยังไงบ้าง ยังเพลียอยู่ไหมคะ?”
รัมภาไม่ตอบแต่สายตาก็พลันมองไปยังชายแปลกหน้าที่ยืนข้าง ๆ บุตรสาว แต่ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร “แล้วตาลพติดต่ออมาหรือยังลิน?” นางถามอย่างร้อนรนเมื่อนึงถึงบุตรชายขึ้นมา
“แม่ค่ะ แม่ไม่สบายอยู่นะคะ อย่างเพิ่งคิดเรื่องอื่นเลยค่ะ”
“แต่แม่เป็นห่วงตาลพ ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง”
“แม่ไม่ต้องห่วงนะ ลินไม่ปล่อยให้พี่ลพเป็นอะไรหรอกค่ะ” เธอรู้สึกอายศรัญวีย์อยู่เหมือนกันที่ต้องมารับรู้ถึงปัญหาในครอบครัวของเธอทั้งที่เพิ่งจะรู้จักกัน แต่เพื่อให้มารดาสบายใจเธอจึงรีบแนะนำชายหนุ่มให้มารดารู้จักทันที
“แม่ค่ะนี่คุณศรัญวีย์ค่ะ” ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างนอบน้อม รัมภารับไหว้โดยมีคำถามมากมายอยู่ในใจ
“พอดีลินได้รับอุบัติเหตุนิดหน่อย แต่ไม่เป็นอะไรมาก แม่ไม่ต้องเป็นห่วง” เธอเป็นฝ่ายพูดขึ้นเสียเอง
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมยินดีรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด”
“หมออนุญาตให้แม่กลับบ้านได้แล้วค่ะ แต่ถ้าแม่ยังเพลียอยู่ พักผ่อนต่อก็ได้คะ” หญิงสาวพยายามเปลี่ยนเรื่อง
“แม่ดีขึ้นแล้วไม่เป็นอะไร แม่อยากกลับบ้าน” รัมภารู้ดีว่าค่าใช้จ่ายแพงขนาดไหนจึงไม่อยากอยู่โรงพยาบาล
ลัลญ์ลลินรู้ว่ามารดาห่วงรติลพและไม่รู้ว่ามารดารู้เรื่องของพี่ชายมากน้อยแค่ไหน แต่เพื่อความสบายใจ เธอจึงเลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องนั้นรู้สึกท้อใจอย่างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความวัวไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรกมีแต่เรื่องให้ปวดหัวแต่เมื่อมันเกิดแล้วก็ต้องแก้ไขจนถึงที่สุด
+++ฝากผลงานดาราวลีไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ ฝากคอมเม้นต์และติดตามกันด้วยนะคะ เป็นกำลังใจให้นักเขียนตัวเล็ก ๆ คนนี้ด้วยค่ะ+++
ความคิดเห็น