ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทเรียนของชีวิต
และแล้ว เธอทั้งสองคนก็ใช้ชีวิตเป็นไปตามปกติของเธอ วันเวลาผ่านไปหลายปี จนตอนนี้เธอเรียนจบ ท่าทางพิศตะวันท่าทางจะหลงรักเอ็มเข้าเต็มใจซะแล้ว ก็แหงละ เอ็มเอาใจตะวันซะขนาดนั้น พาไปเที่ยวโน้นเที่ยวนี่
เอาใจสาระพัดอย่าง ตอนนี้เอ็มหมั้นกับ พิศตะวัน กลิ่นสาระ ที่อยู่ในร่างของ พิมพ์ผกา อินทร์สังวร เรียบร้อยแล้ว ส่วนทางพิมพ์ผกา หลังจากเรียนจบก็เลิกกับฮายเป็นทีเรียบร้อย ช่วงที่เรียนมัธยมปลาย พ่อของพิศตะวันบอกให้ไปเรียนที่กรุงเทพ เพราะจะได้มีความรู้มากๆ และเธอก็ยอมทำตามที่พ่อของตะวันบอก สามปีที่เรียนมัธยมปลายที่กรุงเทพ ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้คืนร่าง พวกเธอจึงเลิกติดต่อกันไปนาน ด้วยสาเหตุที่พิศตะวันได้รับคำสั่งสายฟ้าแล็บ
จากคุณพ่อคุณแม่ของพิมพ์  ให้ไปเรียนต่อปริญญาที่เมืองนอก ที่ประเทศอังกฤษ เพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับเอ็ม ตะวันกับเอ็มไปเรียนที่เดียวกัน สนิทกันมาก จนถึงขั้นหมั้นกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายหวังมานานอยู่แล้ว
ส่วนพิมพ์ที่อยู่ในร่างของตะวัน เธอไปเรียนปริญญาต่อที่เมืองนอกเหมือนกัน เธอไปเรียนที่อเมริกา หลังจากที่ทั้งคู่เรียนจบ ก็ยังไม่มีวี่แววกลับร่างเดิม พวกเธอติดต่อกันหลังเรียนจบอยู่ประมาณสองเดือน แล้วก็หายไป พิมพ์ไปทำงานที่ญี่ปุ่น ส่วนตะวันอยู่ที่เมืองไทย รับสืบทอดกิจการโรงแรมต่อจากพ่อของพิมพ์ หนึ่งปีหลังจากเรียนจบทั้งคู่ยังไม่ได้พบหน้ากันเลย
พิมพ์มีคนมาจีบตรึม แต่เธอเลือกผู้ชายญี่ปุ่นคนหนึ่งชื่อว่า ฮายาโตะ ซึมุโระ  เขาเป็นคนดีมาก พบกับเธอครั้งแรกตอนอยู่ที่อเมริกา เขาพักหอเดียวกับพิมพ์ เป็นคนที่คอยช่วยเหลือพิมพ์ทุกอย่าง พิมพ์ทราบซึ้งในความมีน้ำใจของเขามาก หน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่ แถมฐานะทางบ้านยังดีอีกต่างหาก เขาไม่ขอสืบทอดกิจการของบ้าน เพราะเขาไม่ใช่ลูกคนโต  แต่พ่อของฮายาโตะอยากให้เขาสืบทอดกิจการของบ้านอีกอย่างหนึ่งนั่นคือกิจการโรงแรมที่กำลังรุ่ง และตอนนี้เขาเป็นสถาปนิกประจำประเทศญี่ปุ่น เขาทำงานสองอย่างนี้ควบคู่ไปด้วยกัน การที่พิมพ์ไปทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่นจึงทำให้พิมพ์และฮายาโตะสนิทกันมากเป็นสองเท่า รวมทั้งครอบครัวของฮายาโตะด้วย คุณแม่ของฮายาโตะเสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเล็ก ส่วนคุณพ่อตอนนี้ใกล้ตายเต็มทีแล้ว เหลือก็แต่พี่ชายของเขา แต่ท่าทางพี่ชายของฮายาโตะไม่ค่อยสนใจว่าใครจะมาเป็นสะใภ้สักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเรื่องครอบครัวของเขาผ่านฉลุย
พิมพ์ทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่นในฐานะตัวเชื่อมกลางระหว่างธุระกิจในเมืองไทยกับญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นการทำตำแหน่งนี้ต้องพบกับฮายาโตะอยู่บ่อยๆ เป็นบ่อเกิดของการขอแต่งงาน แต่พิมพ์ขอเวลาอีกนิดหนึ่ง เมื่อเวลาที่เขาขอเธอแต่งงาน เธอจึงรีบบินข้ามฟ้ากลับมาที่เมืองไทย และรีบติดต่อพิศตะวัน กลิ่นสาระ ที่อยู่ในร่างของเธออย่างด่วน
“สวัสดีค่ะ โรงแรมMeteor ยินดีรับใช้ค่ะ”  มีคนรับโทรศัพท์ 
“ช่วยต่อสายถึงคุณ พิมพ์ผกา อินทร์สังวร ให้หน่อยค่ะ”  พิมพ์พูด
“นัดไว้หรือเปล่าค่ะ”  ทางนั้นตอบกลับ
“ไม่ได้นัดไว้ค่ะ”  พิมพ์ตอบและเริ่มใช้อำนาจและตำแหน่ง  “ฉันคือ พิศตะวัน กลิ่นสาระ ดิฉันคือตัวแทนของธุระกิจระหว่างประเทศไทยกับญี่ปุ่น เผอิญวันนี้ทางเราต้องการที่จะคุยเรื่องการโรงแรมกับคุณพิมพ์ผกา ทีนี้จะช่วยต่อสายให้ได้หรือยังค่ะ”
“รอสักครู่ค่ะ”  นั่นคือคำตอบที่ได้ และมีคนรับสาย
“สวัสดีค่ะ พิมพ์ผกา อินทร์สังวร พูดสายค่ะ”  ตะวันพูดขณะที่นั่งอยู่ในห้องทำงานเพียงคนเดียว
“ตะวันนี่พิมพ์เองนะ วันนี้มีเรื่องด่วนอยากจะคุยด้วย”  พิมพ์รีบบอก ตอนนี้เธออยู่ที่สนามบินในเมืองไทย
“เธออยู่ที่ไหน”  ตะวันถามกลับ
“อยู่ที่สนามบินดอนเมือง เพิ่งกลับมาถึงเมืองไทย”  พิมพ์ตอบตะวัน 
“รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวฉันจะไปรับเธอ”  ตะวันพูด
“แล้วฉันจะรอ”  พิมพ์ตอบ และปิดโทรศัพท์มือถือของเธอ เก็บใส่กระเป๋า
เธอรอประมาณ 15 นาที ตะวันก็มารับเธอที่สนามบิน ตะวันขับรถมา (เหมือนรถของพระเอกเรื่อง Full House)  ตะวันพาพิมพ์มาที่โรงแรม Meteor  ตอนนี้ดูเปลี่ยนไปมากทีเดียวละ ดูดีขึ้น ดูจากป้ายตำแหน่งแล้ว คุณพ่อของเธอคงจะสละบัลลังผู้จัดการให้กับลูกสาวสุดที่รักแล้วละ เธอเดินผ่านประชาสัมพันธ์ หน้าเคาน์เตอร์  และอะไรต่างที่ทำให้รู้สึก ถึงสมัยก่อนสมัยที่พิมพ์ผกา ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ และวิ่งเล่นอยู่ในโรงแรมนี้ วันที่จัดงานเลี้ยงที่โรงแรมนี้เธอก็เคยออกงานกับคุณพ่อ เคยออกงานสังคมต่างๆ เคยพูดคุยทางธุระกิจเกี่ยวกับการโรงแรมกับพวกผู้ใหญ่
และพวกไฮโซทั้งหลาย ซึ่งเรื่องพวกนี้ทำให้เธอเศร้าใจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่คบกับฮายาโตะและเรียนจบพิมพ์ต้องงัดเอากลเม็ดในการพูดคุยกับคนในสังคมาใช้ เพราะเรียนจบ ทำงานทางด้านนี้ต้องเข้าสังคมบ่อย ไหนจะเป็นว่าที่สะใภ้ของตระกูลซึมุโระอีก  เธอทำใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้แล้วละ ไม่มากก็น้อยเธอจะไม่นั่งร้องไห้เหมือนในอดีตอีกต่อไป ตะวันเปิดห้องให้พิมพ์ห้องหนึ่ง ห้องนี้หรูดี กว้างขวาง ดูดีเหมือนตอนที่คุณพ่อบริหารอยู่เลย
    “ทำไมไม่บอกล่วงหน้าก่อนว่าจะกลับมา”  ตะวันพูดและกอดพิมพ์ไว้แน่น  “คิดถึงจังเลย”
    “อันที่จริงก็กะว่าจะกลับปลายปี แต่มันมีเรื่อง”  พิมพ์ตอบและนั่งลงกับโชฟาในห้องพักสุดหรู
    “สำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ”  ตะวันพูด  “มาถึงเหนื่อย ดื่มน้ำผลไม้ให้ชุ่มคอก่อน”
    ตะวันเอาน้ำผลไม้ใส่แก้วมาให้พิมพ์ดื่ม  “ขอบใจ”  และเธอก็ดื่มจนหมดแก้ว
    “ไม่ต้องห่วง ค่าห้องพัก ค่าอาหาร เธอรับประทานได้ตามสบาย ฟรีไม่เสียตังค์”  ตะวันพูด
    “ที่ฉันห่วงไม่ใช่เรื่องนั้นสักหน่อย”  พิมพ์พูด  “พรุ่งนี้ฉันจะกลับเมืองกาญจน์แล้วเธอก็ต้องกลับด้วย”
    “แต่ฉันยังบริหารงานที่โรงแรมสาขากรุงเทพไม่สะใจเลย”  ตะวันพูด
    “ยังไงก็ต้องกลับ เธอไปบริหารต่อที่สาขาในเมืองกาญจน์ละกัน”  พิมพ์พูด  “พรุ่งนี้ฉันจะกลับไปเยี่ยมคุณพ่อกับคุณแม่ที่บ้านไร่ แล้วฉันก็มีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับร่างของเธอด้วย”
    “ก็ได้ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เดี๋ยวไปบริหารต่อที่สาขาในเมืองกาญจน์ก็ได้ จะได้กลับบ้านด้วย”
    ตะวันมีห้องส่วนตัวอยู่ในโรงแรมทุกสาขา เพราะเธอต้องทำงานตามสาขาต่างๆที่มีปัญหา จังหวัดโน้นมีปัญหาที เธอก็ต้องเดินทางไปจัดการงาน เดินทางไปๆมาๆระหว่างจังหวัด ตอนนี้มีอยู่ 8 สาขา กาญจนบุรี กรุงเทพ เชียงใหม่  พัทธยา  เมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส  เมืองหลวงประเทศจีน  เมืองหลวงประเทศญี่ปุ่น  เมืองหลวง
ของประเทศรัฐเซีย    แต่ถึงกระนั้นพิมพ์ก็ยังอดห่วงไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานของเธอกับฮายาโตะ
    “ตะวัน พิมพ์มีเรื่องจะบอก”  พิมพ์บอกตะวัน ที่กำลังหวีผมเตรียมตัวนอน คืนนี้ทั้งสองนอนห้องเดียวกัน
    “สมัยที่พิมพ์ไปเรียนที่อเมริกา พิมพ์พบผู้ชายคนหนึ่ง เรียนโรงเรียนเดียวกัน เขาอายุมากกว่า 2 ปี  พักอยู่หอเดียวกัน ห้องอยู่ฝั่ง
ตรงข้ามกัน เจอกันทุกเช้า ตอนที่พิมพ์ไม่สบายก็ได้เขามาคอยดูแล เขานิสัยดี หล่อ หุ่นดี ฐานะดี เป็นถึงสถาปนิกของประเทศญี่ปุ่น มีกิจการโรงแรมที่กำลังไปรุ่งโรจน์ คบกันมานาน ตั้งแต่เรียนปริญญาปีแรก จนพิมพ์เรียนจบ จนพิมพ์ทำงานมาปีหนึ่ง เขาชื่อ ฮายาโตะ ซึมุโระ”
    “ฉันรู้จัก เขาดังจะตาย น่าจะไปเป็นนายแบบ แทนที่จะเป็นสถาปนิกกับนักธุระกิจ”  ตะวันพูดโต้ตอบ
    “เขาขอฉันแต่งงาน” 
    “จริงเหรอ”  ตะวันตะโกน  “เขาขอเธอแต่งงานจริงๆเหรอ วันไหน เมื่อไหร่”
   
                “เขาขอฉันแต่งงาน ฉันบอกเขาไปว่า ต้องบอกทางบ้านที่อยู่เมืองไทยก่อน แล้วก็เพื่อความสบายใจของเขา คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ใช่คนเข้มงวด จะทำอะไรก็ต้องบอกท่านทั้งสอง รับรองไม่มีปัญหา ฉันไปคนเดียวได้ ยังไม่ต้องให้เขามาที่เมืองไทยด้วยหรอก ไว้ให้ท่านทั้งสองอณุญาติก่อนแล้วค่อยให้ฮายาโตะซังขึ้นเครื่องบินมา” 
    “โอ้ว พระเจ้าช่วย”  ตะวันเริ่มเพ้อรำพัน  “ความรักของเธอในที่สุดก็งอกงาม”
    “นี่มันเรื่องเครียดนะตะวัน”  พิมพ์พูด
    “เครียดตรงไหน ไม่มีอะไรที่ต้องเครียดสักนิด”
    “ก็ตรงที่ว่า นี่มันร่างของเธอยังไงละ”  พิมพ์พูด ตะวันหุบยิ้มทันที  “ฉันเคยเล่าเรื่องการสลับร่างของเราสองคนให้ฮายาโตะซังฟังแล้วด้วย”
    “เขาเชื่อไหมละ”  ตะวันถามหน้าบึ้ง
    “ตอนแรกไม่เชื่อ จนกระทั่งเขาเรียนจบแล้วงานสังคมคนไฮโซก็ถูกจัดที่ประเทศญี่ปุ่น มีแต่ผู้บริหารเกี่ยวกับการโรงแรมมารวมตัวกัน ฮายาโตะซังก็ไปร่วมงาน เธอก็ไปร่วมงาน ฮายาโตะซังไปถามเลขาของเธอเกี่ยวกับอุบัติเหตุเมื่อ 8 ปีที่แล้ว  ว่าเกิดขึ้นได้ยังไงแล้วคนที่ขับรถชนเป็นใคร แล้วหลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น เธอเปลี่ยนไปมากไหม  และเขาก็ได้คำตอบทุกอย่างทุกเรื่องที่ถาม เขาก็เลยเชื่อขึ้นมานิดนึ่ง”
    “เราสองคนคงไม่มีโอกาสได้กลับร่างเดิมกันแล้วละ”  ตะวันพูดและล้มตัวลงนอน  “แปดปีเต็มๆกับการรอคอย แปดปีเต็มๆที่พวกเราเฝ้าภาวนาและทำทุกวิถีทาง แต่มันก็สูญเปล่า”
    “ตะวัน”  พิมพ์หลุดปากอย่างไม่ตั้งใจ
    “เธอแต่งงานกับฮายาโตะซังเถอะ ช่วยทำให้พ่อกับแม่ของฉันปลื้มใจกับลูกคนนี้สักหนหนึ่งเถอะ จากที่เธอเล่าให้ฉันฟัง ท่าทางเขาจะเป็นคนดี เพอเฟ็กทุกอย่างเลยไม่ใช่เหรอไง ร่างนั้นฉันยกให้เธอ ส่วนร่างนี้เธอยกให้ฉัน นับตั้งแต่วันที่เรียบจบมัธยมปลาย ทั้งชีวิตและร่างก็เป็นของเธอไปนานแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาขออณุญาติฉันหรอก มันเป็นของเธอมาตั้งนานแล้วพิมพ์” 
    “ขอบใจนะตะวัน”  พิมพ์พูด
    “ฉันก็ขอบใจเธอเหมือนกัน ที่ยกผู้ชายดีๆอย่างเอ็มให้กับฉัน”
    ทั้งสองคนข่มตาหลับในความมืดนั้น ใบหน้าที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของทั้งสองคนปรากฏอยู่ในความมืด คืนนี้คงเป็นคืนที่มีความสุขพอๆกันทั้งสองคน เพื่อนรักจะได้แต่งงาน เป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่กระนั้นอุปสรรค์ที่สวรรค์ส่งมาพิสูจน์ความรักของคนทั้งสี่ยังไม่จบลงเพียงเท่านี้แน่  ยังไม่จบแค่คำว่าแต่งงานแน่ ยังมีต่ออีกนะ
    เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งสองตื่นสายน่าดูทีเดียวละ รีบอาบน้ำแต่งตัวจัดทรงผมให้เข้าที่ พิมพ์ผกาไว้ผมยาว จนถึงเอว
เป็นผมที่ยาวมาก และซอยหน้านิดหน่อย ผมตรงสีดำเข้ม นี่คือผมของร่างพิมพ์ผกา ส่วนผมของร่างพิศตะวัน สีน้ำตาลเข้มออกแดงๆ ไว้ยาวประมาณกลางหลัง ระหว่างที่พิมพ์ผกาอยู่ในร่างของพิศตะวันเธอจึงหมั่นไปทำสปาร์โคลน  (การหมักผมด้วยโคลนที่อุดมด้วยคุณค่าทางธรรมชาติ ทำให้ผมมีน้ำหนัก เงางาม) ซอยสั้นที่หน้าผาก สไลด์ลงมาจนถึงปลายผม ด้วยความต่างของผม ผมของร่างพิศตะวันดูจะรักษายากมากกว่าร่างของพิมพ์ผกา เพราะผมของพิมพ์ผกา ยาวและตรงมาก (เหมือนผมอาจารย์ มนันยา ของหมวดคอม) ส่วนผมของพิศตะวันไม่มีน้ำหนัก แถม
ยังไม่ค่อยจะตรงอีก ช่วงที่อยู่ในร่างนี้พิมพ์จึงต้อง อบไอน้ำ สปาร์โคลน หมักผม พิมพ์พยายามที่จะหลีกเลี่ยงการหนีบ และการใช้น้ำยายืดผม เพราะจะทำให้ผมแห้งเหมือนไม้กวาด และหยาบกระด้าง ในเมื่อเจ้าของคนเดิมของเขา
รักษามาได้ขนาดนี้ ถ้าพิมพ์มาทำเสีย ตะวันรู้เข้าเธอคงจะเสียใจน่าดู เพราะช่วงแรกๆที่พิมพ์ออกจากโรงพยาบาล เธอค่อนข้างลำบากใจกับทรงผมของตะวัน เธอจึงหนีบผม ผลที่ออกมาคือ หนีบแล้วก็ฟูกลับทรงเดิมภายในเวลา
10 นาที  เดือนหนึ่งหลังจากหนีบผม ผมของตะวันแตกปลายจนเห็นได้ชัด  พิมพ์จึงตัดสินใจเลิกหนีบผม แล้วเข้าร้านใช้น้ำยายืด ยี่ห้อดี  มันก็ตรงดี เพียงแต่ผมของตะวันแห้งและหยาบเหมือนไม้กวาดไม่มีผิด เธอพยายามรักษาผมที่แตกปลายและหยาบกระด้างนี้ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมอยู่นาน ผลสุดท้ายจึงต้องตัดผมส่วนที่แตกปลายทิ้ง และเริ่มรักษาผมใหม่ ตั้งแต่รากผมจรดปลาย จนทุกวันนี้มันตรง และมีน้ำหนัก
ส่วนพิศตะวันอยู่ในร่างของพิมพ์ผกาจึงไม่ค่อยหนักใจเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ที่ผ่านมาก็มีแต่เรื่องน้ำหนักนี่ละที่น่าห่วงที่สุด ร่างกายของคนเรามันต่างกันนี่ ร่างตะวัน กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน คงสภาพเดิม ถ้าเริ่มอ้วนก็ลดซะ ทุกอย่างจบอยู่แค่เข้าฟิตเน็ต แต่ร่างของพิมพ์สุดแสนจะอ้วนง่าย วันแรกที่เธอไปปาร์ตี้ด้วยร่างของพิมพ์เธอเผลอกินทุกอย่างในงาน กลับมาถึงบ้านปรากฏว่าหน้าท้องโผล่มาแล้ว แถมเวลาน้ำหนักขึ้นแล้วยังลดยากเหลือเกิน โคตรพ่อโคตรแม่ยากเลยละ เข้าฟิตเน็ตแล้ว ว่ายน้ำแล้ว อดอาหารก็แล้ว น้ำหนักยังไม่ลดเลย สุดท้ายเลยต้องกินยาลดความอ้วน เพื่อที่จะให้นำหนักลงตามที่ต้องการ  ตะวันจึงรู้หลักในการกินอาหาร ต้องรู้จักหยุดปากไว้บ้าง ส่วนเรื่องผมนะ
เหรอ  เจ้าตัวเขาผมยาวสลวยอยู่แล้วไม่ต้องไปทำอะไร แค่หมั่นไปอบผมด้วยไอน้ำสักเดือนละครั้ง ใช้ยาสระผมและครีมนวดที่ทะนุถนอมผมหน่อยก็พอแล้ว ผมไม่หนาไม่บางกำลังพอดี ผมยาวตรง  สีดำเข้ม ขอย้ำว่าเข้มมากๆ  แถมผมยังมีน้ำหนัก จะทำทรงอะไรก็ง่าย ต่างกับผมจริงๆของเธอ ที่เวลาจะทำทรงอะไรก็ยาก แถมผมยังบางอยู่ด้วย ถ้าดูแลไม่ดีเดี๋ยวจะล่วงหมดหัว มันก็ดีกันคนละแบบ
    ทั้งสองขับรถและมุ่งหน้าไปยังจังหวัดกาญจนบุรี เริ่มแรกคงต้องแวะบ้าน อินทร์สังวร ก่อน เมื่อไปถึงที่บ้านทำให้พิมพ์นึกถึงเรื่องอะไรมากมายหลายอย่าง อย่างเช่นตอนที่เรียนมัธยมต้น เธอเผลอเรียกชื่อจริงของกันและกันออกไปตอนที่พิมพ์กับตะวันมาค้างบ้าน อินทร์สังวรหลังนี้ เธอทั้งสองจึงโกหกพ่อกับแม่ว่า ถ้าเป็นเพื่อนรักกันแล้วไม่อยากจากกัน ก็ให้เรียกชื่อสลับกัน มันเป็นเคล็ดของคนเกาหลี
    “สวัสดีค่ะคุณแม่”  ตะวันโผลเข้ากอดแม่ของพิมพ์  “คิดถึงแม่จังเลย”  ตะวันรักแม่คนนี้เสมือนแม่แท้ๆ พวกเธอต้องสลับกันทุกอย่าง ทั้งพ่อทั้งแม่ เพราะฉะนั้นทำใจซะเวลาเห็นภาพแบบนี้
    “สวัสดีค่ะแม่”  พิมพ์กล่าวสวัสดี  “ไม่เจอกันตั้งนาน คุณแม่ดูไม่เปลี่ยนไปเลยนะค่ะ”
    “อยู่ใกล้มือหมอก็แบบนี้แหล่ะจ๊ะ”  คุณแม่พูด  “หน้าเหี่ยวก็ให้หมอดึง จมูกไม่สวยก็ให้หมอทำ ยิ่งอายุมากก็ยิ่งใช้เงินมาก ยิ่งต้องเข้าสังคมมากกว่าตอนสาวๆซะอีก”
    “หนูซื้อของมาฝากคุณแม่ด้วยละค่ะ”  พิมพ์พูด  “ให้สาวใช้ถือเข้าบ้านไปแล้วละค่ะ”
    “ขอบใจจ๊ะลูก ไปอยู่เมืองนอกตั้งนานยังไม่ลืมแม่อีก”  แม่บอก  “ตามสบายนะ ถือซะว่าเป็นบ้านตัวเองละกัน เดี๋ยวแม่ต้องไปออกงานเปิดตัวรถอีก”  แม่พูดเสร็จก็เดินขึ้นรถไป ตะวันและพิมพ์โบกมือให้โชคดี
    “ทำใจได้ยัง เพื่อน”  ตะวันพูด
    “ทำใจได้ตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว”  พิมพ์พูดและเดินเข้าบ้าน
      “รู้แล้วโว้ย เข้าบ้านกันเถอะ”  ตะวันพูดและดึงมือพิมพ์เข้าบ้าน
    ทั้งสองเข้ามาในห้องและปิดประตูล็อคห้องอย่างแน่นหนา ห้องนอนห้องนี้เป็นห้องเก็บเสียงจึงไม่ต้องกลัวว่าใครจะแอบฟัง “แล้วแกจะเอายังไงวะ คนที่บ้านข้ายิ่งไม่ค่อยชอบคนต่างชาติอยู่ด้วย”  สำเนียงเพื่อนเริ่มออก
    “ก็ยังไม่รู้เลย”  พิมพ์ตอบ  “ข้าอยู่กับพวกเขามานาน  นานจนพอจะรู้ว่าเขาไม่ค่อยชอบชาวต่างชาติ ลำพังพ่อกับแม่ไม่มีปัญหา ติดอยู่แค่คนที่บ้าน พวกพี่อิ่ม พี่ปูน พี่เบิ้ม พี่เอิบ กูไม่รู้จะทำยังไงดีวะ ถ้าเกิดพวกเขาอยากจะขอทดสอบฮายาโตะซัง จะโดนอะไรบ้างก็ยังไม่รู้”
    “น่าเห็นใจแกวะพิมพ์”  ตะวันพูดและโน้มตัวลงนอน เนื่องจากขับรถมาไกล เธอทั้งสองจึงนอนคุยกัน เปิดแอร์ให้ชุ่มฉ่ำ ในห้องทำไฟแสงสีฟ้าๆ ทำให้ดูเหมือนตอนกลางคืน  “ความรักกำลังจะผลิบาน ไม่ทันไรก็จะร่วงโรยซะแล้ว เพื่อนเรา”
    “ผลิบานนะใช่ แต่ยังไม่ร่วงโรยโว้ย”  พิมพ์ตอบกลับ  “เอาเถอะวันนี้พักผ่อนกันก่อน ตอนเย็นๆค่อยไปค้างที่บ้านไร่วะ”
    “ก็ดีเหมือนกัน อยากจะรู้เหมือนกันว่าพ่อกับแม่เป็นไงบ้าง ไปค้างบ้านไร่สักสองคืนละกัน”  ตะวันบอก
    ทั้งสองหลับตาลง และหลับไป ไม่ถึง 10 นาที เสียงโทรศัพท์มือถือของตะวันก็ดังขึ้น “สวัสดีค่ะ”  เธอรับโทรศัพท์โดยไม่ดูว่าใครโทรมา และไม่สนใจด้วย
    “พิมพ์อยู่ไหน ผมตามหาคุณจนทั่วกรุงเทพไปหมดเลยรู้ไหม”  เสียงของเอ็ม เนื่องจากในห้องเงียบมากจึงได้ยินเสียงโทรศัพท์  “เขาบอกว่าคุณขับรถออกไปไหนกับใครก็ไม่รู้ตั้งแต่เช้า แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย”
    “พิมพ์อยู่บ้าน”  ตะวันตอบ  “แล้วพิมพ์ก็ขับรถมากับตะวันเพื่อนเก่าด้วย”
    “ตะวัน? ตะวันไหน”  เสียงเอ็มถาม
    “พิศตะวัน กลิ่นสาระ ที่เคยขับรถชนพิมพ์เมื่อแปดปีก่อนไง”  ตะวันตอบ
    “คิดว่าใครที่แท้ก็เพื่อนเก่า”  เอ็มตอบ  “คราวหน้าจะไปไหนก็โทรบอกผมบ้างนะ อย่าปล่อยให้ผมนั่งคอยเป็นไอ้โง่ที่ร้านอาหารแบบนี้”
    “จริงด้วย พิมพ์ลืมไปเลยว่านัดเอ็มไว้ที่ร้านอาหาร”  ตะวันตอบ  “พิมพ์ขอโทษจริงๆ”
    “ไม่เป็นไร ตะวันเขาอุส่ากลับมาจากเมืองนอกทั้งที มันเรื่องด่วนที่ช่วยไม่ได้นี่”  เอ็มตอบและวางสายไป
    “น่ารักจริงๆเลยพ่อคนนี้”  ตะวันพูดพลางมองโทรศัพท์
    ตะวันล้มตัวลงนอนต่อ และแล้วเวลาก็ผ่านไปจนถึงช่วงเย็น พวกเธอทั้งสองตื่นขึ้นอย่างรีบร้อน ตะวันรีบจัดกระเป๋าเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไปค้างที่บ้านไร่ แต่จากสภาพที่เห็นคงไม่ใช่การจัดกระเป๋าแล้วละมั้ง คงจะต้องเรียกว่า การยัดใส่กระเป๋ามากกว่า เพราะตะวันเอาเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าโดยไม่จัด ไม่พับ เข้ากระเป๋า และเธอหันหน้ามาหาพิมพ์ผกาที่เตรียมพร้อมมานานแล้ว  พร้อมกับพูดว่า
    “เรียบร้อย เตรียมพร้อมเดินทาง”  ตะวันพูด และทั้งสองเดินลงไปยังชั้นล่าง ไหว้คุณพ่อคุณแม่ เสร็จก็ขึ้นรถ ปิดประทุนเสร็จก็ออกเดินทาง
    “มึงไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้”  พิมพ์บอกตะวัน  “บ้านมันไม่หนีไปไหนหรอก”
    “ก็กี่ปีแล้วละที่ไม่ได้กลับบ้าน”  ตะวันบอก  “คนมันคิดถึงนี่หว่า”
    และแล้วทั้งสองก็เดินทางข้ามอำเภอเพื่อกลับบ้านไร่ ทางระหว่างกลับรู้สึกถึงบรรยากาศเก่าๆยังไงไม่รู้ พิมพ์กับตะวันผลัดกันขับรถเป็นช่วงๆ
    “ผ่านสี่แยกไฟแดงนี้ก็จะถึงบ้านแล้ว”  พิมพ์บอกตะวัน ตอนนี้ตะวันขับรถ
    “รู้หรอกน่า”  ตะวันพูด
    “ก็คิดว่าลืม”  พิมพ์บอก
    “ไม่มีทางลืมเด็ดขาด ทางสายนี้”  ตะวันพูดและหันมายิ้มให้ และแล้วไฟที่อยู่ข้างหน้าก็แดง
    “ตะวันไฟแดง”  พิมพ์บอก
    “ฉันรู้”  ตะวันสวนกลับ  “แต่นี่มันดึกแล้วไม่มีรถผ่านมาหรอก”
    “อย่าประมาทนะตะวัน หยุดรถเดี๋ยวนี้”
    “หยุดไม่ได้แล้ว”  เธอเหยียบเบรกดังสนั่นถนน รถหมุนติ้วไม่เป็นโล้เป็นพราย และรถก็ไปหยุดอยู่กลางถนน และกลางสี่แยกไฟแดง ลองนึกสภาพดูละกัน กลางสี่แยกไฟแดงมันอันตรายขนาดไหน
    “เป็นเรื่องจนได้”  พิมพ์พูด  “มานี่ฉันขับเอง” เธอหันมองตะวัน
    เนื่องจากตะวันไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยเวลาเบรกจึงทำให้ทรงตัวไม่อยู่ มีเลือดไหล ท่าทางตะวันจะหัวแตก แต่พิมพ์ไม่เป็นอะไรแม้แต่นิดเดียว พิมพ์พยายามปลดเข็มขัดนิรภัยออก แต่ท่าทางรถคันนี้จะล็อคอัตโนมัติ  (เป็นธรรมดาที่รถนำเข้าจากเมืองนอกเวลาเกิดอุบัติเหตุขึ้นจะล็อคอัตโนมัติ ล็อคประตู ล็อคเข็มขัดนิรภัย เป็นต้น) พิมพ์จึงดึงเข็มขัดให้ห่างจากตัวและรอดตัวออกไป เข็มขัดนิรภัยไม่ได้ล็อคแน่นขนาดที่จะรอดตัวออกไปไม่ได้  แต่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว มีรถสิบล้อคันหนึ่ง ท่าทางคนขับจะหลับในซะด้วย ขับพุ่งตรงมาทางเธอ พิมพ์ทำอะไรไม่ถูก จนสุดท้ายเธอ เอาลำตัวออกจากเข็มขัดนิรภัยได้  กำลังจะเปิดประตูรถเพื่อวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต เสียดายที่สวรรค์ไม่เข้าข้าง รถสิบล้อคันนั้นขับรถอัดรถของตะวันไปบดกับกำแพงโรงเรียนที่อยู่ข้างๆสี่แยกไฟแดง จะอธิบายง่ายๆ คือ
รถสิบล้อขับมาด้วยความเร็ว120 และหลับใน ฝ่าไฟแดง ส่วนรถของตะวัน ตะวันสลบคาพวงมาลัย รถโดนรถสิบล้อบี้ไปจนติดกำแพง โดยที่เธอนั่งอยู่ในรถ รถสิบล้อบี้รถของตะวันเกือบแหลก ตะวันถูกดันไปจนติดกำแพง
ส่วนทางพิมพ์โดนรถสิบล้อชนเข้าอย่างจัง ประตูเบียดเข้ามาทางลำตัว บาดเจ็บหนัก  ทางที่พิมพ์นั่งคือทางที่รถสิบล้อชน ทางที่บดบี้ติดกำแพงคือทางของตะวัน ทั้งสองต่างบาดเจ็บเกือบตายทั้งคู่
    ทั้งสองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง สายลมอ่อนๆพัดเข้ามาทางหน้าต่าง แสงไฟสีแดงสว่างโล่อยู่ทั่วห้อง ตะวันค่อยๆลืมตาตื่น ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่ดมจากกลิ่นและบรรยากาศแวดล้อมแล้ว ท่าทางที่นี่คงจะเป็นโรงพยาบาล
มันเกิดอะไรขึ้น?  แล้วพิมพ์ละ?  แล้วใครช่วยเธอออกมาจากอุบัติเหตุ?  แล้วจะทำยังไงต่อละ?  เกิดคำถามขึ้นในใจของตะวันมากมาย ตอนนี้เธอแทบจะขยับตัวไม่ได้เลย เธอลองมองๆดูแล้ว แขนข้างซ้ายหัก ขาซ้ายหัก  เธอรู้สึกเหมือนมีผ้าอะไรสักอย่างมาปิดที่ตาของเธอข้างขวา เธอรู้สึกปวดหัวนิดๆ เธอพยายามลุกแต่ไม่สำเร็จ นางพยาบาลจึงวิ่งเข้ามาช่วย แต่ยังไม่ให้เธอลุก เขาเทน้ำใส่แก้วมาให้ตะวันดื่ม
ล
    “รู้สึกอย่างไงบ้างค่ะ”  นางพยาบาลถาม
    “ปวดหัว ปวดแขนขา แล้วก็ลำตัวด้วยค่ะ”  ตะวันตอบ
    “คุณพิศตะวันไม่ต้องห่วงนะค่ะ นี่เป็นอาการธรรมดาที่คนเพิ่งประสบอุบัติเหตุเป็นกันค่ะ”  เธอยิ้มหวาน และพูดต่อ  “คุณแค่แขนซ้ายหัก ขาซ้ายหัก กระจกรถก็แตกมากระเด็นใส่ตาคุณนิดหน่อย เดี๋ยวก็หายค่ะ”
    “ฉันจะไม่ตาบอดใช่มั้ยค่ะ”  ตะวันถามนางพยาบาล
    “แค่เศษกระจกกระเด็นเข้าตาไม่ทำให้ตาบอดหรอกค่ะ วางใจได้”  นางพยาบาลตอบและเดินออกไป
เอาใจสาระพัดอย่าง ตอนนี้เอ็มหมั้นกับ พิศตะวัน กลิ่นสาระ ที่อยู่ในร่างของ พิมพ์ผกา อินทร์สังวร เรียบร้อยแล้ว ส่วนทางพิมพ์ผกา หลังจากเรียนจบก็เลิกกับฮายเป็นทีเรียบร้อย ช่วงที่เรียนมัธยมปลาย พ่อของพิศตะวันบอกให้ไปเรียนที่กรุงเทพ เพราะจะได้มีความรู้มากๆ และเธอก็ยอมทำตามที่พ่อของตะวันบอก สามปีที่เรียนมัธยมปลายที่กรุงเทพ ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้คืนร่าง พวกเธอจึงเลิกติดต่อกันไปนาน ด้วยสาเหตุที่พิศตะวันได้รับคำสั่งสายฟ้าแล็บ
จากคุณพ่อคุณแม่ของพิมพ์  ให้ไปเรียนต่อปริญญาที่เมืองนอก ที่ประเทศอังกฤษ เพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับเอ็ม ตะวันกับเอ็มไปเรียนที่เดียวกัน สนิทกันมาก จนถึงขั้นหมั้นกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายหวังมานานอยู่แล้ว
ส่วนพิมพ์ที่อยู่ในร่างของตะวัน เธอไปเรียนปริญญาต่อที่เมืองนอกเหมือนกัน เธอไปเรียนที่อเมริกา หลังจากที่ทั้งคู่เรียนจบ ก็ยังไม่มีวี่แววกลับร่างเดิม พวกเธอติดต่อกันหลังเรียนจบอยู่ประมาณสองเดือน แล้วก็หายไป พิมพ์ไปทำงานที่ญี่ปุ่น ส่วนตะวันอยู่ที่เมืองไทย รับสืบทอดกิจการโรงแรมต่อจากพ่อของพิมพ์ หนึ่งปีหลังจากเรียนจบทั้งคู่ยังไม่ได้พบหน้ากันเลย
พิมพ์มีคนมาจีบตรึม แต่เธอเลือกผู้ชายญี่ปุ่นคนหนึ่งชื่อว่า ฮายาโตะ ซึมุโระ  เขาเป็นคนดีมาก พบกับเธอครั้งแรกตอนอยู่ที่อเมริกา เขาพักหอเดียวกับพิมพ์ เป็นคนที่คอยช่วยเหลือพิมพ์ทุกอย่าง พิมพ์ทราบซึ้งในความมีน้ำใจของเขามาก หน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่ แถมฐานะทางบ้านยังดีอีกต่างหาก เขาไม่ขอสืบทอดกิจการของบ้าน เพราะเขาไม่ใช่ลูกคนโต  แต่พ่อของฮายาโตะอยากให้เขาสืบทอดกิจการของบ้านอีกอย่างหนึ่งนั่นคือกิจการโรงแรมที่กำลังรุ่ง และตอนนี้เขาเป็นสถาปนิกประจำประเทศญี่ปุ่น เขาทำงานสองอย่างนี้ควบคู่ไปด้วยกัน การที่พิมพ์ไปทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่นจึงทำให้พิมพ์และฮายาโตะสนิทกันมากเป็นสองเท่า รวมทั้งครอบครัวของฮายาโตะด้วย คุณแม่ของฮายาโตะเสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเล็ก ส่วนคุณพ่อตอนนี้ใกล้ตายเต็มทีแล้ว เหลือก็แต่พี่ชายของเขา แต่ท่าทางพี่ชายของฮายาโตะไม่ค่อยสนใจว่าใครจะมาเป็นสะใภ้สักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเรื่องครอบครัวของเขาผ่านฉลุย
พิมพ์ทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่นในฐานะตัวเชื่อมกลางระหว่างธุระกิจในเมืองไทยกับญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นการทำตำแหน่งนี้ต้องพบกับฮายาโตะอยู่บ่อยๆ เป็นบ่อเกิดของการขอแต่งงาน แต่พิมพ์ขอเวลาอีกนิดหนึ่ง เมื่อเวลาที่เขาขอเธอแต่งงาน เธอจึงรีบบินข้ามฟ้ากลับมาที่เมืองไทย และรีบติดต่อพิศตะวัน กลิ่นสาระ ที่อยู่ในร่างของเธออย่างด่วน
“สวัสดีค่ะ โรงแรมMeteor ยินดีรับใช้ค่ะ”  มีคนรับโทรศัพท์ 
“ช่วยต่อสายถึงคุณ พิมพ์ผกา อินทร์สังวร ให้หน่อยค่ะ”  พิมพ์พูด
“นัดไว้หรือเปล่าค่ะ”  ทางนั้นตอบกลับ
“ไม่ได้นัดไว้ค่ะ”  พิมพ์ตอบและเริ่มใช้อำนาจและตำแหน่ง  “ฉันคือ พิศตะวัน กลิ่นสาระ ดิฉันคือตัวแทนของธุระกิจระหว่างประเทศไทยกับญี่ปุ่น เผอิญวันนี้ทางเราต้องการที่จะคุยเรื่องการโรงแรมกับคุณพิมพ์ผกา ทีนี้จะช่วยต่อสายให้ได้หรือยังค่ะ”
“รอสักครู่ค่ะ”  นั่นคือคำตอบที่ได้ และมีคนรับสาย
“สวัสดีค่ะ พิมพ์ผกา อินทร์สังวร พูดสายค่ะ”  ตะวันพูดขณะที่นั่งอยู่ในห้องทำงานเพียงคนเดียว
“ตะวันนี่พิมพ์เองนะ วันนี้มีเรื่องด่วนอยากจะคุยด้วย”  พิมพ์รีบบอก ตอนนี้เธออยู่ที่สนามบินในเมืองไทย
“เธออยู่ที่ไหน”  ตะวันถามกลับ
“อยู่ที่สนามบินดอนเมือง เพิ่งกลับมาถึงเมืองไทย”  พิมพ์ตอบตะวัน 
“รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวฉันจะไปรับเธอ”  ตะวันพูด
“แล้วฉันจะรอ”  พิมพ์ตอบ และปิดโทรศัพท์มือถือของเธอ เก็บใส่กระเป๋า
เธอรอประมาณ 15 นาที ตะวันก็มารับเธอที่สนามบิน ตะวันขับรถมา (เหมือนรถของพระเอกเรื่อง Full House)  ตะวันพาพิมพ์มาที่โรงแรม Meteor  ตอนนี้ดูเปลี่ยนไปมากทีเดียวละ ดูดีขึ้น ดูจากป้ายตำแหน่งแล้ว คุณพ่อของเธอคงจะสละบัลลังผู้จัดการให้กับลูกสาวสุดที่รักแล้วละ เธอเดินผ่านประชาสัมพันธ์ หน้าเคาน์เตอร์  และอะไรต่างที่ทำให้รู้สึก ถึงสมัยก่อนสมัยที่พิมพ์ผกา ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ และวิ่งเล่นอยู่ในโรงแรมนี้ วันที่จัดงานเลี้ยงที่โรงแรมนี้เธอก็เคยออกงานกับคุณพ่อ เคยออกงานสังคมต่างๆ เคยพูดคุยทางธุระกิจเกี่ยวกับการโรงแรมกับพวกผู้ใหญ่
และพวกไฮโซทั้งหลาย ซึ่งเรื่องพวกนี้ทำให้เธอเศร้าใจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่คบกับฮายาโตะและเรียนจบพิมพ์ต้องงัดเอากลเม็ดในการพูดคุยกับคนในสังคมาใช้ เพราะเรียนจบ ทำงานทางด้านนี้ต้องเข้าสังคมบ่อย ไหนจะเป็นว่าที่สะใภ้ของตระกูลซึมุโระอีก  เธอทำใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้แล้วละ ไม่มากก็น้อยเธอจะไม่นั่งร้องไห้เหมือนในอดีตอีกต่อไป ตะวันเปิดห้องให้พิมพ์ห้องหนึ่ง ห้องนี้หรูดี กว้างขวาง ดูดีเหมือนตอนที่คุณพ่อบริหารอยู่เลย
    “ทำไมไม่บอกล่วงหน้าก่อนว่าจะกลับมา”  ตะวันพูดและกอดพิมพ์ไว้แน่น  “คิดถึงจังเลย”
    “อันที่จริงก็กะว่าจะกลับปลายปี แต่มันมีเรื่อง”  พิมพ์ตอบและนั่งลงกับโชฟาในห้องพักสุดหรู
    “สำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ”  ตะวันพูด  “มาถึงเหนื่อย ดื่มน้ำผลไม้ให้ชุ่มคอก่อน”
    ตะวันเอาน้ำผลไม้ใส่แก้วมาให้พิมพ์ดื่ม  “ขอบใจ”  และเธอก็ดื่มจนหมดแก้ว
    “ไม่ต้องห่วง ค่าห้องพัก ค่าอาหาร เธอรับประทานได้ตามสบาย ฟรีไม่เสียตังค์”  ตะวันพูด
    “ที่ฉันห่วงไม่ใช่เรื่องนั้นสักหน่อย”  พิมพ์พูด  “พรุ่งนี้ฉันจะกลับเมืองกาญจน์แล้วเธอก็ต้องกลับด้วย”
    “แต่ฉันยังบริหารงานที่โรงแรมสาขากรุงเทพไม่สะใจเลย”  ตะวันพูด
    “ยังไงก็ต้องกลับ เธอไปบริหารต่อที่สาขาในเมืองกาญจน์ละกัน”  พิมพ์พูด  “พรุ่งนี้ฉันจะกลับไปเยี่ยมคุณพ่อกับคุณแม่ที่บ้านไร่ แล้วฉันก็มีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับร่างของเธอด้วย”
    “ก็ได้ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เดี๋ยวไปบริหารต่อที่สาขาในเมืองกาญจน์ก็ได้ จะได้กลับบ้านด้วย”
    ตะวันมีห้องส่วนตัวอยู่ในโรงแรมทุกสาขา เพราะเธอต้องทำงานตามสาขาต่างๆที่มีปัญหา จังหวัดโน้นมีปัญหาที เธอก็ต้องเดินทางไปจัดการงาน เดินทางไปๆมาๆระหว่างจังหวัด ตอนนี้มีอยู่ 8 สาขา กาญจนบุรี กรุงเทพ เชียงใหม่  พัทธยา  เมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส  เมืองหลวงประเทศจีน  เมืองหลวงประเทศญี่ปุ่น  เมืองหลวง
ของประเทศรัฐเซีย    แต่ถึงกระนั้นพิมพ์ก็ยังอดห่วงไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานของเธอกับฮายาโตะ
    “ตะวัน พิมพ์มีเรื่องจะบอก”  พิมพ์บอกตะวัน ที่กำลังหวีผมเตรียมตัวนอน คืนนี้ทั้งสองนอนห้องเดียวกัน
    “สมัยที่พิมพ์ไปเรียนที่อเมริกา พิมพ์พบผู้ชายคนหนึ่ง เรียนโรงเรียนเดียวกัน เขาอายุมากกว่า 2 ปี  พักอยู่หอเดียวกัน ห้องอยู่ฝั่ง
ตรงข้ามกัน เจอกันทุกเช้า ตอนที่พิมพ์ไม่สบายก็ได้เขามาคอยดูแล เขานิสัยดี หล่อ หุ่นดี ฐานะดี เป็นถึงสถาปนิกของประเทศญี่ปุ่น มีกิจการโรงแรมที่กำลังไปรุ่งโรจน์ คบกันมานาน ตั้งแต่เรียนปริญญาปีแรก จนพิมพ์เรียนจบ จนพิมพ์ทำงานมาปีหนึ่ง เขาชื่อ ฮายาโตะ ซึมุโระ”
    “ฉันรู้จัก เขาดังจะตาย น่าจะไปเป็นนายแบบ แทนที่จะเป็นสถาปนิกกับนักธุระกิจ”  ตะวันพูดโต้ตอบ
    “เขาขอฉันแต่งงาน” 
    “จริงเหรอ”  ตะวันตะโกน  “เขาขอเธอแต่งงานจริงๆเหรอ วันไหน เมื่อไหร่”
   
                “เขาขอฉันแต่งงาน ฉันบอกเขาไปว่า ต้องบอกทางบ้านที่อยู่เมืองไทยก่อน แล้วก็เพื่อความสบายใจของเขา คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ใช่คนเข้มงวด จะทำอะไรก็ต้องบอกท่านทั้งสอง รับรองไม่มีปัญหา ฉันไปคนเดียวได้ ยังไม่ต้องให้เขามาที่เมืองไทยด้วยหรอก ไว้ให้ท่านทั้งสองอณุญาติก่อนแล้วค่อยให้ฮายาโตะซังขึ้นเครื่องบินมา” 
    “โอ้ว พระเจ้าช่วย”  ตะวันเริ่มเพ้อรำพัน  “ความรักของเธอในที่สุดก็งอกงาม”
    “นี่มันเรื่องเครียดนะตะวัน”  พิมพ์พูด
    “เครียดตรงไหน ไม่มีอะไรที่ต้องเครียดสักนิด”
    “ก็ตรงที่ว่า นี่มันร่างของเธอยังไงละ”  พิมพ์พูด ตะวันหุบยิ้มทันที  “ฉันเคยเล่าเรื่องการสลับร่างของเราสองคนให้ฮายาโตะซังฟังแล้วด้วย”
    “เขาเชื่อไหมละ”  ตะวันถามหน้าบึ้ง
    “ตอนแรกไม่เชื่อ จนกระทั่งเขาเรียนจบแล้วงานสังคมคนไฮโซก็ถูกจัดที่ประเทศญี่ปุ่น มีแต่ผู้บริหารเกี่ยวกับการโรงแรมมารวมตัวกัน ฮายาโตะซังก็ไปร่วมงาน เธอก็ไปร่วมงาน ฮายาโตะซังไปถามเลขาของเธอเกี่ยวกับอุบัติเหตุเมื่อ 8 ปีที่แล้ว  ว่าเกิดขึ้นได้ยังไงแล้วคนที่ขับรถชนเป็นใคร แล้วหลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น เธอเปลี่ยนไปมากไหม  และเขาก็ได้คำตอบทุกอย่างทุกเรื่องที่ถาม เขาก็เลยเชื่อขึ้นมานิดนึ่ง”
    “เราสองคนคงไม่มีโอกาสได้กลับร่างเดิมกันแล้วละ”  ตะวันพูดและล้มตัวลงนอน  “แปดปีเต็มๆกับการรอคอย แปดปีเต็มๆที่พวกเราเฝ้าภาวนาและทำทุกวิถีทาง แต่มันก็สูญเปล่า”
    “ตะวัน”  พิมพ์หลุดปากอย่างไม่ตั้งใจ
    “เธอแต่งงานกับฮายาโตะซังเถอะ ช่วยทำให้พ่อกับแม่ของฉันปลื้มใจกับลูกคนนี้สักหนหนึ่งเถอะ จากที่เธอเล่าให้ฉันฟัง ท่าทางเขาจะเป็นคนดี เพอเฟ็กทุกอย่างเลยไม่ใช่เหรอไง ร่างนั้นฉันยกให้เธอ ส่วนร่างนี้เธอยกให้ฉัน นับตั้งแต่วันที่เรียบจบมัธยมปลาย ทั้งชีวิตและร่างก็เป็นของเธอไปนานแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาขออณุญาติฉันหรอก มันเป็นของเธอมาตั้งนานแล้วพิมพ์” 
    “ขอบใจนะตะวัน”  พิมพ์พูด
    “ฉันก็ขอบใจเธอเหมือนกัน ที่ยกผู้ชายดีๆอย่างเอ็มให้กับฉัน”
    ทั้งสองคนข่มตาหลับในความมืดนั้น ใบหน้าที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของทั้งสองคนปรากฏอยู่ในความมืด คืนนี้คงเป็นคืนที่มีความสุขพอๆกันทั้งสองคน เพื่อนรักจะได้แต่งงาน เป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่กระนั้นอุปสรรค์ที่สวรรค์ส่งมาพิสูจน์ความรักของคนทั้งสี่ยังไม่จบลงเพียงเท่านี้แน่  ยังไม่จบแค่คำว่าแต่งงานแน่ ยังมีต่ออีกนะ
    เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งสองตื่นสายน่าดูทีเดียวละ รีบอาบน้ำแต่งตัวจัดทรงผมให้เข้าที่ พิมพ์ผกาไว้ผมยาว จนถึงเอว
เป็นผมที่ยาวมาก และซอยหน้านิดหน่อย ผมตรงสีดำเข้ม นี่คือผมของร่างพิมพ์ผกา ส่วนผมของร่างพิศตะวัน สีน้ำตาลเข้มออกแดงๆ ไว้ยาวประมาณกลางหลัง ระหว่างที่พิมพ์ผกาอยู่ในร่างของพิศตะวันเธอจึงหมั่นไปทำสปาร์โคลน  (การหมักผมด้วยโคลนที่อุดมด้วยคุณค่าทางธรรมชาติ ทำให้ผมมีน้ำหนัก เงางาม) ซอยสั้นที่หน้าผาก สไลด์ลงมาจนถึงปลายผม ด้วยความต่างของผม ผมของร่างพิศตะวันดูจะรักษายากมากกว่าร่างของพิมพ์ผกา เพราะผมของพิมพ์ผกา ยาวและตรงมาก (เหมือนผมอาจารย์ มนันยา ของหมวดคอม) ส่วนผมของพิศตะวันไม่มีน้ำหนัก แถม
ยังไม่ค่อยจะตรงอีก ช่วงที่อยู่ในร่างนี้พิมพ์จึงต้อง อบไอน้ำ สปาร์โคลน หมักผม พิมพ์พยายามที่จะหลีกเลี่ยงการหนีบ และการใช้น้ำยายืดผม เพราะจะทำให้ผมแห้งเหมือนไม้กวาด และหยาบกระด้าง ในเมื่อเจ้าของคนเดิมของเขา
รักษามาได้ขนาดนี้ ถ้าพิมพ์มาทำเสีย ตะวันรู้เข้าเธอคงจะเสียใจน่าดู เพราะช่วงแรกๆที่พิมพ์ออกจากโรงพยาบาล เธอค่อนข้างลำบากใจกับทรงผมของตะวัน เธอจึงหนีบผม ผลที่ออกมาคือ หนีบแล้วก็ฟูกลับทรงเดิมภายในเวลา
10 นาที  เดือนหนึ่งหลังจากหนีบผม ผมของตะวันแตกปลายจนเห็นได้ชัด  พิมพ์จึงตัดสินใจเลิกหนีบผม แล้วเข้าร้านใช้น้ำยายืด ยี่ห้อดี  มันก็ตรงดี เพียงแต่ผมของตะวันแห้งและหยาบเหมือนไม้กวาดไม่มีผิด เธอพยายามรักษาผมที่แตกปลายและหยาบกระด้างนี้ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมอยู่นาน ผลสุดท้ายจึงต้องตัดผมส่วนที่แตกปลายทิ้ง และเริ่มรักษาผมใหม่ ตั้งแต่รากผมจรดปลาย จนทุกวันนี้มันตรง และมีน้ำหนัก
ส่วนพิศตะวันอยู่ในร่างของพิมพ์ผกาจึงไม่ค่อยหนักใจเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ที่ผ่านมาก็มีแต่เรื่องน้ำหนักนี่ละที่น่าห่วงที่สุด ร่างกายของคนเรามันต่างกันนี่ ร่างตะวัน กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน คงสภาพเดิม ถ้าเริ่มอ้วนก็ลดซะ ทุกอย่างจบอยู่แค่เข้าฟิตเน็ต แต่ร่างของพิมพ์สุดแสนจะอ้วนง่าย วันแรกที่เธอไปปาร์ตี้ด้วยร่างของพิมพ์เธอเผลอกินทุกอย่างในงาน กลับมาถึงบ้านปรากฏว่าหน้าท้องโผล่มาแล้ว แถมเวลาน้ำหนักขึ้นแล้วยังลดยากเหลือเกิน โคตรพ่อโคตรแม่ยากเลยละ เข้าฟิตเน็ตแล้ว ว่ายน้ำแล้ว อดอาหารก็แล้ว น้ำหนักยังไม่ลดเลย สุดท้ายเลยต้องกินยาลดความอ้วน เพื่อที่จะให้นำหนักลงตามที่ต้องการ  ตะวันจึงรู้หลักในการกินอาหาร ต้องรู้จักหยุดปากไว้บ้าง ส่วนเรื่องผมนะ
เหรอ  เจ้าตัวเขาผมยาวสลวยอยู่แล้วไม่ต้องไปทำอะไร แค่หมั่นไปอบผมด้วยไอน้ำสักเดือนละครั้ง ใช้ยาสระผมและครีมนวดที่ทะนุถนอมผมหน่อยก็พอแล้ว ผมไม่หนาไม่บางกำลังพอดี ผมยาวตรง  สีดำเข้ม ขอย้ำว่าเข้มมากๆ  แถมผมยังมีน้ำหนัก จะทำทรงอะไรก็ง่าย ต่างกับผมจริงๆของเธอ ที่เวลาจะทำทรงอะไรก็ยาก แถมผมยังบางอยู่ด้วย ถ้าดูแลไม่ดีเดี๋ยวจะล่วงหมดหัว มันก็ดีกันคนละแบบ
    ทั้งสองขับรถและมุ่งหน้าไปยังจังหวัดกาญจนบุรี เริ่มแรกคงต้องแวะบ้าน อินทร์สังวร ก่อน เมื่อไปถึงที่บ้านทำให้พิมพ์นึกถึงเรื่องอะไรมากมายหลายอย่าง อย่างเช่นตอนที่เรียนมัธยมต้น เธอเผลอเรียกชื่อจริงของกันและกันออกไปตอนที่พิมพ์กับตะวันมาค้างบ้าน อินทร์สังวรหลังนี้ เธอทั้งสองจึงโกหกพ่อกับแม่ว่า ถ้าเป็นเพื่อนรักกันแล้วไม่อยากจากกัน ก็ให้เรียกชื่อสลับกัน มันเป็นเคล็ดของคนเกาหลี
    “สวัสดีค่ะคุณแม่”  ตะวันโผลเข้ากอดแม่ของพิมพ์  “คิดถึงแม่จังเลย”  ตะวันรักแม่คนนี้เสมือนแม่แท้ๆ พวกเธอต้องสลับกันทุกอย่าง ทั้งพ่อทั้งแม่ เพราะฉะนั้นทำใจซะเวลาเห็นภาพแบบนี้
    “สวัสดีค่ะแม่”  พิมพ์กล่าวสวัสดี  “ไม่เจอกันตั้งนาน คุณแม่ดูไม่เปลี่ยนไปเลยนะค่ะ”
    “อยู่ใกล้มือหมอก็แบบนี้แหล่ะจ๊ะ”  คุณแม่พูด  “หน้าเหี่ยวก็ให้หมอดึง จมูกไม่สวยก็ให้หมอทำ ยิ่งอายุมากก็ยิ่งใช้เงินมาก ยิ่งต้องเข้าสังคมมากกว่าตอนสาวๆซะอีก”
    “หนูซื้อของมาฝากคุณแม่ด้วยละค่ะ”  พิมพ์พูด  “ให้สาวใช้ถือเข้าบ้านไปแล้วละค่ะ”
    “ขอบใจจ๊ะลูก ไปอยู่เมืองนอกตั้งนานยังไม่ลืมแม่อีก”  แม่บอก  “ตามสบายนะ ถือซะว่าเป็นบ้านตัวเองละกัน เดี๋ยวแม่ต้องไปออกงานเปิดตัวรถอีก”  แม่พูดเสร็จก็เดินขึ้นรถไป ตะวันและพิมพ์โบกมือให้โชคดี
    “ทำใจได้ยัง เพื่อน”  ตะวันพูด
    “ทำใจได้ตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว”  พิมพ์พูดและเดินเข้าบ้าน
      “รู้แล้วโว้ย เข้าบ้านกันเถอะ”  ตะวันพูดและดึงมือพิมพ์เข้าบ้าน
    ทั้งสองเข้ามาในห้องและปิดประตูล็อคห้องอย่างแน่นหนา ห้องนอนห้องนี้เป็นห้องเก็บเสียงจึงไม่ต้องกลัวว่าใครจะแอบฟัง “แล้วแกจะเอายังไงวะ คนที่บ้านข้ายิ่งไม่ค่อยชอบคนต่างชาติอยู่ด้วย”  สำเนียงเพื่อนเริ่มออก
    “ก็ยังไม่รู้เลย”  พิมพ์ตอบ  “ข้าอยู่กับพวกเขามานาน  นานจนพอจะรู้ว่าเขาไม่ค่อยชอบชาวต่างชาติ ลำพังพ่อกับแม่ไม่มีปัญหา ติดอยู่แค่คนที่บ้าน พวกพี่อิ่ม พี่ปูน พี่เบิ้ม พี่เอิบ กูไม่รู้จะทำยังไงดีวะ ถ้าเกิดพวกเขาอยากจะขอทดสอบฮายาโตะซัง จะโดนอะไรบ้างก็ยังไม่รู้”
    “น่าเห็นใจแกวะพิมพ์”  ตะวันพูดและโน้มตัวลงนอน เนื่องจากขับรถมาไกล เธอทั้งสองจึงนอนคุยกัน เปิดแอร์ให้ชุ่มฉ่ำ ในห้องทำไฟแสงสีฟ้าๆ ทำให้ดูเหมือนตอนกลางคืน  “ความรักกำลังจะผลิบาน ไม่ทันไรก็จะร่วงโรยซะแล้ว เพื่อนเรา”
    “ผลิบานนะใช่ แต่ยังไม่ร่วงโรยโว้ย”  พิมพ์ตอบกลับ  “เอาเถอะวันนี้พักผ่อนกันก่อน ตอนเย็นๆค่อยไปค้างที่บ้านไร่วะ”
    “ก็ดีเหมือนกัน อยากจะรู้เหมือนกันว่าพ่อกับแม่เป็นไงบ้าง ไปค้างบ้านไร่สักสองคืนละกัน”  ตะวันบอก
    ทั้งสองหลับตาลง และหลับไป ไม่ถึง 10 นาที เสียงโทรศัพท์มือถือของตะวันก็ดังขึ้น “สวัสดีค่ะ”  เธอรับโทรศัพท์โดยไม่ดูว่าใครโทรมา และไม่สนใจด้วย
    “พิมพ์อยู่ไหน ผมตามหาคุณจนทั่วกรุงเทพไปหมดเลยรู้ไหม”  เสียงของเอ็ม เนื่องจากในห้องเงียบมากจึงได้ยินเสียงโทรศัพท์  “เขาบอกว่าคุณขับรถออกไปไหนกับใครก็ไม่รู้ตั้งแต่เช้า แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย”
    “พิมพ์อยู่บ้าน”  ตะวันตอบ  “แล้วพิมพ์ก็ขับรถมากับตะวันเพื่อนเก่าด้วย”
    “ตะวัน? ตะวันไหน”  เสียงเอ็มถาม
    “พิศตะวัน กลิ่นสาระ ที่เคยขับรถชนพิมพ์เมื่อแปดปีก่อนไง”  ตะวันตอบ
    “คิดว่าใครที่แท้ก็เพื่อนเก่า”  เอ็มตอบ  “คราวหน้าจะไปไหนก็โทรบอกผมบ้างนะ อย่าปล่อยให้ผมนั่งคอยเป็นไอ้โง่ที่ร้านอาหารแบบนี้”
    “จริงด้วย พิมพ์ลืมไปเลยว่านัดเอ็มไว้ที่ร้านอาหาร”  ตะวันตอบ  “พิมพ์ขอโทษจริงๆ”
    “ไม่เป็นไร ตะวันเขาอุส่ากลับมาจากเมืองนอกทั้งที มันเรื่องด่วนที่ช่วยไม่ได้นี่”  เอ็มตอบและวางสายไป
    “น่ารักจริงๆเลยพ่อคนนี้”  ตะวันพูดพลางมองโทรศัพท์
    ตะวันล้มตัวลงนอนต่อ และแล้วเวลาก็ผ่านไปจนถึงช่วงเย็น พวกเธอทั้งสองตื่นขึ้นอย่างรีบร้อน ตะวันรีบจัดกระเป๋าเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไปค้างที่บ้านไร่ แต่จากสภาพที่เห็นคงไม่ใช่การจัดกระเป๋าแล้วละมั้ง คงจะต้องเรียกว่า การยัดใส่กระเป๋ามากกว่า เพราะตะวันเอาเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าโดยไม่จัด ไม่พับ เข้ากระเป๋า และเธอหันหน้ามาหาพิมพ์ผกาที่เตรียมพร้อมมานานแล้ว  พร้อมกับพูดว่า
    “เรียบร้อย เตรียมพร้อมเดินทาง”  ตะวันพูด และทั้งสองเดินลงไปยังชั้นล่าง ไหว้คุณพ่อคุณแม่ เสร็จก็ขึ้นรถ ปิดประทุนเสร็จก็ออกเดินทาง
    “มึงไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้”  พิมพ์บอกตะวัน  “บ้านมันไม่หนีไปไหนหรอก”
    “ก็กี่ปีแล้วละที่ไม่ได้กลับบ้าน”  ตะวันบอก  “คนมันคิดถึงนี่หว่า”
    และแล้วทั้งสองก็เดินทางข้ามอำเภอเพื่อกลับบ้านไร่ ทางระหว่างกลับรู้สึกถึงบรรยากาศเก่าๆยังไงไม่รู้ พิมพ์กับตะวันผลัดกันขับรถเป็นช่วงๆ
    “ผ่านสี่แยกไฟแดงนี้ก็จะถึงบ้านแล้ว”  พิมพ์บอกตะวัน ตอนนี้ตะวันขับรถ
    “รู้หรอกน่า”  ตะวันพูด
    “ก็คิดว่าลืม”  พิมพ์บอก
    “ไม่มีทางลืมเด็ดขาด ทางสายนี้”  ตะวันพูดและหันมายิ้มให้ และแล้วไฟที่อยู่ข้างหน้าก็แดง
    “ตะวันไฟแดง”  พิมพ์บอก
    “ฉันรู้”  ตะวันสวนกลับ  “แต่นี่มันดึกแล้วไม่มีรถผ่านมาหรอก”
    “อย่าประมาทนะตะวัน หยุดรถเดี๋ยวนี้”
    “หยุดไม่ได้แล้ว”  เธอเหยียบเบรกดังสนั่นถนน รถหมุนติ้วไม่เป็นโล้เป็นพราย และรถก็ไปหยุดอยู่กลางถนน และกลางสี่แยกไฟแดง ลองนึกสภาพดูละกัน กลางสี่แยกไฟแดงมันอันตรายขนาดไหน
    “เป็นเรื่องจนได้”  พิมพ์พูด  “มานี่ฉันขับเอง” เธอหันมองตะวัน
    เนื่องจากตะวันไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยเวลาเบรกจึงทำให้ทรงตัวไม่อยู่ มีเลือดไหล ท่าทางตะวันจะหัวแตก แต่พิมพ์ไม่เป็นอะไรแม้แต่นิดเดียว พิมพ์พยายามปลดเข็มขัดนิรภัยออก แต่ท่าทางรถคันนี้จะล็อคอัตโนมัติ  (เป็นธรรมดาที่รถนำเข้าจากเมืองนอกเวลาเกิดอุบัติเหตุขึ้นจะล็อคอัตโนมัติ ล็อคประตู ล็อคเข็มขัดนิรภัย เป็นต้น) พิมพ์จึงดึงเข็มขัดให้ห่างจากตัวและรอดตัวออกไป เข็มขัดนิรภัยไม่ได้ล็อคแน่นขนาดที่จะรอดตัวออกไปไม่ได้  แต่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว มีรถสิบล้อคันหนึ่ง ท่าทางคนขับจะหลับในซะด้วย ขับพุ่งตรงมาทางเธอ พิมพ์ทำอะไรไม่ถูก จนสุดท้ายเธอ เอาลำตัวออกจากเข็มขัดนิรภัยได้  กำลังจะเปิดประตูรถเพื่อวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต เสียดายที่สวรรค์ไม่เข้าข้าง รถสิบล้อคันนั้นขับรถอัดรถของตะวันไปบดกับกำแพงโรงเรียนที่อยู่ข้างๆสี่แยกไฟแดง จะอธิบายง่ายๆ คือ
รถสิบล้อขับมาด้วยความเร็ว120 และหลับใน ฝ่าไฟแดง ส่วนรถของตะวัน ตะวันสลบคาพวงมาลัย รถโดนรถสิบล้อบี้ไปจนติดกำแพง โดยที่เธอนั่งอยู่ในรถ รถสิบล้อบี้รถของตะวันเกือบแหลก ตะวันถูกดันไปจนติดกำแพง
ส่วนทางพิมพ์โดนรถสิบล้อชนเข้าอย่างจัง ประตูเบียดเข้ามาทางลำตัว บาดเจ็บหนัก  ทางที่พิมพ์นั่งคือทางที่รถสิบล้อชน ทางที่บดบี้ติดกำแพงคือทางของตะวัน ทั้งสองต่างบาดเจ็บเกือบตายทั้งคู่
    ทั้งสองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง สายลมอ่อนๆพัดเข้ามาทางหน้าต่าง แสงไฟสีแดงสว่างโล่อยู่ทั่วห้อง ตะวันค่อยๆลืมตาตื่น ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่ดมจากกลิ่นและบรรยากาศแวดล้อมแล้ว ท่าทางที่นี่คงจะเป็นโรงพยาบาล
มันเกิดอะไรขึ้น?  แล้วพิมพ์ละ?  แล้วใครช่วยเธอออกมาจากอุบัติเหตุ?  แล้วจะทำยังไงต่อละ?  เกิดคำถามขึ้นในใจของตะวันมากมาย ตอนนี้เธอแทบจะขยับตัวไม่ได้เลย เธอลองมองๆดูแล้ว แขนข้างซ้ายหัก ขาซ้ายหัก  เธอรู้สึกเหมือนมีผ้าอะไรสักอย่างมาปิดที่ตาของเธอข้างขวา เธอรู้สึกปวดหัวนิดๆ เธอพยายามลุกแต่ไม่สำเร็จ นางพยาบาลจึงวิ่งเข้ามาช่วย แต่ยังไม่ให้เธอลุก เขาเทน้ำใส่แก้วมาให้ตะวันดื่ม
ล
    “รู้สึกอย่างไงบ้างค่ะ”  นางพยาบาลถาม
    “ปวดหัว ปวดแขนขา แล้วก็ลำตัวด้วยค่ะ”  ตะวันตอบ
    “คุณพิศตะวันไม่ต้องห่วงนะค่ะ นี่เป็นอาการธรรมดาที่คนเพิ่งประสบอุบัติเหตุเป็นกันค่ะ”  เธอยิ้มหวาน และพูดต่อ  “คุณแค่แขนซ้ายหัก ขาซ้ายหัก กระจกรถก็แตกมากระเด็นใส่ตาคุณนิดหน่อย เดี๋ยวก็หายค่ะ”
    “ฉันจะไม่ตาบอดใช่มั้ยค่ะ”  ตะวันถามนางพยาบาล
    “แค่เศษกระจกกระเด็นเข้าตาไม่ทำให้ตาบอดหรอกค่ะ วางใจได้”  นางพยาบาลตอบและเดินออกไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น