คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 ปริศนาของคุณชาย
Warning – นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาชายรักชาย (Boy’s love) หากไม่ชอบ รับไม่ได้ กรุณาจากกันอย่างสงบค่ะ
2 – ปริศนาของคุณชาย
...ง่วง....
ง่วงโคตร!
และอากาศครึ้ม ๆ ยามเช้าในช่วงต้นฤดูฝนแบบนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนหัวตัวเองมีน้ำหนักสักหนึ่งตันเศษ ซึ่งสักครึ่งตันคงจะเป็นน้ำหนักของเปลือกตาซ้าย อีกครึ่งตันเป็นข้างขวา เหลือเศษเป็นน้ำหนักสมองและกะโหลก
โอเค..ผมเวอร์ไป แค่อยากบอกว่าง่วงมาก หัวแทบปักพื้นทั้งที่กำลังเดินเข้าโรงเรียนอยู่แล้ว
เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปตีสอง ปกติผมเป็นเด็กอนามัยดีนะครับ นอนไม่เกินเที่ยงคืน และกิจวัตรประจำวันคือตื่นตีสี่มาช่วยพี่เอมเตรียมวัตถุดิบทำเค้ก กับทำความสะอาดร้านให้ทันเปิดให้บริการเวลาแปดโมงในวันธรรมดา ทุกครั้งก็จะก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ในครัวจนถึงประมาณตีห้ากว่า ออกมาจัดโต๊ะเก้าอี้ดูความเรียบร้อยในร้านถึงหกโมง อ่านหนังสือเตรียมบทเรียนล่วงหน้าอีกสักหนึ่งชั่วโมง แล้วค่อยอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน
ส่วนตอนเย็นเลิกเรียนปุ๊บก็จะตรงดิ่งกลับมาช่วยงานที่ร้านเลย ไม่มีแวะเที่ยวเล่นที่ไหนให้เสียเวลาทำมาหากิน ร้านปิดหกโมงครึ่ง เวลาใกล้เคียงกับที่ผมเตรียมมื้อเย็นเสร็จพอดี จากนั้นพี่เอม อุ่นใจ และผมก็จะนั่งกินข้าวด้วยกัน ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ นินทาลูกค้า เล่าเรื่องที่โรงเรียน อิ่มแล้วจึงไปล้างถ้วยชามทำความสะอาดห้องครัว ตรวจเช็ควัตถุดิบและอุปกรณ์ที่ต้องใช้วันรุ่งขึ้น ส่วนใหญ่อุ่นใจก็คอยมาช่วยบ่อย ๆ เพราะจานชามและถ้วยกาแฟช่วงเปิดร้านตอนกลางวันมันน้อยเสียเมื่อไร จากนั้นค่อยเป็นเวลาส่วนตัวไว้อ่านหนังสือทบทวนบทเรียน
ชีวิตผมดำเนินแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งมันก็มีความสุขดี ผมได้ห้องพักในหอของพี่เอมมาหนึ่งห้องแบบไม่ต้องเสียเงินเช่า น้ำ ไฟไม่ต้องจ่าย กินอยู่ฟรี ทิปจากลูกค้าพี่เอมก็ยกให้ แถมยังได้เงินค่าตอบแทนเป็นรายเดือนส่งไปให้แม่กับน้องทางบ้านด้วย
ส่วนที่ต้องตั้งใจอ่านหนังสือทุกวันเพราะได้ทุนเรียนครับ ไม่อย่างนั้นคิดว่าอย่างผมจะมีปัญญาจ่ายค่าเทอมแพงหูฉี่หูฉลามของโรงเรียนนี้หรือ ขายไตเข้าตลาดมืดสองข้าง แถมไตไอ้ลูกเจี๊ยบอาทิตย์อีกคนยังไม่พอเลย
พูดถึงไอ้ปัญญาอ่อนนั่นก็ชวนให้นึกหงุดหงิด ชีวิตตั้งแต่มีมันมาอยู่ด้วยดูเหมือนจะหาความสงบสุขไม่ได้สักนิด พูดอย่างกับด้วยกันมานานแล้ว เปล่าเลย..ก็แค่เมื่อสองวันเท่านั้นเอง แต่ทำไมรู้สึกหมดเรี่ยวแรงกับหมอนี่เหมือนเวลาผ่านมาสักเดือนหนึ่งได้ก็ไม่รู้
ผมเดินห่อเหี่ยวเข้าห้องเรียน โดยมีตัวต้นเหตุผู้ทำลายตารางชีวิตเด็กดีของผมพินาศย่อยยับเมื่อคืนนี้เดินตามหลังมาต้อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะง่วงเลยสักนิด
แหงสิ...มันตื่นโน่น เจ็ดโมงกว่า อาบน้ำแต่งตัวกินข้าวประหนึ่งอยู่บ้านตัวเอง น่าโบกให้กะโหลกร้าวนัก!
“ไอ้ปิ่น!”
มาแล้ว เสียงจากนรกอันคุ้นเคยทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตูห้อง 6/1 เข้ามา ผมสะดุ้งเล็กน้อยแล้วยืดตัวตรงอยู่ในท่าเตรียมพร้อม แยกขานิดหน่อย ถ่ายน้ำหนักเหมาะ ๆ เพื่อช่วยในการทรงตัว รู้ดีว่าอีกสองสามวินาทีต่อมาจะเกิดอะไรขึ้น
พลั่ก!
หมับ!
“อรุณสวัสดิ์! ฟืดดด!”
จะทักทายให้เป็นผู้เป็นคนโดยไม่ต้องเอาจมูกมาถูคอนี่ไม่ได้เลยไอ้เพื่อนเวร!
“เออ ’รุณสวัสดิ์” ผมว่าเนือย ๆ ดันหัวยุ่งกระเซิงที่มันพร่ำบอกว่าเซ็ตมาอย่างดีสไตล์เกาหลีของไอ้เพื่อนรักออกอย่างไม่ปกปิดอาการรังเกียจ มันเอาหัวดันสู้อยู่พักหนึ่งแล้วก็ตัดสินใจยอมแพ้ ถอยออกไปยืนทำตัวสงบเสงี่ยมแต่ยังไม่วายส่งเสียงบ่น
“ใจร้ายกับเพื่อนตลอดอะ”
ในเมื่อมันโผล่มาอย่างนี้แล้ว เห็นทีต้องพูดถึงคนตรงหน้าสักหน่อยในฐานะเพื่อนสนิท ไม่ว่าจะด้วยความเต็มใจหรือเปล่าก็ตาม
เด็กมัธยมชายไทยหัวใจเกาหลีที่ยืนบ่นอยู่ตรงนี้คือ ‘คิม’
หากให้ขยายความจะได้เป็น ชื่อจริงของเขาคือ คิมหันต์ ส่วนชื่อเล่นคือ ‘คีม’
ถูกต้อง! คีม..ซึ่งประสมด้วยสระอี คีม..ที่เป็นเครื่องมือช่างหน้าตาคล้ายกรรไกร คีม..ที่ไม่รู้พ่อแม่คิดอย่างไรจึงเอามาใช้เป็นชื่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวน
แต่ด้วยเหตุว่าหมอนี่ดัดจริตอยากชื่อเกาหลี เลยขอให้เรียกพยางค์แรกของชื่อจริงแทน เพื่อนก็แสนดีเออออตามไป คีม ๆ คิม ๆ เรียกคล้ายกัน ถึงจุดหนึ่งพวกก็ตีมึนสถาปนาตัวเองเป็นนายคิมไปเสียอย่างนั้น แม้เค้าหน้าพอจะถูไถไปได้อยู่บ้าง
คิมผิวขาวแบบคนจีนกลุ่มค่อนข้างมีอันจะกิน ตาตี่ไม่มีเหล่าเต๊ง ปากนิดจมูกหน่อย ทำผมสีทองปัดซ้ายป่ายขวาไปด้านข้างเกือบจิ้มเข้าไปในหางตาหยี ๆ โรงเรียนเอกชนก็มีข้อดีอีกอย่างตรงที่ทำให้มันได้ปลดปล่อยอารมณ์เกาหลีออกมาเป็นรูปธรรมผ่านทรงผมได้มากกว่าโรงเรียนรัฐฯ
คิมมีนิสัยอย่างหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเกิดก่อนหรือหลังจากที่มันเริ่มคลั่งเกาหลี คือไอ้หมอนี่ชอบสกินชิพ เที่ยวมือปลาหมึกเกาะแกะคนโน้นคนนี้ไปทั่ว แต่มันบอกเว้นไว้กับสาว ๆ เพราะเคยเผลอตัวไปทำกับสาวที่เพิ่งรู้จัก เลยโดนสกินชิพกลับมาด้วยการเอาฝ่ามืองาม ๆ แนบแก้มมันด้วยแรงหลายนิวตันเสียหน้าหัน เล่นเอาชาไปหลายวัน ลวนลามคนไม่ออกไปช่วงหนึ่งทีเดียว
ตั้งแต่นั้นมาเป้าหมายของคิมหันต์ก็ดูเหมือนจะพุ่งมาที่เพื่อนผู้ชายอย่างเดียว เพื่อป้องกันคำกล่าวร้ายเรื่องหื่นกาม แต่อาจจะได้ข้อครหาเรื่องหื่นเกย์กลับมาแทน
แต่แน่นอนว่าคุณคิมยักไหล่ไม่แคร์สื่อ
“ฉันเห็นแกเดินเข้าโรงเรียนมาพร้อมกับไอ้คุณชายโน่นสองวันแล้ว” มันพยักพเยิดไปทางไอ้ลูกเจี๊ยบยักษ์ซึ่งยืนเงียบอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่แรก พูดถึงก็ลืมหมอนั่นไปเลย แต่เดี๋ยวนะ..คุณชายอะไรกัน?
“ปกติต้องมีเบนซ์ประจำตำแหน่งมารับมาส่งทุกวันไม่ใช่เรอะ!?” คิมยังพูดต่อโดยไม่ปิดบังอาการอยากรู้อยากเห็นแม้แต่น้อย
ผมหันไปขมวดคิ้ว หรี่ตามองคนข้างหลังที่ยังคงยืนทำหน้ามึนอยู่เช่นเดิม แต่มันก็ทำเพียงแค่ยักไหล่เบา ๆ กลับมา
ก่อนจะพูดถึงเรื่องอื่น มีอีกอย่างที่ผมควรบอกเกี่ยวกับคุณคิม ไอ้หมอนี่เป็นมนุษย์หูไวตาไว ช่างสังเกต (แต่จะในเรื่องที่ควรหรือเปล่าถือว่าเป็นคนละประเด็น) ฉายาคิมหันต์เจ้าพ่อแห่งข้อมูลข่าวสารของคนในโรงเรียนไม่ใช่เพียงแค่ชื่อเรียกขำ ๆ และตอนนี้ไอ้คิมกำลังเดินสำรวจรอบตัวคุณชาย (หรือเปล่า?) ชนิดชนิดที่ว่าแบคทีเรียซึ่งซุกซ่อนอยู่ในขี้เล็บนิ้วก้อยเท้าก็คงไม่สามารถหลุดรอดสายตามันไปได้
“วันนี้เสื้อยับกว่าปกตินะ” คิมเริ่มเปิดประเด็นพลางชี้ไปยังชายของเสื้ออาทิตย์ซึ่งออกนอกกางเกงมานิดหน่อย ไม่สนใจผมที่ยืนทำหน้าเหวอด้วยยังงงว่าเจ้าตัวต้องการจะสื่ออะไร ไอ้เพื่อนรักมองผ่านผมไปเหมือนเห็นเป็นเพียงเศษฝุ่นผงก่อนจะเริ่มพ่นใส่อีกคนเป็นฉาก ๆ
“ผมยุ่งไม่ได้เซ็ท รองเท้าเปื้อนเศษดิน กางเกงจีบแตก แล้วนั่น! ถุงเท้าก็เป็นคนละข้างกัน”
ทั้งผมและอาทิตย์ก้มตามลงไปมองถุงเท้าที่ว่าทันที เพื่อจะพบว่าหากสังเกตสักหน่อย แม้จะเป็นสีขาวสะอาดเหมือนกัน แต่ทั้งสองข้างก็เป็นขาวคนละโทนซึ่งต่างกันอยู่เล็กน้อยจริง ๆ
ถึงจุดนี้ความตาไวเหมือนจะเล่นโฟโต้ฮันท์ของคิมหันต์เริ่มทำให้ผมพาลสงสัยไปด้วยแล้ว มันจะอะไรกันนักหนากะอีแค่เสื้อยับ หัวยุ่ง รองเท้าเปื้อนฝุ่น กางเกงจีบแตก และใส่ถุงเท้าผิดคู่
“ไอ้คิม ที่แกว่ามาฉันก็เป็นอยู่บ่อย ๆ ไม่เห็นเคยทัก” ผมชี้ผมเผ้ายุ่งเหยิงของตัวเองแล้วพูดเสริมเพิ่มความน่าเชื่อถือ “เห็นไหม วันนี้หัวก็ยุ่ง เสื้อก็เยิ้นเยิน”
คิมหันต์ปรายตามองผมด้วยสีหน้าเหยียดหยามซึ่งบรรจงปั้นแต่งขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ มันถนัดนักไอ้เรื่องน่าเตะแบบนี้ “นั่นมันแก! วันไหนแต่งเรียบร้อยมาฉันค่อยทักละกัน”
ผมเหวอนิดหน่อย ไอ้เบื๊อกนี่สองมาตรฐานนะครับ!
“แต่นี่คุณชายแสงอรุณ แห่งตระกูลวิจิตรนิรันดร์เลยนะเว้ย!” มันพูดเหมือนเจ้าตัวไม่ได้ยืนหัวโด่ร่วมวงสนทนาอยู่ด้วย “ท่านชายที่ปกติเนี้ยบกริ๊บตั้งแต่ศีรษะจรดนิ้วโป้งเท้า แต่วันนี้ดันเดินเข้าโรงเรียนพร้อมลูกจ้างร้านเค้กต๊อกต๋อยแบบแกด้วยสภาพสุดจะเยินมันใช่เรื่องปกติไหม? บิดาสุดรักป่านนี้ไม่ยืนกรีดร้องอยู่ที่คฤหาสน์วิจิตรนิรันดร์แล้วเรอะ!?”
มาเป็นชุดทีเดียว ย้ำสถานะลูกจ้างต๊อกต๋อยของผมเหลือเกิน ผมหันไปมองสำรวจอาทิตย์บ้างตามคำบอกจากคิมหันต์ ก็อาจจะใช่ว่าหัวดูยุ่งนิดหน่อย เสื้อก็..ยับนิดนึง แต่โดยรวมใช่ว่าจะสภาพสุดเยินอะไรอย่างไอ้เพื่อนรู้มากกล่าวหาสักนิด แต่อย่างว่า ผมไม่รู้ของเดิมที่ว่าเนี้ยบนี่มันเคยเนี้ยบอย่างไร ยิ่งก่อนหน้านี้อยู่คนละห้อง วัน ๆ ทำงานงก ๆ มีเวลาสนใจที่ไหนกัน
หลังจากปิดปากเงียบมานาน ในที่สุดคุณชายแสงอรุณ หรือไอ้ลูกเจี๊ยบอาทิตย์ที่ตกเป็นประเด็นมาครู่ใหญ่ก็ยอมเอ่ยปากแถลงการณ์ออกมาจนได้
“คุณพ่อไล่ออกจากบ้านแล้วเมื่อวานนี้น่ะ”
สาบานเลย นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมเห็นตาตี่ ๆ ของคิมหันต์เบิกกว้างอย่างกับตอนอุ่นใจเห็นไม้กายสิทธิ์ของพี่เอม (พี่เอมเรียกไม้เรียวว่าไม้กายสิทธิ์) และถ้าคุณไม่รู้ผมจะบอกให้ว่าอุ่นใจทำตาโตได้เหลือเชื่อจริง ๆ เวลาพี่เอมเอาไอ้ไม้นั่นออกมากวัดแกว่ง
“นี่โดนขับไล่ออกจากตระกูลแล้วเรอะ!?” คิมรวบรวมสติพูดออกมาได้ในที่สุด เห็นชัดว่ามีการบิดเบือนข้อเท็จจริงไปจากเดิมนิดหน่อย
“ไม่ได้ออกจากตระกูล แค่ออกจากบ้านเฉย ๆ” อาทิตย์ยักไหล่พร้อมกับแก้ให้ “มาเผชิญโลกน่ะ ธรรมเนียมของที่บ้าน”
ผมมองคนพูดอย่างไม่อยากเชื่อ เพ้อเจ้ออะไรของมัน คุณชายตระกูลใหญ่ (มั้ง) ผู้ถูกไล่ออกจากบ้านตามธรรมเนียมบ้าบอสักอย่าง เรื่องราวยิ่งรันทดขี้หูขี้ตาไหลเมื่อต้องมาทำหน้ามึนเสนอร่างกายให้เพื่อนหนุ่มร่วมชั้นเพื่อแลกกับที่ซุกหัวนอน ชีวิตตกระกำลำบากอย่างกับนางเอกละครหลังข่าวนี่มันอะไร เดี๋ยวอีกสักพักจะมีกล้องพร้อมทีมงานโผล่พรวดออกมาจากมุมตึกเพื่อเก็บภาพผมซึ่งกำลังทำปากอ้าค้างอย่างปัญญาอ่อนอยู่ตรงนี้หรือเปล่า
กริ๊งงง..งง..
เสียงออดยาวตอนเช้าดังขึ้นขัดจังหวะตากล้องและทีมงานซึ่งอาจจะมุดหัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง เรียกให้นักเรียนหญิงชายรอบตัวพากันทยอยไปเข้าแถวหน้าเสาธง คิมหันต์ทำหน้าขัดใจนิดหน่อย ส่วนอาทิตย์ใช้จังหวะนี้เดินดุ่ย ๆ เอากระเป๋าหนังสือไปหย่อนไว้บนที่นั่งตัวเองริมหน้าต่าง แล้วลากผมซึ่งมีคิมหันต์เกาะแขนอีกข้างด้วยจิตวิญญาณสื่อที่ดีกัดไม่ปล่อยตามไปด้วยกัน
เราสามคนเดินออกไปยังสนามหญ้าของโรงเรียนด้วยความมึน (สำหรับอาทิตย์) ความงง (กรณีของผม) และความสอดรู้สอดเห็น (ในส่วนของคิมหันต์) โดยตัวต้นเหตุไม่คิดจะชี้แจงอะไรมากไปกว่านั้น
เอาละ ถึงตอนนี้เราเข้าใจตรงกันนะครับ ด้วยข้อมูลที่ได้มาจากคิมหันต์ และคำเฉลยที่ยังทิ้งปริศนาให้ขบคิดต่อของอาทิตย์ ผมสรุปเองในเบื้องต้นได้ว่า ท่านชายอาทิตย์นั้นที่จริงบ้านรวยครับ แต่งตัวเนี้ยบเนียน ดูดีมีชาติตระกูล มีราชรถพร้อมพลขับแบบที่ผมไม่กล้าฝันถึงคอยรับส่งถึงประตูโรงเรียนทุกวัน แต่ไม่รู้ที่บ้านมันมีธรรมเนียมบ้าบออะไรจึงได้ไล่ลูกชายออกมาเร่ร่อนทำตัวเป็นสัมภเวสีเช่นนี้
ส่วนเรื่องที่ว่าโดนเนรเทศแล้ว ทำไมดันโง่มาเกาะผมผู้แสนยากจนแทบเอาตัวไม่รอด แทนที่จะตามเพื่อนเศรษฐีคนอื่นยังฟังดูเข้าท่ากว่าเป็นไหน ๆ อันนี้ถ้าไม่โทษความบ้าของมันก็คงต้องหาสาเหตุกันต่อไป
ผมพยักหน้ากับข้อสรุปซึ่งออกจะประหลาดของตัวเอง พอนึกย้อนเหตุการณ์สักหน่อย ที่จริงหลังจากใช้ชีวิตกับมันเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ผมก็ว่าอาทิตย์ดูพิลึกอยู่บ้างเหมือนกัน
เมื่อคืนมันมายืนดูผมล้างถ้วยชามด้วยท่าทางสนอกสนใจราวกับกำลังดูสารคดีดิสคัฟเวอรี่ ว่าด้วยเรื่องวิถีชีวิตของตัวคาปิบาร่า อ้าว..นั่นไม่น่าสนใจหรือ? ช่างเถอะ.. กลับไปที่อาทิตย์ บทสนทนา ณ กะละมังล้างจานยังชวนให้ผมข้องใจไม่หาย
“ไอ้นี่อะไร” อาทิตย์ชี้ไปยังแกลลอนขนาดใหญ่ซึ่งมีของเหลวข้นหนืดสีเหลืองบรรจุอยู่ เป็นเป็นเรื่องระดับสามัญอยู่แล้วที่ควรรู้ว่าเป็นน้ำยาล้างจาน
“น้ำผลไม้มั้ง” ผมประชด จานชามยังเหลือต้องล้างอีกกองพะเนินยังมาเซ้าซี้อยู่ได้
“ได้กลิ่นมะนาว” มันทำจมูกฟุดฟิด “กินได้ไหม?”
“อย่ากินนะเว้ย!” ผมร้องเสียงหลง ตอนแรกนึกว่าพูดเล่น แต่ท่าทางที่เอาขวดไปจ่อใกล้ปากเตรียมกระดกอย่างนั้นทำผมต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ สงสัยจะประเมินมันสูงไปหน่อย “นั่นมันน้ำยาล้างจาน! ไม่มีตังค์พาไปล้างท้องนะไอ้เวร!”
อาทิตย์ยิ้ม ผมเลยไม่รู้มันบ้าจริงหรือแค่ล้อเล่น ซึ่งหากเป็นอย่างหลังคงต้องเรียกว่าทำได้อย่างแนบเนียนทีเดียว
หรือจะตอนอาบน้ำ
“ปิ่นหยก” อาทิตย์เจ้าเก่าโผล่หัวจากหลังบานประตูห้องน้ำซึ่งแง้มออกมาเล็กน้อย
“อะไร” ผมเซ็งมันแย่แล้ว ณ จุดนี้
“ไม่มีน้ำอุ่นหรือ?”
“แล้วเห็นไหมล่ะ”
ไอ้ลูกเจี๊ยบเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบกลับมา “ไม่เห็นครับ”
“อืม”
“แล้วไหนน้ำอุ่นล่ะ”
“บร๊ะ! ไม่เห็นก็ไม่มีไงครับ!”
“มันช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดีนะ” อาทิตย์ทำสีหน้าสงสัยเสียเต็มแก่ “ไม่มีแล้วจะอาบได้ยังไง”
เสียงมาตรวัดความอดทนในหัวผมหักดังกร๊อบ! อยากจับมันทุ่มท่าเยอรมันซูเพล็กซ์นัก เผื่อเอาหัวลงต่ำแล้วเลือดจะไปเลี้ยงสมองให้หายวงจรความคิดขัดข้องบ้าง
อาทิตย์ยังคงยืนหันรีหันขวางอยู่หลังประตูห้องน้ำซึ่งแง้มอยู่เท่าเดิม ผมลุกขึ้นทิ้งหนังสือเรียนที่นั่งอ่านค้างอยู่แล้วจ้ำพรวด ๆ ไปเอาเท้าถีบประตูให้เด้งเปิดออก อีกฝ่ายเปลือยท่อนบนมีผ้าขนหนูเหน็บเอว เห็นท่าทางซึ่งกำลังสาละวนกับการทำให้ฝักบัวธรรมดาสามัญกลายเป็นเครื่องทำน้ำอุ่นแล้วก็ให้อนาถใจ
“เอามา!” ผมสั่ง แย่งคว้าหัวฝักบัวในมือมันมาถือไว้มั่น หันไปหมุนก๊อกเปิดน้ำแรงสุด อืม..น้ำแรงดี แถมหลังฝนตกแบบนี้กำลังเย็นเฉียบได้ที่เลย
อาทิตย์ทำตาใส มองผมสะบัดมือเบา ๆ สองสามที ดูหน้าตาคงยังไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง ขณะที่ผมระบายยิ้มเลือดเย็นออกมาบนริมฝีปาก
จากนั้นก็จัดแจงสาธิตให้ดูว่าถ้าไม่มีน้ำอุ่นแล้วมนุษย์ทั่วไปเขาอาบกันอย่างไร
ซ่าาา..าา..
น้ำเย็น ๆ พุ่งตรงใส่หน้าคุณอาทิตย์แบบไม่ทันมีโอกาสได้ตั้งตัว ผลคือเปียกโชกตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ช่างน่าอนาถอะไรเช่นนี้
“ฮ่า ๆ ๆ” ผมหัวเราะลั่น “ทีนี้อาบได้ยัง”
ผมขยับฝักบัวเปลี่ยนทิศไปมากะให้เปียกจนทั่ว เห็นมันตัวสั่นเป็นลูกหมาตกน้ำแล้วก็นึกสนุกปนสงสาร แต่บังเอิญว่าความสนุกดันมีมากกว่าเลยเผลอเล่นหนักมือไปหน่อย หวังว่าคงไม่ถึงกับทำให้ค่าน้ำเดือนนี้ขึ้นจนพี่เอมสงสัย
“....หนาว”
มันบ่น มือยกขึ้นลูบเอาน้ำออกจากใบหน้า ขณะที่ผมยังแกว่งฝักบัวไปมาอย่างสนุกสนาน
“..ปิ่น...”
เป็นผมเองที่ไม่ทันสังเกตว่าเสียงมันดูจะนิ่งผิดปกติ
“ปิ่นหยก”
“!?”
รู้ตัวเองทีข้อมือผมก็ถูกคว้าหมับแล้วดันไปตรึงไว้กับกำแพงห้องน้ำ ฝักบัวหลุดมือตกลงกระแทกพื้นกระเบื้องเสียงดังสะท้อนก้องในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าพังไปต้องเสียค่าหัวฝักบัวใหม่เท่าไร
ผมรีบส่ายหน้าเรียกสติ บอกตัวเองว่าตอนนี้ที่ควรกังวลไม่ใช่เรื่องนั้น แต่ต้องเป็นลูกเจี๊ยบตกน้ำ..หรือลูกหมาตกน้ำ...เออ...หรือคนบ้าตกน้ำ ช่างมันเถอะ! สีหน้าท่าทางมันตอนนี้ดูคุกคามมาก และผมไม่ได้ตั้งใจจะสั่นเลย...จริง ๆ นะ บางทีอาจเป็นเพราะโดนน้ำจากฝักบัวบนพื้นที่สะบัดไปมา ฉีดน้ำเป็นสายพุ่งกระจัดกระจายไปทั่วเลยสั่นนิดหน่อยก็ได้
“อะไร!?” ผมทำใจดีสู้ลูกเจี๊ยบ ยิงคำถามก่อนได้เปรียบ...คิดว่านะ
“หนาวครับ” มันกระซิบเสียงแหบพร่า มือยังคงตรึงข้อมือผมทั้งสองข้างไว้กับกำแพงทั้งเสียแน่น นี่แรงคนหรือแรงควาย
ใบหน้าคมคายยื่นเข้ามาใกล้จนเห็นแพขนตาซึ่งมีหยดน้ำเกาะพราว นัยน์ตาสีดำสนิทดูอ่อนเยาว์ผิดกับร่างกายสูงใหญ่ที่จ้องมาสะท้อนภาพผมอยู่ในนั้น จมูกโด่งรับกับริมฝีปากอิ่มได้รูป บ้าเอ๊ย! รู้แล้วว่าหล่อไม่ต้องเสนอหน้าเข้ามาให้ผู้ชมทางบ้านดูใกล้ขนาดนั้นก็ได้ กะให้อิจฉาใช่ไหม? แล้วจะเผยอปากทำไม คิดว่าตัวเองเป็นนายแบบนู้ดเรอะ
ผมจ้องตามันกลับ เอาสิ! ยังไงผมก็เป็นเจ้าบ้าน...แฮ่ม...ถึงแม้เจ้าบ้านจริง ๆ จะเป็นพี่เอมก็เถอะ เอาว่าผมเป็นเจ้าของห้องนี้แล้วกัน ต้องมีสิทธิ์เหนือกว่ามันไม่ใช่หรือ?
“ปิ่นหยก”
ถึงจุดนี้เล่นเอาเปียกโชกไปหมดแล้ว แต่สงครามจ้องตาในสภาพแสนล่อแหลมก็ยังดำเนินต่อไปไม่หยุด ผมรู้สึกหนาวมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างที่บอกว่าฝนเพิ่งตกไปเมื่อเย็น มายืนสวมเสื้อผ้าเปียกโชกเล่นสงครามประสาทในห้องน้ำแคบ ๆ ทั้งที่แขนโดนตรึงไว้ทั้งสองข้าง แถมยังเสียเปรียบด้านรูปร่างอย่างรุนแรงไม่ใช่สภาพที่เข้าท่าเอาเสียเลย ผมไม่แน่ใจว่าอย่างไหนจะหนาวกว่า ระหว่างตัวเองที่สวมเสื้อผ้าเต็มยศแต่เปียกไปหมดถึงกางเกงลิง กับอีกฝ่ายที่มีแค่ผ้าขนหนูเหน็บเอวอยู่ผืนเดียวอย่างนี้
และก่อนที่ใครสักคนจะสติแตกไปเสียก่อน ซึ่งแม้จะเจ็บใจแต่ยอมรับก็ได้ว่าคงเป็นผมเอง เหมือนสวรรค์ปรานี หรือต้องเรียกว่ากลั่นแกล้งก็ไม่ทราบได้ เมื่อผ้าขนหนูซึ่งเหน็บอยู่หลวม ๆ บนเอวของคนที่ยืนค้ำหัวผมอยู่ทำท่าเหมือนจะหลุดอยู่รอมร่อจากการอุ้มน้ำมากไปหน่อย แต่ความน่าสะพรึงคือทำไมหางตาผมต้องเหลือบไปเห็นช็อตที่ปมซึ่งม้วนอยู่เริ่มคลายตัวออกช้า ๆ เข้าพอดีด้วยวะ!?
อย่าหลุดนะเว้ย!
ผมพร่ำภาวนาอยู่ในใจ เกาะไว้ก่อน เกาะเอวมันไว้แน่น ๆ นะน้องนะ แต่ดูเหมือนผ้าขนหนูเจ้ากรรมจะแบกน้ำหนักของน้ำที่อุ้มอยู่จนไม่สามารถตอบรับต่อคำอ้อนวอนอย่างสิ้นหวังของผมได้อีกแล้ว ปมยังคงคลายตัวออกเรื่อย ๆ เสมือนหนึ่งดูภาพช้าอย่างน่าทรมานหัวใจ จะเอามือไปตะครุบไว้ให้ก็โดนจับขึงอยู่......เว้ย....มัน.......จะ........หลุด......แล้ว.......ไม่นะ....!
พรึ่บ!
“เวรเอ๊ย!”
ผมหลับตาปี๋ ก่อนจะรู้สึกตัวว่าข้อมือสองข้างเป็นอิสระแล้ว มันคงปล่อยจากผมเพื่อไปปกป้องน้องผ้าขนหนูอันเป็นปราการด่านสุดท้าย แต่นั่นเป็นแค่สมมติฐานเท่านั้น เพราะกว่าจะกล้าลืมตาก็เมื่อตอนที่ถลาออกมายืนหอบแฮ่กอยู่หน้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้วนั่นแหละ ใจเต้นตูมตามจนต้องยกมือขึ้นกุมอกตัวเอง ไอ้หัวใจเฮงซวยนี่กะจะระเบิดซี่โครงกันเลยใช่ไหม
ผมถอนหายใจยาว ๆ เมื่อเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ ซึ่งก็ต้องใช้เวลาตั้งครู่ใหญ่กว่าจะเลิกหายใจติดขัด ไม่รู้ว่าตื่นเต้นทำไมกับอีแค่ผู้ชายโป๊ รู้สึกเสียฟอร์มและขายหน้าจนแทบสติแตก
“หนาวขนาดนี้ นายอยู่มาได้ไงแบบไม่มีน้ำอุ่นให้อาบ” เสียงจากในห้องน้ำยังตามมาหลอกหลอน ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทำคนอื่นจะหัวใจวายตายแล้ว
“เงียบเลยไอ้เวร!”
ผมทรุดตัวลงนั่งบนพรมเช็ดเท้าหน้าประตูนั่นอย่างอ่อนแรง น้ำหยดติ๋ง ๆ จากเส้นผมและเสื้อผ้าลงมานองเต็มพื้น เดี๋ยวรอมันอาบน้ำเสร็จคงต้องไปอาบใหม่อีกรอบ เวทนาตัวเองว่าชีวิตผมในวันเดียวมันจะซวยซ้ำซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรนักหนา
“—หยก..”
“...ปิ่นหยก...”
“ไอ้ปิ่นหยกโว้ย!”
“!?”
ผมสะดุ้งสุดตัว ปากกาหลุดมือลงไปกลิ้งหลุน ๆ อยู่บนพื้น เป็นอันจบการย้อนความเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อคืนนี้ คิมกิมจินั่นเองที่ตะโกนใส่ผม ดูจากสีหน้ามู่ทู่ของมันแล้วเดาว่าคงยืนเรียกมานานพอสมควรทีเดียว
“หลับในเรอะ!? พักเที่ยงแล้วเนี่ยนั่งนิ่งเป็นสากกะเบือเลย” คิมหันต์ตบโต๊ะป้าบ ๆ “แล้วนี่เป็นอะไรหน้าโคตรแดง ฝันลามกอยู่รึไง!?”
“ไอ้เวร! ใครจะเหมือนแก” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา ร้อนวูบวาบไปหมด หัวเบาโหวงอย่างไรไม่รู้ เมื่อเช้ายังเหมือนจะหนักเป็นตันอยู่เลย ส่วนหน้าไอ้เพื่อนรักตาตี่ที่ชะเง้อมาก็บิดเบี้ยวพิกล
“...คิม...แผ่นดินไหวเหรอวะ...” ผมเค้นเสียงแหบแห้งเป็นประโยคคำถาม สู้กับความรู้สึกวิงเวียนราวกับตึกกำลังโคลงเคลงคล้ายอยู่บนเรือ กำลังจะยันตัวลุกขึ้นยืนก็พบว่าภาพห้องเรียนตรงหน้าถูกแทนที่ด้วยแสงวิบวับจนตาพร่า
“..ไอ้ปิ่น!”
คิมหันต์เหมือนจะตะโกน แต่เสียงที่ผมได้ยินนั้นเบาเหลือเกิน
วินาทีต่อมาทุกอย่างก็มืดมิดไปหมด เหลือแต่เพียงโสตประสาทซึ่งยังได้ยินเสียงโวยวายของคุณคิมเหมือนว่าดังมาจากที่ไกล ๆ ปนเปกับเสียงทุ้มคุ้นหูของใครสักคนดังแทรกเข้ามาจากข้างหลัง
“...ปิ่น...ปิ่นหยก...”
ผมไม่แน่ใจแล้วว่าใครเรียก แต่ช่างเถอะ สติที่เหลืออยู่น้อยนิดบอกค่อนข้างชัดแล้วว่าไม่ใช่แผ่นดินไหวหรืออะไรเทือกนั้น นี่สินะอาการเป็นลม แต่เดี๋ยวก่อน ผมจะวูบไปตอนนี้ไม่ได้ ในเมื่อมีเรื่องสำคัญที่ยังไม่ได้บอกเลย
ใครสักคน (เดาว่าเป็นคนเดิม) เรียกชื่อผมซ้ำ ๆ ไม่ยอมหยุด ผมหงุดหงิดแต่ไม่มีแรงบ่น ครวญครางอยู่ในใจว่าหนวกหูฉิบหายตะโกนอยู่นั่นแหละ คนยิ่งต้องใช้ความพยายามในการพูดยังจะแหกปากแข่งอยู่ได้
ผมรีดเร้นพลังเฮือกสุดท้ายเพื่อขยับริมฝีปาก แต่แทบไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา ไม่รู้จะมีคนได้ยินรึเปล่า หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทพเจ้าแห่งเงินตรามีจริง ช่วยดลบันดาลให้ใครสักคนรับรู้ความปรารถนาสุดท้ายของผมด้วยเถอะ
“...ไม่...ต้องหิ้ว....ไปโรง’บาลนะ”
ผมอ้าปากพะงาบเป็นปลาทองขึ้นบก (และแน่นอน..ปลาทองไม่ควรขึ้นบก) แค่เค้นเสียงแต่ละพยางค์ก็แทบสิ้นลม แล้วคำพูดผมจะโดนใครที่เรียกซ้ำ ๆ อยู่นั่นกลบไปหรือเปล่า นี่มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเลยทีเดียว
ผมหายใจรวยริน พยายามพูดชัดถ้อยชัดคำสุดชีวิต เพื่อยืนยันเหตุผลของความปรารถนาสุดท้าย
“ไม่-มี-ตังค์-จ่าย"
ประกาศเจตนารมณ์สำเร็จแล้ว!
พลันสติการรับรู้ทั้งหมดก็ดับวูบ
To be continued
ความคิดเห็น