คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : i'm your villain - 2
-I’m your villain-
2
การพบกันเป็นความบังเอิญ
การยิ้มให้กันเป็นความตั้งใจ.
‘ มาเจอกันหน่อยมั้ย? ...เจโฮป ’
เหมือนโลกหยุดหมุนไปหลายวินาที ข้อความล่าสุดที่เด้งขึ้นมานั้นทำให้จองกุกถึงกับหลุดเข้าไปในความคิดของตัวเอง ตื่นเต้น ดีใจ ความรู้สึกมันตีรวนกันเสียจนยุ่งเหยิง แต่ถึงอย่างไรร่างบางก็หลุดยิ้มน่ารักออกมา สองมือจับโทรศัพท์ขึ้นมาใกล้สายตาอีกครั้ง เพื่อทดสอบความแม่นยำของสายตาว่าไม่ได้ฝ้าฟางแต่อย่างใด เสียงฝีเท้าที่หยุดชะงักลงชั่วคราวจนใครอีกคนที่เดินนำไปต้องหันกลับมาเรียก
“เฮ้จองกุก นายจะยืนบื้ออยู่ทำไมอีกอ่ะ? หิวข้าวแล้วนะโว้ย อะไรก็ไม่ได้สักอย่างเลยนะวันนี้แล้วยังจะทำตัวชักช้าอีก! ”
ยุนกิที่เห็นฝีเท้าเงียบไปก็รีบหันไปด้วยความสงสัยแต่ก็ต้อง งงเข้าไปอีกเมื่อเพื่อนตัวดีแต่ยืนนิ่งไม่ไหวติงแถมยังสังเกตเห็นแก้มตุ่ยยกยิ้มกว้างจนเกือบถึงใบหูนั่น ลำบากต้องสาวเท้าฉับเดินกลับไปหาแล้วหยิบโทรศัพท์มาดูเพื่อคลายความสงสัย
“ อย่าทำมาเป็นสะดิ้งไปหน่อยเลย จอนจองกุก! ” ยุนกิพูดจบพร้อมส่งโทรศัพท์คืนแถมยังทำสีหน้าล้อเลียนอีกคนไปด้วย
“โหยยุนกิแม่ ง แค่เขินหน่อยเดียวไม่ได้หรอวะ -_- แล้วก็คือแบบ.. คือ ฉัน....ไปนะ ได้ใช่มั้ย? ”
“จะไปหรอ.. ไปหาผู้ชายหรอออออ? แล้วนัดของเราอ่ะ? ”
“วันหลังก็ได้ไง เดี๋ยวส่งนัมจุนไปเดทกับยุนกิแก้ขัดไปก่อน.. นะ น้า...”
“ไอ้......”
ทันทีที่ได้ยินว่าเขากำลังจะโดนยกเลิกนัด ยกเลิกการกินที่สุดแสนจะสำคัญต่อร่างกายของมินยุนกิ เขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแล้วไหนจะมีชื่อบุคคลต้องห้ามนั่นเข้ามาอีกทำให้ยุนกิแทบจะกลายร่างเป็นฉนวนจุดระเบิดกลางสนามบินให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ชะงักเพราะใบหน้าเว้าวอนของเพื่อนรักที่ดูเหมือนตุ๊กตาจนหน้าหยิกปนน่าหมั่นไส้นั่นมาคลอเคลียอยู่ข้างๆอย่างออดอ้อนนี่มันอดที่จะสงสารไม่ได้จริงๆ
จองกุกเห็นสีหน้าครุ่นคิดของอีกคนก็ยิ่งได้ใจ ออดอ้อนครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตากลมโตกระพริบถี่อย่างรู้ว่าอีกคนจะต้องแพ้ทางมัน และก็ได้ผล เมื่อคนโดนเล่นงานนั้นยอมพยักหน้าแต่โดยดี
“เอออ... ก็ได้วะฮึ่ยย”
“ยุนกิคนดีจังเลยอ่ะ ไว้รอบหน้าจะขุนข้าวไถ่โทษเนอะเพื่อนเลิ้บ จ้วบบบบบบบบ” ไม่พูดเปล่าทำท่าทำทางปากห่ออย่างกับจะดูดหัวของยุนกิเข้าไปด้วยจนอีกคนถดตัวหนี “กับคนหล่อบ้านแกใช้คำว่าขุนหรอวะไอจอน เลี้ยงข้าวพอป่ะ อย่างหรูด้วย ไม่งั้นไม่ยอมแน่!!”
ส่งเสียงฮึดฮัดไปอย่างนั้น ทั้งที่ในใจของยุนกิคิดเลือกเมนูอาหารไว้ให้อีกคนมารอง้อพร้อมแล้วต่างหาก เขาแค่หลอกให้เจ้าตากลมนี่ตายใจ... ยิ่งคำว่าหรูมากที่อีกคนตอบกลับมาก็ทำให้จองกุกถึงกับหน้าเจื่อนลงทันที เพราะขึ้นชื่อว่ามินยุนกิแล้วบทจะอยากได้อะไรก็ไม่มีทางยอมใครง่ายๆแน่ กับครั้งก่อนๆก็เช่นกันที่เขาต้องผิดนัดเพื่อนคนนี้ จองกุกถึงกับกินแกลบไปเป็นอาทิตย์เพราะต้องง้อมินยุนกิจนสิ้นเนื้อประดาตัวไปอย่างไม่มีทางเลือกนั่นเอง.....
แต่เพื่อครั้งนี้ จองกุกยอมแลก!!
เมื่อข้อตกลงเป็นไปได้ด้วยดี ปากบางระบายยิ้มอย่างมีความสุขอีกครั้ง รีบยกโทรศัพท์ขึ้นมากดยุกยิกส่งข้อความอย่างไม่รอให้เสียเวลา
‘ ผมอยู่สนามบิน ไว้เจอกันสักบ่ายสามได้มั้ยครับ? ’
’ เจอกันร้านกาแฟxx ชั้น2 นะครับจองกุก ผมก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน... ’
“ หึ .”
ร่างสูงกดยิ้มทันทีที่ได้รับข้อความจากเจ้าของดวงตากลมโตหรือเจ้าของพาสปอร์ตที่ทำหล่นไว้ ในข้อความนั้นบ่งบอกว่าอีกคนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่ที่เขาอยู่มากนักแต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะสิ่งที่เขาเจอมันก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว
ถึงแม้ว่ามันจะบังเอิญมากไปหน่อยก็ตาม
’ งั้นอีกสิบนาทีเจอกันครับ จองกุก. ’
ทุกอย่างมันเป็นใจ... ยิ่งเห็นข้อความตอบกลับถูกส่งกลับมาภายในไม่กี่วินาที เจโฮปเองก็ยิ่งยิ้มกว้างเข้าไปอีก แต่ถ้าถามหาสาเหตุที่ยิ้มนั้นเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่ายิ้มเพราะโล่งอกที่ได้คืนของหาย
หรือยิ้มเพราะตั้งตารอจะได้เจอคนน่ารักคนนั้นอีกครั้งกันแน่..
ติ้งง..
เสียงข้อความใหม่ดังขึ้นมาอีกครั้ง แขนยาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูอีกครั้ง ถ้าเดาไม่ผิดคงจะเป็นเจ้าของดวงตากลมโต หรือคนซุ่มซ่ามหน้าตาน่ารักคนนั้น แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่เขาคิดสักเท่าไหร่ เพราะชื่อผู้ส่งที่ปรากฏเด่นชัดอยู่บนหน้าจอนั้นเป็นคนที่เพิ่งจะเดินหันหลังบอกลากับเขาเมื่อครู่นั่นแทน น่าแปลก..ที่แม้จะเห็นชื่อของคนที่เขาบอกรักจนวินาทีสุดท้ายส่งข้อความมาหา แต่ลึกๆแล้วเจโฮปกลับรู้สึกเสียดาย...บางอย่าง
จินซอก :
คิดถึงพี่เจโฮปแล้วอ่ะ T T ผมไม่ไปแล้วได้มั้ย...
ตาคมกวาดสายตามองอ่านเพียงผ่านเท่านั้น ข้อความที่ดูน่ารักที่สุดสำหรับเขาตอนนี้ ก็ดูจะไม่น่าสนใจซะแล้ว.. เมื่อมีเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยทักทายอยู่ไม่ไกลกัน สายตาของเจโฮปถูกสะกดให้หันไปรับฟังและสบใบหน้าของผู้มาใหม่ เมื่อได้สบตากันแล้วโทรศัพท์เครื่องน้อยก็ถูกลดความสำคัญลงด้วยการถูกเก็บลงใส่ในกระเป๋าเป้ โดยที่เจ้าของของมันได้ลืมข้อความก่อนหน้านั้นไปด้วย
ชายหนุ่มสวมชุดสีจืดชืดดูธรรมดาแต่น่าดึงดูดสายตาเขาอย่างไม่น่าเชื่อ เส้นผมสีดำขลับถูกสวมทับด้วยหมวกบีนนี่สีขาวอย่างลงตัวบวกกับเส้นผมที่ถูกกดลงมาให้ปรกอยู่บริเวณหน้าผากสวยนั้นดูหวานขึ้นมาทันตา ดวงตากลมโตมีประกายน่าค้นหา ใบหน้าได้รูปแก้มขาวระเรื่อรับกับปากรูปหัวใจสีอมชมพูที่กำลังขยับเอ่ยเสียงทุ้มนุ่มหูกำลังเอ่ยทักทายและยิ้มให้เขาอยู่
น่ารัก...
แถมรอยยิ้มที่ดูสดใสนั่นทำให้เขานั้นลืมธุระกับจองกุกไปหมดเลย
“ ผมเองเจโฮป ..เจอกันอีกแล้วนะ จองกุก”
คนนั่งอยู่ก่อนยิ้มตอบไปให้ ด้วยความเป็นผู้ชายมนุษย์สัมพันธ์ดีเลยไม่ปล่อยให้อีกคนได้ยืนตัวลีบด้วยความอึดอัด เอ่ยทักทายเป็นกันเองแต่ดูมีเสน่ห์ในแบบของเขา แขนกว้างกวาดผายให้อีกคนนั่งลงฝั่งตรงข้าม พร้อมทั้งจัดแจงสั่งเครื่องดื่มให้อย่างรู้งาน
ด้านจองกุกที่กำลังประหม่าแต่ก็จัดการความกดดันนั้นได้อย่างดี มือขาวขยับหมวกไหมพรมใบเล็กให้เข้าที่เพื่อเรียกความมั่นใจก่อนจะส่งยิ้มหวานให้อีกคน
“นั่นสินะครับ ” ส่งยิ้มกลับไปอย่างเป็นมิตร ถึงจะอึดอัดนิดหน่อยแต่ความประทับใจครั้งแรกมันสำคัญมากๆและเขาก็อยากจะให้มันออกมาน่าจดจำที่สุด ถึงนี่ไม่ใช่นัดเดทเป็นแค่การพบเจอกันของคนที่แอบปลื้ม แต่ก็อดจะจินตนาการถึงครั้งต่อๆไว้ล่วงหน้าไม่ได้เลย
“บังเอิญจังเลยนะ ครั้งที่เท่าไหร่แล้วเนี่ยที่เราเจอกัน?”
คนถูกถามเกาท้ายเล็กน้อยด้วยความไม่แน่ใจในคำตอบ จองกุกส่งยิ้มเขินกลับไปพร้อมนึกถึงเหตุการณ์ตอนเจอกันแต่ละครั้งไปด้วย ความเป็นจริงแล้วมันคือครั้งที่สามแต่อีกคนคงจะไม่ได้รับรู้ด้วยเลยรีบเปลี่ยนคำตอบในทันที
“เอ่ออ สามมั้ง หรือสองนะ? ฮ่าๆๆแปลกดีนะครับ.. ว่าแต่ ให้มาเจอกันแบบนี้ มีอะไรรึเปล่าครับ?”
“ไม่ต้องสุภาพมากหรอกน่า อ่ะ เดาว่านายคงกำลังหามันอยู่ใช่มั้ยล่ะ” พูดจบพร้อมกับเลื่อนสมุดเล่มเล็กส่งให้อีกคน จองกุกเห็นสิ่งที่ถูกส่งมาก็ยิ่งแปลกใจว่าของที่เขาทำหายมันไปอยู่ที่อีกคนได้ยังไง แต่สงสัยได้ไม่นานเมื่ออีกคนเอ่ยปากอธิบายให้เสร็จสรรพ “นายทำตกน่ะ ฉันเจอในห้องน้ำ”
ปมคิ้วคลายออกเมื่อเจโฮปเฉลย ดวงตาหวานเป็นประกายน้อยเพราะความดีใจและโล่งอก มือบางเปิดหนังสือเล่มเล็กเพื่อเช็คข้างในเผยรอยยิ้มเล็กๆออกมา แน่นอนว่ามันมีรูปของเขา ทั้งดีใจและหวั่นใจไปพร้อมกันเพราะถ้าอีกคนนำมาคืนเขาได้ถูกต้องแบบนี้แสดงว่าต้องเปิดดูรูปข้างในอย่างแน่นอน และรูปเขาก็ใช่ว่าจะดูดี แต่อีกฟากของโต๊ะยังคงส่งยิ้มอบอุ่นกลับมาให้เขา อย่างน้อยผู้ชายตรงหน้าก็ไม่ได้ มีท่าทีล้อเลียนเขา ในใจแอบภูมิใจไปเองคนเดียวว่ากับคนนี้ เขาเลือกชอบคนไม่ผิดจริงๆ
ถึงแม้จะรู้สึกเขินอายและไม่กล้าสบตามากนัก แต่จองกุกกลับเก็บรายละเอียดของอีกคนได้จนหมด ร่างโปร่งสูงสวมเสื้อเชิ้ตพับแขนสีดำสนิทผิวสะอาดตัดกับเนื้อผ้าแบรนด์ดีข้อมือสวมนาฬิการาคาแพง ยิ่งเวลาอีกคนเสยผมขึ้นไปอวดให้เห็นท่อนแขนแข็งแรงที่ดูแลมาเป็นอย่างดี จนรู้สึกอิจฉาในความเท่ของคู่สนทนา
ไม่นานเครื่องดื่มที่สั่งไว้ถูกนำมาเสิร์ฟ จองกุกที่ยังตื่นเต้นไม่หายรีบคว้าแก้วน้ำขึ้นมาดูดจนแก้มขาวๆนั่นป่องขึ้น ความสดชื่นทำให้จองกุกรู้สึกดี ความเขินอายก็หายไปบ้างจึงรีบต่อบทสนทนาแก้เงียบทันที ตากลมเริ่มสำรวจสัมภาระของเจโฮปแล้วเอ่ยถามขณะที่หลอดยังคาอยู่ในปากแบบนั้น
“ไม่คิดเลยนะครับว่าเราจะมาเจอกันที่นี่อีก แล้วเจโฮป..เอ่อนายมาทำอะไรที่นี่งั้นหรอ เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศหรอครับ? หรือว่ามาส่งใครใช่มั้ย?”
“ ประมาณนั้นแหละฮ่าๆ คือผม มาส่ง...น้องน่ะ” ร่างสูงหัวเราะอย่างคนขี้เล่นอารมณ์ดีแต่ภายในใจกำลังแอบกระตุกยิ้ม สรรพนามใหม่ถูกใช้แทนคนที่เพิ่งทิ้งเขาไปได้ไม่ถึงวันด้วยซ้ำ จากคนรัก กลายเป็นเพียงแค่น้องชาย..
คนไม่อยู่ยังไงก็ไม่มีทางรู้อยู่ดี...
“อ่อ.. มีน้องชายด้วยหรอ ดีจังนะครับ” จองกุกตาโตที่ได้ยินว่าอีกคนนั้นมีน้องชาย อดคิดไม่ได้ว่าบ้านนี้โชคดีขนาดไหนที่มีลูกชายหน้าตาดีถึงสองคน
“น้องที่รู้จักกันน่ะ ไม่ใช่น้องแท้ๆของผมหรอก ผมเป็นลูกคนเดียว ” ไม่ใช่คนชอบโกหกอะไรนักเลยเลือกที่จะตอบความจริงออกไป อย่างน้อยให้คนน่ารักรู้เรื่องราวของเขาเอาไว้บ้างก็ดี
“อ่าวงั้นหรอ... แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณอีกครั้งนะ นายทำธุระเสร็จแล้วแท้ๆแต่ต้องมารอเจอผมอีก ^^ …เอ่อแปปนะครับ”
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กำลังเป็นไปได้สวย แต่แล้วอยู่ๆเสียงโทรศัพท์เครื่องบางของจองกุกดังขึ้นหยุดทุกอย่างไว้ เขาเพียงแค่หยิบขึ้นมาดูก่อนจะทำสีหน้าเบื่อหน่ายใส่มันเพียงแค่เสี้ยววิ เมื่อมันขึ้นชื่อของคนที่ไม่น่าจะมามีธุระกับเขาตอนนี้เลยจริงๆ ‘ คิม นัมจุน ’ ดวงตาหวานก้มให้อีกคนเป็นเชิงขอโทษที่ทำเสียมารยาทก่อนจะกดรับและกรอกเสียงเบาที่สุดลงไป
“ว่าไง?”
“พี่! คือผมโดนตำรวจจับน่ะ ผมรีบนิดหน่อยเลยขับเร็วเกินกำหนด.. ใบขับขี่ก็ไม่มี พี่จองกุกว่างมั้ยแฮะๆ” ปลายสายเอ่ยปัญหาเสียงอ่อย แต่ไม่ได้ช่วยให้จองกุกหงุดหงิดน้อยลงเลย
“ไอ้..... แล้วโทรบอกยุนกิรึยัง?” คำหยาบคายคาอยู่ที่ลิ้นจนเกือบจะถูกพ่นออกมา แต่เมื่อนึกได้ว่าด้านหน้ามีใครนั่งอยู่ก็รีบปรับสีหน้าพร้อมเซ็นเซอร์คำพูดตัวเองทันที ถึงแม้จองกุกจะเป็นคนน่ารักแต่เวลาหงุดหงิดความน่ารักก็ต้องลดลงและแทนที่ด้วยด้านมืดบ้างเป็นธรรมดา
“พี่เขาบอกว่าเพิ่งออกจากสนามบินกำลังนั่งแท็กซี่มา ผมไม่รู้ว่าเขาจะมาถึงตอนไหน ผมไม่อยากอยู่ที่นี่นานๆอ่ะ ยังไงพี่ช่วยมาเป็นธุระให้หน่อยไม่ได้หรอครับ”
“ทำไมนายถึงได้ยุ่งแบบนี้เนี่ยนัมจุน! ไหนเอาเบอร์ครูที่ปรึกษาของนายมาซิ”
“ไม่มีทาง อันนั้นผมให้ไม่ได้หรอก ถ้าให้พี่ไปผมตายคาตีนแม่แน่ๆ ผมขอร้องล่ะ มาหาผมเถอะนะนะนะ”
ตลอดสายสนทนาทุกอย่างอยู่ในสายตาของคนด้านตรงข้ามอยู่ตลอด ทั้งรอยยิ้มหยิ่งรั้น ดวงตากลมโตเป็นประกายดื้อดึงเอาแต่ใจด้วย ปากหยักที่เม้มเป็นเส้นตรงเพราะความไม่สบอารมณ์ ดูขัดกับใบหน้าน่ารัก จนทำให้เจโฮปสงสัยว่าคนตัวเล็กนี้เป็นอะไร แต่ก็ทำได้แค่มองตามเก็บภาพคนน่ารักในหลายอารมณ์ไว้แทน
“วุ่นวายจริงๆนะนายน่ะ อืมเดี๋ยวไป แค่นี้นะ!”
จองกุกกดตัดสายก่อนอีกฝ่ายจะทันพูดอะไรต่อ ใบหน้าไร้รอยยิ้มจมูกสวยผ่อนลมหายใจฮึดฮัดเพราะดันมีธุระมาขัดจังหวะช่วงเวลาแสนหวานของเขาเสียได้ ใจหนึ่งก็ไม่อยากไปแต่ถ้าเขาไม่ไปก็ดูจะเป็นผู้ใหญ่ใจร้ายไปซะหน่อยเพราะอย่างน้อยๆเจ้าเด็กนั่นก็ถือเป็นลูกค้าของเขา
“มีเรื่องอะไรรึเปล่าจองกุก?”
“เปล่าหรอก แต่ผมต้องไปที่อื่นแล้วล่ะ เด็กที่เรียนกับผมเขามีเรื่องด่วนอยากให้ผมช่วย แฮะๆ ” คนตัวเล็กปรับอารมณ์ร้อนให้เป็นปกติที่สุด แก้มกลมปั้นยิ้มแห้งส่งให้อีกคน ที่เอ่ยปากถาม
ทั้งเสียดายทั้งเจ็บใจ มีโอกาสอยู่กับคนที่แอบปลื้มแล้วแท้ๆแต่มีมารตัวดำๆวิ่งมาขัดจนเสียแผน ยิ่งนึกยิ่งหงุดหงิดคนตัวเล็กรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ที่ต้องเสียมารยาทและขอกลับก่อน ในใจนึกหาคำพูดเพื่อเชื่อมโอกาสไว้ขอบคุณเพื่อนัดเจอคราวหน้าแต่ก็นึกไม่ออกเพราะ ในหัวมีคำกร่นด่าตัวปัญหาเป็นร้อยๆคำที่พูดออกมาไม่ได้ แต่เหมือนอีกคนจะรู้ใจ..
“ถ้านายไม่ว่าอะไรให้ผมไปส่งให้มั้ย?”
เป็นเหมือนเสียงสววรค์ กับคนที่เขาแอบปลื้ม ได้เชื้อเชิญให้ขึ้นรถและไปส่งแบบนี้ ยิ่งเป็นคนที่เพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้งอย่างนี้แทบจะไม่มีโอกาสแต่จองกุกก็ได้รับมัน คนน่ารักแอบยิ้มอยู่ในใจ เพราะอย่างน้อยๆคนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆตอนนี้ก็ไม่ได้รังเกียจเขา
ถึงจะดีใจจนแทบกระโดดโห่ร้อง แต่การได้อยู่ด้วยกันในที่แคบบวกกับเสียงเครื่องยนต์เงียบเชียบบรรยากาศเย็นช่ำก็เริ่มทำจองกุกกลับมารู้สึกอึดอัดอีกครั้ง อยากจะพูดขอบคุณอยากจะชวนคุยไปเรื่อยๆติดก็ตรงที่ปากไม่ยอมอ้าเอ่ยอะไรออกไป ได้แต่นั่งใจเต้นเสมองรถข้างทางแทน
“ว่าแต่จองกุก นายเป็นครูหรอ?” เห็นอีกคนเอาแต่นิ่งไม่ไหวติงใดๆเจโฮปเลยเอ่ยถามทำลายบรรยากาศแปลกนี้ก่อน ส่วนจองกุกพออยู่ๆคนข้างถามมาเขาก็อดจะตื่นเต้นไม่ได้ ถึงแม้จะไม่ได้ถามเรื่องหวือหวาแต่อย่างน้อยก็ถามเรื่องส่วนตัว คนน่ารักยิ้มแห้งๆส่ายหัวน้อยๆเมื่ออีกคนกำลังเข้าใจผิด
“อ่อ ไม่เชิงหรอก ผมเป็นแค่ติวเตอร์น่ะ”
“โหติวเตอร์น่ารักขนาดนี้เด็กไม่แย่งกันเรียนแย่หรอเนี่ยหื้ม?”
ยิ่งประโยคต่อมายิ่งทำให้ใบหน้าเริ่มร้อนเมื่อโดนคนอาสามาส่งชมทางอ้อมแบบนี้ จองกุกไม่รู้จะอธิบายยังไงเพราะกำลังเขิน แต่สิ่งที่เจโฮปเอ่ยมามันก็เป็นความจริง ตั้งแต่เขากับยุนกิเริ่มทำงานนี้ก็มีเด็กหนุ่มเด็กสาวโทรมาสอบถามเรื่องเรียนกับพวกเขาเกินที่หวังไว้ด้วยซ้ำ ทั้งที่เขาเพิ่งจะเริ่มทำงานและไม่ได้มีชื่อเสียงด้านนี้สักเท่าไหร่ แต่บางคนยังโทรมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเซ้าซี้ขอเรียนให้ได้ถึงแม้จะบอกว่าตารางเขาเต็มเอียดไปหมด
“ก็มีบ้างแต่ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า ฮ่าๆ ว่าแต่นาย เอ่อ..เจโฮปมาส่งผมแถวนี้มันไกลนะ ไม่เป็นไรจริงๆหรอครับ?”
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องสุภาพน่ะ เอาแบบเพื่อนคุยกันสินายจะได้ไม่อึดอัด อ่อแล้วก็พอดีผมต้องมาทำงานที่กองถ่ายแถวนี้ด้วยน่ะ ไม่ได้ลำบากอะไรหรอก”
“กองถ่าย นายเป็นช่างภาพหรอ?”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆหล่อๆอย่างผมเป็นได้แค่ช่างภาพเองหรอเนี่ย” ดวงตาหวานโตขึ้นเมื่อได้ยินอีกคนบอกว่าทำงานในกองถ่าย สถานที่ที่จองกุกใฝ่ฝันอยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมในนั้นมากที่สุด สีหน้าปลาบปลื้มแสดงชัดบนใบหน้าขาวแต่แค่ไม่กี่วิก็เปลี่ยนเป็นคิ้วชนคิ้วกลายร่างเป็นเจ้าเด็กขี้สงสัยไปแทน “ก็นายเอ่อ..ดูเหมือนอยู่นะ แฮะๆ” ถ้าเป็นคนอื่นจองกุกอาจจะโดนปล่อยทิ้งไว้กลางทางอย่างแน่นอน เพราะดันพูดจาไม่ทันระวังจนคล้ายจะดูถูกคนอื่นแบบนี้ แต่อีกคนกลับมีทั้งเสียงหัวเราะรอยยิ้มมาให้แทน ส่วนคนน่ารักที่หน้าเจื่อนลงปล่อยมุกฟืดกลับไป พร้อมหัวเราะแก้เก้อ
“ผมน่ะ เป็นนายแบบเลยนะจะบอกให้ นี่นายนั่งรถนายแบบมาเลยนะ..จองกุก”
“ว้าววว หล่อก็งี้อ่ะเนอะ งานมันสนุกดีมั้ย? ผมอยากจะลองทำมั่งจัง เบื่อเป็นไอติวเตอร์นี่จะแย่ ”
ไม่พูดเปล่าสารถีสุดหล่อรีบหันมาเก๊กขรึมใส่ โพสท่าตามต้นฉบับนายแบบดังให้อีกคนได้ยล จนจองกุกอดไม่ได้ที่จะยิ้มขำออกมา คนตัวเล็กยิ้มตาหยีจนฟันซี่หน้าสุดเรียงตัวอวดสายตา แก้มกลมยกขึ้นจนดูน่าหยิก หลากหลายคำถามเอ่ยออกไปด้วยความสนใจเหมือนเด็กน้อยทำให้คนด้านข้างรู้สึกเอ็นดูไปด้วย
“ไม่ยากหรอกมั้ง จองกุกสนใจหรอ? บริษัทผมยังไม่เปิดออดิชั่นเลยนี่สิช่วงนี้ ..สนใจเป็นแฟนนายแบบแทนไปพลางๆก่อนมั้ยล่ะ? ฮ่าๆๆ”
“ฮ่ะๆเข้าใจพูดนะ แต่นายแบบอย่างนายดูไม่น่าจะมีเหลือโสดหรอกมั้ง”
“ก็จริงนะ แต่ถ้ามีคนสนใจล่ะก็พร้อม โสดเสมอแหละนะ จองกุกสนใจบ้างมั้ยหื้ม?”
“ หมายความว่าไงนะ?... ...อ้ะถึงแล้ว จอดข้างหน้านี่แหละเดี๋ยวเดินผมเข้าไปเอง ขอบคุณอีกรอบนะเจโฮป ไว้วันหลังผมจะเลี้ยงข้าวตอบแทนนายแล้วกัน ไปแล้วนะ”
ทั้งรู้สึกดีและต้องขอบคุณช่วงเวลาอันมีค่าได้รับจากนัมจุนมาโดยบังเอิญ เพราะรู้สึกตื่นเต้นไปกับประโยคทอดสะพานกลายๆของตัวเอง ร่างเล็กจึงรีบลงจากรถร่ำลาอีกคน ก่อนจะเดินหันหลังเดินเข้าไปในสถานีตำรวจแต่เพียงไม่กี่ก้าว ก็ต้องวิ่งรอกกลับมาเพราะเขาเหมือนจะทำบางอย่างหายไป มือขาวไล่สำรวจทั้งตัวและกระเป๋าแล้วไม่พบสิ่งที่เรียกว่ากระเป๋าเงินก็ยิ่งวุ่นวาย คนน่ารักทำหน้าตาตื่นวิ่งกลับมาเคาะกระจกรถเรียกให้นายแบบหนุ่มลดกระจกลง
“ขอหาของแป๊ปหนึ่งนะ”
ทันทีที่กระจกเปิดหัวทุยก็มุดแทรกเข้ามาทางหน้าต่างรถเพื่อขวานหาสิ่งของบนเบาะนิ่มที่เขาเคยนั่ง แต่ก็พบว่ากระเป๋าเงินใบเล็กนั้นดันหล่นเข้าไปในร่องข้างเบาะเสียลึกจนไม่สามารถหยิบออกมาได้ง่ายๆ จองกุกมุ่ยหน้าถอนหายใจเบาๆอย่างขัดใจ แขนเหยียดจนสุด ใช้ความพยายามที่จะหยิบแต่ไม่เป็นผลจนเจ้าของรถต้องอาสาช่วย
“มา..ผมช่วย”
คนในรถปลดเข็มขัดออกเพื่อความถนัด โน้มตัวเข้าไปช่วยหา ระยะห่างลดเรื่อยๆจนได้กลิ่นหอมของอีกฝ่าย นิ้วเล็กที่พยายามเกี่ยวเอากระเป๋าขึ้นมาด้วยความยากเย็น ฟันคมขบลงบนปากแดงอย่างลุ้นเกร็ง เจโฮปเมื่อละออกมาสับเปลี่ยนให้คนตัวเล็กลองบ้าง ก็มาสะดุดอยู่ที่กลีบปากสีอมชมพูตรงหน้า เขามองตามและยิ้มออกมาไม่มีเหตุผล ใน ใจอยากจะแอบคิดร้ายให้กระเป๋านั้นหายเข้าไปลึกกว่านี้เพื่อจะได้แอบมองนานๆแต่ก็ทำไม่ได้ น่าเสียดายจริงๆ จนสุดท้ายแล้วความพยายามก็เป็นผลเมื่อคนตัวเล็กหยิบมันจนสำเร็จ จองกุกยิ้มดีใจยกใหญ่ให้กับฝีมือของตัวเอง
คนขี้ลืมถดตัวออกจากรถไปแล้วทิ้งไว้แค่กลิ่นน้ำหอมบางเบาและคำบอกลา ร่างเล็กโบกมือส่งมาอย่างสดใส รอยยิ้มที่มาจากใจส่งมาให้แทนคำขอบคุณและความรู้สึกอื่นของตัวเองด้วย นายแบบยักคิ้วและยกยิ้มตอบอีกคนเช่นกัน ก่อนจะแล่นรถออกมาจากสถานีตำรวจแล้วฮัมเพลงมาตลอดทาง ร่างสูงเผลอสูดหายใจเข้าลึกๆนับสิบรอบได้ ในหัวนึกถึงภาพของจองกุกที่ยืนยิ้มให้เขาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนยิ่งรู้สึกอารมณ์ดี อดคิดย้อนไปไม่ได้ว่าเรื่องของพวกเขามันบังเอิญไปซะหมดในทุกครั้งที่ได้เจอกัน ทั้งอุบัติเหตุ ทั้งลืมของทิ้งของ แล้วนี้ยังจะทิ้งกลิ่นหอมๆฝากไว้บนรถเขาอีก
แบบนี้มันต้องตามไปคืนรึเปล่านะ...
50%
เมื่อขายาวก้าวเหยียบประตูสถานีตำรวจ จองกุกที่คิดคำด่าไว้มากมายก่อนหน้าก็แทบจะเปลี่ยนเป็นคนละคน ทั้งรู้สึกขอบคุณลึกๆที่เด็กเรียนพิเศษจอมยุ่งพาเรื่องดีๆมาให้เขาเช่นกัน เมื่อถึงโต๊ะเจ้าหน้าที่จองกุกก็จัดการเคลียร์ทุกอย่างเท่าที่ความสามารถของตัวเองจะมี ทั้งดราม่าและออดอ้อนใส่เจ้าหน้าที่แน่นอนว่า ความน่าสงสารที่เต็มไปด้วยความน่ารักก็ช่วยเขาไว้เสมอ ร่างบางจ่ายเพียงค่าปรับและไม่ถูกลงบันทึกประจำวันใดๆ ทั้งสองร่างถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกันก่อนขอตัวลาและออกมาจากที่นั่น
“คิมนัมจูนนนนน !! จองกูกกกกรอด้วย!!” เสียงของติวเตอร์คู่หูดังมาจากที่ไหนสักทีพร้อมเสียงฝีเท้าวิ่งตามเข้ามายืนหยุดตรงหน้า มินยุนกิยืดหอบแรงพิงเสาป้ายรถเมล์ เหงื่อพราวเต็มใบหน้าขาวชวนมองกับประโยคขัดกับภาพลักษณ์เอ่ยออกมา “เออแล้วทำไมจองกุกมาถึงก่อนได้วะเนี่ย?”
“เรียกได้น่าเกลียดชะมัด.....ยุนกินั่นแหละทำไมช้า ”
“ก็ปกตินี่ ฉันนั่งแท็กซี่มาจากสนามบินเลยนะเว้ย นายนั่นแหละทำไมมาไวนัก? อ้ออ..หมอนั่นมาส่งล่ะสินะ..”
“ไอ้หมอไหนหรอครับพี่ยุนกิ ” เสียงของนัมจุนเอ่ยขัดเมื่อได้ได้ยินเรื่องราวใหม่ที่เขาไม่เคยรู้ จริงๆนัมจุนรู้เรื่องของจองกุกแทบจะทุกเรื่อง ไม่ใช่แค่อยากรู้แต่เป็นคำว่าต้องรู้เสียด้วยซ้ำ เขาทำตัวเป็นสัมผัสที่เจ็ดของจองกุกมาตั้งแต่เริ่มเป็นนักเรียนติวพิเศษนี้
ย้อนไปก็ตั้งแต่ต้นปี ที่รับเขาเข้าคอร์สเรียนมา เอาตามจริงแล้วคิมนัมจุนเป็นเด็กดีหัวสมองและไอคิวสูงมากจนไม่ต้องมาติวด้วยซ้ำ แต่ทว่าเด็กนี่กลับมาสมัครเรียนโดยจ่ายเงินล่วงหน้ามาหนึ่งปียาวเพื่อซื้อเวลามาอยู่ใกล้พวกเขาสองคนโดยใช้เหตุผลว่า ‘เก่งแล้วแต่ไม่ฝึกฝนก็ลืมหมดสิครับ’ แน่นอนว่าถ้าเป็นเรื่องเงินทองเป็นใครก็คงปฏิเสธกันยาก แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะคิดผิด.. เพราะไม่ว่าเวลาไหนก็ดูเหมือนจะมีนัมจุนเป็นตัววุ่นวายเสมอ และไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การมีอยู่ของนัมจุนมันเป็นสิ่งที่รกหูกวนตาของมินยุนกิเสมอ
“ไม่ใช่เรื่องเด็กเสือกหรอกจริงๆแล้วอ่ะ แต่ว่าไอคนนั้นน่ะชื่อเจโฮป เหยื่อรายใหม่ของไอ้จองกุกไง ^-^” ปากไวเสมอเมื่อเจอนัมจุน คนตัวขาวพ่นประโยคยาวติดคำหยาบออกมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะส่งยิ้มเย็นไปล้อเลียนจองกุกที่ยืนกอดอกอยู่ตรงหน้า
“เหยื่อไรวะยุนกิอย่าใส่ร้ายดิ”
ใบหน้าน่ารักเหวอขึ้นมาเมื่อถูกโยนข้อกล่าวหาใส่ จองกุกไม่ได้โวยวายแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธซะทีเดียว มีเพียงมือไม้ยกขึ้นมาไขว้กันเป็นสื่อบอกกับเด็กนักเรียนจอมยุ่งว่าอย่าไปเชื่อเพื่อนของเขา ดีที่นัมจุนมีเรื่องให้คิดต่อ ไม่อย่างนั้นคงจะรัวคำถามใส่เขาไม่ยอมหยุดแน่
“เจโฮปหรอครับ? ทำไมชื่อคุ้นจังแฮะ”
“คุ้นไรนักหนาวะพ่อคนกว้างขวาง”
“โห่พี่เป็นครูภาษาไรพูดจากับเด็กไม่เพราะเลย”
นัมจุนบ่นอุบอิบ เมื่อพี่ติวเตอร์ที่แสนน่ารักพูดจาไม่น่ารักเอาเสียเลยจนต้องดุคืนบ้าง เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่ยุนกิไม่พอใจอะไรในตัวเขานักหนาถึงชอบจิกกัดกันอยู่เรื่อย เขาเองก็เป็นเด็กชายม.ปลายธรรมดารูปร่างสูงยาวหน้าตาดีและมีหน้าที่ตื้อติวเตอร์ที่น่ารักทั้งสองก็แค่นั้น ทุกครั้งที่มาเรียนก็เรียนด้วยกันเสมอแต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่พี่ตัวขาวจะพูดดีกับเขาสักหน นอกจากใบหน้าเอาแต่ใจกับคำพูดกวนโมโหก็ไม่เห็นจะมีคำดีๆหลุดมาแม้ครั้งเดียว
“แต่ผมว่าผมคุ้นชื่อนี้จริงๆนะ แต่ช่างเหอะครับ ยังไงที่สำคัญที่สุดคือพี่สองคนโสดก็พอแล้วล่ะ ”
“หุบปากไปเหอะ” ยุนกิรีบขู่ฟ่อใส่เจ้าเด็กดำที่กำลังพูดจาน่ารำคาญอยู่ข้างๆก่อนจะชูกำปั้นใส่อย่างเอาเรื่องเพราะเพิ่งโดนพาดพิง
หลังจากออกมาจากสถานีตำรวจ ทั้งสามคนก็โบกแท็กซี่เพื่อจะไปยังร้านกาแฟร้านประจำเพื่อสอนพิเศษ ภายในรถเด็กเกรียนนัมจุนยังคงพูดไม่หยุด ทั้งพูดก่อกวนและป่วนประสาทยุนกิอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าอีกคนจะบ่นอะไรก็จะมีเสียงแหบๆของนัมจุนเอ่ยขัดขึ้นมาเสมอ หลายครั้งจองกุกต้องเอ่ยห้ามสงครามของคนทั้งคู่ที่ตีกันเหมือนเด็กอนุบาลเกทับกันเรื่องของเล่น จนบางทีก็นึกสงสัยว่าเจ้าเด็กนี่สมัครเรียนมาเพื่อมาทะเลาะกับเพื่อนของเขาอย่างเดียวหรอ..
หลังจากนัมจุนสงบปากสงบคำไปพักใหญ่ก็เริ่มกลับมาส่งเสียงสนทนาอีกรอบ คราวนี้เป็นเรื่องค่อนข้างจะมีสาระจนติวเตอร์ทั้งสองเริ่มให้ความสนใจ
“เอ้อพี่จองกุกครับ ผมได้ตั๋วเครื่องบินไป-กลับเจจูมาด้วยแหละ พี่ว่างไปกับผมมั้ย?” ร่างสูงที่นั่งอยู่คอนโซลหน้าข้างคนขับแท็กซี่หันมาถามด้วยสีหน้าระรื่น จนจองกุกและยุนกิรู้สึกตื่นเต้นตามไม่น้อย แต่พออีกคนจบคำถามที่มีเพียงชื่อจองกุกคนเดียว คนตัวขาวขี้โวยวายก็แผดขึ้นมาเสียงดังด้วยความหมั่นไส้
“เห้ยๆ ทำไมชวนแต่ไอจอนล่ะ ฉันล่ะนัมจุน ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ!”
“ก็กำลังจะชวนนี่ไงเล่า ไปกันป่ะครับ ผมมีสามใบพอดีเลย ป๊าผมให้มาเพราะมันเหลือน่ะ”
คิมนัมจุนยิ้มขำให้กับพี่คนตัวขาวที่ทำสีหน้าบึงตึงพร้อมจะดึงตัวเขาไปกระทำการรุนแรงเพราะความใจร้อนและขี้โมโห เด็กชายร่างสูงรีบอธิบายขยายความออกมาอีกชุดใหญ่จนยุนกิเริ่มรับฟังและลดท่าทีโมโหลงบ้างแต่ก็ไม่ทั้งหมด
นัมจุนเป็นเด็กฉลาดและบ้านมีฐานะดี จึงไม่แปลกที่จะมีอะไรดีๆมาแบ่งปันพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง รวมทั้งตั๋วนี่ด้วย เด็กตัวโย่งกำลังอยากอยากมีทริปสวีทหวานกับพี่ติวเตอร์บ้างสักครั้ง เรียนมาก็ครึ่งเทอมแล้วแต่ความรักของนัมจุนยังไม่คืบคลานเบ่งบานเลยสักนิด บวกกับบังเอิญไปได้ยินป๊าคุยโทรศัพท์เรื่องเวิร์คช็อปของบริษัทเข้าพอดิบพอดี เลยทดลองขอพ่อดูเล่นๆ จนบังเอิญฟลุ๊คได้มันมาแบบไม่ต้องเหนื่อย
“งั้นมันกำหนดวันแล้วอ่ะดิ บินวันไหนล่ะ? ” จองกุกที่ได้ยินอีกคนสาธยายถึงความฟรีและคุ้มมาพักนึงก็โอนเอียงไปมาก
“ศุกร์นี้อ่ะครับ”
ยุนกินั่งนิ่งฟังอยู่ไม่นานก็เริ่มออกปากบ้าง นัมจุนคิดจะหนีเรียนไปสร้างโรแมนติกทริปกับเพื่อนเขาสองต่อสองแน่ๆ และเขาไม่มีทางยอม! เขาไม่มีทางปล่อยให้เพื่อนรักไปเที่ยวกับไอหมอนี่สองต่อสองโดยไร้เงาเขาเด็ดขาด
“ฉันมีสอนแก ไอ้นัมจุน เพราะงั้นแกห้ามไป!!!!!...”
“โหยไรอ่ะ ไว้ไปเรียนที่นู่นก็ได้ไง ไปนะครับ นะครับพี่จองกุกพี่ยุนกิ ที่พักก็ฟรีเนี่ย”
“เอาไงอ่ะยุนกิ ฉันตามใจนายนะ..” คนน่ารักรู้ดีว่ายุนกิคงไม่ยอมง่ายๆเพราะนิสัยดื้อรั้น แต่เขารู้ดีว่าสิ่งที่ยุนกิอยากได้เสมอนั้นคืออะไร ตั้งแต่เริ่มเรียนจนทำงานมาด้วยกันบ่อยครั้งเพื่อนตัวขาวมักจะบอกกับเขาเสมอ ว่าอยากจะใช้เวลาไปเที่ยวในที่ดีๆด้วยกัน แต่พอจะมีโอกาสสักครั้งยุนกิกลับปฏิเสธมันเสมอ และถ้ารออยู่แบบนี้พวกเขาอาจได้ไปเที่ยวกันตอนแก่แน่ๆ
จองกุกไม่ได้เอ่ยบังคับและปล่อยให้ยุนกิตัดสินใจ และแน่นอนว่าคำพูดทิ้งท้ายของจองกุกนั้น ทำเอายุนกินั่งนิ่งใช้ความคิดอยู่ร่วมนาที
“ไม่ต้องมาตามใจฉันเลยจองกุก ลูกตานายนี่มีแต่รูปเครื่องบินรูปท้องฟ้าเต็มไปหมดเหอะ...แต่ไหนๆมันก็ฟรีแล้วไปก็ดีเหมือนกัน...เนอะ”
-I’m your villain-
‘ เอียงหน้านิดนึงครับ ‘
‘ ซ้ายอีกนิด ‘
‘ แบบนั้นแหละ ดีมากครับวี’
‘ต่อเลย’
‘ครับ เยี่ยมมาก ดีมาก’
‘ โอเค เซ็ตนี้พอแล้ว เยี่ยมมาก ไปพักได้ ’
เสียงชัตเตอร์กล้องและแสงแฟลชวาบวับถูกใช้งานอยู่เพียงเวลาไม่นาน นายแบบรูปหล่อก็เดินออกมาจากฉากที่เซ็ตไว้สำหรับถ่ายแบบ
หนุ่มน้อยรับน้ำดื่มจากทีมงานพลางถอดเสื้อสูทตัวหนาออกจากตัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มถึงแม้จะเหนื่อยและร้อนจนน่าหงุดหงิด แต่ด้วยความขี้เล่นที่มีจนท่วมท้น ทำให้ยิ่งเหนื่อยก็ยิ่งแจกยิ้มหวานไปทั่วอย่างเป็นกันเองจนกลายเป็นที่รักของทุกๆคน
“อ่ะทิชชู่”
ด้วยใบหน้าที่ถูกบดบังไปด้วยความมันและเหงื่อเล็กน้อยเพราะแสงไฟร้อนระอุ เหล่านูนาทั้งหลายก็รีบมาช่วยให้วีได้กลับมาหล่อแบบเดิมได้อีกครั้ง ใบหน้าคมหันไปรับทิชชู่แล้วค้อมหัวให้สต๊าฟทุกคนอย่างถ่อมตัว พร้อมกล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาทแต่ก็ต้องลดท่าทีลงเมื่อรู้ว่าคนที่มาช่วยเขานั้นคือรุ่นพี่คนสนิทนั่นเอง
“ขอบคุณครับ อ้าวพี่จินเองหรอครับ?”
“เออพี่เอง ..หืม แต่งตัวแบบนี้ดูน่ารักนะเนี่ย ”
“ฮ่าๆๆๆๆ ก็ชมกันเกินไปครับ ว่าแต่พี่อ่ะ เจอกันกี่ทีก็หล่อขึ้นตลอดเลยนะครับเนี่ย ”
ไม่ใช่เรื่องง่ายของการพบกันเพราะคนหนึ่งก็เป็นถึงผู้กำกับมากฝีมือและเขาเองก็เป็นนายแบบงานชุก แน่นอนว่าวีไม่ปล่อยให้โอกาสได้พบเจอกันของพวกเขาหลุดลอยออกไป คนตัวเล็กกว่ารีบสอดส่ายสายตาหาเก้าอี้และพื้นที่ว่างเพื่อจับจอง
กลายเป็นจุดสนใจไปถนัดตาเมื่อเสียงหัวเราะร่วนดังระงมไปทั่วจากหนุ่มหล่อทั้งสอง ช่วยให้ภายในบริเวณที่มีแต่เสียงการทำงานอันตึงเครียดได้ผ่อนคลายลงไปด้วย อีกทั้งใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มของผู้ช่วยผู้กำกับคนเก่งของที่นี่เป็นน่าหลงใหลจากรอบข้างอยู่เสมอ เลยเป็นเหตุให้วีได้แอบจับจ้องเจ้าของทิชชู่คนนี้อยู่บ่อยๆเหมือนกัน
“วีคร้าบบบบบ วีอยู่ไหนน” เสียงผู้มาใหม่ดังโหวกเหวกอยู่ไม่ไกลนัก จนทำให้เจ้าของชื่อหันไปมองแล้วทำมือให้ลดเสียงลงก่อนจะกวักมือไม้เป็นการเรียกให้มาอยู่ด้วยกัน
“อ้าววว อยู่กับแฟนก็ไม่บอก” ทันทีที่ผู้มาใหม่เอ่ยทักก็ทำให้วีถึงกับหน้าตึงขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าจี้ใจดำหรือเพราะอีกคนลามปามกันแน่...
“แฟนบ้านแกดิวะ เกรงใจพี่เขาเป็นป่ะจีโฮ” สายตาถมึงทึงส่งกลับไปกลายๆอยากให้อีกคนนั้นขอโทษ แต่หารู้ไม่ว่ายิ่งทำให้จีโฮอยากแกล้งเข้าไปอีก
“พี่เขาก็ไม่ได้ว่านิ นายมันร้อนตัวเอง เห้ออ”
“ไอ่บ้า!”
วีรีบโวยวายใส่เพื่อนทันทีที่ยังไม่เลิกพูดจากวนไม่เลิก คนร่างบางหันไปหาคนที่ถูกพาดพิงแต่อีกกลับไม่ได้เดือดร้อนอะไรนั่งส่งยิ้มอบอุ่นมาให้เขา หัวเราะบ้างเมื่อวีเถียงเพื่อนไม่ชนะ
ไม่รอให้อีกคนได้บ่นมากนักก็เริ่มแกล้งต่อทันที จีโฮก็นั่งผลุบที่พักแขนเก้าอี้ของวีทั้งยังเอนร่างของตัวเองดันให้วีเอียงไปหาอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว พร้อมทั้งหัวเราะร่วนอย่างสนุกสนานชอบอกชอบใจ ผิดกับอีกคนที่โดนแกล้ง ร้อยยิ้มที่เคยน่ารักตอนนี้กลายเป็นยิ้มคว่ำหน้างอบอกบุญไม่รับส่งให้ไปอย่างคาดโทษแทน
“ไอ้จีโฮอย่ากวนตีน!! ออกไปเดี๋ยวนี้เลยไป๊!”
“ฮ่าฮ่าฮ่ะฮ่าฮา”
“นายแบบพร้อมยังครับ??!”
เสียงตะโกนดังมาจากตากล้องที่กำลังทำงานอยู่ด้านใน เรียกหานายแบบที่ถูกส่งมาพักและเปลี่ยนชุดใหม่ จากที่กำลังวิวาทกับจีโฮก็เปลี่ยนเป็นขานรับตอบกลับไปอย่างทันที ไล่สายตาตรวจเช็คความเรียบร้อยของตัวเองครั้งสุดท้าย พยักหน้าเรียกความมั่นใจ โดยมีมือหนาของซอกจินแตะเข้าที่บ่าเล็กก่อนดันหลังให้วีเดินไปเข้าฉากเพื่อทำงานต่อทันที
ส่วนจีโฮที่เพิ่งมาร่วมวงได้ไม่นานก็บ่นอุบเสียดายที่หมดเวลาเล่นสนุกเมื่อเพื่อนรักต้องทำงานต่อ รอยยิ้มอบอุ่นจากจีโฮถูกส่งไปให้ในตอนท้ายอย่างให้กำลังใจเพื่อน ก่อนที่ทั้งซอกจินและจีโฮจะเดินหลบออกมายืนที่หน้าจอแอลซีดีเครื่องใหญ่เพื่อดูการทำงานของวีแทน
ใบหน้าเรียวเล็กแต่ดูหล่อคมคายจนไร้ที่ติ หุ่นสมส่วนเมื่อไม่ว่าสวมใส่ชุดอะไรแบบไหนก็ดูเข้าไปหมด ท่าทีโพสอันไหลลื่นแต่ดูเท่ห์แบบนั้น ยิ่งแสดงความเป็นมืออาชีพของวีจนสะกดสายตาคนมอง และกลายเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของเขาไปซะแล้ว
“วีนี่ดูดีจังเลยนะครับ พี่ว่ามั้ย”
“แน่นอนสิ วีเป็นนายแบบแถวหน้านะเว่ย แล้วนี่อะไรอิจฉาเขาหรอไงเจ้าห้อย”
“ผมก็ดูดีในแบบของผมหรอกน่า ใครจะไปอิจฉาเจ้านั่นกัน เหอะ” เมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขี้อิจฉา จีโฮก็รีบปฏิเสธผู้กำกับหนุ่มเสียจนเสียงแข็งยกใหญ่ ใครจะไปอิจฉาคนน่ารักที่ยืนอยู่ตรงนั้นลง ไม่มีแน่ๆ
ถึงจะพูดคุยหยอกเล่นอยู่กับรุ่นพี่ แต่สายตากลับหยุดอยู่ที่จอกว้างที่มีภาพของวีเปลี่ยนไปเรื่อยโดยไม่สามารถละไปไหนได้ ยิ่งมองยิ่งชวนให้เขาเผลอยิ้มตามตลอด มันไม่ได้เพียงแค่ดึงดูดสายตา หัวใจของเขาก็ด้วยถูกคนตรงหน้าชักนำและดึงดูดให้ตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตลอด แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้มากเพราะคำว่าเพื่อนมันคั่นเขาและวีไว้อยู่ ถึงเขาจะอยากแสดงความรู้สึกออกไปมากขนาดไหน แต่ก็ทำได้แค่เพียงมองข้ามหัวใจตัวเองไปเพื่อรักษามิตรภาพเอาไว้
“เฮ้ โย่วว”
“ว่าไงมึง กว่าจะเสด็จมา ไปส่งเมียที่ญี่ปุ่นหรอวะ นานฉิบหาย” เมื่อเห็นเพื่อนร่วมทีมกำลังเดินแบกเป้เข้ามาก็รีบเดินไปรับ ด้วยความที่เจโฮปมาสายจากที่นัดกันไว้อยู่พอสมควร แปลกที่เห็นอีกคนมีท่าทียิ้มแย้มกว่าปกติที่เคยเป็น เอ่ยแซวขำๆแต่ก็ได้คำตอบตรงประเด็นไม่อ้อมค้อมกลับมา
“เมียเมออะไรครับ ตอนนี้กูโสดแล้วครับน้องชาย”
“ให้มันได้อย่างนี้ครับ หล่อด้วยเลวด้วยเพื่อนกู ไปมึงไปเปลี่ยนชุดเลยไอ้วีมันจะถ่ายเสร็จอยู่แล้วเนี้ย” มือส่งไปลูบหัวเพื่อนรักด้วยความเอ็นดูและชื่นชม เขารู้สึกภูมิใจในความสามารถด้านนิสัยเจ้าชู้ของเพื่อนคนนี้จริงๆ
“เออกูไปละ แล้วก็เย็นนี้พี่ดงฮยอกเรียกประชุมนะมึง บอกไอ้วีด้วยล่ะ”
เจโฮปโบกมือไหวๆให้เพื่อนรักก่อนจะหันหลังเดินเลี่ยงไปยังห้องแต่งตัว จีโฮยิ้มขันให้กับความต่างกันแต่ว่าลงตัวของพวกเขา เพื่อนคนหนึ่งก็เจ้าเล่ห์จนเบื่อจะห้าม ส่วนอีกคนก็บอกบางจนไม่อยากแตะต้อง นึกได้เพียงเท่านั้นก็ส่ายหัวแผ่วเบา ก่อนจะสาวเท้าลับไปยืนตำแหน่งเดิม และเริ่มเฝ้ามองคนที่เขาไม่กล้าแตะต้องอีกครั้ง
-I’m your villain-
ผ่านมาสองวันหลังจากที่ทั้งคู่เจอกัน มันไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกแปลกหรือคิดถึงไปมากกว่ากัน จองกุกใช้ชีวิตไปตามปกติเกือบไปทางวุ่นวาย ในขณะที่เจโฮปก็ใช้ชีวิตทำงานเที่ยวเล่นอย่างไม่แคร์อะไรหรือสนใจใคร จะมีก็แชทไลน์ที่คนทั้งคู่คุยกันค้างไว้ในช่วงเวลาของแต่ละวัน
เหลือวันนี้อีกแค่หนึ่งวันก็ถึงวันเดินทางของทริปพักผ่อนเจจูของพวกเขาแล้ว ทุกอย่างดูเร่งรีบและวุ่นวายไปหมด อาจเพราะความกระชั้นชิดที่คิดว่าไม่เป็นไร แต่ตอนนี้จองกุกกลับเสียงแหบแห้งเพราะต้องนัดติวล่วงหน้ากับเด็กนักเรียนเพื่อชดเชยรวมคนนี้ด้วยก็คนที่สี่แล้ว... แต่ในความวุ่นวายก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรดีๆเกิดขึ้นเลย...
ภายนอกร้านกาแฟที่มีทิวทัศน์เป็นถนนและต้นไม้ เพียงไม่นานก็ถูกบดบังแทนที่ด้วยรถสีดำคันนึง จอดชะลออยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่ามันจะบังเอิญมากไปไหม ที่ในวันนี้เจโฮปมีธุระกับเพื่อนที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้ ร่างโปร่งขับรถวนมาจวนจะถึงซอยและสังเกตเห็นร่างคุ้นตากำลังนั่งจิ้มสมุดและจดโน๊ตอะไรบางอย่างให้นักเรียนที่กำลังพยักหน้าหงึกหงักอย่างตั้งใจ รอยยิ้มและแก้มอิ่มที่ขยับไปมาจะว่าไปมันก็น่ามอง ไหนจะขาขาวๆที่โผล่พ้นออกมาจากกางเกงขาสั้นนั่นอีก อดสงสัยไม่ได้เลยว่าเด็กที่นั่งตรงข้ามเขานั้นมีสมาธิมากพอตั้งใจฟังได้ยังไงกัน
เจโฮปไม่รู้ว่าตัวเองหยุดรถตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขารู้แค่ว่า ร่างที่เขาเห็นในร้านนั้นเป็นคนที่เขาอยากเจอตลอดทั้งสองวันแน่นอน
ติ้ง...
เสียงแจ้งเตือนของโทรศัพท์มือถือเครื่องบาง เรียกให้เจ้าของมันหันมาสนใจ มือขาวหยิบโทรศัพท์ที่วางข้างคว่ำหน้าอยู่ขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อนนัก ปากยังคงเอื้อนเอื่อยสอนบทเรียนให้กับเด็กนักเรียนอยู่แม้ตาจะเริ่มหันมาสนใจสิ่งของในมือก่อนจะชะงักเสียงลงเพราะข้อความที่ปรากฏบนสกรีนตรงหน้าเป็นข้อความจากคนที่จองกุกอยากเจออยู่เหมือนกัน
“ตั้งใจสอนนะคุณครู~”
รอยยิ้มหวานคลี่ยิ้มออกมาอย่างน่ารัก มือยกลูบท้ายทอยลดอาการขวยเขิน ยิ่งเห็นรูปที่อีกคนส่งตามมาด้วยตายิ่งเบิกกว้างอย่างตกใจ สถานที่คุ้นตาบานกระจกใสที่มีเงาลางๆของคนใส่ชุดคล้ายตนเองอยู่ แน่นอนว่าคนที่ส่งข้อความมากำลังแอบมองเขาอยู่แต่กว่าจองกุกจะรู้ตัวว่าโดนแอบมองก็คลาดกับเจ้าของข้อความเคลื่อนรถออกไปเสียแล้ว
คนน่ารักยิ้มให้โทรศัพท์สลับกับถนนข้างนอกที่มีรถคันคุ้นตาอยู่ไกลๆ มือหยิบเอาแก้วน้ำที่เริ่มละลายจนจืดชืดไปมากมาดูดระคายความเขินร้อนของใบหน้า ความหวานเจื่อนๆที่ปะทะเข้ากับลิ้นแต่ทว่ามันกลับช่วยให้รู้สึกตื่นตัวและหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
อา..นี่หัวใจเขากำลังเต้นรัวเพราะฤทธิ์คาเฟอีนหรือเพราะข้อความนี้กันแน่เนี่ย~
______________________
อีกห้าสิบเปอร์ที่เหลือมาต่อแล้วค่ะ ซึ่งช้ามาก ขออภัย TT_TT
ความคิดเห็น