ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รอรัก...รอเธอ

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5

    • อัปเดตล่าสุด 25 มิ.ย. 63


    บทที่ 5

    รุ่งเช้า

    วริศพาหลวงตามาหาหมอเรียบร้อยแล้ว หมอบอกว่าอาการไม่น่าเป็นห่วงเพราะหลวงตาทานยาสม่ำเสมอ วริศเลยค่อยวางใจขึ้นมาหน่อย

    “เอ่อ ลุงสมครับ ช่วยจอดที่ร้านเครื่องเขียนหน่อยได้มั้ยครับพอดีมีของที่จะต้องใช้”วริศบอกเมื่อสมขับรถผ่านร้านเครื่องเขียน

    “ได้ครับคุณวริศ”สมขานรับแล้วค่อยๆขับรถไปจอด

    “หลวงตาครับ เดี๋ยวผมลงไปซื้อของแป๊บเดียวนะครับเดี๋ยวผมมา”

    “ไปเถอะโยม ไม่ต้องเป็นห่วง โยมสมเขาก็อยู่”

    “ฝากด้วยนะครับลุงสม”

    “ครับ ดูคุณวริศเขาเป็นห่วงหลวงพ่อมากเลยนะครับ”สมพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าวริศลงจากรถไปแล้ว

    “เขาเคยเจอกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่มานะโยม พอรู้ว่าอาตมาไม่สบายเขาเลยยิ่งเป็นห่วง เขาคงไม่อยากจะเห็นการสูญเสียอีก เลยเป็นห่วงมากขนาดนี้”

    “น่าเห็นใจนะครับ”

    “กรรมใครกรรมมันโยม”

    “ครับหลวงพ่อ”

    ที่วัด

    “งานไปถึงไหนแล้วละโยม”หลวงตาเดินเข้ามาดูวริศที่ศาลา หลังจากกลับจากโรงพยาบาลวริศก็รีบกลับไปทำงานแปลภาษาให้กับหม่อมเจ้าพงศ์ธารินต่อ

    “ใกล้เสร็จแล้วครับ ทำไมหลวงตาไม่พักผ่อนละครับเดินออกมาทำไม”

    “อาตมาเดินมาแค่นี้ไม่เป็นอะไรมากหรอก ว่าแต่โยมเถอะงานไม่ยากไปใช่มั้ย”

    “ไม่ครับ แค่แปลภาษาเท่านั้นไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย ตอนที่อยู่ที่โน่นทำงานยากกว่านี้อีกครับแค่นี้สบาย”วริศยิ้มกว้างให้กับหลวงตา

    “ถ้าอยู่ที่โน่นตอนนี้โยมกำลังทำอะไรอยู่ละ”หลวงตานั่งลงข้างๆหยิบเอกสารที่วริศแปลไว้มาดู

    “คงประชุมเรื่องที่จะเทคโอเวอร์โรงแรมพงศ์ธาราอยู่นะครับ โรงแรมพงศ์ธารา บ้าเอ้ย”วริศสบทออกมาเมื่อเขานึกอะไรขึ้นมาออก โรงแรมของหม่อมเจ้าพงศ์ธาริน ก็คือโรงแรมพงศ์ธาราที่เขาและพี่ๆกำลังคิดอยู่ว่าจะเทคโอเวอร์ดีหรือไม่ เพราะโรงแรมพงศ์ธาราในปัจจุบันย่ำแย่เกินทน ขาดทุนมาหลายปีแล้วเจ้าของก็กำลังประกาศขายกิจการอยู่

    “โยม อะไรที่มันเป็นของเรายังไงมันก็เป็นของเราใช่มั้ยละ”หลวงตาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    “ครับ อะไรที่มันเป็นของเรายังไงมันก็เป็นของเรา อาจเพราะว่าโรงแรมพงศ์ธาราจะต้องเป็นของคุณปู่เลยทำให้พวกผมสนใจโรมแรมนั้น ทั้งๆที่โรงแรมพงศ์ธาราไม่มีอะไรที่น่าสนใจเลย นอกจากที่ดินที่อยู่ใจกลางเมือง ซึ่งมีที่ตรงอื่นดีกว่านั้นเยอะ แต่พวกผมก็สนใจ เหอะ บ้าบอสิ้นดี”ประโยคสุดท้ายวริศพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย

    “เอาละอาตมาไม่กวนโยมแล้ว ทำงานต่อเถอะ”

    “ครับ”

    บ้านเรือนไทย

    “อ้าววริศ มานั่งทานของว่างก่อนสิลูก”หม่อมรัตนาทักวริศด้วยรอยยิ้มเรียกให้วริศมาทานของว่างด้วยกัน

    “สวัสดีครับหม่อม สวัสดีครับคุณเขมมิกา ท่านชายอยู่มั้ยครับพอดีว่าผมเอางานที่แปลมาให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว”วริศเดินไปนั่งใกล้ๆหม่อมรัตนา

    “ไหว้พระเถอะลูก มาทานของว่างด้วยกัน นางบัวไปเอาจานมาให้คุณวริศหน่อยไป”

    “ไม่ต้องหรอกครับ ผมแค่เอางานมาส่งเท่านั้นแล้วท่านชายละครับ”

    “ชายกับหนูศิพาหนูศิไปหาหมอตามนัดคงจะกลับมาค่ำๆ ถ้ายังไงฝากงานไว้ก็ได้ถ้าถ้าเขาชายกลับมาฉันจะบอกให้”

    “ก็ได้ครับ นี่เป็นเอกสารที่แปลให้เสร็จแล้วนะครับ กองนี้แปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย ส่วนกองนี้แปลจากภาษาญี่ปู่นเป็นภาษาไทย”วริศยื่นเอกสารให้กับหม่อมรัตนาดู

    “เอกสารตั้งเยอะแปลเสร็จแล้วหรือขยันไปไหน พักบ้างก็ได้ลูก”หม่อมรัตนาพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดู

    “ไม่หรอกครับ ว่างงานพอดีเลยรีบทำแต่ทำๆไปก็เสร็จหมดแล้วเลยรีบเอามาส่งท่านชายเพราะเอกสารบางอันเป็นเรื่องด่วน ถ้ายังไงช่วงค่ำผมจะเข้ามาอีกทีนะครับ”

    “เอางั้นก็ได้จ๊ะแต่ก่อนอื่นมาทานของว่างกันก่อนมาเร็ว”

    “ไม่ดีกว่าครับ”วริศปฏิเสธออกไป แต่สุดท้ายก็ต้องอยู่ทานของว่างเป็นเพื่อนหม่อมรัตนาอยู่ดี

    “หม่อมครับ ท่านชายกับหม่อมศิริรัตน์กลับมาแล้วครับ”สมขึ้นมารายงาน วริศหันไปมองที่นาฬิกาข้างฝาตอนนี้หกโมงเย็นแล้ว เขานั่งเพลินไปเลยจริงๆ

    “มาแล้วหรือชาย คุณหมอว่ายังไงบ้างหลานแม่แข็งแรงดีมั้ย”หม่อมรัตนาถามหม่อมเจ้าพงศ์ธารินที่เพิ่งเดินขึ้นมาพร้อมๆกับหม่อมศิริรัตน์

    “แข็งแรงดีครับ ทั้งคุณแม่และคุณลูก”

    “ท่านชายครับ ผมเอางานมาส่งแปลเสร็จเรียบร้อยแล้ว บางเรื่องเป็นเรื่องด่วนผมอยากให้ท่านชายตัดสินใจเลยเพราะถ้าช้ากว่านี้ ทางท่านชายจะเสียหาย”วริศหยิบเอกสารยื่นให้กับหม่อมเจ้าพงศ์ธาริน วริศเก็บเอกสารต่างๆเดินตามหม่อมเจ้าพงศ์ธารินไปทันที

    “เกือบไปแล้วมั้ยละ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินพูดขึ้นมาหลังจากคุยกับวริศเรียบร้อยแล้ว

    “คนที่แปลให้เมื่อก่อนคือใครหรือครับ”สริศถาด้วยความสงสัย

    “ฉันเพิ่งไล่ออกไปเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาทำงานล่าช้าจนงานฉันเสียไปหลายครั้งแล้ว และฉันยังแอบจับได้ว่าเขาเคยไปหาท่านชายพงศ์ปณตด้วย”

    “ครับ งั้นผมก็พอรู้เหตุผลแล้ว คราวนี้ท่านชายจะจัดการยังไงต่อไปถ้ารอช้ากว่านี้โรงแรมเสียหายมากเลยนะครับ”

    “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงฉันจัดการได้อยู่แล้ว ขอบใจมากนะวริศที่นอกจากจะแปลภาษาให้แล้วยังคอยช่วยงานเรื่องอื่นๆอีก เพราะถ้าฉันคนเดียวคงไม่ทัน”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินบีบบ่าวริศเบาๆเพื่อนขอบใจ

    “ไม่เป็นอะไรหรอกครับ นี่ก็ดึกมากแล้ว ผมขอตัวกลับไปดูหลวงตาก่อนดีกว่า ผมมานานแล้วเดี๋ยวท่านจะเป็นห่วง”

    “ก่อนกลับ ทานข้าวกันก่อนสิวริศ นี่มันสองทุ่มแล้ว ส่วนหลวงพ่อไม่ต้องเป็นห่วงหรอกฉันให้ลุงสมกับแดงไปคอยดูแลแล้วมาทานข้าวกันก่อน”

    “เอ่อ”

    “ไปทานข้าวกันก่อนมา”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินฉุดให้วริศลุกขึ้นเดินตามมา

    “มาคะ ไปทานข้าวกันคงหิวกันแย่”หม่อมศิริรัตน์พูดยิ้มๆ

    “โทษทีนะศิ ผมทำงานลืมไปเลยว่าคุณกับแม่รออยู่ แล้วไอ้ตัวเล็กที่อยู่ในท้องก็คงหิวมากแน่ๆเลย พ่อขอโทษนะครับ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินลูบท้องหม่อมศิริรัตน์เบาๆ

    “ท่านชายละก็ไปทานข้าวเลยค่ะ ศิ คุณแม่และก็น้องเขมทานกันเรียบร้อยแล้ว เพราะรู้ดีว่าถ้าลองได้ทำงานท่านชายจะต้องลืมไปแน่ว่ายังไม่ได้ทานข้าว”หม่อมศิริรัตน์บีบจมูกหม่อมเจ้าพงศ์ธารินอย่างหยอกล้อ

    “มาลูกมาทานข้าวกัน ประจำเลยนะชายถ้าได้ทำงานแล้วลืมทานข้าวทุกที ทำให้วริศเขาต้องทนหิวไปด้วย”หม่อมรัตนาดุไม่จริงจังนัก

    “ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ปกติผมก็ทำงานจนลืมทานข้าวบ่อยๆ”วริศพูดด้วยรอยยิ้ม

    “เสียสุขภาพแย่ มาเลยนะชาย วริศด้วยมาทานข้าวเดี๋ยวนี้เลย ถ้าไม่รีบมาแม่จะเอาหวายมาตีคนละที”หม่อมรัตนาแกล้งทำเสียงดุสีหน้าขึงขัง

    “ไปกันเถอะวริศเดี๋ยวจะโดนหวายคุณแม่เข้า”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินพูดยิ้มๆ

    “วริศลูกเป็นอะไรทำไมเงียบไปเลย”หม่อมรัตนาถามด้วยความตกใจเมื่อวริศตักข้าวเข้าไปคำแรงเขาก็เงียบไปเลยไม่ตักคำต่อไปสีหน้าก็ดูเคร่งเครียดไปด้วย

    “หรือกับข้าวไม่อร่อยจ๊ะ สงสัยฝีมือพี่ตกเดี๋ยวให้แม่แย้มไปทำให้ใหม่นะ”หม่อมศิริรัตน์รีบพูดขึ้นมา เพราะคิดว่าตัวเองฝีมือตกทำอาหารไม่อร่อย ส่วนถ้าจะไปถามท่านชายเธอทำอะไรก็อร่อยทั้งหมดนั้นแหละ

    “เปล่าหรอกครับ อร่อยครับอร่อยมาก”วริศรีบพูดขึ้นมาเมื่อเห็นหม่อมศิริรัตน์จะลุกขึ้น

    “อ้าว แล้วทำไมถึงมีสีหน้าแบบนั้นละ”

    “อ้อ ผมก็แค่นึกถึงอาหารฝีมือคุณปู่นะครับ อร่อยแบบนี้เลย”

    “คุณปู่ทำอาหารเป็นด้วยหรือจ๊ะ”

    “ครับ คุณปู่บอกว่าคุณทวดท่านสอนให้คุณปู่ทำอาหาร พอคุณปู่มีคุณย่าคุณปู่ก็สอนให้คุณย่าทำอาหารต่อ”

    “งั้นก็ทวดของวริศก็คงทำอาหารอร่อยมากนะสิ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินพูดขึ้นมา

    “ครับทำอร่อยมาก ในบรรดาพี่น้องทั้งหมดคนที่ทำอาหารได้อร่อยตามแบบฉบับคุณปู่มีแค่คนเดียวครับคนอื่นทำอร่อยก็จริงแต่คนที่เด็ดจริงก็คือคินครับ”

    “น้องชายหรือจ๊ะ”

    “ไม่ครับพี่ชาย เขาชื่อคิรินทร์ ครับแต่ที่เรียกแค่ชื่อเฉยๆไม่มีพี่นำหน้าเพราะว่าชินมากกว่าครับแต่เวลาจะอ้อนเอาอะไรก็จะเรียกว่าพี่แล้วแทนตัวเองด้วยชื่อ”

    “อ้อ น่ารักจังเลยนะคะ”

    “ครับ เพราะมีแต่ผู้ชายด้วยมั้งเลยอาจจะดูห้าวกันไปหน่อย”เมื่อพูดถึงครอบครัวแววตาของวริศอ่อนโยนจนคนที่แอบมองอยู่ใจสั่นไม่ได้

    “ทำอะไรหรือโยม นี่มันก็ดึกแล้วนะ”หลวงตาถามวริศด้วยความสงสัย ตอนนี้เกือบเที่ยงคืนแล้วแต่วริศยังไม่นอน ท่านที่จำวัดไปแล้วตื่นมาเข้าห้องน้ำมาเจอกับวริศเข้าพอดี

    “อ้อ ทำงานนิดหน่อยนะครับ เสร็จแล้วก็จะไปนอนแล้ว”วริศเงยหน้าจากเอกสารวางปากกาในมือบิดขี้เกียจเล็กน้อย

    “อย่านอนดึกละ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าอีก”

    “ครับหลวงตา”วริศรับคำ รีบแปลเอกสารต่อจนเสร็จก็เข้านอนทันที

    จากวันนั้นตอนนี้ก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้วที่วริศได้ใช้ชีวิตอยู่กับหลวงตาเติม แต่นั้นไม่ได้ทำให้วริศรู้สึกดีแม้แต่นิดเดียว เพราะเขารู้ดีว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นแต่เขาแค่ไม่รู้ว่าเวลาจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่เท่านั้นเอง และเวลาเกือบเดือนที่ผ่านมาทำให้ผู้ชายอย่างวริศเริ่มรู้จักความรักขึ้นมา ความรักจากการแอบมอง ความรักที่แอบรักข้างเดียว แต่นั้นก็ทำให้วริศมีความสุขมากพอแล้วกับการแอบมอง

    “คุณวาดรูปเป็นด้วยหรือคะ”

    “ครับ อะไรนะครับ”วริศที่เผลอใจลอยไปหน่อยสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงหวานๆของเขมมิกาแหมเขากำลังนึกถึงใบหน้าหวานๆนั้นพอดี

    “เขมถามว่าคุณวริศวาดรูปเป็นด้วยหรือคะ”เขมมิกาถามซ้ำอีกครั้ง ดูวริศใจลอยยังไงไม่รู้

    “อ้อครับ วาดเป็นครับแต่ไม่ได้เก่งอะไรมากมาย”วริศหันมายิ้มให้กับเขมมิกา

    “คุณวริศวาดรูปคนรักหรือคะ”เขมมิกาเดา เมื่อเห็นว่าในกระดาษของวริศมีโครงร่างเป็นรูปผู้หญิงแต่เพราะยังวาดไม่เสร็จเลยไม่สามารถดูได้ว่ารูปผู้หญิงในภาพจะสวยมากแค่ไหน

    “ครับ แต่ต้องดูความหมายก่อนนะว่าคนรักในรูปแบบไหน”วริศยิ้มให้กับเขมมิกาที่ทำหน้าฉงน ไม่เข้าใจในสิ่งที่ วริศพูด

    “เขมไม่เข้าใจคะ”เขมมิกาถามออกไปเพราะถ้าไม่ถามดูๆแล้ววริศคงไม่อธิบายต่อ

    “ก็คนรักมีหลายรูปแบบนี่ครับ แบบพี่น้อง แบบคู่ภรรยาสามี แบบพ่อลูก หรือคนรักที่เป็นเจ้าของหัวใจ”

    “อ้อ แล้วผู้หญิงในรูปเป็นคนรักแบบไหนละคะ คงจะเป็นเจ้าของหัวใจสินะคะ ดูคุณวริศจะตั้งใจวาดมาก ขนาดเขมมายืนดูอยู่ตั้งนานคุณวริศยังไม่รู้ตัวเลย”เขมมิกาพูดเชิงหยอกล้อ แต่ในใจกลับไม่คิดอย่างนั้นเพราะความรู้สึกที่เขมมิการู้สึกได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเลย

    “ก็รักมากก็เลยตั้งใจมากเป็นธรรมดาครับ แต่ผู้หญิงคนที่ผมวาดเขาเป็นคนที่สวยที่สุดในสายตาผมและเขาก็เป็นคนที่ผมรักที่สุดเหมือนกัน แต่ติดตรงที่ว่าเขาเป็นน้องสาวผมเลยเป็นเจ้าของหัวใจผมไม่ได้ คุณเขมอาสาจะมาเป็นเจ้าของหัวใจผมมั้ยละครับ”วริศถามด้วยรอยยิ้ม เหมือนกับพูดเล่นเรื่องธรรมดาทั่วไป แต่ใครจะรู้นอกจากตัววริศเองเท่านั้นที่รู้ว่าคำพูดของเขานั้นมันจริงจังแค่ไหน

    “เขมคงต้องขอตัวนะคะ เพราะเขมมีคู่หมั้นแล้ว เอามั้ยค่ะเดี๋ยวเขมช่วยแนะนำให้ผู้หญิงดีๆให้”ใจของเขมมิกาเต้นรัวเหมือนกับใครมาตีกลองในใจเธอ แต่ก็ต้องพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองเอาไว้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะเธอมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ทุกอย่างมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว

    “ไม่ต้องหรอกครับ พอดีว่าผมยังไม่รีบมีเจ้าของหัวใจผมก็แค่พูดเล่นเท่านั้นคุณเขมอย่าถือสาเลยนะครับและอีกอย่างผมรอให้น้องสาวผมหาให้ดีกว่าครับ เพราะถ้าผมหาเองแล้วไม่ถูกใจน้องสาวผมเดี๋ยวบ้านจะแตกเสียเปล่าๆ แต่ยังไงผมก็ต้องขอบคุณคุณเขมนะครับที่จะแนะนำผู้หญิงดีๆให้”วริศเก็บความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้เขาอยากจะให้พี่ๆน้องๆมาอยู่กับเขาเหลือเกินเขาคิดถึงคนในครอบครัว ไม่รู้ว่าตอนนี้ทุกคนจะเป็นยังไงบ้าง เขาไม่เคยอ่อนแอแบบนี้มาก่อน

    “หือ น้องสาวคุณวริศดุหรือคะ”

    “เปล่าครับน้องสาวผมเป็นคนใจดี แต่เรื่องที่จะเอาสะใภ้เข้าบ้านสักคนนี่ บ้านผมเขาให้น้องสาวเลือกให้ครับ เพราะถ้าเลือกเองแล้วได้ไม่ดีมาเข้ากับครอบครัวผมไม่ได้ ผมก็ไม่เอาเหมือนกัน”

    “ดูคุณวริศจะรักครอบครัวมากนะคะ บางคนเขาอาจเลือกความรักมากกว่าครอบครัว”

    “สำหรับผมครอบครัวสำคัญที่สุด เพราะสามีภรรยาถ้าเลิกกันไปก็เป็นคนอื่นอยู่ดี แต่ถ้าเป็นครอบครัวถึงทะเลาะกันยังไง มันก็ตัดกันไม่ขาดหรอกครับ ไม่ว่าจะร้ายจะเลวแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวถึงจะเป็นญาติกันผมก็ไม่ปล่อยไว้หรอกครับสำหรับคนที่จะมาทำลายครอบครัวผม”ประโยคสุดท้ายวริศพูดเสียงเข้ม

    “เขมไม่เข้าใจ ญาติกันไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันหรือคะ”

    “ครอบครัวสำหรับผมคือญาติพี่น้องที่มาอยู่ด้วยกันด้วยความรัก แต่ถ้าเป็นญาติที่จ้องแต่จะแย่งชิง ทำลายล้างกันผมไม่เรียกว่าครอบครัว”

    “นั่นสินะ ถ้าเป็นคนในครอบครัวเขาคงไม่ทำร้ายกันหรอก”

    “ท่านชาย/พี่ชาย”วริศและเขมมิกาพูดขึ้นมาด้วยความตกใจเพราะไม่รู้ว่าหม่อมเจ้าพงศ์ธารินมาตั้งแต่เมื่อไหร่

    “ตกใจอะไรขนาดนั้น กำลังวาดรูปน้องสาวอยู่หรือวริศ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินเดินเข้าไปดูภาพที่วริศวาดเอาไว้ แม้จะยังไม่เสร็จก็ตามแต่ท่านก็อยากจะเห็น

    “ครับ แต่ยังไม่เสร็จ”

    “ถึงจะยังไม่เสร็จแต่ก็วาดได้สวยมาก ไม่คิดว่าจะมีฝีมือทางด้านนี้เหมือนกัน”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินชม

    “ไม่หรอกครับ ก็แค่พอวาดได้แต่ไม่ได้สวยงามอะไรมากหรอกครับ”

    “อย่าถ่อมตัวไปเลย นี่ขนาดไม่เห็นใบหน้าที่ชัดเจนดูก็รู้ว่าเป็นคนสวยมาก ถึงว่าสิวริศถึงได้รักน้องสาวมาก ฉันอยากเห็นพี่ๆน้องๆของวริศคนอื่นแล้วสิว่าจะหน้าตาหล่อเหลากันแค่ไหน”

    “ถ้ามีเวลาเดี๋ยวผมจะวาดให้ดูครับอาจจะไม่เหมือนแป๊ะแต่รับรองว่าจะวาดให้เหมือนที่สุด แต่ก่อนหน้านั้นท่านชายจะดูรูปคุณปู่ผมมั้ยละครับผมวาดเสร็จแล้ว”วริศยิ้มออกมา แต่ถ้าคนที่รู้จักวริศดีจะรู้ว่ารอยยิ้มของวริศมันมีอะไรที่แฝงอยู่ในนั้น

    “หืม เอามาดูสิ”วริศหยิบสมุดวาดรีบเปิดไปหน้าก่อนหน้านี้และยื่นให้กับหม่อมเจ้าพงศ์ธารินดู

    “นี่ครับคุณปู่ผม”

    “หือ ทำไมถึง”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินขมวดคิ้วจ้องไปที่ภาพวาดเขม่งเพราะชายในภาพที่วริศบอกว่าเป็นคุณปู่ทำไมถึงได้มีหน้าตาคล้ายเขานัก ถ้าบอกว่าเป็นพี่น้องกันคงมีคนเชื่อ

    “ดูอะไรหรือคะ”หม่อมศิริรัตน์ที่เดินผ่านมาเดินเข้ามาดูอีกคน

     “ศิมาดูรูปคุณปู่ของวริศสิ คุณคิดว่าเขาเหมือนใคร”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินยื่นสมุดวาดรูปให้หม่อมศิริรัตน์

    “เหมือนกับท่านชายเลยค่ะ”

    “ถ้ามีคนบอกว่าคุณปู่ของคุณวริศเป็นน้องชายของพี่ชายจะต้องคนเชื่อแน่นอนค่ะ”เขมมิกาพูดขึ้นมาหลังจากที่ได้ดูรูป

    “คุณปู่ชื่ออะไรหรือวริศ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เผื่อว่าจะเป็นญาติกันก็ได้

    “ท่านชื่อทรงวุฒิครับ”

    “ไม่เคยได้ยินนะชื่อนี่”

    “อย่าไปคิดมากเลยครับ ท่านชายไม่เคยพบคุณปู่ผมหรอก ไม่เคยแม้ว่าอยากจะเจอก็ตาม แต่สักวันผมจะพาคุณปู่มาเจอท่านชายให้ได้”วริศพูดเสียงเครียด

    “เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะประโยคหลังได้ยินไม่ค่อยชัด”

    “ผมแค่พูดว่าคงไม่ได้เจอกันเพราะคุณปู่ผมท่านอยู่ไกลนะครับ”

    “อ้อ ถ้าอยู่ใกล้ๆก็คงจะดี อย่าลืมละถ้าวาดรูปน้องสาวเสร็จแล้วเอามาให้ดูด้วย แล้วรูปพี่ๆน้องๆของวริศด้วยนะ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายนิดๆท่านรู้สึกผูกพันยังไงไม่รู้กับคนในภาพ ถ้าได้เจอกันก็คงดี

    “ครับ ผมไม่ลืมแน่นอน ว่าแต่งานยังมีอีกมั้ยครับผมแปลเสร็จหมดแล้ว แล้วบัญชีก็ตรวจเรียบร้อยแล้ว”วริศของานเพิ่ม เพราะงานที่หม่อมเจ้าพงศ์ธารินมอบหมายมาเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว

    “พอก่อนเถอะ พักบ้าง เมื่อก่อนงานฉันแทบล้นมือพอวริศมางานที่เคยล้นแทบจะไม่มีให้ฉันทำเลยวริศทำหมดแล้ว”

    “ก็มันว่างนี่ครับ”

    “งั้นก็แสดงว่าตอนที่อยู่บ้านก็ทำงานเยอะใช่มั้ยละ พอได้อยู่เฉยๆแล้วอยู่ไม่ได้”

    “ครับหม่อม ถ้าอยู่ที่โน่นถ้างานของตัวเองเสร็จแล้วก็จะไปช่วยพี่ๆน้องๆทำต่อเพราะงานของแต่ละคนเยอะมาก”

    “ถ้าอย่างงั้น คนขยันช่วยไปทานของว่างให้หมดด้วยนะคะ ท่านชายด้วย รีบไปทานของว่างให้หมดเลยนะน้องเขมทำสุดฝีมือเลย”หม่อมศิริรัตน์ดุหม่อมเจ้าพงศ์ธารินและวริศให้ไปทานของว่าง สองคนนี้ทำงานทีไรได้เป็นลืมสิ่งรอบข้างไปหมด นิสัยเหมือนกันจริงๆ

    “ครับๆไปแล้วครับ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินเดินนำวริศไป ภาพนี้ทำให้เขมมิกาที่เห็นมาเกือบเดือนอดที่จะยิ้มไม่ได้ เกือบทุกวันที่หม่อมศิริรัตน์จะต้องมาตามให้หม่อมเจ้าพงศ์ธารินและวริศไปทานของว่างหรือทานข้าวเป็นประจำ และคนที่เดินนำไปคนแรกก็คือหม่อมเจ้าพงศ์ธารินมีวริศเดินตามไปติดๆไม่มีหรอกที่คนใดคนหนึ่งจะลุกไปกินก่อน ทำงานจนลืมเวลาทั้งสองคน

    “น่ารักใช่มั้ยละ”หม่อมศิริรัตน์ถามเขมมิกาที่ยืนยิ้มอยู่

    “ค่ะ เป็นภาพที่หายากจริงๆ”

    “ไปค่ะ เราไปคุมทั้งสองคนทานของว่างดีกว่า เพราะถ้าไม่ลองไปนั่งเฝ้ามีหวังได้หยิบงานมาทำอีกแน่”หม่อมศิริรัตน์เดินตามหม่อมเจ้าพงศ์ธารินและวริศไปโดยมีเขมมิกาตามไปด้วย

    “ยัยเขมมีคู่หมั้นแล้ว”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินพูดขึ้นมา เมื่อเห็นวริศมองตามหลังเขมมิกาไป

    “ครับ ทราบแล้ว”

    “รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ”พงศ์ธารินถามด้วยความแปลกใจ

    “ตอนบ่ายครับ ตอนที่คุณเขมเขาถามเรื่องภาพนะครับ เขาบอกว่าเขามีคู่หมั้นแล้ว”วริศตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

    “ไม่เสียใจหรือไง”

    “ไม่หรอกครับ เพราะผมคิดว่าจีบผู้หญิงมีแฟนมีศัตรูแค่คนเดียว แต่ถ้าจีบผู้หญิงโสดมีศัตรูเป็นล้านสู้จีบผู้หญิงที่มีแฟนแล้วไม่ดีกว่าหรือครับ”วริศพุโด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน

    “ไม่หรอก วริศจะไม่ทำอย่างนั้น เพราะวริศที่ฉันรู้จักเขาไม่ใช่ที่จะแย่งของของคนอื่น และเขาก็เป็นสุภาพบุรุษพอ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินพูดด้วยความมั่นใจ

    “ท่านชายพูดด้วยความมั่นใจซะขนาดนี้ผมก็คงไม่กล้าทำให้ท่านชายเสียความรู้สึกหรอกครับ ผมก็พูดไปงั้นแหละ ผมไม่ทำหรอกครับและไม่มีความคิดที่จะทำ ที่บ้านผมจะสอนเสมอว่าห้ามไปยุ่งกับผู้หญิงที่มีเจ้าของอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้ารู้ว่าเขามีเจ้าของแล้วผมไม่ไปยุ่งหรอกครับไม่อยากถูกไคท์ตบ”วริศอดนึกถึงเหตุการณ์ที่อภิวัฒน์ถูกรัตนกรตบไม่ได้ นึกแล้วเจ็บปวดชะมัด ไม่ใช่เจ็บที่ตัวหรอกแต่เจ็บที่ใจ เสียใจที่ต้องทำให้พี่ชายต้องเสียใจ

    “พูดแบบนี้แสดงว่าเคยมีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นแล้วละสิ”พงศ์ธารินถามด้วยรอยยิ้มท่านเริ่มคุ้นชินชื่อพี่น้องของวริศแล้ว พออีกฝ่ายพูดขึ้นมาก็รู้ว่าเป็นใครทันที

    “ครับ แต่ไม่ได้ไปแย่งคนรักใครหรอกครับ แต่ถูกบอกว่าไปทำผู้หญิงท้องต่างหาก ถึงไคท์จะรู้ว่าไม่เป็นความจริงแต่เราตกลงกันแล้วว่าถึงจะไม่เป็นความจริงแต่ถ้ามีคนพูดออกมาคนคนนั้นจะต้องถูกทำโทษ และเพราะว่าไม่อยากให้ไคท์เจ็บและตัวเองเจ็บทุกคนเลยต้องระวังตัวกันเป็นพิเศษ”

    “ถ้าลูกหลานฉันมีนิสัยอย่างพวกเธอฉันจะภูมิใจมากเลยทีเดียว ยิ่งเรื่องความรักพี่รักน้องด้วยแล้วถือว่าคุณปู่เธอสอนมาดี”

    “ตอนนี้ท่านชายก็ภูมิใจได้แล้วครับ”วริศพูดด้วยรอยยิ้ม

    “หือ”พงศ์ธารินขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจกับคำพูดของวริศ วริศไปพูดอะไรแต่เลือกที่จะยิ้มให้ เมื่อเห็นว่าวริศไม่ยอมอธิบายท่านเลยพูดเรื่องอื่นต่อ “อ้อ พรุ่งนี้ฉันมีธุระต้องไปค้างคืนด้วย วริศช่วยเข้ามาดูที่เรือนหน่อยได้มั้ยเกรงว่าถ้าตาสมคนเดียวจะไม่ไหว”

    “ได้ครับ เดี๋ยวผมจะแวะเข้ามาดูให้ท่านชายไม่ต้องห่วง”

    “ขอบใจมากนะ”

    “ไม่เป็นอะไรครับ เราคนในครอบครัวเดียวกันไม่ใช่หรือ”วริศเลิกคิ้วถามยิ้มๆ

    “นั่นสินะ”พงศ์ธารินขยี้ผมวริสด้วยความเอ็นยิ้มกว้างให้กับพงศ์ธาริน

    “คุณพสินมาแล้วครับ ท่านชายจะให้เชิญขึ้นมาเลยมั้ยครับ”สมเข้ามารายงาน

    “ให้ขึ้นมาได้เลย แล้วไปตามคุณเขมด้วยบอกว่าคุณพสินมาแล้ว”

    “ครับ”สมรับคำแล้วถอยออกไปเพื่อทำตามคำสั่ง

    “คู่หมั้นของเขมมิกา เขมมิกาจะกลับวันนี้”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินพูดขึ้นมาลอยๆ บอกเป็นนัยให้วริศรู้

    “งั้นผมก็คงต้องขอตัวก่อน”วริศทำท่าจะลุกขึ้น

    “ถ้ายังทำใจไม่ได้ก็ไปเถอะ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินพูดออกมาเพราะเข้าใจวริศดี เพราะเท่าที่สังเกตมาวริศเก็บความรู้สึกเก่งมาก และเขาก็คงไม่รู้ถ้าไม่ดันไปเห็นรูปที่วริศแอบวาดเอาไว้ก็คงไม่รู้

    “งั้นผมไม่ไปแล้ว อยู่ที่นี่ก็สบายดีครับ”วริศจากที่ลุกขึ้นกลับนั่งลงที่เดิม

    “กวนนักนะ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินพูดยิ้มๆวริศไม่พูดอะไรได้แต่ยิ้มตอบ

    “สวัสดีครับท่านชาย สบายดีนะครับ”พสินที่เดินขึ้นมายกมือไหว้

    “สวัสดี นั่งก่อนสิ สบายดีนะไม่เจอกันนาน”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินยิ้มน้อยๆเชิญให้พสินนั่งลงที่เบาะตรงกันข้าม

    “ขอบคุณครับ ผมสบายดีน้องเขมมาที่นี่คงไม่ได้กวนอะไรใช่มั้ยครับ”พสินพูดด้วยความนอบน้อม ถึงจะไม่ต้องพูดคำราชาศัพท์เพราะหม่อมเจ้าพงศ์ธารินบอกให้พูดธรรมดาก็พอแต่เขาก็อดเกรงไม่ได้

    “ไม่หรอก  ลืมแนะนำให้รู้จักกันเลย พสินนี่วริศ เขาเป็นเหมือนคนในครอบครัวของฉัน วริศนั้นหม่อมหลวงพงศ์พสิน  อรุณพัฒน์ เป็นคู่หมั้นของยัยเขม”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินแนะนำตั้งสองให้รู้จักกัน

    “สวัสดีครับ”วริศยกมือไหว้ ดูๆแล้วอายุมากกว่าเขาแน่นอน

    “ครับ”พงศ์พสินยิ้มรับ

    “มาแล้วหรือยัยเขม เก็บเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินถามเขมมิกาที่เดินถือกระเป๋ามา

    “เรียบร้อยแล้วค่ะพี่ชาย เสียดายจังคุณป้าไม่อยู่”เขมมิกาหน้ามุ้ยเล็กน้อยที่วันนี้หม่อมรัตนาติดธุระออกไปตั้งแต่เช้า จนไม่ได้อยู่ลา

    “เราก็บอกลาท่านไปแล้วนี่ ไม่เป็นอะไรหรอก”

    “แต่ถึงยังไงก็เถอะคะ”เขมมิกาหน้ามุ่ย

    “ไม่คิดจะทักพี่หน่อยหรือครับ”พงศ์พสินพูดขึ้นมาเมื่อเขมมิกาไม่มีทีท่าว่าจะทักเขาเลย

    “สวัสดีค่ะพี่พสิน เขมกำลังจะทักพอดีทำไมมาเร็วจังละคะเขมนึกว่าจะมาบ่ายๆซะอีก”เขมมิกาเดินไปนั่งใกล้ๆพงศ์พสิน วริศมองภาพนั้นด้วยสายตาเรียบเฉยไม่แสดงออกว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่ คงจะมีแต่หม่อมเจ้าพงศ์ธารินเท่านั้นที่รู้ว่าวริศกำลังคิดอะไร ท่านยกมือขึ้นบีบบ่าวริศเบาๆเพื่อให้กำลังใจ

    “พี่คิดถึงน้องเขมนี่คะ มาอยู่ที่นี่เกือบเดือนพี่ต้องคิดถึงมากเป็นธรรมดา”พงศ์พสินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

    “พี่พสินละก็พูดอะไรก็ไม่รู้  เห็นมั้ยคะมีคนอื่นนั่งอยู่ตั้งหลายคน”เขิมกาพูดด้วยท่าทีเขินอาย

    “คุยกันต่อเถอะ ไปกันเถอะวริศเราไปคุยงานกันที่ศาลาดีกว่า”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินเดินนำวริศไปอีกศาลาที่อยู่ใกล้ๆ

    “ผมขอตัวกลับไปที่วัดหน่อยนะครับ เพราะหลวงตาเติมท่านป่วยอยู่เหมือนกันอาการกำเริบจะแย่”วริศพูดขึ้นมาเมื่อหม่อมเจ้าพงศ์ธารินนั่งลงที่เบาะ

    “ท่านไม่สบายอีกแล้วหรือ ครั้งก่อนให้ตาสมพาไปหาหมอนึกว่าอาการดีขึ้นแล้ว”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินขมวดคิ้วด้วยความสงสัยปนเป็นห่วง

    “ครับ ท่านไม่ได้กินยาตามที่หมอสั่ง อาการเลยไม่ดีขึ้น วันก่อนหลวงตาท่านเป็นลมที่ห้องน้ำดีที่ผมไปเห็นเลยช่วยไว้ได้ทัน ช่วงนี้เลยต้องดูแลอย่างใกล้ชิดครับ”

    “อืม งั้นไปเถอะงานที่นี่ก็ไม่มีอะไรแล้ว ส่วนรูปนี่ขอนะ”

    “รูปคุณปู่หรือครับ”

    “ใช่ ได้มั้ย ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นอะไรนะ”

    “ได้ครับ ไม่มีปัญหา แต่ทำไมท่านชายถึงอยากได้ละครับ”วริศถามด้วยความสงสัย

    “ไม่รู้สิ ก็แค่อยากได้ แต่เดี๋ยวนะตรงนี้เขียนว่าอะไรดูไม่ชัดตัวเล็กมาก”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินจ้องเขม่งไปที่ตัวอักษรเล็กๆที่อยู่หัวมุมด้านขวาบนของภาพ

    “เขียนว่าไรเฟิลครับ”

    “ไรเฟิล ทำไมต้องไรเฟิลละ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินถามด้วยความสงสัยถ้าเป็นชื่อของวริศท่านจะไม่แปลกใจเลย

    “ไรเฟิล เป็นชื่อเล่นของผมครับ ที่บ้านจะเรียกว่าเฟิล”วริศอธิบายด้วยรอยยิ้ม

    “ชื่อแปลกดี”

    “ก็ไม่แปลกเท่าไหร่หรอกครับ ก็แค่เอาชื่อปืนมาตั้งชื่อ”

    “ปืนมันเป็นอาวุธที่อันตรายนะ”

    “นั้นคงเป็นจุดประสงค์ของการตั้งชื่อเล่นของผมมั้งครับ ผมขอตัวก่อนสวัสดีครับ”วริศไหว้ลาแล้วเดินออกไป

    “มีอะไรหรือคะ ทำไมมีสีหน้าเคร่งเครียดจัง”หม่อมศิริรัตน์เดินมานั่งใกล้ๆหม่อมเจ้าพงศ์ธารินด้วยความเป็นห่วง

    “ไม่มีอะไรหรอก”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินหันมายิ้มให้กับภรรยาคนสวย

    “น่าสงสารวริศนะคะ”หม่อมศิริรัตน์พูดขึ้นมา

    “หืม ทำไมถึงน่าสงสารละ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินถามด้วยความแปลกใจ

    “คือศิ แอบเห็นสายตาที่วริศคอยแอบมองน้องเขมนะคะ ดูก็รู้ว่าวริศคิดอะไร ยิ่งเห็นตำตาแบบนี้คงจะเจ็บหน้าดู”หม่อมศิริรัตน์พูดด้วยความเป็นห่วง

    “ศิ ช่างสังเกตเสียจริงทั้งๆที่วริศเก็บความรู้สึกเก่งขนาดนั้นแต่เรื่องของความรักมันก็เป็นแบบนี้ละสิ บางคนก็สมหวังบางคนก็ผิดหวัง แต่ความรักไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรอก คนที่ผิดหวังก็มัวแต่โทษว่าความรักไม่ดีอย่างโน่นอย่างนี้ แต่ถ้าเขาจะมองให้ดีเขาจะรู้ว่าความรักไม่ผิด เรื่องแบบนี้พูดยากว่าใครผิดใครถูก ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่นั้นไงไม่รู้ว่าตัวเองรักหรือไม่รัก แต่เพราะคิดว่ารักก็เลยตอบตกลงหมั้น ถ้าสักวันรู้ตัวขึ้นมาว่าความรักที่ตัวเองคิดนะที่จริงแล้วมันคือความรักในแบบพี่น้องอะไรจะเกิดขึ้น และหวังว่าคงจะไม่สายเกินไป”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินมองไปที่เขมมิกาและพงศ์พสินที่นั่งคุยกันอยู่

    “ถ้าอย่างนั้นเราควรจะเตือนน้องเขมนะคะ ถ้าเกิดแต่งงานกันไปแล้วเพิ่งมารู้เอาตอนนั้นมันจะแก้ไขไม่ได้แล้ว”หม่อมศิริรัตน์พูดด้วยความกังวล

    “บอกไปก็เท่านั้น ถึงยัยเขมจะเป็นผู้หญิงที่ดูอ่อนหวานแบบนั้น แต่นิสัยจริงๆแล้วรั้นพอตัวไม่เชื่อในสิ่งที่เราพูดหรอก เพราะยัยเขมเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองมาก”

    “แล้วเราจะทำยังไงละคะ”

    “เราคงทำได้แค่เป็นผู้ชมเท่านั้น และหวังว่ามันจะไม่สายเกินไปนะ”



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×