คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 ลูกเจี๊ยบหลงทาง
Dormitory Boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง
ภาค 1 : รัก...ติดดิน
Warning – นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาชายรักชาย (Boy’s love) หากไม่ชอบ รับไม่ได้ กรุณาจากกันอย่างสงบค่ะ
บทที่ 1 - ลูกเจี๊ยบหลงทาง
“เทพเจ้าแห่งเงินตราและความร่ำรวย..วันนี้ก็ขอให้ผมประหยัดเงินได้เยอะ ๆ อีกเช่นเคยนะครับ”
♥ DORMITORY BOYS - สะดุดรัก หอพักอลเวง ♥
“รัก...ติดดิน”
1 - ลูกเจี๊ยบหลงทาง
มีคนเดินตามมา
ไม่ได้คิดไปเองแน่นอน ตั้งแต่ก้าวขาออกจากรั้วโรงเรียนแล้ว
ปิ่นหยกเหลือบมองรอบตัวอย่างระแวดระวัง แสงแดดทอจาง ๆ หลังฝนตกช่วยให้บรรยากาศไม่น่ากลัวนัก แม้ต้องเดินเพียงลำพังผ่านบริเวณอาคารเก่าซอมซ่อร้างผู้คน ถึงจะเงียบอย่างไรแต่ตอนนี้ก็ยังกลางวันแสก ๆ ไม่น่ามีโจรใจกล้าหน้าโง่ที่ไหนคิดวิ่งราวกระเป๋าที่มีเพียงหนังสือเรียนเก่ามือสองตกทอดมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหา หรือกระเป๋าสตางค์ซึ่งมีเงินเหลืออยู่แค่สิบบาทของเขาหรอกใช่ไหม?
เอาละ หากจะให้แนะนำตัวเอง เขาคงต้องพูดว่า 'กระผม..นายปิ่นหยก แววสินธุ์ อายุ 17 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ฐานะยากจน ค่อนไปทางจนมาก ปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคกระยาจกซึ่งมีสมาชิกเพียงคนเดียวคือตัวผมเอง' หรืออะไรทำนองนั้น
และให้ตายเถอะ ไม่เคยคิดเลยว่าจะถูกใครแอบตาม ไม่ว่าไอ้คนที่ย่องตามมานั้นจะหวังอะไรก็แล้วแต่ อาจยกเว้นตามทวงหนี้ซึ่งเขาก็มั่นใจว่าไม่ได้ไปก่อหนี้เพิ่มไว้ที่ไหน
“เหลือตังค์แค่สิบบาทเอง”
เด็กหนุ่มแสร้งพึมพำออกมาดัง ๆ ท่ามกลางความเงียบ มือยกขึ้นปัดไรผมสีน้ำตาลเข้มชื้นเม็ดฝนให้พ้นตา ขณะลอบมองไปยังเงาตะคุ่มซึ่งทอดจากมุมตึกด้านหลัง นึกหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ในใจ ได้ยินไหมไอ้โจรงี่เง่า ไม่มีตังค์ให้วิ่งราวหรอกนะเว้ย ตามไปก็เสียเวลาเปล่าน่า อยากได้เงินไปตามอาเสี่ยตู้ทองเคลื่อนที่ในตลาดดูฉลาดกว่าเยอะ โน่น ๆ
“...”
เขาก้าวขาเงียบเชียบ ฟังเสียงหยดน้ำซึ่งค้างอยู่บนกองเหล็กเก่าหยดลงพื้นเปาะแปะ
“....”
เงียบฉี่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางทีอาจไม่ใช่โจรก็ได้
ปิ่นหยกถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตัดสินใจจ้ำพรวดพราดออกห่างจากบริเวณตึกร้าง เร่งฝีเท้าอีกนิดเดียวก็ถึงเขตตลาดแล้ว จะคนหรืออะไรที่ตามมาก็ช่างหัวเถอะ สายตามองเห็นร้านขายของรถเข็นอยู่ลิบ ๆ ข้างหน้า ไม่เกินอึดใจคงหลุดจากเส้นทางเปลี่ยวนี้ได้โดยสวัสดิภาพ ถ้าเพียงแต่...
โครม!
จะไม่มีเสียงมวลสารขนาดใหญ่บางอย่างทิ้งตัวลงปะทะพื้นอย่างนี้
เคร้งง! ตุ้บ!
ตามด้วยเสียงโอดครวญของตัวต้นเหตุ ผู้นั่งจ๋องสิ้นท่าอยู่ท่ามกลางขยะเศษเหล็กหลังกำแพงผุพัง
“โอย…ย...”
ปิ่นหยกจ้องร่างสูงของใครบางคนซึ่งกำลังนั่งลูบแขนตัวเองป้อย ๆ อยู่บนพื้น ท่าทางจะสะดุดอะไรสักอย่างกลางกองขยะนั่น ฝุ่นสนิมร่วงกราวจากแผ่นสังกะสีที่วางพาดอยู่บนศีรษะ สภาพย่ำแย่เสียจนอยากมองข้ามตัวอักษรบนอกเชิ้ตขาวอันบ่งชี้ว่าคนตรงหน้าเป็นนักเรียนโรงเรียนเดียวกัน
และจะว่าไปแล้ว..
เขาหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด แต่ยังรักษาระยะห่างประมาณสองเมตรไว้ เผื่ออีกฝ่ายจะเกิดบ้าวิ่งราวเงินสิบบาทของเขาไป
แฮ่ม! ไม่ได้งกหรอกนะ แต่มันก็เงินไม่ใช่หรือ!?
ปิ่นหยกขมวดคิ้ว ดูดี ๆ แล้วหมอนี่หน้าคุ้นมากทีเดียว
“ช่วยหน่อย” มนุษย์เศษเหล็กบนพื้นเอ่ยขึ้นมาเป็นครั้งแรก ด้วยถ้อยคำที่พิจารณาจากน้ำเสียงเรียบเฉยแล้วน่าจะเป็นประโยคคำสั่งมากกว่าขอความช่วยเหลือ ทำเอาคนฟังเริ่มปรี๊ดจนเส้นเลือดบนขมับเต้นตุบ ๆ
“เป็นอะไรลุกเองไม่ได้!?”
เด็กหนุ่มขยับเข้าใกล้ร่างนั้นอีกนิดโดยไม่รู้ตัวเพื่อไปหยุดยืนกอดอก มีดวงอาทิตย์หลังฝนตกเป็นฉากหลัง เงาดำทอดลงไปบนใบหน้าของอีกฝ่ายพอดิบพอดี คล้ายเป็นฉากหนึ่งในหนังวัยรุ่นก่อนคู่อริจะลงไม้ลงมือ
อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่กลับจ้องเขาด้วยสายตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ฟังภาษาคนรู้เรื่องไหมนี่?
โดนจ้องมากเข้าก็เริ่มทำตัวไม่ถูก พยายามสู้กับแววตาเรียกร้องตรงหน้า พอดูใกล้ ๆ อีกทีแล้วหมอนี่ยิ่งคุ้นมาก...มากแบบมาก ๆ
เขาพยายามรีดเร้นความทรงจำซึ่งอาจมีเกี่ยวกับคนตรงหน้าเต็มที่ ชุดนักเรียนโรงเรียนเดียวกัน ตัวสูง ผิวขาวจัด ผมดำขลับ คิ้วเข้ม ดวงตาติดจะโศกนิดหน่อยสีเดียวกับสีผม ใบหน้าโดยรวมแล้วจัดว่า...หล่อ...ทีเดียว ไม่สิ โคตรหล่อเลยต่างหาก น่าหมั่นไส้ฉิบหาย! ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนร่วมชั้น ม.6 คล้าย ๆ ว่าจะเพิ่งย้ายมาอยู่ห้องเดียวกันวันนี้ ดูเหมือน...
นี่มันไอ้คนที่นั่งข้างหลังเขาวันนี้นี่หว่า!
“อาทิตย์!?" / “ปิ่นหยก”
เป็นการประสานเสียงโดยมิได้นัดหมาย
นิ่งกันไปราวสามวินาที หรือพูดให้ถูกคือเป็นเขาคนเดียวซึ่งออกอาการเหวอ ขณะที่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าตกใจเท่าไรนัก แต่นั่นละ หมอนี่เป็นคนเดินเกาะติดมาเอง ก็ต้องรู้อยู่แล้วว่ากำลังตามใครอยู่ ทำตัวเป็นพวกโรคจิตไปได้
เด็กหนุ่มถอนใจเฮือก เผลอสบสายตากับคนตรงหน้าอีกครั้ง นึกสงสัยว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?
ไม่แปลกเลยที่เขาจะจำเพื่อนร่วมชั้นซึ่งกำลังนั่งแหมะหมดท่าไม่ได้ในแวบแรก ในเมื่อเพิ่งมีการเปลี่ยนย้ายห้องเรียนกันวันนี้เอง
เป็นเรื่องปกติในโรงเรียนของพวกเขาซึ่งมีการเปลี่ยนห้องทุกครั้งที่มีการเลื่อนชั้น ทั้งนี้เพื่อคัดเด็กหัวกะทิเข้ามาเรียนรวมกันในห้องคิง และกระตุ้นให้นักเรียนขยันทำคะแนนในทุกปีการศึกษา การสอบคัดเลือกจะมีขึ้นตามหลังการสอบปลายภาคเรียนที่สอง และประกาศห้องเรียนในวันแรกของภาคเรียนถัดไป
ด้วยเหตุนี้ นาย 'แสงอรุณ วิจิตรนิรันดร์' หรือนายอาทิตย์ที่ว่า ก็เพิ่งได้กลายมาเป็นเพื่อนร่วมห้องของเขาวันนี้เป็นวันแรกนั่นเอง
“จะนั่งอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม?” เป็นปิ่นหยกที่สิ้นความอดทน ส่งเสียงทำลายความเงียบขึ้นก่อน
“ใจร้าย” อีกฝ่ายตัดพ้อ มือใหญ่ยกขึ้นคว้าหมับเข้าที่ข้อมือเขาเพื่อดึงตัวเองลุกขึ้นทรงตัวบนขา หลังจากประเมินสถานการณ์แล้วว่านั่งรออยู่เฉย ๆ คงไม่มีนางฟ้าที่ไหนใจดียื่นมามือช่วยพยุงเป็นแน่ “มีตังค์แค่สิบบาทแถมยังแล้งน้ำใจอีก”
ราวกับเส้นเลือดที่ขมับปิ่นหยกจะเริ่มเต้นเป็นจังหวะร็อคหนักหน่วงกว่าเก่า คิ้วขมวดแทบผูกกันเป็นปม อ้อ ตกลงเมื่อกี้ได้ยินสินะ สิบบาทแล้วมันผิดหรือ!? น่าเตะปลายคางสักทีดีไหม มุมนี้กำลังเหมาะ
ไม่เอาน่า
สติฝ่ายดียังรั้งตัวเองเอาไว้บ้าง เขาพ่นลมหายใจพรืดด้วยความหงุดหงิด สะบัดมือเบา ๆ พอให้อีกคนรู้ว่าลุกเสร็จก็ปล่อยได้แล้ว ส่ายหน้าไล่ความคิดอยากทำร้ายร่างกายเพื่อนร่วมชั้นออกจากหัวด้วยกลัวไม่มีเงินจ่ายค่าเสียหาย ก่อนจะยิงคำถามตรงประเด็น
“ตามมาทำไม?”
พ่อยอดชายนายอาทิตย์ไม่มีทีท่าว่าจะตอบคำถามง่าย ๆ แถมนอกจากไม่ตอบแล้วยังหันไปเอามือปัดฝุ่นที่เลอะตามกางเกงและกระเป๋าเสื้อผ้า...อีก...?
กระเป๋าเสื้อผ้า!?
ปกติใครเขาหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าใบโตอย่างนั้นมาเรียนกัน(วะ)!?
“แล้วนั่นอะไร?” ปิ่นหยกชี้ไปที่วัตถุต้องสงสัย “ย้ายบ้านเรอะ!?”
“อือ”
คำตอบแรกที่ได้รับตั้งแต่ถามมาทำเอาเด็กหนุ่มงงไปพักใหญ่ ย้ายบ้าน? ควรต้องบอกไหมว่าเขาถามประชด แล้วช่างตอบมาได้ว่าว่าย้ายบ้านจริง ๆ
“ที่จริงโดนคุณพ่อไล่ออกมาน่ะ” อีกฝ่ายชี้แจงเพิ่มเติม
“อ้อ..เข้าใจละ” เขาทำหน้าเออออเข้าใจอยู่เพียงแวบเดียวจึงนึกขึ้นมาได้ ว่านั่นไม่ช่วยให้กระจ่างขึ้นสักนิด!
"เพ้อเจ้อว่ะ"
ปิ่นหยกส่ายหน้าแล้วยกมือขึ้นกุมขมับ ตัดสินใจหันหลังกลับเพื่อทิ้งตัวปัญหาเอาไว้ที่เดิม ถึงเรื่องของเจ้านี่จะฟังดูประหลาด แต่ความจริงมันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แถมตอนนี้ฟ้าเริ่มจะครึ้มอีกรอบ หากไม่รีบเห็นทีคงได้วิ่งลุยฝนเป็นแน่
เขาแหงนมองฟ้าครึ้ม ขาพาตัวเองก้าวออกจากตรงนั้นโดยไม่คิดหันกลับไปมองอีก ปราศจากความเฉลียวใจสักนิดกับเรื่องของโชคชะตาฟ้าลิขิตในวันฝนตก และสิ่งที่คิดว่า ‘ไม่เกี่ยวกับตัวเอง’
เพราะแน่นอนว่าปิ่นหยกคิดผิด มันเกี่ยวกับเขาแน่ ๆ
เกี่ยวอย่างมากเสียด้วย!
“กลับมาแล้วครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงอ่อนระโหยเมื่อก้าวขาเข้าธรณีประตูร้านเค้กที่อยู่ชั้นล่างสุดของหอพัก เป็นใครก็คงพาลหมดแรงเอาง่าย ๆ หากมีปลิงเผือกตัวใหญ่เกาะหลังมาด้วยตลอดทางเช่นนี้
“กลับมาแล้วหรือ” ถ้อยคำทักทายขึ้นจากหลังเคาน์เตอร์ เจ้าของเสียงกำลังก้ม ๆ เงย ๆ จัดเค้กชิ้นโตลงกล่องตามออเดอร์ลูกค้า เงยหน้าขึ้นมาอีกทีจึงได้เห็นเด็กหนุ่มที่เป็นทั้งลูกจ้างและเป็นเสมือนคนในครอบครัวกำลังยืนทำหน้าเซ็งโลกเหลือจะกล่าว
“วันนี้ยุ่งไหมพี่เอม” ปิ่นหยกถามเสียงโมโนโทนแล้วหันไปตวาดคนข้างหลัง “ปล่อยเว้ย!”
“เดี๋ยวนายหนีอีก”
“หนีป๊ะอะไร ถึงหอแล้วนี่ไง”
“เพื่อนหรือ?” เอมจิตถามพร้อมส่งรอยยิ้มที่หากสาว ๆ เห็นคงละลายตายกลายเป็นช็อกโกแลตฟองดูอยู่ตรงหน้านั่นเอง ชายหนุ่มวัยยี่สิบห้าปีผู้เป็นเจ้าของหอพักพร้อมกับเปิดร้านเค้ก ณ ชั้นล่างสุดของหอไปด้วยคนนี้เรียกกลุ่มลูกค้าผู้หญิงได้เยอะอย่างไม่น่าเชื่อ
เขาเกือบตอบไปแล้วว่าไอ้นี่ปลิงเผือกครับไม่ใช่เพื่อน แต่ก็ตัดสินใจพยักหน้าอย่างเสียมิได้พร้อมกับเอ่ยอ้อมแอ้ม “..อ่า..เรื่องมันยาวอะพี่เอม คือว่าเจ้านี่จะขอมาค้างด้วยซักคืนนึงเพราะว่า...จะทำรายงาน”
“สวัสดีครับ ชื่ออาทิตย์ครับ” เด็กหนุ่มร่างสูงยกมือไหว้ท่าทางสุภาพเรียบร้อย และเป็นครั้งแรกที่ยอมปล่อยมือจากคอของคนข้าง ๆ หลังจากเกาะหนึบมาตลอดทาง “ต้องขอรบกวนแล้วครับ”
ภาพที่เห็นจากหางตาทำปิ่นหยกต้องหันขวับไปจ้องเขม็งอย่างขัดอกขัดใจ เกิดจะนอบน้อมเป็นคนละคนขึ้นมาเชียวไอ้เบื๊อกนี่!
เอมจิตเพียงแต่เลิกคิ้วแล้วจ้องคนทั้งสองราวกับจะส่องให้ทะลุปรุโปร่ง สุดท้ายก็พยักหน้ายิ้ม ๆ ซึ่งทำให้ปิ่นหยกนึกหวั่นกับท่าทีนิ่งสนิทของนายจ้างอยู่นิดหน่อย เห็นแล้วพาลจะขนลุกอยู่เรื่อยเชียว
เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง ทำไมผู้ใหญ่คนนี้จะไม่รู้ว่าเขาโกหก เพียงแต่เอมจิตใจดีและสุขุมพอจะเลือกวิธีจัดการกับเด็กวัยรุ่นอย่างคนที่เคยผ่านโลกมามากกว่า ชายหนุ่มรู้ว่าที่ได้ฟังนั้นไม่ใช่ความจริงทั้งหมด รู้ว่าอีกไม่นานปิ่นหยกคงเป็นคนเล่าให้ฟังเอง และรู้ว่าถึงปิ่นหยกไม่พูด เขาก็มีวิธีบังคับให้เจ้าตัวพูดออกมาได้ไม่ยากเย็นหากอยากรู้
“ยินดีต้อนรับนะ หอพักตอนนี้ไม่มีห้องว่าง แต่คงนอนห้องปิ่นใช่ไหมคืนนี้” เอมจิตก้มลงมองกระเป๋าเสื้อผ้าที่อาทิตย์หิ้วติดมือมาด้วยแล้วพยักพเยิดไปทางบันไดพร้อมกับคำอนุญาต “เอาของขึ้นไปเก็บก่อนสิ”
.●♥-------------------------------------------♥●.
“...เฮ่อออ”
สิ่งที่ปิ่นหยกบอกกับเอมจิตว่าเรื่องมันยาว แท้จริงแล้วสั้นนิดเดียว
แค่หลังจากพบกันเมื่อเย็น เขาเดินหันหลังกลับ ตัดสินใจทิ้งสิ่งที่ดูท่าทางจะเป็นตัวปัญหา (ซึ่งอาทิตย์เถียงมาตลอดทางว่าไม่ใช่) ไว้กับกองขยะเศษเหล็ก แต่แน่นอน ถ้ายอมง่าย ๆ จะเรียกว่าตัวปัญหาได้อย่างไร?
ผลลัพธ์จึงกลายเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงอาศัยความได้เปรียบทางกายภาพ เกาะแขนตีซี้ขอมาค้างด้วย เพราะเพิ่งถูกพ่อไล่ออกจากบ้านด้วยเหตุผลที่ยังไม่เปิดเผย เนื่องจากเจ้าตัวบอกยังไม่มีอารมณ์จะเล่า ดูมัน...
หลังจากแกล้งทำเป็นเดินหลงทางสองครั้ง สลัดออกสามครั้ง พยายามทำอะไรสักอย่างที่คล้ายจะเร่งฝีเท้าหนีแต่ไม่ทันสี่ครั้ง ปิ่นหยกจึงยอมรับความพ่ายแพ้ว่าที่เสียแรงทำไปนั้นช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะนอกจากหลุดออกมาไม่ได้ กลับกลายเป็นยิ่งโดนเกาะหนึบหนักข้อขึ้นเรื่อย จนสุดท้ายกว่าจะกลับถึงหอพักก็แทบจะกอดรัดกันเป็นโคอาล่าเกาะต้นไม้
ไม่สิ เขางุ่นง่านนิดหน่อยเมื่อนึกถึงตรงนี้ เรียกปลิงเผือกเหมาะกว่า โคอาล่ามันน่ารักไป
ด้วยเหตุนี้เด็กหนุ่มจึงได้แต่มานั่งทอดถอนใจกับตะกร้าผ้าเพิ่งซักเสร็จเตรียมเอาไปตาก ปล่อยให้รูมเมทเฉพาะกิจคนใหม่จัดการรื้อข้าวของตัวเองออกมาวางตรงที่ชอบ ๆ ในห้องเขา ปราศจากอาการรู้สึกรู้สาแม้สักนิดว่ากำลังทำตัวเป็นภาระชิ้นโต
ทว่าราวกับจะรับรู้ได้ถึงสายตากดดันซึ่งถูกส่งมาทิ่มหลัง อาทิตย์ขยับตัวยุกยิก แต่ไม่ใช่เพื่อแสดงความลำบากใจแน่นอน ครู่หนึ่งจึงชิงพูดขึ้นมาก่อนท่ามกลางความเงียบ
"พี่เอมเป็นพี่ชายนายหรือ?"
"เปล่า” ปิ่นหยกตอบด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “เป็นนายจ้าง" ว่าพลางเอาเท้าเขี่ย ๆ เสื้อผ้าอีกฝ่ายที่ขนมาวางบนเตียงเขาอย่างกับตั้งใจจะอยู่ห้องนี้สักชาติเศษ ทำมันหล่นลงพื้นไปบางส่วนด้วยความหมั่นไส้
"อ้อ" อีกฝ่ายพยักหน้า เก็บเสื้อผ้าที่ร่วงไปขึ้นมาวางที่เดิมท่วงท่าเนิบนาบ
ปิ่นหยกระรานด้วยการเขี่ยมันหล่นดูอีกครั้ง อาทิตย์เก็บขึ้นมาอีกรอบ เขาลองดูอีกหน อาทิตย์ก็เก็บเสื้อผ้าขึ้นมาวางอีกที ไม่มีวี่แววจะหงุดหงิดอะไรออกมาแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มถึงกับเผลอแสดงสีหน้าขยาดออกมาไม่รู้ตัว หมอนี่อาจเป็นคนบ้าจริง ๆ ก็ได้
“ประสาท!”
ปิ่นหยกเลิกสนใจ หันกลับไปทำงานของตัวเองต่อ ยังมีอะไรต้องจัดการอีกมากให้คุ้มกับที่ได้รับความเอ็นดูจากนายจ้าง
ตัวเขาไม่ใช่น้องแท้ ๆ ของเอมจิต แรกเริ่มเดิมทีก็เป็นแค่เด็กทำงานพิเศษ แต่เพราะอยู่มานานจนเป็นที่ไว้ใจ แถมยังเป็นเด็กดีช่วยงานทุกอย่างตั้งแต่ในร้านไปจนถึงงานบ้านทั้งหลายแหล่ สุดท้ายเลยกลายเป็นเหมือนสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่งซึ่งมีเอมจิตเป็นหัวหน้าครอบครัว มีน้องชายของเอมจิตอีกคนชื่ออุ่นใจ และตัวเขาเองที่แก่กว่าอุ่นใจสองปี โชคดีจริง ๆ ตรงพี่น้องคู่นี้น่ารักทั้งสองคน นอกจากจะอยู่กันเป็นครอบครัวอย่างอบอุ่น ค่าเช่าห้องก็ไม่ต้องเสีย แลกกับการทำงานบ้านและช่วยงานที่ร้าน เป็นการดีกับสถานะทางการเงินของตัวเองไม่น้อยทีเดียว
งกหรือ? ก็บอกว่าไม่ได้งกไง..แค่รู้จักใช้เงิน!
ระหว่างทาง เด็กหนุ่มแวะหยิบพายไก่ที่ได้ฟรีจากลูกค้าประจำของเอมจิตมาคาบไว้ สองมือยกตะกร้าผ้าขึ้นข้างละใบค้ำไว้กับเอวเดินดุ่ม ๆ ไปยังลานซักล้างด้านหลังเตรียมจะตากผ้า แต่ยังไม่ทันได้เริ่มทำอะไรก็ถูกร่างสูงของใครบางคนโผล่พรวดเข้ามายืนขวางทาง
“อีอะไอ!?” (มีอะไร!?) เขาถามเสียงอู้อี้ พายไก่ยังคาบอยู่เต็มปาก
“นี่ปิ่นหยก มาคิดดูแล้ว” อีกฝ่ายเดินเข้ามาประชิดแล้วเอ่ยเสียงเรียบ ซึ่งก็ออกจะเรียบเกินไปจนไม่เข้ากับประโยคที่ถูกเอ่ยออกมาหลังจากนั้นแม้แต่น้อย
“ฉันเสนอร่างกายให้นายเป็นไง?”
“!?”
ตะกร้าผ้าหล่นโครม เมื่ออยู่ ๆ มนุษย์หน้ามึนก็โพล่งขึ้นมาไม่มีปีมีขลุ่ย ปิ่นหยกทำท่าเหมือนอยากตะโกนให้ลั่นโลกว่ารู้ตัวไหมพูดอะไรออกมา ติดอยู่ตรงถ้าแหกปากไปตอนนี้พายไก่ที่คาบอยู่อาจจะหล่นลงพื้นเสียของได้
“จากนี้ก็ไม่รู้จะไปนอนไหนแล้ว ขอเอาร่างกายแลกกับที่พักและอาหารเถอะนะ”
อาทิตย์ไม่พูดเปล่า มือยังยกขึ้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวเองอย่างใจเย็นกลางลานซักล้างชนิดไม่อายผีสางนางไม้
“เฮ่ย!”
พร้อมกับที่พายไก่แสนรักของเขาทิ้งตัวลงพื้นอย่างสวยงามด้วยลีลาราวนักกระโดดน้ำระดับชาติ
“จะบ้าเรอะ!?”
เสียพายอย่าเสียสติ ถึงจะอาลัยอาวรณ์ของกินขนาดไหน แต่เรื่องไอ้คนตรงหน้าซึ่งกำลังแกะกระดุมเสื้อโชว์แผงอกและกล้ามท้องจนถึงเม็ดสุดท้ายแล้วช่างบ้ายิ่งกว่าจนไม่มีเวลาไปสนใจ หากไม่รีบห้ามไว้มันคงกะแก้ผ้าล่อนจ้อนแน่ ๆ เขาตั้งสติได้ก็รีบตวาดต่อทันที
“ใครจะอยากได้ตัวผู้อย่างแกเป็นเมีย!?”
อาทิตย์ช้อนสายตาใสแจ๋วขึ้นมอง แต่หลังจากประเมินแล้วว่าหุ่นใหญ่สูงชะลูดของตัวเองช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลยจึงเปลี่ยนเป็นโน้มตัวมาหาด้วยท่าทางราวกับเด็กอ่อนโลก ซึ่งแน่นอนว่าขัดกับประโยคที่เอ่ยออกมาแบบสุดติ่ง!
“ตกลงจะให้เป็นเมียเลยหรือ? ตอนแรกก็กะว่าจะแค่มอบร่างกายให้เฉย ๆ เสียอีก”
ถัดจากตะกร้าผ้า พายไก่ เด็กหนุ่มเจ้าของห้องก็ไม่เหลืออะไรให้ทำร่วงลงพื้นได้อีก แต่สีหน้าและปากที่อ้าค้างอยู่ตอนนี้ค่อนข้างชัดเจนว่า หากเขาทำขากรรไกรล่างร่วงตามลงไปได้คงทำแล้ว ไอ้หน้าหล่อพ่อทิ้งนี่มันบ้า! บ้ากู่ไม่กลับหมอไม่รับรักษา หน้าตามีชาติตระกูลแต่สติไม่เต็มเต็งช่างน่าสงสารสิ้นดี!
“..ห..หยุดเลย!! ติดกระดุมนั่นด้วยแล้วฉันจะไม่เอาเรื่องที่นายตามสตอล์กคนอื่นมาถึงบ้าน สร้างความตื่นตระหนกให้ประชาชนด้วยคำพูดสองแง่สามง่ามและฆาตกรรมพายไก่ของฉันอย่างเลือดเย็นแบบนี้!” ปิ่นหยกยัดข้อหาให้สามกระทงซ้อน ตามด้วยชี้ไปยังเสื้อผ้าซักแล้วที่บัดนี้เทกระจาดออกมากองอเนจอนาถอยู่บนพื้น “ไหนจะผ้าพวกนี้อีก แล้วยังมีหน้ามาทำท่าจะเปิดโชว์ของลับกลางที่แจ้ง! เป็นพวกโรคจิตชอบอวดของเรอะ!?”
อาทิตย์ยืนทำหน้ามึน ขณะที่เด็กหนุ่มโวยวายฉอด ๆ อยากแปลงร่างเป็นก็อดซิลล่าพ่นไฟทำลายเมืองขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น ได้ยินเสียงงึมงำเถียงกลับมาว่ายังไม่ทันได้โชว์อะไรเลยยิ่งพาลจะทำให้ปรอทแตก ที่สุดแล้วเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวไม่มีทีท่าอยากติดกระดุมเสื้อกลับให้เรียบร้อยสักที จึงได้กระชากเสื้อเชิ้ตตรงหน้าเอามาติดให้เสียเอง ไม่ทันสังเกตเลยว่าระยะระหว่างปลายจมูกตอนนี้ช่างเป็นความใกล้อันน่าหวาดเสียว
“หน้าแดงด้วยแน่ะ”
“ห๊ะ!?”
จังหวะเดียวกับที่กระดุมเม็ดสุดท้ายถูกติดขึ้นมาจนชิดลำคอ ปิ่นหยกจึงได้เงยขึ้นมองตามเสียงทัก
ฉิบหาย...ใกล้เกินไปแล้ว!
ใกล้จนรู้สึกได้เลยว่าลมหายใจร้อนผ่าวของอีกฝ่ายกำลังพ่นปะทะหน้าใบหน้าเขา ขณะที่เจ้าตัวกำลัง...หัวเราะ?
ไอ้ตูดหมึก! กล้าหัวเราะเยาะเขาเรอะ!?
“ยิ่งแดงใหญ่เลย” อาทิตย์ยิ้มละมุนผิดสถานการณ์เป็นที่สุด “ตกลงว่ารับฉันเป็นภรรยาแล้วใช่ไหมที่รัก”
ว่าแล้วยังจัดการปลดกระดุมเสื้อตัวเองออก ทั้งที่เขาเพิ่งติดให้เรียบร้อยไปเมื่อครู่แท้ ๆ ปิ่นหยกรู้สึกหน้ามืดวิงเวียนกะทันหัน ถูกโจมตีจากความขาวของแผงอกกว้างซึ่งพุ่งเข้ากระแทกตาด้วยพลังทำลายล้างสูง เมื่อรวมกับคำว่า 'ที่รัก' เสียงทุ้มต่ำห้อยอยู่ท้ายประโยคยิ่งฟังดูโรคจิตบัดซบ เพราะดันออกมาจากปากมนุษย์เพศเดียวกัน
รู้ตัวอีกที หมัดลุ่น ๆ ของเด็กหนุ่มก็พุ่งตรงเข้าจมูกคนที่อุปโลกน์ตัวเองเป็นศรีภริยาอย่างงดงาม
“...เจ็บ..”
อาทิตย์พึมพำเป็นรอบที่สาม แม้เลือดกำเดาจะหยุดไหลแล้วหลังจากโปะถุงน้ำแข็งไว้ที่จมูกมาได้ครู่ใหญ่ “ไม่อยากรับเป็นภรรยาก็บอกกันดี ๆ สิครับ สามีที่ดีเขาไม่ใช้กำลังหรอกรู้ไหม?”
“อุ๊! แค็ก!”
ใจคอมันจะวางแผนฆาตกรรมโดยการทำตัวสะดิ้งให้เขาสำลักน้ำลายตายหรืออย่างไร!?
“เป็นพวกชอบซ้อมเมียหรือ?” เด็กหนุ่มร่างสูงเห็นอีกฝ่ายไม่เถียงอะไรก็ดูจะยิ่งได้ใจ พูดต่อเป็นฉาก ๆ ทั้งหน้าสีเมาชีวิต “ตบจูบ ๆ แบบในหนังอะไรงี้?”
เย็นไว้ปิ่นหยก อย่าถือคนบ้า อย่าฆ่าคนมึน
“อืม...หรือว่า—“
“หยุดเลยไอ้—!”
จนปัญญาจะหาคำเหมาะ ๆ มาด่า เขาพ่นลมออกมาทางจมูกอย่างเหลืออด “ถ้ายังพูดแมว ๆ อีกฉันจะส่งแกไปเป็นดาวลูกไก่ดวงที่แปด!”
หลังจากนั่งทำหน้ามึนกว่าปกตินิดหน่อยเพราะของเดิมก็ดูจะมึนอยู่แล้ว อาทิตย์จึงถามเสียงซื่อ ซึ่งคงฟังดูดีกว่านี้หากมันออกจากปากเด็กน้อยอายุห้าขวบ “อะไรคือดาวลูกไก่?”
“ไม่รู้จักเรอะ!?” สามีจำเป็นหันไปทำหน้าไม่อยากเชื่อ “กระจุกดาวที่มันมีอยู่เจ็ดดวงไง!”
“ไพลยาดีสน่ะหรือ?”
“กระแดะชื่อฝรั่ง!” ปิ่นหยกย่นจมูกพร้อมยันโครมไปหนึ่งทีข้อหาหมั่นไส้
“ชอบซ้อมเมียจริง ๆ ด้วย” อีกฝ่ายบ่นทั้งที่ยังหน้านิ่ง ชัดเจนว่าตอนถูกยันไปเมื่อครู่ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนเลยสักนิด แล้วยังน้ำเสียงราบเรียบขัดกับเนื้อหาในประโยคนั่นอีก เชื่อว่าต่อให้เด็กอนุบาลมาได้ยินก็คงรู้สึกว่าน่าโดดเตะก้านคอสิ้นดี “..ทำไมต้องลูกไก่?”
“ไม่เคยฟังนิทานหรือไง เด็กสมัยนี้นี่!” ปิ่นหยกส่ายหน้าหน่าย ๆ คงลืมไปแล้วว่าเป็นรุ่นเดียวกัน
“ปิ่นหยกดูแก่ดีจัง ไม่เสียแรงมาขอพึ่งพา” อาทิตย์พยักหน้าเออออกับตัวเองพลางนั่งแคะคราบเลือดกำเดาที่ติดอยู่เหนือริมฝีปากไม่แคร์สื่อ อีกมือก็หยิบน้ำแข็งในถุงซึ่งเพิ่งเอามาโปะจมูกออกมาเคี้ยวเล่น ขณะที่เจ้าของห้องรู้สึกเหมือนตัวเองจะกำลังแปลงร่างเป็นเดอะฮัลค์แล้วจับไอ้งี่เง่าตรงหน้านี่ฟาด ๆ ๆ ลงกับพื้นสักสองสามทีให้หายปากเสีย ทว่าเพื่อนร่วมห้องไม่ได้รับเชิญชิงพูดขัดจังหวะขึ้นก่อนปิ่นหยกจะได้มีโอกาสเอาแผนฆาตกรรมในหัวออกมาใช้จริง ๆ
“เล่าให้ฟังหน่อย”
“ห๊ะ!?”
“ลูกไก่ไงครับ งงอะไร สอบได้ท็อปไฟว์ของ ม.หก ไม่น่าหัวช้าเลย” พูดเสร็จก็โยนก้อนน้ำแข็งขึ้นสูงเหนือศีรษะแล้วตั้งท่าจะอ้าปากรอรับ แต่เจ้าของห้องกลับยื่นมือไปคว้าก้อนน้ำแข็งไว้ได้กลางอากาศแล้วปาใส่หน้าผากไอ้ตัวปากเสียเสียงดัง ‘ป้อก!’
“เสียงก้องดีจริง กะโหลกกลวงนะแก”
“ถนอมเมียหน่อยสิครับ” อาทิตย์ส่งเสียงตัดพ้อแกมขู่แล้วยกมือไปลูบเศษน้ำแข็งที่ค้างอยู่ออกจากหน้าผาก ”เดี๋ยวหมดอายุการใช้งานก่อนวัยอันควรนายแหละจะขาดทุน”
ปิ่นหยกถอนหายใจยาวเป็นครั้งที่เท่าไรก็เพลียจะนับ ถ้าลมหายใจเขาเป็นต้นไม้มันคงถูกถอนจนสูญพันธุ์ไปแล้ว จริง ๆ นะ ที่โรงเรียนควรมีการตรวจคัดกรองสุขภาพจิตนักเรียนดูบ้างว่ามีใครบ้าอย่างหมอนี่อีกไหม จะได้รีบควบคุมไม่ให้เที่ยวออกมาเสนอตัวเป็นภรรยาคนอื่นอย่างที่เจ้าตัวกำลังทำอยู่
“เอางี้นะครับไอ้คุณอาทิตย์ ก่อนอื่นเราเลิกเล่นเป็นสามีภรรยาปัญญานิ่มอะไรนี่ก่อน แล้วจะได้คุยกันดี ๆ เสียที”
เจ้าของชื่อทำหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งแล้วยักไหล่ “เลิกก็ได้ ที่จริงก็ไม่ได้อยากเป็นเมียใครหรอก เสียเชิงชายหมด”
ปิ่นหยกอยากตะโกนว่ามันควรจะคิดได้ตั้งนานแล้วว้อย! แต่ที่สุดก็ตัดสินใจสงบปากสงบคำแล้วเตรียมล้มตัวลงนอน วันนี้ใช้พลังงานกับเรื่องบ้า ๆ มามากพอแล้ว ไหนจะต้องซักผ้าถึงสองรอบเพราะเหตุการณ์เมื่อเย็นอีก หากเขาโชคดีพอ พรุ่งนี้เช้าอาจตื่นมาแล้วพบว่าทั้งหมดนี่แค่ฝันไปก็ได้
“เดี๋ยวสิ จะทำอะไรน่ะ?”
“กินข้าวมั้งเนี่ย!” ปิ่นหยกโวยวายพร้อมกับคลานขึ้นเตียง “จะนอนแล้ว!”
“ยังนอนไม่ได้นะ!” อีกฝ่ายส่งสายตาเว้าวอนชวนให้คนมองใจอ่อน แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ตอนเที่ยงคืนกว่าที่พลังงานเขาแทบเกลี้ยงหลอดอย่างนี้
“อะไรอีกล่ะไอ้บ้านี่”
“แล้วลูกไก่ล่ะ?”
“ลูกไก่?” เขาเลิกคิ้ว ประมวลผลไม่ทันกับเรื่องที่อาทิตย์กำลังพูดถึง “ลูกไก่อะไร”
“นิทานดาวลูกไก่ เพิ่งแป๊บเดียวลืมที่สัญญาจะเล่าแล้วหรือ?”
เอ่อ...ขอโทษนะ...แต่ไปสัญญาไว้ตอนไหนวะครับ!?
ปิ่นหยกพลิกตัวนอนคว่ำเอาหน้าซุกหมอน หลับหูหลับตาบอกปัด ๆ ไปก่อนเพื่อจบปัญหา “ง่วงแล้ว พรุ่งนี้ละกัน”
“คนไม่รักษาสัญญา” อาทิตย์ส่งเสียงโอดครวญ “เมื่อกี้เพิ่งบอกว่าถ้าเลิกเล่นผัวเมียจะเล่าให้ฟัง”
“ยังไม่ได้สัญญาเลยว้อย” เขาร้องอู้อี้ตอบโต้จากจุดที่ฝังหน้าอยู่
“คนโกหก”
ปิ่นหยกร้องบอกกับตัวเองว่าช่างหัวมันเถอะ
“ใจจืดใจดำ”
บ่นได้บ่นไป
“ปิ่กหยกครับ”
ถ้าเขาแกล้งหลับมันจะเหนื่อยจนหยุดพล่ามไปเองไหม?
“จะฟ้องหย่า!”
ถึงจุดนี้ปิ่นหยกไม่รู้แล้วว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี ใครก็ได้ช่วยหิ้วหมอนี่ไปคืนพ่อมันหน่อยได้โปรด!
“หนวกหูจริงว้อย!”
สิ้นคำตวาด สรรพสำเนียงน่ารำคาญหูก็เงียบหายไป ชั่วขณะที่กำลังคิดขอบคุณสวรรค์อันดลจิตดลใจให้สิ่งมีชีวิตแปลกปลอมในห้องสงบปากสงบคำลงได้เสียที ฟูกนอนกลับยวบลงตามน้ำหนักของอะไรบางอย่างที่ตัวใหญ่ สูง ผิวขาว คิ้วเข้ม หน้าหล่อ และสติไม่ดี
“ทำอะไรน่ะเฮ่ย!?”
“ลูกไก่” คนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนคร่อมเขาอยู่เอ่ยเสียงเรียบ นัยน์ตาดำขลับจ้องลงมาเหมือนลูกหมาอ้อนเจ้าของ ติดที่ไอ้ลูกหมานี่ออกจะตัวใหญ่ไปสักหน่อย “เล่าให้ฟังที..นะ?”
“เวรเอ๊ย!”
ปิ่นหยกกลอกตาสีหน้าสุดจะทน ไม่เล่าให้จบ ๆ ท่าทางคืนนี้คงไม่ได้หลับได้นอนกันแล้ว เด็กหนุ่มกลิ้งพลิ้ว ๆ มุดลอดใต้ช่วงแขนของตัวปัญหาหน้าเอ๋อ แล้วพลิกมานั่งกอดอกออกอาการเซ็งอยู่ตรงขอบเตียง บ่นหงุงหงิงไม่ได้ศัพท์เหมือนคนแก่ก่อนจะออกคำสั่ง
“โอเค รู้แล้ว! ฟังดี ๆ นะคุณเมียครับ!"
เขาถอนใจยาว เล่านิทานให้เด็กโข่งหน้ามึนฟังตอนเที่ยงคืนกว่ามันใช่เรื่องไหมนี่! ฝั่งตรงข้ามเป็นอาทิตย์นั่งทำตาใสแจ๋วอย่างน่าสอยร่วงเป็นที่สุดเมื่อเห็นว่าวิธีของตัวเองได้ผล
"กาลครั้งหนึ่งนานพอสมควร มีตายายอาศัยอยู่ในกระท่อมชายป่า”
เด็กหนุ่มขยี้ตา เริ่มต้นเล่านิทานน้ำเสียงงัวเงียด้วยประโยคยอดฮิต แล้วเนื้อเรื่องเป็นไงต่อนะ...ประมาณว่า “...ทั้งคู่เลี้ยงแม่ไก่ที่มีลูกไก่อยู่เจ็ดตัว” เขาพยักหน้ากับตัวเองหงึกหงัก ไม่ได้ฟังนานแล้วแต่น่าจะราว ๆ นี้ “ทั้งสองคนดูแลแม่ไก่และลูกไก่เป็นอย่างดี แต่วันหนึ่งมีพระธุดงค์มาปักกลดอยู่ใกล้กระท่อม ตายายก็เลยตั้งใจจะทำอาหารไปถวาย”
ปิ่นหยกเว้นระยะให้ตัวเองได้หาวหวอดใหญ่ออกมาหนึ่งครั้ง พร้อมกับเหลือบมองไอ้เด็กอนุบาลในร่างมัธยมที่คว้าหมอนมากอดอยู่บนตักแล้วจ้องกลับมาตาเป็นประกาย เห็นแล้วก็อดไม่ได้จะคว้าหมอนอีกใบมาฟาดใส่ไปทีหนึ่งข้อหาหมั่นไส้
“ทีนี้บ้านจนไง...เสบียงที่กระท่อมก็มีแต่ผักหญ้า สุดท้ายเลยตั้งใจจะเอาแม่ไก่ไปทำเป็นอาหาร”
อืม..จุดนี้สะเทือนใจเหมือนกัน เขานั่งเหม่อนึกถึงสมัยเด็กเมื่อครั้งแม่เคยเล่านิทานเรื่องนี้ให้ฟังครั้งแรก แต่ดูเหมือนจะเหม่อนานไปหน่อย คราวนี้เลยตกเป็นฝ่ายถูกเอาหมอนฟาดเบา ๆ กระตุ้น
“เล่าต่อเร็ว”
ปิ่นหยกทำท่าฟึดฟัดเล็กน้อยพอเป็นพิธี ที่จริงมานั่งทวนนิทานตอนนี้ก็ไม่เลวนักหรอก ทำให้ได้ดึงความทรงจำดี ๆ สมัยยังเป็นเด็กออกมาโลดแล่นอีกครั้ง ติดแค่ครั้งนี้ออกจะแปลกสักหน่อยที่ต้องเป็นคนเล่าเอง
“...แม่ไก่ก็เลยไปบอกลาลูก ๆ” เขาพึมพำ ตาลอยเล็กน้อยด้วยความง่วงงุน “พอเช้าวันรุ่งขึ้นตากับยายเตรียมก่อไฟทำอาหาร ทันใดนั้นลูกไก่เจ็ดตัวก็กระโจนเข้ากองไฟตายตามแม่ไก่ไป”
“ไม่ร้อนหรือ?”
“ร้อนสิ”
“ไก่ย่าง”
“อย่าขัดสิวะ!"
อาทิตย์ยิ้มน้อย ๆ “ดุจริง”
เด็กหนุ่มค้อนขวับ หมั่นไส้จนเอาเท้ายันหน้าแข้งคนฟังไร้มารยาทเบา ๆ เป็นการตักเตือนก่อนจะทำหน้าที่ตัวเองต่อ (ว่าแต่นี่หน้าที่เขาจริงหรือ?)
“เทวดาเห็นในความกตัญญูก็เลยเสก บรู้ม!...ลูกไก่เจ็ดตัวไหลลงท่วมทุ่งข้าวสาลีแล้วกลายเป็นโกโก้ครั้นช์”
“เหรอ!” อีกฝ่ายอุทานน้ำเสียงตื่นเต้น เขาเลยเอาหมอนฟาดเข้าไปเต็มรักอีกสักที หมอนี่มันโง่หรือบ้ากัน
“ก็กลายเป็นดาวลูกไก่บนฟ้าต่างหากเล่า! ทีอย่างงี้ทำเชื่อ”
ปิ่นหยกส่ายหน้าแล้วไถลตัวเองลงไปนอนแผ่บนเตียง เอาศอกดัน ๆ ให้เพื่อนร่างสูงที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมขยับไปนอนอีกฟูกของตัวเองซึ่งปูไว้บนพื้นเสียที
“ลูกไก่โง่นะ” อาทิตย์พึมพำ
“เขาเรียกกตัญญู”
เด็กหนุ่มผู้มาอาศัยห้องคนอื่นอยู่ ตอนนี้กำลังเหม่อมองไปยังกำแพงว่างเปล่าตรงหน้า ท่าทางยังคงมึน ๆ เหมือนเคย “ถ้ากตัญญูก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อคุณตากับคุณยายที่เลี้ยงมาสิ”
“ก็มันรักแม่มัน”
“ฉันก็รักคุณแม่ฉัน”
ปิ่นหยกทำหน้าเซ็ง “แล้วแกเป็นลูกไก่เรอะ!?”
”มันไม่ต่างหรอก”
เขากลอกตาเหลืออดเหลือทน พอกันที หมดอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียง ไม่รีบนอนพรุ่งนี้คงแหกขี้ตาตื่นมาช่วยงานครัวเอมจิตตั้งแต่ตีสี่เหมือนทุกวันไม่ไหวแน่ ๆ
“ตอนคุณแม่ตาย ฉันกับพี่ยังไม่ตายตามเลย...เราก็ยังอยู่ต่อเพื่อคุณพ่อ” อาทิตย์พูดเพียงเท่านั้นแล้วก็มุดตัวเข้าใต้ผ้าห่มบนที่นอนของตัวเองอย่างสงบ นิ่งเงียบเกินไปจนอีกคนบนเตียงต้องชะเง้อลงมาดูพร้อมสีหน้าฉงน
“อาทิตย์?”
“....”
ไม่ตอบ เป็นไปได้ไง?
“อาทิตย์!?”
มีเพียงความเงียบที่ได้รับกลับมา ปิ่นหยกเริ่มใจคอไม่ดี หรือเขาพูดกับอีกฝ่ายแรงเกินไป? ใครจะไปรู้ว่าแม่มันเสียแล้ว
”เฮ่ย..เป็นไรเปล่า?”
เด็กหนุ่มตัดใจต้านแรงดึงดูดจากความง่วงอันดึงรั้งให้หลังติดที่นอน ลุกจากเตียงแล้วลงมานั่งคุกเข่าข้างร่างสูงซึ่งนอนคลุมโปงอยู่บนฟูกตัวเอง
นี่แอบร้องไห้อยู่หรือเปล่าวะเนี่ยไอ้คุณอาทิตย์
“...อาทิตย์...ขอโทษ”
เขาบ่นในลำคออย่างไม่เต็มใจนัก เลิกผ้าห่มอีกฝ่ายขึ้นช้า ๆ เบามือ เพียงเพื่อจะพบว่า..
มันหลับไปแล้ว!
“...ไอ้ลูกเจี๊ยบ!” ปิ่นหยกคำรามลอดไรฟัน “แกเอาคำขอโทษแบบโคตรจะมาดแมนแฮนซั่มของฉันคืนมาเดี๋ยวนี้เลยนะว้อยยย!”
เทพเจ้าแห่งเงินตราและความร่ำรวยส่งไอ้ลูกเจี๊ยบโข่งนี่มาให้ผมทำไมครับ?
To be continued
.●♥-------------------------------------------♥●.
สวัสดีค่า ^o^
(ตอนแรกอย่างยาว)
เพิ่งเคยลงนิยายที่เว็บนี้เป็นครั้งแรกค่ะ
“รัก...ติดดิน” เรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องยาวในซีรีส์ [Dormitory Boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง] ซึ่งตั้งใจว่าจะมี 3 ภาค (3 คู่) ซึ่งภาคนี้เป็นภาคที่แต่งจนจบแล้ว ลงที่บอร์ดแห่งหนึ่งไว้ แต่นึกครึ้มอกครึ้มใจลองเอามาลงในเด็กดีบ้าง ถ้าเผื่อมีคนอ่านก็จะได้ทยอยลงต่อเรื่อย ๆ จนจบค่ะ ไม่ดองเพราะเป็นเรื่องที่เขียนจบไปแล้ว 555
ฝากเนื้อฝากตัว ฝากนายอาทิตย์ปิ่นหยกไว้ด้วยนะคะ
- RainyDay -
ความคิดเห็น