ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ราเม ชวนเที่ยว

    ลำดับตอนที่ #3 : ฝ่าสายหมอก ชมดอกหงอนนาค บน"ภูสอยดาว"

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 145
      0
      11 ต.ค. 50

    ไหนๆ ก็กล่าวถึงสถานที่ท่องเที่ยวภูสอยดาว เกี่ยวกับน้ำตกไปแล้ว ถ้าใครได้ไปเที่ยวจริงๆ ก็ขอแนะนำ อีกสถานที่ที่น่าไปชม
    โดย ผู้จัดการออนไลน์29 สิงหาคม 2550 16:47 น.
    ทุ่งดอกหงอนนาคบนภูสอยดาวจะบานดารดาษตั้งแต่เดือน ส.ค.-ต.ค.ของทุกปี
           ช่วงเดือนนี้ดูเหมือนว่าบ้านเราจะเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเต็มตัว ยิ่งในเมืองกรุงด้วยแล้วฝนตกครั้งหนึ่งก็มีปัญหาการจราจรติดขัดตามมา ในขณะที่ฝนตกในกรุงเทพฯทำคนบ่นเพราะรถติด เฉอะแฉะ และส่ออาการน้ำท่วม แต่ที่ "ภูสอยดาว" อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ กลับเป็นข้อยกเว้น ว่ากันกันว่าที่นี่สวยงามที่สุดก็ในช่วงหน้าฝนนี่แหละ เพราะจะเต็มไปด้วยทุ่งทะเลดอกไม้ที่บานสะพรั่งรับหยาดฝน
           
           เรื่องนี้จริงหรือเท็จคงต้องไปพิสูจน์กัน ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว"ผู้จัดการท่องเที่ยว"มีความใฝ่ฝันมานานถึงการเดินขึ้นสู่ภูสอยดาว สะดุดใจตั้งแต่ชื่อเรียกนึกนิยมชมชอบคนตั้งชื่อสถานที่แห่งนี้ ช่างตั้งได้ไพเราะเพราะพริ้งเสียจริง เมื่อสบโอกาสเหมาะ จึงนัดสมัครพรรคพวกที่มีใจรักการผจญภัยในป่ากว้างดุจเดียวกันออกตะลุยภูสอยดาว
    ดอกหงอกนาคสีม่วงอ่อนราชินีแห่งภูสอยดาว
           ขอบอกว่างานนี้เป็นการเที่ยวแบบไม่ง้อทัวร์ เราเตรียมทุกอย่างกันเองทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นเต็นท์ อาหารซึ่งก็ไม่พ้นอาหารกระป๋องเป็นส่วนใหญ่ เสื้อกันฝน หยูกยาและอีกสารพัดร้อยแปด ที่สำคัญคือการเตรียมร่างกายให้พร้อม เพราะได้ยินคำขู่มาไม่น้อยถึงความโหดของดินแดนแห่งนี้มานาน จากนั้นก็ถือฤกษ์งามยามปลอดเดินทางขึ้นสู่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาวทันทีอย่างบ่ยั่นต่อฟ้าฝน
           
           จากจังหวัดพิษณุโลก"ผู้จัดการท่องเที่ยว"ใช้เวลาเดินทางเกือบ 3 ชั่วโมงก็มาถึง"ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว" ซึ่งพอถึงก็รีบช่วยกันแบกของขึ้นไปให้เจ้าหน้าที่อุทยานชั่งน้ำหนักทันที
    ลูกหาบผู้มีพระคุณที่ช่วยขนสัมภาระให้
           งานนี้เราตั้งปฏิญาณไว้อย่างแน่วแน่ว่าจะเดินขึ้นตัวเปล่าเท่านั้น สมบัตินอกกายทั้งหลายขอยกให้ลูกหาบผู้เชี่ยวชาญเส้นทางแบกดีกว่า ทีแรกตั้งเป้าไว้ว่าข้าวของทั้งหมดไม่น่าจะเกิน 70 กิโลกรัม แต่พอได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ชั่งของ เอ่ยปากออกมาเท่านั้นลมจับกันเป็นแถว "100กิโลกรัมพอดี กิโลกรัมละ15บาท เป็นเงิน1,500บาทครับ"บอกอย่างเสียงดังฟังชัด เล่นเอาพวกเราคิดหนักกันทีเดียวด้วยเกรงว่า งบจะบานปลายไหมหนอ
           
           ชั่งของเสร็จแล้วจ่ายเงินเรียบร้อยก็ได้เวลาเริ่มต้นผจญภัย เพื่อขึ้นสู่ลานสนภูสอยดาวกัน ก่อนขึ้นสู่ภูสอยดาวก็พากันแวะไหว้ "ศาลเจ้าพ่อภูสอยดาว"เอาฤกษ์เอาชัยให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ เพราะเห็นหนทางข้างหน้าก็นึกหวั่นๆเหมือนกัน
           
           การเดินทางขึ้นสู่ลานสนบนภูสอยดาวต้องเดินเท้าเป็นระยะทางไกล 6.5 กิโลเมตร โดยปกติใช้เวลา 4-6 ชั่วโมง หลังจากเวลา 14.00น.ทางอุทยานฯไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นไป รวบรวมกำลังกายกำลังใจเฮือกใหญ่ ก่อนเริ่มเดินขึ้นภูสอยดาวในเวลาประมาณเก้าโมงเช้า
    ข้ามสะพานกันอย่างระมัดระวัง
           เส้นทางเดินขึ้นภูสอยดาวนี้ในช่วงแรกจะเป็นการเดินเลียบ "น้ำตกภูสอยดาว"ที่ตั้งอยู่ด้านล่างใกล้บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของทางอุทยานฯ มีบางช่วงที่ต้องข้ามสะพานเพราะเป็นลำธารอยู่เบื้องล่าง ช่วงแรกก็มีการส่งเสียงพูดคุยหยอกล้อกันบ้างตามประสาคนที่ยังมีแรงเดินอยู่ เป้าหมายแรกของพวกเราคือการแวะพักที่ "เนินส่งญาติ"ซึ่งเป็นเนินแรกของภูสอยดาว แต่เดินเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะถึงสักที จนทนไม่ไหวเลยเปลี่ยนเป้าหมายเป็นเหนื่อยตรงไหนหยุดตรงนั้นแทน
           
           กว่าจะถึงเนินส่งญาติก็เล่นเอาหลายคนเกิดความรู้สึกเปลี่ยนใจอยากกลับบ้าน เพราะเราเพิ่งเดินมาได้เพียงกิโลเมตรกว่าๆ หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลนัก ที่ปลายสุดของเนินส่งญาติ สังเกตเห็นมีทางแยกลงไปชม "แก่งลำน้ำภาค"อีก 200 เมตรแต่ก็ไม่มีใครสนใจจะลงไปชมกัน เพราะอยากขึ้นไปให้ถึงลานสนภูสอยดาวเร็วๆ
           
           ถัดจากเนินส่งญาติมาเป็นเนินปราบเซียน เนินป่ากูด เนินป่าก่อ เนินเสือโคร่ง และเนินสุดท้าย"เนินมรณะ"ที่เป็นทางชันมีแต่ขึ้นอย่างเดียว เดินทางถึงช่วงนี้ดีกรีการเร่งฝีเท้าเริ่มลดลงไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเหนื่อยแต่เพราะความงดงามของทัศนียภาพแห่งขุนเขาและสายหมอกต่างหากที่รั้งเราไว้ เดินไปไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดถ่ายภาพเป็นอย่างนี้ตลอดจนขึ้นสู่ลานสน
    เบิกบานถ่ายภาพกันท่ามกลางทุ่งดอกหงอนนาค
           ขาขึ้นนี้โชคดีอยู่อย่างหนึ่งคือไม่เจอฝนตกหนัก เจอแค่เปาะแปะให้รู้ว่าถิ่นนี้ฝนชุกเท่านั้น เสื้อกันฝนที่เตรียมมาเลยยังไม่ได้ออกโรงใช้เวลา 6 ชั่งโมง ราวบ่าย3โมงพวกเราก็สามารถตะเกียงตะกายผ่านป่าหญ้า ป่าไผ่ขึ้นมายืนอยู่บนลานสนภูสอยดาวกันแล้ว
           
           บริเวณลานสนภูสอยดาวตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,633 เมตร มีลักษณะเป็นภูเขายอดตัดคล้ายภูกระดึง ปกคลุมด้วยสนสามใบพื้นที่ด้านล่างประกอบด้วยดอกหญ้านานาชนิด ทั้ง ดอกหงอนนาคที่จะบานในช่วงหน้าฝน กระดุมเงินและสร้อยสุวรรณาที่จะบานในช่วงปลายฝนต้นหนาว เมื่อขึ้นมาถึงสิ่งแรกที่มองหาก็ไม่พ้น "ดอกหงอนนาค" ดาวเด่นของที่นี่
           
           หงอนนาค หรือที่บางแห่งเรียกว่า หญ้าหงอนเงือก(เลย), น้ำค้างกลางเที่ยง(สุราษฎร์ธานี),หงอนพญานาคไส้เอียน(อุบลราชธานี),ว่านมูก(หนองคาย) เป็นพืชล้มลุก มักมีลำต้นใต้ดิน หรือลำต้นเหนือดินอวบน้ำ มีการแตกกิ่งก้าน ลำต้นตรงหรือคืบคลานไปตามดิน ไม่มีการเจริญเติบโตขั้นที่สอง ลำต้นสูงประมาณ 1-2 เมตร ดอกมีสีม่วงอ่อน หรือสีม่วงน้ำเงิน(มีดอกสีขาวและสีชมพูบ้างแต่ก็เป็นส่วนน้อย) ดอกหงอนนาคจะบานตั้งแต่เดือนสิงหาคม-เดือนตุลาคม
    ยามเย็น ณ ทุ่งดอกหงอนนาค ภูสอยดาว
           สำหรับดอกหงอนนาคบนภูสอยดาวนี้ไม่ได้ทำให้เราผิดหวังแต่อย่างใด เพราะภาพที่เห็นเบื้องหน้านั้นดารดาษไปด้วยดอกหงอนนาคที่แข่งกันบานชูช่อเบ่งเต็มท้องทุ่ง ภาพสีม่วงอ่อนจางๆของดอกยามถูกไอแห่งหมอกฝนบดบังดูงดงามเป็นประหนึ่งภาพฝัน
           
           พวกเรากระโจนสู่ทุ่งดอกหงอนนาค ร่วมชักภาพแบบไม่ยั้งจนหนำใจจึงพากันเดินเท้าต่อไปที่ "ลานกางเต็นท์"ซึ่งเดินไปอีกไม่ไกลเท่าไหร่ อากาศข้างบนลานสนปลอดโปร่งเย็นสบาย พื้นหญ้าค่อนข้างแฉะคงเพราะมีสายฝนโปรยปรายลงมา
           
           เมื่อถึงลานกางเต็นท์ก็เริ่มลงมือช่วยกันกางเต็นท์ ช่วงที่เรามาจำนวนนักท่องเที่ยวมีไม่มากเท่าไหร่ ซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับคงที่ต้องการสูดอากาศให้เต็มปอดท่ามกลางความสงบ เราติดต่อขอเช่าผ้าห่มจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวข้างบน อัตราราคาผ้าห่มอยู่ที่ผืนละ 50 บาท ต่อคืนนอกจากผ้าห่มแล้วก็ยังมีเต็นท์ เตาถ่าน ให้เช่าอีกด้วย จัดการกับเต็นท์เรียบร้อยก็หุงหาอาหารกินกันอย่างง่ายๆ
    ลานกางเต็นท์บนลานสนที่โอบล้อมด้วยทะเลดอกไม้
           จากนั้นก็พากันไปอาบน้ำห้องน้ำที่นี่แบ่งเป็นห้อง ๆ สะอาดดี แต่ต้องตักน้ำจากลำธารใกล้ๆมาอาบกันเองเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความสนุกในทริปนี้ วันแรกของเราบนลานสนภูสอยดาวหมดไปอย่างรวดเร็ว พวกเราสั่งลาคืนแรกด้วยการพากันไปยืนชมพระอาทิตย์ตกดินที่จุดชมวิวซึ่งก็ไม่ผิดหวังงดงามเหนือคำบรรยาย
           
           คืนแรกนั้นเรานอนกันแต่หัวค่ำด้วยความหมดแรง ตั้งใจจะออมแรงไว้ลุยต่อในวันพรุ่งนี้ แต่ก็ต้องตื่นมากลางดึกเพราะฝนตกอย่างหนัก โชคดีที่เต็นท์แข็งแรงมั่นคงจึงอยู่รอดกันจนถึงเช้า เสียดายเพียงตื่นเช้ามาไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นดังที่ตั้งใจเพราะหลังฝนซาหมอกลงจัดบดบังไปทั่ว
           
           เลยเปลี่ยนเป้าหมายไปยังจุดหมายต่อไปให้ไวขึ้น ด้วยการเดินชม "หลักเขตชายแดนไทย-ลาว" ระหว่างทางเดินจะสามารถมองเห็นยอดภูสอยดาวที่มีระดับความสูง 2,102 เมตร ตระหง่านอยู่กลางม่านหมอกขาว ซึ่งหากนักท่องเที่ยวคนใดต้องการขึ้นไปควรสอบถามรายละเอียดจากเจ้าหน้าที่ก่อน เพราะจากลานสนขึ้นสู่ยอดภูเจ้าหน้าที่บอกว่าต้องใช้เวลาไปกลับร่วมวันทีเดียว บนยอดสูงสุดภูสอยดาวจะมีหน้าผาชันชื่อผาอินทรีย์ เป็นจุดชมวิวเมื่อมองลงมาจะเห็นพื้นที่ราบลานสนได้ชัดเจน สำหรับ "ผู้จัดการท่องเที่ยว"ขอพิชิตแค่ลานสนภูสอยดาวก็พอใจแล้ว
    หลักเขตไทย-ลาวกลางสายหมอกอีกหนึ่งจุดถ่ายรูปยอดนิยม
           ที่หลักเขตแดนไทย-ลาวนี้เป็นอีกหนึ่งมุมถ่ายภาพยอดนิยม อีกทั้งยังเป็นจุดเดียวบนภูสอยดาวที่มีสัญญาณโทรศัพท์ แต่สัญญาณก็ไม่ค่อยชัดเจนนักแวะถ่ายภาพชมทุ่งดอกหงอนนาคกันอยู่นาน
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×