ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ช่องว่างระหว่างเพื่อน
ก่อนอื่นจะต้องขอเกริ่นเรื่องไว้ก่อนเลย ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง เป็นโรงเรียนเอกชน เปิดสอนตั้งแต่ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย  สรุปสั้นๆคือ มีตั้งแต่ ม.1 ม.6  เรื่องที่จะเล่าในต่อไปนี้เกี่ยวกับกลุ่มเด็ก ซึ่งหลายๆคนคงจะต้องมีเรื่องราวแบบนี้แน่ เกี่ยวกับการแบ่งกลุ่มในห้องเรียน กลุ่มแรกคือกลุ่มเด็ก Popular กลุ่มนี้ในโรงเรียนถือว่าเป็นที่รู้จัก จะอธิบายยังไงดีละ เกี่ยวกับเด็กกลุ่มนี้ในเรื่องนี้ เป็นกลุ่มเด็กที่มีทั้งฐานะรวย กลาง และจน หัวดี หัวปานกลาง โง่  สูง เตี้ย สวย ไม่สวย น่ารัก น่าตบแต่เด็กกลุ่มนี้จะค่อนข้างรักเรียนหน่อย ชอบคบค้าสมาคมกันในโรงเรียน และนอกโรงเรียน รู้จักเด็กนักเรียนโรงเรียนโน้นโรงเรียนนี้ (เฉพาะพวกนักเรียน ที่หล่อๆ สวยๆ) วันๆจะคุยกันแต่เรื่องแฟชั่น (แฟชั่นวัยรุ่น ไม่แพง ชอบถูกๆ แต่แต่งตัวให้ทันยุค) เด็กกลุ่มนี้กล้าแสดงออกในทางที่ดี มีความคิด มีไอเดียสร้างสรรค์ ชอบอะไรใหม่ๆ เป็นเด็กกิจกรรม
    รองลงมาคือกลุ่มเด็กไฮโซ เด็กกลุ่มนี้ ฐานะทางบ้านจะรวย ชอบเข้าสังคม แต่ไม่ใช่สังคมในเด็กวัยเดียวกัน ฐานะเดียวกัน แต่จะชอบเข้าสังคมที่มีแต่พวกคุณหญิงคุณนาย คุยกันแต่เรื่องข่าววงใน พูดง่ายๆคือข่าวในสังคม
ไฮโซ  เด็กกลุ่มนี้ไม่สนใจเรื่องการเรียนสักเท่าไหร่ ไม่ค่อยคบคนที่ต่ำต้อยกว่า เวลาว่างจะคุยกันแต่เรื่องแฟชั่น
(แฟชั่นราคาแพง ของยี่ห้อดังๆ  เครื่องประดับราคาไม่ต่ำกว่าพันบาท) เด็กกลุ่มนี้จะค่อนข้างเข้ากับเด็กกลุ่มอื่นได้ยาก จัดลำดับว่ายากมากๆ เพราะการเลี้ยงดูที่เลี้ยงมาแบบคุณหนูที่แสนจะเอาแต่ใจ  การใช้เงิน หลังโรงเรียนเลิกก็จะเดินไปซื้อของที่มีราคาแพง  เรื่องที่จะคุยกัน การที่จะคุยถึงคนคนหนึ่ง อะไรๆก็แตกต่างไปจากเพื่อนๆกลุ่มอื่นในห้อง ทุกสิ่งทุกอย่าง ดูจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้ไปซะหมด
    อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มเด็กเที่ยว เด็กกลุ่มนี้ไม่ค่อยมีอะไรมาก เต็มที่ก็แค่คุยแต่เรื่องผู้ชาย พูดเรื่องการแต่งตัวให้ดูยั่วยวน เรื่องอะไรก็ได้ที่ไม่เกี่ยวกับการเรียน เรื่องอะไรก็ได้ที่ไม่เกี่ยวกับป้ายราคาที่แพงแสนแพง เด็กกลุ่มนี้ชอบโดดเรียน ร้ายที่สุดคงจะเป็นการแต่งงานทั้งที่ยังเรียนไม่จบ พูดง่ายๆคือใจแตก
    กลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มเด็กเรียน  เด็กพวกนี้มีหลายระดับ ตั้งแต่ระดับ จน กลาง จนถึงรวย คนกลุ่มนี้ไม่มีอะไรมาก วันๆเอาแต่เรียน ไม่สนใจเรื่องแต่งตัว ไม่สนใจแฟชั่น เรียน เรียน และเรียนอย่างเดียว อะไรที่ไม่มีคะแนนมาล่อตาล่อใจ อย่าหวังว่าจะยอมทำให้ เด็กพวกนี้จะรักเฉพาะกลุ่มของตัวเอง ไม่ค่อยแคร์ใคร ไม่ยอมให้ใครมาข่มง่ายๆ ฉลาด เวลาว่างจะติวหนังสือกัน ถ้ามีคำถามมาถาม ถ้าไม่ใช่คำถามที่เกี่ยวกับการเรียน อย่าได้มาถามพวกนี้เชียว เดี๋ยวจะถูกด่ากลับ
    ที่นี่คือโรงเรียนสตรีล้วนประจำจังหวัดกาญจนบุรี  นับตั้งแต่วันที่เข้ามาเรียนที่นี่ก็ปาเข้าไป 3 ปีแล้ว
ตอนนี้ห้องของเธอเรียนอยู่ ที่ ม.3/5 เป็นห้องที่ค่อยข้างจะเงียบมากที่สุดในบรรดา11ห้อง พิมพ์ผกา แหงนมองดูดาวบนท้องฟ้าก่อนจะโน้มตัวลงนอน ตอนนี้กำลังเข้าค่ายเนตรนารีกันอยู่ คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้เช้าก็จะได้กลับบ้านสักที
    “หลับยังพิมพ์”  เพื่อนที่นอนข้างๆเรียก
    “ยัง”  พิมพ์ตอบ 
    ทั้งสองเบียดตัวเข้ามาใกล้ๆกัน เอาผ้าห่มคลุม เพื่อนเธอเปิดสวิทไฟฉาย พร้อมกับกางหนังสือเล่มหนึ่ง
“ดูนี่ซิ”  เธอพูดและชี้ไปที่หน้าหนังสือ
    “ไปเอามาจากไหน”  พิมพ์ถาม
    “เมื่อเช้าขิมมาเยี่ยม แกก็เลยเอาติดมือมาให้ฉันอ่านด้วย”
    “ทำไมริต้าไม่บอกพิมพ์ตั้งแต่เช้า” 
“มีเวลาซะที่ไหนละ เดี๋ยวเดินป่า เดี๋ยวทำอาหาร เดี๋ยวจัดซุ้มรอบกองไฟ”  ทั้งสองก้มลงอ่านพร้อมๆกัน พิมพ์เงยหน้าขึ้นหลังอ่านเสร็จ  “ไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยบอกสองคนนั่นละกัน ไปเรียกขึ้นมาตอนนี้เดี๋ยวก็โวยวายจนเป็นเรื่องอีก” (หนังสือเกี่ยวกับคนดังประจำเดือน) 
“แล้วโฟมกับหลิงจะไม่โกรธเราเหรอ”  เธอพูด  “ขวัญใจของเขา ตกอับดันไปอยู่ที่5”
“คงไม่โกรธหรอก เพราะถ้าไปเรียกขึ้นมาตอนนี้ เดี๋ยวก็โวยวาย หาว่าปลุกขึ้นมาทำไมกะอีเรื่องนี้ แล้วริต้าก็รู้ ว่าถ้าเสียงดังตอนนี้จะโดนทำโทษ”  พิมพ์พูด
“ ฉันเห็นแสงไฟฉายมาจากทางนี้ใครเป็นคนเปิด”  ครูฝึกผู้หญิงเปิดประตูเข้ามา  “บอกมาเดี๋ยวนี้ก่อนจะโดนทำโทษทั้งห้อง”  เธอเปิดไฟจนในห้องสว่างจ้า (สำหรับคนเพิ่งตื่นจะรู้สึกสว่างมาก)
“นี่มันอะไรกันเนี่ย”  โฟมแหกปากโวยวาย  “คนจะหลับจะนอน เอะอะเสียงดังอยู่ได้ยัยแก่”
“เธอโดนทำโทษ”  ครูฝึกพูด  “วิ่งรอบค่าย30รอบ ไม่กำหนดเวลา”
“เรื่องอะไรฉันจะทำตามที่แกสั่ง”  โฟมเถียงกลับ  “ฉันจะนอน  แกออกไปได้แล้ว”
“ใช่ๆออกไป ออกไป”  ม.3/5 รวมแล้ว50คน พูดเป็นเสียงเดียวกัน
“ห้อง ม.3/5 โดนทำโทษยกห้อง”  เธอยังคงพูดไม่หยุด “วิ่งคนละ30รอบ”
“เรื่องอะไรจะต้องทำ”  มีนา หัวหน้าห้องพูดและล้มตัวลงนอน  เถียงกันอยู่พักใหญ่จนกระทั่งอาจารย์ที่ปรึกษาประจำชั้นเดินเข้ามาและขอร้องให้ทำตามที่ครูฝึกพูด
“นักเรียนค่ะ”  อาจารย์วิภาหรรษา อาจารย์ประจำชั้น พูดด้วยเสียงวิงวอวน  “นี่เป็นกฎของค่ายพักนี้ ทำตามที่ครูฝึกเขาบอกเถอะนะค่ะ”
“เห็นแก่อาจารย์วิภาหรอกน่าถึงทำตามแก ยัยแก่”  โฟมพูดก่อนเดินออกไปวิ่งพร้อมกับคนอื่นๆ
เด็กนักเรียนห้อง ม.3/5 วิ่งกันภายใต้แสงจันทร์ในคืนนั้น เป็นคืนปิดท้ายการเข้าค่ายพักแรมที่แสนจะดุเดือดได้มันส์ถึงอารมณ์ดีซะเหลือเกิน พิมพ์ผกาคิดในใจ เพื่อนๆในห้องต่างวิ่งกันอย่างเหน็ดเหนื่อย วิ่งได้แค่5รอบก็นั่งพักกันเป็นกลุ่มๆ  ก็แหมค่ายพักแรมนี้กินพื้นที่ไปตั้ง10ไร่ ใครจะไปวิ่งรวดเดียว30รอบไหวละ แถมนี่ก็ตี2ด้วย บวกกับการเล่นรอบกองไฟที่แสนจะเหนื่อย  ยังไม่พอแค่นั้น กว่าจะรอบกองไฟเสร็จ กว่าจะปล่อยให้นอน  ก็ปาเข้าไปถึงเที่ยงคืน ได้นอนแค่2ชั่วโมง ก็ถูกทำโทษ
“ฝากไว้ก่อนเถอะยัยแก่”  โฟมพูดขณะที่นั่งพักกันข้างรั้วค่าย  “ฉันกลับบ้านไปเมื่อไหร่จะบอกให้คุณพ่อ ไล่แกออกจากค่ายทหารนี้ซะ”
“หลิงง่วงจังเลย”  หลิงพูดขณะที่ซบไหล่พิมพ์ผกา 
“หลิงเป็นอะไรมากหรือเปล่า”  ริต้าถาม
“เอาสายข้อมือมาดูหน่อย”  พิมพ์ผกาพูดและจับข้อมือหลิงมาดู สิ่งที่ผูกข้อมือมีรูปร่างคล้ายนาฬิกา แต่เป็นสายข้อมือที่บอกถึงระดับน้ำตาล
ในร่างกาย หลิงเป็นโรคเบาหวานจึงจำเป็นต้องผูกสายข้อมือตลอดเวลา
“หลิงดูแล้ว ระดับน้ำตาลปกติ แค่พักผ่อนไม่เพียงพอ”  หลิงพูด
“ปกติบ้าอะไรละ นี่มันพุ่งกระฉูด จนกลายเป็นสีม่วงไปแล้วนะ”  พิมพ์ผกาพูด
“รอเดี๋ยวนะหลิง เดี๋ยวโฟมจะไปตามอาจารย์”  โฟมพูดและวิ่งหายไปในความมืด
“พวกเราวิ่งกันต่อเถอะ เดี๋ยวจะไม่ครบสามสิบรอบ”  มีนาหัวหน้าห้องพูด ด้วยน้ำเสียงห่อเหี่ยว
“มีนา”  พิมพ์ผกาตะโกน
“มีอะไร”  มีนาถาม และวิ่งไปหาตรงที่กลุ่มพิมพ์ผกานั่งอยู่  “หลิงเป็นอะไร”
“เบาหวานกำเริบ”  พิมพ์ผกาตอบ  “ตอนนี้โฟมไปตามอาจารย์”
“แล้วจะให้ฉันทำยังไงละ”  มีนาถาม น้ำเสียงกระวนกระวายทำอะไรไม่ถูก
“ก็อย่าเพิ่งวิ่ง อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน แถวๆรั้วค่ายนี้เปลี่ยวจะตาย จะให้พวกเราอยู่แค่สามคนงั้นเหรอ”  ริต้าตอบ  “เมื่อไหร่โฟมจะกลับมาเนี่ย”
“เป็นภาระคนอื่นซะจริงๆเชียว ยัยพวกคุณหนูเนี่ย”  พิศตะวัน กลุ่มเด็กPopular พูด
“ระวังปากไว้บ้างเถอะพิศตะวัน”  พิมพ์ผกาฉุน 
“ก็แล้วมันจริงไหมละ”  พิศตะวันยังไม่ยอมหยุด  “กะอีแค่เบาหวานขึ้นทำไมจะต้องให้อยู่กันทั้งห้องด้วย”
“พิศตะวัน พวกเราเหนื่อย แถมยังเพลีย การที่ได้โอกาสหยุดพักแบบนี้ก็ดีแล้ว”  นก กลุ่มเด็กเที่ยวพูด
“เผลอๆพวกเราจะได้ไม่ต้องวิ่งต่อกันด้วย”  อีฟ กลุ่มเด็กเที่ยวพูด
“พวกเธอจะไม่มีใครเห็นด้วยกับฉันเลยใช่มั้ย”  พิศตะวันมองค้อน
“ไม่ใช่ยังงั้นสักหน่อย”  นกพูด  “ไม่มีใครเข้าข้างใครทั้งนั้นแหล่ะ แค่เลือกสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดเท่านั้นเอง” 
“นี่แกอย่ามาเถียงเพื่อนข้านะ”  ตั๊ก กลุ่มเด็ก Popular พูด
“ทำไมจะเถียงไม่ได้ ก็เป็นคนเหมือนกัน”  นกสวนกลับ  “ยังไงหลิงก็เป็นเพื่อนร่วมห้องนะโว้ย”
“มันจะเป็นจะตายแล้วมาเกี่ยวอะไรละ”  ตั๊กพูด  “ถ้าแกกล้าว่าเพื่อนข้าอีกคำเดียวเดี๋ยวมึงโดนกูตบแน่”
“หยุดซะทีเถอะ”  มีนาพูด ทุกเสียงสงบลง  “ตั๊ก นกมันพูดถูก ยังไงหลิงก็เป็นเพื่อนเรา พออาจารย์มาเห็นสภาพนี้เข้า พวกเราอาจจะไม่ต้องวิ่งให้ครบสามสิบรอบก็ได้”
“เห็นมะ เห็นมะ”  นกพูดเย้ยตั๊ก 
คืนนั้นจบลงด้วยการที่หลิงถูกหามส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด มีนาหัวเสียที่สุดในคืนนั้น ตั๊กกับนกก็ทะเลาะกันและมองหน้ากันไม่ติดตั้งแต่คืนนั้น ส่วนพิศตะวันปกติจะมาถามเรื่องวิชาภาษาอังกฤษกับกลุ่มของพิมพ์ผกา พักนี้เธอไม่ค่อยจะเข้าใกล้กับกลุ่มเด็กไฮโซอย่างพิมพ์ผกาสักเท่าไหร่ เพราะกลุ่มของพิมพ์ผกาชอบเดินทางไปเที่ยวเมืองนอกอยู่บ่อยๆจึงแน่นเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี และหลังจากเข้าค้ายพักแรมเสร็จเป็นที่เรียบร้อยกลุ่มของนกกับกลุ่มของพิมพ์ผการู้สึกว่าจะสนิทกันมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะยังคงเป็นกลุ่มเด็กไฮโซ และกลุ่มเด็กเที่ยวอยู่เหมือนเดิมก็ตามที
“วันนี้เธอไปนอนบ้านฉันไหมริต้า”  โฟมชวน ตอนนี้โรงเรียนเลิกแล้ว
“ไม่เอาดีกว่า คืนนี้ต้องไปปาร์ตี้กับพี่สาวอีก”  ริต้าตอบ
“หลิงละ”  โฟมชวน
“ไม่ว่างจ๊ะ”
“แล้วพิมพ์ละ ไม่ใช่ว่าไม่ว่างอีกคนนะ”
“เดี๋ยว นั่นอะไร”  พิมพ์พูดและหันไปมอง ที่ร้านคอฟฟี่ช็อป ร้านเล็กๆร้านหนึ่ง
“อุ้ยแย่แน่ๆเลย”  โฟมบอก
“แย่อะไร”  พิมพ์ผกาถาม
“พวกเธอดูภาพที่ไม่สมควรดูนะซิ”  โฟมพูด ซึ้งทุกคนยังสงสัย  “ก็ภาพท็อมกับดี้”
“ยัยพิศตะวันเป็นพวกชอบเพศเดียวกันงั้นเหรอเนี่ย”  ริต้าพูด  “ขยะแขยงยังไงไม่รู้”
“รู้ได้ไง”  หลิงถาม
“ฉันเห็นหลายครั้งแล้ว”  โฟมตอบ  “ยัยนั่นไม่ชอบผู้ชาย แต่ชอบผู้หญิงด้วยกัน ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันนะ ยังไงก็เถอะ ยัยท็อมคนนั้นชื่อฮาย อยู่ห้องสามทับสิบ คบกันมาตั้งนานแล้ว ท่าทางรักกันมากด้วย”
เสียงโทรศัพท์ของพิมพ์ดังขึ้น  “ว่าไง”  เธอทักทาย
“บอกคุณพ่อคุณแม่หรือยังละ”
“ก็ดีเหมือนกัน”
“OK จ๊ะ”  นี่คือประโยคสุดท้าย
“เอ็มสุดหล่อคนนั้นใช่มั้ยละ”  โฟมพูด พิมพ์ผกาหน้าแดง
“แค่คุณพ่อคุณแม่นัดไปทานอาหารที่บ้านแค่นั้นเอง”  เธอตอบ
“จะว่าไปก็คบกันมานานแล้วไม่ใช่เหรอ”  หลิงพูด  “ตั้งหกปีเชียวนะ”
“พิมพ์จริงจังไหมละ”  ริต้าถาม
“จริงจัง ไม่งั้นจะคบกันมาตั้งหกปีเชียวเหรอ”  พิมพ์ผกาตอบ  “ฉันขอตัวกลับก่อนละกัน”
“ใครมารับ”  เพื่อนๆถาม
“ตั้งแต่วันนี้ฉันขอกลับบ้านเอง ไม่ให้ใครมารับ เดี๋ยวจะถูกยัยพิศตะวันด่าว่าเป็นคุณหนู” เธอตอบเพียงสั้นๆและเดินจากไป เพื่อนในตอนนั้นรู้สึกใจหายยังไงไม่รู้ เหมือนกำลังจะสูญเสียเพื่อนๆ
“วันนี้ข้าขอไปนอนบ้านแกนะโฟม”  ริต้าพูด
    “ฉันด้วยนะ”  หลิงพูด
    “ทีฉันชวนละไม่ไป ทำเป็นเล่นตัว”  โฟมพูดและขึ้นรถกลับบ้านด้วยกัน เป็นรถเบ้น สีดำราคาหลายสิบล้านมารอรับคุณหนูๆ
    มาดูทางพิศตะวันกันบ้างละนะ เธอกำลังคุยอยู่กับแฟนสาวอย่างสนุกสนาน พิศตะวันเด็กสาวที่ค่อนข้างเอาแต่ใจ ด้วยความที่เป็นลูกสาวกำนัน จึงไม่เคยยอมใครมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอแตกต่างกับพิมพ์ผกามาก พิมพ์ต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตในสังคมตั้งแต่เล็ก ต้องรู้จักการพูดเพื่อให้ธุระกิจดำเนินไปได้อย่างสะดวก ลองนึกดูละกัน วัยรุ่นสาวที่อายุ15 ต้องใส่ชุดราตรี เดินเข้าไปในงานหรูๆ พูดจาให้เหมือนผู้ใหญ่พูดกัน พยายามทำตัวให้ชินกับงานสังคมพวกนี้ไว้เพราะโตขึ้นต้องดูแลกิจการโรงแรมต่อจากท่านพ่อ ต้องสำรวมกริยาท่าทางถึงแม้ว่าบางครั้งที่คุยกับพวกคุณหญิงคุณนายบางคนจะต้องกระแดะเข้าไว้ก็ตามที ต้องทำตัวไปตามน้ำ พิมพ์ผกาใช้เวลาเพียง3ปี ในการเข้าสังคมพวกนี้ จนตอนนี้พวกผู้ใหญ่บางอยากจะเข้ามาคุยกับเธอเพราะว่าเธอขึ้นชื่อเรื่องการคุย การให้คำปรึกษาด้านธุระกิจ และเธอสามารถคุยกับคนได้ทุกวัย คุยได้ทุกเรื่อง บางครั้งคุณพ่อคุณแม่ติดงานไม่สามารถมางานเลี้ยงได้ ต้องส่งพิมพ์ผกามาเพื่อไม่ให้เสียมารยาท เธอจึงต้องเป็นตัวแทนของโรงแรมพ่อเธอ ออกมากล่าวสุนทพจน์ เซ็นสัญญาธุระกิจ ทำหน้าที่แทนพ่อและแม่ แตกต่างกับพิศตะวัน ที่วันๆเอาแต่เล่นเหมือนเด็ก อยู่ที่โรงเรียนเธอป็อบก็จริง  แต่ถ้าต้องมาเจอเรื่องพวกนี้เข้า พิศตะวันที่แก้ไขได้ทุกสถานการณ์คงต้องยอมจำนน  บางครั้งพิมพ์รู้สึกอิจฉาตะวันบ้าง 
แต่มันก็ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นสักนิด เธอยังคงต้องดำเนินชีวิตไปตามรูปแบบเดิมของเธอ
พิศตะวัน กลิ่นสาระ สาวสวยรวยเสน่ห์ สูง168 ซม. อายุ15ปี เป็นลูกสาวกำนัน เด็กกระโปโลที่ไม่เคยเจอสังคมไฮโซ  ไม่เคยต้องคุยกับคนที่ไม่อยากจะคุย พูดตรงๆ ปากตรงกับใจพิมพ์ผกา อินทร์สังวร  เด็กสาวที่ต้องแบกภาระของครอบครัว สาวสวยที่มีนิสัยและวาจาคำพูดเป็นอาวุธ
สูง166ซม. อายุ15ปี  เป็นที่รู้จักกันในแวดวงไฮโซเป็นอย่างดี ด้วยนิสัยคุยสนุกจึงทำให้คนในสังคมนี้อยากจะรู้จักกับเธอ ธุระกิจการโรงแรมที่ขยายสาขาไปถึงต่างประเทศ ทำให้เธอดังมากในตอนนี้ แต่เพื่อนๆในโรงเรียนไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้ เพราะพวกเขาไม่เคยสนใจวงการนี้
    พิมพ์ผกา ลืมตาตื่นขึ้น พบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่ต้องถามมากหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกว่าตะวันจะขันรถชนเธอ ตอนนี้ที่แขนข้างขวาของเธอเจ็บไปหมดเพราะถูกเข็มน้ำเกลือจิ้มอยู่ เธอมองไปที่ปลายเตียง เธอเห็นป้าแม่บ้านที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เล็ก เธอจึงเรียก
    “ป้าสินค่ะ”  เธอเรียก  ป้าหันมามองและก้มลงอ่านหนังสือนิตยาสารต่อ
    “ป้าสินค่ะ พิมพ์อยากดื่มน้ำผลไม้ค่ะ”  เสียงใครก็ไม่รู้พูด  “ป้าช่วยออกไปซื้อให้หน่อยได้ไหมค่ะ”
    “ได้ค่ะ คุณพิมพ์รอสักครู่นะค่ะ”  ป้าสินตอบเสียงนั้น พิมพ์ผกาหันไปมอง ถึงกับอึ้งเมื่อเห็นร่างของตนเอง
นั่งอยู่บนเตียงข้างๆ
    “หวัดดีพิมพ์ผกา”  ร่างของเธอพูด  “ตกใจมากไหม ตอนแรกที่ฉันฟื้นขึ้นมาฉันก็ตกใจพอๆกับเธอ แต่ก็ต้องเล่นละครทำเป็นว่าจำใครไม่ได้ไปก่อน”
    “เธอเป็นใคร แล้วฉันเป็นใคร”  พิมพ์ผกาพูด อีกฝ่ายลุกลงจากเตียงเดินเข้ามาหา และหยิบกระจกมาให้เธอส่องด้วย
    “ก่อนอื่น  อย่าร้องนะ”  เธอหันกระจกเข้าหาพิมพ์ผกา  “คนที่อยู่ในกระจกนี่คือใคร”
    “พิศตะวัน กลิ่นสาระ”
    “OK  ความจำยังไม่เสื่อม”  เธอพูดและถามต่อ  “แล้วเธอชื่ออะไร เอาชื่อจริงๆของเธอ”
    “พิมพ์ผกา อินทร์สังวร”
    “จำเรื่องของเธอได้ไหม”
    “จำได้ ได้หมดทุกอย่าง”  พิมพ์ตอบ  “แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น เธอเป็นใครทำไมไปอยู่ในร่างของฉัน”
    “ฉันคือพิศตะวัน กลิ่นสาระ สรุปง่ายๆคือเราสลับร่างกัน”  ตะวันตอบ  “ที่นี่คือโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี
พ่อแม่เธอกับพ่อแม่ฉันตกลงกันว่าจะให้อยู่ห้องเดียวกัน และห้องนี้คือห้องคนป่วยคู่ หมอเห็นด้วยที่ให้ใช้ห้องคู่กันเพราะสามารถดูอาการได้
ง่าย เขาบอกอีกว่าถ้าฟื้นขึ้นมาก็จะไม่เอาเรื่องจะถือว่าเจ๋าๆกันไป”
    “เธอขับรถชนฉัน แล้วพ่อแม่เราสองคนก็ตกลงกันว่า ถ้าฟื้นขึ้นมาและหายดีทั้งสองคนก็จะไม่เอาเรื่อง”
    “ใช่”  ตะวันตอบ  “ฉันฟื้นก่อนเธอสองวัน ฉันโกหกว่าความจำเสื่อมในบางเรื่องแต่ร่างกายเธอเนี่ยโดยชนสะบักสะบอมเลยนะ แขนขวาหัก แถมยังโดยเย็บคิ้วอีก”
    “เดี๋ยวก็หายเป็นปกติ”  เธอพูดและเริ่มใจเย็นลง  “แล้วจะทำยังไงให้กลับร่างเดิมละ”
    “ขับรถชนอีกทีดีไหม”  ตะวันพูดเหมือนไม่แคร์  พิมพ์มองตาขวาง  “ล้อเล่น”
    ทั้งสองคนนั่งอธิบายเรื่องส่วนตัวกันอยู่พักใหญ่จนเมื่อป้าสินเข้ามา ตะวันที่อยู่ในร่างพิมพ์ก็สั่งให้ออกไปซื้อโน้นซื้อนี่มาอีก จนแกไม่มีเวลากลับมาที่ห้องของผู้ป่วย คุณหมอพอรู้ว่าคนไข้อีกคนฟื้นก็รีบเข้ามาดูอาการแล้วออกไป หน้าห้องมีบอดี้การ์ด ยืนคุมอยู่หน้าห้อง4คน และแล้วญาติพี่น้องของพิศตะวันก็เข้ามาหา
    “โอ้ว ลูกสาวของพ่อแข็งแรงดีไหม”  พ่อของเธอเป็นกำนันพูดด้วยลีลาที่คึกครื้นและทำลีลาฮิบฮอบ ใส่แขวนเพชรแหวนทองเต็มตัว ที่คอห้อยทองเส้นใหญ่ยังงี้ รูปร่างท้วม สูงประมาณ185ซม. ตะวันบอกว่าเวลาคุยกับพ่อเธอให้คุยเหมือนพูดฮิบฮอบ คุยเหมือนในเพลงฮิบฮอบประมาณนั้น
    “โย่ โย่”  พิมพ์แกล้งพูด  “ไม่เป็นไรค่ะพ่อ ตะวันสบายดี”
    “จริงเหรอ”  พ่อนั่งข้างๆเตียงส่วนคนอื่นๆอีก 4 คนนั่งรอที่โชฟา  “คุณหมอบอกว่าลูกจำอะไรไม่ค่อยได้”
    “ก็บางเรื่องค่ะ”  พิมพ์ตอบ  “หนูเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็บางเรื่องนะค่ะ อย่างน้อยหนูก็จำพ่อได้”
    “เป็นแบบนี้ก็ต้องใช้เวลาละนะ”  พ่อพูด
    “แล้วคุณตะวันกลับบ้านไปอยากกินลาภไหมค่ะ เดี๋ยวหนูจัดให้เด้อค่ะ”  คนนั้นคงเป็นพี่ปูน
    “ลูกสาวฉันเพิ่งหายดี แกจะให้กินลาภเลยเหรอ นั่งปูน”  พ่อกำนันตะเพิด
    พิมพ์นึกในใจว่าดีเหมือนละ เพราะเธอเกลียดลาภ ดูท่าทางบ้านพิศตะวันจะดูเป็นครอบครัวที่ใหญ่มากทีเดียว แตกต่างกับบ้านของเธอ ที่ต้องแบ่งแยกชนชั้น ตะวันเล่าให้พิมพ์ฟังว่า เวลาว่างเธอและคนในบ้านจะใช้ชีวิตอยู่ในสวนมะม่วง ตำส้มตำกัน ทำน้ำปลาหวานกันบ้าง เป็นเมนูที่เกี่ยวกับมะม่วง ท่าทางจะสุขสบายกันเหลือเกิน
พิศตะวันที่รักสนุกต้องมาอยู่ในร่างของเธอจะมีสภาพเป็นยังไงบ้างนะ
   
   
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น