คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : รมตี...รักนี้ต้องโทษกามเทพ #1(แก้ไขตอนใหม่)
# 1
“ ..คืออย่างนี้นะ เรื่องมันมีอยู่ว่า ..”
4 เดือนก่อน....
“โฟร์ท!!! เก็บของเสร็จรึยังเนี่ย? เร็วๆ เข้าจะไปมั้ย!!!” รดาส่งเสียงตะโกนดังมาจากหน้าประตูบ้านส่งผลให้คนที่โดนเรียกรีบหยิบกระเป๋าลงบันไดมาแทบไม่ทัน
“รู้แล้วๆ กำลังจะลงบันไดเนี่ย” รมตีน้องเล็กที่สุดในบ้านตะโกนกลับลงมา
“จะๆๆ อยู่นั้นแหละ ชักช้าจังเลยแกเนี่ย” รดายังไม่วายที่ส่งเสียงบ่นมาเป็นระยะๆ
Honda Jazz สีฟ้าน้ำทะเลคันหรูเคลื่อนที่ทันทีหลังจากที่รมตีวางของใส่หลังรถเรียบร้อยแล้ว โดยรดาเป็นคนขับรถส่วนรตานั่งข้างๆ คนขับ น้องเล็กอย่างรมตีก็แน่นอนว่าจะต้องนั่งด้านหลัง.....การเดินทางครั้งที่สามศรีพี่น้องพร้อมใจกันจะไปเที่ยวชมอยุธยาเมืองเก่า ที่พวกเธอไม่ได้ไปตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่เสีย ครั้งนี้เลยถือโอกาสช่วงวันหยุดยาวไปพักร้อนพร้อมๆ กัน
“พี่เฟร์มแล้วเราจะไปที่ไหนกันก่อนดีละ” รมตีว่าพลางกางแผนที่การท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาขึ้นมาดู
“ไปพระราชวังบางปะอินก่อนดีกว่ามั้ย” รตาพูดขึ้นมาหลังจากที่เงียบไปนาน
“แหม ฉันนึกว่าเธอจะพูดไม่เป็นแล้วนะเฟิร์น” รดาพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ
“เฟร์มนี่ คนอุตส่าห์แนะนำดีๆ” คำพูดเพียงแค่นั้นก็สามารถบรรดาลโทสะให้กับหญิงสาวมิใช่น้อยเลย
“ขอโทษค่ะคุณแม่ ฮ่าๆๆๆ” รดาพูดล้อรตาอย่างอารมณ์ดีก่อนจะหันไปมองที่ถนน
“........”
“เฟิร์นอ่ะ งอนอีกแล้วโฟร์ทแกดูแม่แกดิ่ งอนอีกแล้วว่ะ”
“พี่เฟิร์นขา ง้อๆ นะๆ” รมตีพยายามง้อรตาสุดกำลังแต่ก็รู้ๆ กันอยู่ว่ารตาเป็นพวกโกรธง่ายหายช้า อาการอย่างนี้คงต้องรอไปอีก 2-3 วันแน่นอน
“.........”
“พี่เฟร์มอ่ะแหละ ไปแหย่พี่เฟิร์นทำไม?”
“อ้าว! นี่แกพวกฉันรึเปล่าละเนี่ย”
“ไม่รู้ๆ ว่าแต่จะไปที่ไหนก่อนดี แล้วพระราชวังบางปะอินเนี่ยอยู่ตรงไหนละ” รมตีว่าพลางส่งแผนที่ไปให้รดาดู
“ไหนๆ อยู่ตรงนี้ไง” รดาละจากพวกมาลัยไปชี้จุดบนแผนที่ให้รมตีดู
“O_O!!! เฟร์มระวังรถ!!!!!!” รตาส่งเสียงตะโกนมาหลังจากที่เบื้อนหน้าหันมาดูถนน ทันทีที่สิ้นเสียงตะโกนของรตา รมตีรู้สึกว่าร่างกายของหล่อนโคลงเคลงไปมาก่อนที่จะหมดสติไป รดาพยายามเต็มที่ที่จะปัดพวงมาลัยเพื่อให้รถเบนไปอีกทางหนึ่งแต่ทว่า...ก็สายไปเสียแล้วเพราะรถยนต์พุ่งตกลงไปข้างทางอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่หล่อนจะบังคับพวงมาลัยได้
ตู๊ม!! หลังจากที่รถยนต์พุ่งตกลงไปข้างทางก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมาก่อนที่จะตามมาติดๆ ด้วยเปลวไฟสีแดงฉานที่ช่วยกันโหมกระหน่ำภายในเวลาอันรวดเร็วยิ่งมีลมพัดแรงเท่าไหร่ไฟก็ยิ่งโหมแรงมากขึ้นเท่านั้น
“โอย...เฟิร์น! โฟร์ท! อยู่มั้ยตอบที โอ๊ย!!!” รดารวบรวมสติส่งเสียงเรียกน้องสาวทั้งสองคน หล่อนพยายามจะขยับตัวเพื่อที่ออกไปจากซากรถที่ระเบิดนี้แต่ขาของหล่อนกลับติดอยู่ที่พวงมาลัยเพราะรถยนต์ตกลงมาในสภาพที่ล้อทั้งสี่ชี้ขึ้นฟ้า ซึ่งนับว่าโชคดีแค่ไหนแล้วที่หล่อนไม่ได้คอหักเสียก่อน...
“อยู่...นี่” รตาบอกกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงหลังจากได้ยินเสียงตะโกนของรดา สภาพของหล่อนตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากรดามากมายนัก แขนข้างซ้ายของหล่อนได้หักไปแล้วเรียบร้อยแต่หล่อนก็กัดฟันทนความเจ็บปวดก่อนที่จะเปิดประตูรถยนต์และฝ่ากองเพลิงออกไปด้วยความยากลำบาก
ทางด้านของรดาหล่อนพยายามดึงขาของตนเองออกจากพวงมาลัยอย่างยากเย็นก่อนที่จะใช้แรงที่มีอยู่เกือบทั้งหมดดันประตูรถยนต์ให้เปิดออกแล้วใช้แขนตะเกียกตะกายคลานเพื่อเอาร่างกายของตนเองออกมาจากซากรถยนต์ที่กำลังไหม้ ผู้คนที่มุงดูอยู่แถวนั้นอยู่แถวนั้นก็รีบโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลและรถดับเพลิงกันให้วุ่นเลยทีเดียว
รถดับเพลิงใช้เวลาไม่นานนักในการมาถึงที่เกิดเหตุ ทันทีที่รถจอดพนักงานดับเพลิงจำนวนหนึ่งก็กรูกันเข้าไปในซากรถเพื่อช่วยกันนำร่างไม่ได้สติของรมตีออกมาจากกองเพลิงส่วนพนักงานที่เหลือก็ช่วยกันดับไฟให้มอดลงแต่เพราะลมที่พัดมาอย่างแรงจึงทำให้การดับไฟครั้งนี้เป็นไปอย่างยากลำบาก
เวลาผ่านไปหลังจากที่รถดับเพลิงมาถึงได้ไปมานานรถพยาบาลสีขาว 2 คันก็ตามมาติดๆ เมื่อรถจอดสนิทแล้วบุรุษพยาบาลและนางพยาบาลก็วิ่งลงมาจากรถเพื่อช่วยกันปฐมพยาบาลรดากับรตากันอย่างจ้าละหวั่น ส่วนทางด้านรมตีนั้นได้รับการปฐมพยาบาลขั้นต้นโดยการใส่เครื่องช่วยหายใจก่อนที่จะถูกนำตัวขึ้นรถเพื่อไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลและเมื่อตอนที่พนักงานดับเพลิงนำร่างของรมตีออกมานั้นหญิงสาวก็ไม่หายใจแล้ว อาจจะเป็นเพราะอยู่ในกองไฟนานเกินไปจึงขาดอากาศหายใจก็เป็นไปได้จึงถูกนำตัวไปที่โรงพยาบาลก่อนโดยที่รดากับรตานั้นตามไปติดๆ หลังจากที่ปฐมพยาบาลเสร็จแล้ว
รดากับรตาอยู่ในสภาพที่โทรมพอๆ กันโดยรดาอยู่ในสภาพเข้าเฝือกที่ขาส่วนรตานั่นเข้าเฝือกที่แขน ตามเนื้อตัวภายนอกก็ฟกช้ำและมีแผลถลอกนิดหน่อยเท่านั้น นับว่าแฝดสาวสองคนนี้โชคดีมากที่ไม่เป็นอะไรมากเหมือนรมตี
ซึ่งเมื่อมาถึงโรงพยาบาลรมตีก็ถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินทันที คุณหมอหลายท่านได้เข้ามาช่วยกันยื้อชีวิตรมตีกันอย่างสุดกำลังเพราะเมื่อมาถึงโรงพยาบาลรมตีนั้นไม่หายใจแล้ว แพทย์จึงพยายามฉีดสารต่างๆ เข้าไปเพื่อกระตุ้นให้หัวใจกลับมาเต้นอีกครั้งหนึ่งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จจึงใช้เครื่องปั้มหัวใจช่วยอีกแต่ผลลัพธ์ก็ออกมาเช่นเดิม....
“คุณหมอครับ กราฟหัวใจยังเหมือนเดิมเลยครับ” แพทย์ผู้ช่วยคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นเพิ่มตัวยาเข้าไปอีก 2 เท่า”
“แต่ว่า.....”
“ไม่มีแต่ทั้งนั้น ยังไงเราก็ต้องช่วยเขาให้ได้”
“ครับ” แพทย์ผู้ช่วยคนเดิมรับคำแล้วทิ่มเข็มลงไปตรงบริเวณแขนข้างซ้ายของรมตี
“ลองปั้มหัวใจอีกรอบซิ”
“ครับๆ “ แพทย์ผู้ช่วยอีกคนนำเครื่องปั้มหัวใจมาช็อตตรงบริเวณหัวใจของรมตี ร่างของหญิงสาวลอยขึ้นจากพื้นเตียงและตกลงมาอีกครั้ง แต่การกระทำนั้นก็เหมือนจะไร้ผลเพราะกราฟหัวใจของรมตีก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
“จะเอายังไงดีครับคุณหมอ กราฟหัวใจยังเหมือนเดิมเลยครับ”
“รออีก 5 นาทีแล้วกัน”
“เอ่อ....ครับ” แพทย์ผู้ช่วยรับคำด้วยสีหน้างงๆ พลางคิดในใจว่าจะต้องรอทำไมเวลานี้ความเป็นความตายก็เท่ากัน ช่วยกันยื้อชีวิตมาจนถึงป่านนี้แล้วคนไข้ก็ยังเหมือนเดิม น่าจะเดินออกไปบอกญาติๆ ได้แล้วว่าคนไข้ตายแล้ว จะได้เอาเวลานี้ไปช่วยคนไข้รายอีกดีกว่า
เมื่อเวลาผ่านไปครบ 5 นาทีแพทย์ผู้ช่วยคนเมื่อกี้ก็เปลี่ยนความคิดอคติเมื่อกี้แทบไม่ทันเพราะว่าเส้นกราฟหัวใจของรมตีในจอมอนิเตอร์นั้นค่อยๆเปลี่ยนจากเส้นตรงยาวมาเป็นเส้นที่เริ่มมีรอยหยักและเข้าสู่การเต้นของหัวใจที่ปกติในเวลาต่อมา....
เมื่อรมตีพ้นจากสภาพคนตายแล้วคุณหมอก็ทำการผ่าตัดอวัยวะภายในของรมตีที่ได้รับการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ การช่วยชีวิตของรมตีครั้งนี้ทำเอาทั้งคุณหมอและแพทย์ผู้ช่วยต้องปาดเหงื่อไปตามๆ กันกับการทำให้คนที่ตายไปแล้วฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง จนแพทย์ผู้ช่วยคนนั้นมารู้ภายหลังว่าการฉีดยากระตุ้นการเต้นของหัวใจนั้นต้องฉีดไปในปริมาณที่เหมาะสมและต้องรอเป็นเวลา 3-5 นาทียาจึงจะออกฤทธิ์ การรักษาครั้งนี้ผ่านพ้นไปด้วยดีซึ่งใช้เวลาในการผ่าตัดรวม 6ชม.!
“คุณหมอคะ น้องสาวฉันเป็นยังไงบ้างคะ” รดารีบวิ่งไปหาบุรุษชุดกาวน์ที่เปิดประตูออกมาจากห้องฉุกเฉิน
“ตอนนี้อาการพ้นขีดอันตรายแล้วนะครับ” คุณหมอบอกสีหน้าเครียด
“เฮ้อ~ เฟิร์นน้องพ้นขีดอันตรายแล้ว” รดาได้ยินดังนั้นก็หันกลับไปบอกฝาแฝดของเธอด้วยสีหน้าดีใจและโล่งอก
“จริงป่ะเฟร์ม”
“อื้ม ^ ^” รดาว่า สีหน้าเป็นกังวลเมื่อซักครู่นี้หายไปเป็นปลิดทิ้ง
“แต่ว่า.....”
“แต่อะไรคะคุณหมอก็ไหนบอกว่าน้องฉันพ้นขีดอันตรายแล้วไง” สีหน้าดีใจเมื่อซักครู่ของรดาเลือนหายไปอีกครั้ง
“คือว่าคนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วก็จริงนะครับ แต่ว่าหมอก็ยังไม่ทราบเหมือนกันครับว่าจะฟื้นขึ้นเมื่อไหร่ ยังไงซะช่วงที่รอให้ฟื้นก็คงจะต้องให้คนไข้พักอยู่ที่โรงพยาบาลไปก่อนแล้วกันนะครับ เดี๋ยวเชิญญาติไปติดต่อขอห้องพักที่เคาท์เตอร์เลยนะครับ”
“ค่ะๆ“ รตาเดินตามคุณหมอไปทางเคาท์เตอร์ด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ห้องสีเหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ที่ถูกทาไว้ด้วยสีขาวสะอาดตาสมกับเป็นห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลชื่อดัง หญิงสาวร่างบางนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงที่ปูด้วยผ้าสีขาว ผมดำยาวสยายอยู่บนหมอนสีขาว ใบหน้าของหญิงสาวยามนี้ดูซีดเซียวลงไปมากแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความงามของเธอลดลงเลย ผ้าห่มสีขาวอยู่ดึงขึ้นมาถึงหน้าอก ใบหน้าเรียวยาวได้รูปนั้นเต็มไปด้วยสายยางที่ระโยงระยางเต็มเตียง สีหน้าของเธอช่างดูไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนดังเช่นคนที่นั่งร้องไห้สะอึ้กสะอื้นอยู่ข้างๆ เตียง...
“โฟร์ท ได้ยินพี่มั้ย? พี่ขอโทษนะ เพราะพี่แท้ๆ เลยแกถึงได้มาเป็นแบบนี้อ่ะ พี่ขอโทษนะ” รดายกมือขึ้นปาดน้ำตาป้อยๆ อยู่ข้างๆ เตียง
แอ๊ดดดดด~
“เฟร์มอย่าโทษตัวเองอย่างนั้นดิ่ มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครตั้งใจจะให้มันเกิดขึ้นหรอกถ้าจะมีคนผิดก็ผิดกันทั้งหมดนั่นแหละ” รตาพูดพลางลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ เตียงอีกด้านหนึ่ง
“อื้ม....” สิ้นเสียงของรตาห้องทั้งห้องเกิดความเงียบขึ้น จนบุรุษในชุดขาวก้าวเข้ามาในห้อง ตามมาติดๆ ด้วยนางพยาบาลสาวร่างบาง
“ขอขัดจังหวะนิดนึงนะครับ ขอตรวจคนไข้ซักครู่ครับ” ได้ยินดังนั้นสองแฝดสาวก็เขยิบออกมาเพื่อที่จะใก้คุณหมอตรวจร่างกายรมตีได้อย่างสะดวก
“เป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ” รดาถามสีหน้าเป็นกังวลยังคงไม่จางหายไปจากใบหน้า
“คนไข้ร่างกายปกติดีแล้วครับ ทั้งชีพจรและความดันก็ปกติแล้ว ตอนนี้ผมคงจะต้องให้อาหารทางสายยางและใส่เครื่องช่วยหายใจไปจนกว่าเค้าจะฟื้นนะครับ”
“เอ่อ....แล้วคุณหมอพอจะบอกได้มั้ยคะว่าเค้าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่?” รตาพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“หมอก็ไม่ทราบนะครับ อาการแบบนี้พวกหมอที่เกี่ยวกับจิตแพตท์อาจจะบอกกันได้ว่าจิตออกจากร่างน่ะครับ อาจจะเป็นเพราะช็อคจากอุบัติเหตุซึ่งในข่ายนี้มีเยอะนะครับบางรายก็ฟื้นแต่บางรายก็ไม่ฟื้น ซึ่งเดาได้ยากนะครับว่าตอนนี้จิตของคนไข้พวกนี้ไปอยู่ที่ไหน ส่วนจะฟื้นเวลาไหนนั้น...ก็อาจจะเป็นพรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรืออีกซักอาทิตย์หนึ่งก็ได้นะครับ และก็เป็นไปได้นะครับว่าอาจจะไม่ฟื้นเลย....พูดง่ายๆว่ากลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไปน่ะครับ”
“แล้วตอนนี้ก็เท่ากับว่าตายไปเลยน่ะหรอคะคุณหมอ?” รดาพูดแย้งขึ้นมาหลังจากที่เงียบฟังอยู่นาน
“ก็อาจจะคล้ายๆ กันนะครับ อ้อ....ขอเตือนไว้นะครับ”
“อะไรคะ?” สองแฝดสาวพูดขึ้นมาพร้อมกันด้วยความงุนงง
“คือว่า....คนไข้แบบนี้น่ะครับถ้าจะพูดอะไรที่จะทำให้กระทบกระเทือนถึงจิตใจของคนไข้เนี่ย”
“......?”
“หมอแนะนำว่าน่าจะไปพูดที่อื่นนะครับเพราะว่าเราไม่สามารถรู้ได้ว่าตอนนี้คนไข้หลับไปหรือว่าจิตออกจากร่าง อาจจะเป็นไปได้ว่าคนไข้กำลังอยู่ในห้องนี้แล้วนั่งฟังพวกเราพูดกันอยู่ก็เป็นไปได้นะครับ”
“......!!!” ได้ฟังดังนั้นทั้งสองสาวก็หันมามองหน้ากันพร้อมกับทำสีหน้าตกใจ หากน้องสาวของพวกหล่อนหลับไปก็คงจะดีกว่า เพราะถ้าจิตออกจากร่างเรื่องก็คงจะไม่จบลงง่ายๆ แน่เผลอๆ อาจจหาวิธีเข้าร่างไม่ได้เลยด้วยซ้ำ.....
ร่างโปร่งแสงของรมตีที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ตั้งแต่ต้นได้ยินดังนั้นก็ถึงกับตกใจสุดขีด รมตีวิ่งไปยังเตียงที่มีร่างของหล่อนนอนอยู่ หญิงสาวลองนอนทับร่างของตนเองดูแต่ก็ไม่เป็นผล หล่อนไม่สามารถเข้าร่างของตนเองได้เลย แล้วต่อจากนี้ไปละหล่อนจะทำยังไง หากหล่อนต้องหล่อนไม่สามารถเข้าร่างของตนเองได้ และพี่สาวทั้งสองของหล่อนต่างก็คิดว่าหล่อนตายไปแล้วแล้วนำร่างของหล่อนไปทำพิธีศพล่ะ หล่อนก็คงไม่ต่างไปจากวิญญาณของพวกสัมพเวสีที่เร่ร่อนไปมาไม่มีหลักแหล่งอย่างนั้นหรือ...??? เมื่อคิดได้อย่างนั้นรมตีก็ถึงกับทรุดตัวลงกองกับพื้นร้องไห้ปานจะขาดใจตาย การร้องไห้ครั้งนี้แม้จะดังเพียงใดก็ตามแต่ก็ไม่สามารถทำให้สองแฝดสาวได้ยินเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้สิ่งที่รมตีสามารถทำได้ก็คือรับชะตากรรมของตนเองที่เล่นตลกจนทำให้หล่อนต้องมาทนอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างอะไรกับวิญญาณ...
ตลอดเวลาเกือบ 1 สัปดาห์ที่รมตีต้องทนอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถพูดคุย ติดต่อสื่อสารอะไรกับใครได้เลยแม้แต่การสะกิด เพียงแค่หญิงสาวลองเอามือของตนไปสะกิดไหล่ของรดาที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่นั้นก็ยังทำไม่ได้เพราะผลลัพธ์ที่ตามก็คือมือที่ใสโปร่งแสงของหล่อนนั้นทะลุผ่านไหล่ของรดาไปอย่างง่ายดายราวกับเล่นกล...แม้แต่การก้าวออกไปนอกห้องพักห้องนี้หล่อนก็ยังทำไม่ได้เพราะเพียงแค่หล่อนลองก้าวออกไปจากห้องเพียงก้าวเดียวก็เสมือนว่ามีแรงดึงดูดที่มีพลังมหาศาลดูดหล่อนกลับเข้าไปอยู่ในห้องเช่นเคย จนกระทั่งวันหนึ่ง...รดาเผลอลืมปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้รายการที่กำลังออนแอร์นั้นเป็นรายการที่เกี่ยวกับการฝึกฝนจิตเมื่อรมตีเห็นดังนั้นก็ลองทำตามดู หญิงสาวหวังว่าการกระทำของหล่อนครั้งนี้คงจะพอทำให้การที่จะต้องมาเป็นวิญญาณข้องหล่อนมีสีสันขึ้นมาบ้าง....
เวลาผ่านไปจากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน และเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบๆ 2 เดือนแล้วที่รมตีต้องอยู่ในสภาพที่มีแต่วิญญาณ ซึ่งตอนนี้หญิงสาวก็ทำใจได้แล้วกับการที่จะต้องลอยแทนการเดิน และความพยายามที่จะฝึกฝนจิตของหญิงสาวก็ประสบผลสำเร็จแล้ว ในตอนนี้รมตีสามารถเข้านอกออกในตามห้องต่างๆ ของโรงพยาบาลได้อย่างง่ายดาย
“เฮ้อ ฝึกมาแทบตาย แต่ก็ได้แค่ในโรงพยาบาล.....อ๊ะ! ถ้าเกิดว่าฉันหายตัวไปยังที่ต่างๆ ก็ดีอ่ะดิ่ จะเที่ยวให้มันรอบโลกเลย อิอิอิ” เมื่อความคิดอันบรรเจิดผุดขึ้นมาในสมองมีหรือที่รมตีจะยอมปล่อยให้มันสูญเปล่าไป คิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็รีบกลับไปที่ห้องเพื่อฝึกฝนจิตต่อ
เวลาผ่านไปร่วม 4 เดือนขณะนี้ปริตาสามารถหายตัวไปยังที่ต่างๆ ได้แล้วแต่ก็ได้แค่ในประเทศเท่านั้น...
“เมืองไทยทำไมมันร้อนอย่างนี้เนี้ย....โอย....ร้อนๆๆๆ อยากไปเที่ยวขั้วโลกเหนือจัง” ว่าแล้วรมตีก็หายตัวไปจากห้องพักที่เธออยู่เมื่อซักครู่นี้ทันที
“บรึ๋ย~ ทำไมมันหนาวจังแต่ก็ดีแฮะดีกว่าอยู่ในที่ร้อนๆ อิอิ แต่เอ๊ะ! ขั้วโลกเหนือมันมืดถึงขนาดนี้เลยหรอเนี่ย” ซักพักก็มีแสงสว่างเกิดขึ้นตรงหน้าหญิงสาวพร้อมกับเสียงตะโกนอย่างตกใจ
“เฮ้ย!!! คุณเข้ามาได้ไงอะ” ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งปรากฏตัวต่อหน้ารมตี ใบหน้าหล่อเหลานั้นแสดงอาการตกใจจนเก็บไว้ไม่อยู่
“อะไรอ่ะ นี่คุณเห็นฉันหรอ??? เห็นฉันหรอ??? เห็นจริงๆ ใช่มั้ย??? O_O” รมตีตะโกนถามชายหนุ่มอย่างดีใจ
“ก็เห็นไง แล้วคุณเข้ามาทำอะไรในนี้อ่ะ”
“ก็นี้มันขั้วโลกเหนือไม่ใช่หรอคะ? “
“ขั้วโลกเหนือ???” เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นเต็มใบหน้าของชายหนุ่มทันที
“ก็ใช่ไงคะหนาวออกอย่างนี้อ่ะ”
“ผมว่าคุณต้องบ้าแน่ๆ เลยนี่มันในตู้เย็นนะ”
“หนาวออกอย่างนี้คุณอย่ามาอำเลยค่ะ” รมตียังคงยืนยันว่าหล่อนอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ
“นี่คุณครับ ออกมานอกตู้เย็นก่อนดีมั้ยอยู่ในนั้นเดี๋ยวก็แข็งตายหรอก”
“ฉันยังไม่เห็นเลย ตู้เย็นที่คุณบอกอ่ะ....อ้าว?” รมตีหันหลับไปมองด้านหลัง เพียงเท่านั้นหญิงสาวก็อายแทบแทรกแผนดินหนี
“-///- เอ่อ....ขอโทษนะคะ”
“ครับ ว่าแต่คุณเข้ามาอยู่ในตู้เย็นบ้านผมได้ไงอ่ะ”
“ก็คือ....จะพูดยังไงดีละ” รมตีว่าพลางทำสีหน้าครุ่นคิด
“ก็พูดมาซิครับ แล้วการที่คุณมาโผล่อยู่ในตู้เย็นบ้านผมเนี่ย มันก็อธิบายได้แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นแหละครับ” ชายหนุ่มพูดพลางทำหน้าตารำคาญ”
“แล้วเหตุผลเดียวของคุณเนี่ยมันคืออะไรละคะ?”
“ก็คือว่าคุณ “บ้า” ไงครับถ้าไม่อย่างนั้นก็คงจะสติไม่ดีแอบหนีเข้ามาในบ้านผมตอนที่ผมไม่อยู่บ้านไง” คนที่ถูกเรียกว่า ”บ้า” โกรธจัดจนหน้าแดง
“ฉันไม่ได้บ้านะคะ - -^ แล้วฉันก็ไม่ได้แอบเข้ามาในบ้านตอนที่คุณไม่อยู่ด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นคุณเข้ามาได้ยังไงละครับ คุณผู้หญิง”
“ก็....หายตัวมาไงคะ”
“....เหอะ! คุณจะมาบอกว่าคุณเข้ามาอยู่ในตู้เย็นบ้านผมเนี่ยคุณหายตัวมารึไงครับ”
“คุณไม่เชื่อ??”
“เชื่อก็บ้าแล้วครับ” ชายหนุ่มยังคงตอบด้วยสีหน้ากวนประสาทรมตีเช่นเดิม
“ถ้าอย่างนั้นคุณดูให้ดีนะ...ตอนนี้ฉันอยู่ในห้องครัวบ้านคุณแต่อีกซักพักฉันจะไปอยู่ตรงโซฟาในห้องรับแขก โอเค๊? ว่าแต่....ห้องรับแขกคุณอยู่ทางไหนละ?” หญิงสาวถามพลางชะเง้อมองไปทั่วเพียงครู่เดียวหล่อนก็เห็นห้องรับแขกได้องโดยที่ชายหนุ่มยังไม่ทันปริปากพูดเลยซักคำ
เพียงแค่หญิงสาวมองไปทางห้องรับแขกรอเพียงซักครู่หล่อนก็หายวับไปอยู่ตรงโซฟาในห้องรับแขกได้อย่างง่ายดายส่งผลให้ชายหนุ่มเจ้าของบ้านยืนตะลึงทำอะไรไม่ถูก นึกว่าตัวเองตาฝาดจนถึงกับต้องเอามือขยี้ตาตัวเองหลายครั้ง
“...O_O คุณ.....ทำ....ได้....ไง ไม่น่าเชื่อ”
“ที่นี้ก็เชื่อรึยังละคะ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เป็นผีนะซิ ให้ตายเถอะนี่ผมโดนผีหลอกตั้งแต่กลางวันแสกๆ เลยหรอเนี่ย” ชายหนุ่มยังคงเก็บอาการตกใจไว้ไม่อยู่ตลอดทั้งชีวิตของเขา เขาไม่เคยเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียวแต่
“คุณนี่ปากเสียจัง ฉันเป็นแค่วิญญาณเท่านั้นแหละฉันยังไม่ได้ตายเลยนะคะ”
“ผมว่าคุณอำผมแน่ๆ เลยคุณบ้ารึเปล่า” ชายหนุ่มเจ้าของบ้านยังคงยืนกร้านความคิดเดิมของเขา
“เอาเถอะๆ คุณจะคิดว่าฉันเป็นอะไรก็ช่างเถอะว่าแต่เราคุยกันมาตั้งนาน....คุณชื่ออะไรคะ”
“ผมน่ะหรอ?” ชายหนุ่มถามเอานิ้วชี้ไปที่ตนเอง
“อื้ม....ชื่ออะไรคะ”
“กิตตน์ครับ”
“กิตตน์เฉยๆ น่ะหรอคะ”
“ครับแล้วคุณละครับชื่ออะไร”
“โฟร์ทค่ะ ^ ^”
“ครับ...แต่ผมยังสงสัยอยู่นะครับว่าคุณอำผมรึเปล่า?” กิตตน์ยังคงถามรมตีอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“โกหกได้โล่หรอคะ?”
“งะ.....งั้นๆ คุณก็เป็นผีน่ะซิ O_O”
“คุณคะ ฉันเป็นแค่วิญญาณนะ” รมตีว่าพลางลอยตัวเข้าไปหาชายหนุ่ม เห็นดังนั้นหน้าของเขาก็ถึงกับซีดเหมือนคนไม่มีเลือดขึ้นมาทันที โอ้...ชีวิตเกิดมาเพิ่งเคยเห็นผีแล้วทำไมต้องมาเห็นเอาตอนกลางวันแสกๆ ด้วยละเนี่ย.....!!
เมื่อตั้งสติได้แล้วกิตตน์ก็รวบรวมความกล้าเชื้อเชิญวิญญาณสาวสวยที่เพิ่งพบกันเมื่อซักครู่นี้นั่งแล้วถามคำถามที่คาใจอยู่ทันที
“เอ่อ.....คุณ....โฟร์ทนั่งก่อนดีมั้ยครับ?”
“อ๊ะ! จะว่าไปฉันนั่งกับไม่นั่งมันก็ไม่ต่างกันหรอกคะแต่...เอาเถอะคะ” รมตีว่าพลางนั่งลงบนโซฟา
“คุณ...นั่งได้ด้วยหรอครับ” ยังไม่วายที่ชาสยหนุ่มจะถามวิญญาณสาวด้วยความตกตะลึง
“เอ๊ะ!~ คุณนี่ยังไงกันคะ ก็คุณเชิญให้ฉันนั่งไม่ใช่หรอว่าแต่.....คุณเห็นฉันได้ยังไงคะ?”
“ผมคงจะทราบหรอกนะครับ....คุณเคยได้ยินมั้ยละครับคำว่าสัมผัสที่ 6 น่ะ”
“อ้อ....จริงด้วยฉันลืมไปได้ไงเนี่ย .ถ้างั้นคุณก็เป็นพวกมีสัมผัสที่ 6 น่ะซิคะ”
“บอกตามตรงนะตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเชื่อเลยว่าในโลกนี้จะมีวิญญาณ แล้วคุณ...ก็เป็นคนทำให้ผมต้องเชื่ออย่างนั้น”
“อื้มนะ งั้นก็ต้องยกความดีความชอบให้ฉันน่ะซิ อิอิ”
“....อย่าหาว่าผมเซ้าซี้เลยนะ”
“คะ???”
“ทำไมคุณถึง...เอ่อ.....”
“อ๋อ.....ที่ฉันต้องมาเป็นวิญญาณน่ะหรอคะ คืออย่างนี้นะ เรื่องมันมีอยู่ว่า
..” รมตีเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ความคิดเห็น