คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5
บทที่
5
รุ่งเช้า
วริศพาหลวงตามาหาหมอเรียบร้อยแล้ว
หมอบอกว่าอาการไม่น่าเป็นห่วงเพราะหลวงตาทานยาสม่ำเสมอ
วริศเลยค่อยวางใจขึ้นมาหน่อย
“เอ่อ ลุงสมครับ ช่วยจอดที่ร้านเครื่องเขียนหน่อยได้มั้ยครับพอดีมีของที่จะต้องใช้”วริศบอกเมื่อสมขับรถผ่านร้านเครื่องเขียน
“ได้ครับคุณวริศ”สมขานรับแล้วค่อยๆขับรถไปจอด
“หลวงตาครับ เดี๋ยวผมลงไปซื้อของแป๊บเดียวนะครับเดี๋ยวผมมา”
“ไปเถอะโยม ไม่ต้องเป็นห่วง โยมสมเขาก็อยู่”
“ฝากด้วยนะครับลุงสม”
“ครับ
ดูคุณวริศเขาเป็นห่วงหลวงพ่อมากเลยนะครับ”สมพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าวริศลงจากรถไปแล้ว
“เขาเคยเจอกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่มานะโยม
พอรู้ว่าอาตมาไม่สบายเขาเลยยิ่งเป็นห่วง เขาคงไม่อยากจะเห็นการสูญเสียอีก
เลยเป็นห่วงมากขนาดนี้”
“น่าเห็นใจนะครับ”
“กรรมใครกรรมมันโยม”
“ครับหลวงพ่อ”
ที่วัด
“งานไปถึงไหนแล้วละโยม”หลวงตาเดินเข้ามาดูวริศที่ศาลา
หลังจากกลับจากโรงพยาบาลวริศก็รีบกลับไปทำงานแปลภาษาให้กับหม่อมเจ้าพงศ์ธารินต่อ
“ใกล้เสร็จแล้วครับ ทำไมหลวงตาไม่พักผ่อนละครับเดินออกมาทำไม”
“อาตมาเดินมาแค่นี้ไม่เป็นอะไรมากหรอก ว่าแต่โยมเถอะงานไม่ยากไปใช่มั้ย”
“ไม่ครับ แค่แปลภาษาเท่านั้นไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย
ตอนที่อยู่ที่โน่นทำงานยากกว่านี้อีกครับแค่นี้สบาย”วริศยิ้มกว้างให้กับหลวงตา
“ถ้าอยู่ที่โน่นตอนนี้โยมกำลังทำอะไรอยู่ละ”หลวงตานั่งลงข้างๆหยิบเอกสารที่วริศแปลไว้มาดู
“คงประชุมเรื่องที่จะเทคโอเวอร์โรงแรมพงศ์ธาราอยู่นะครับ
โรงแรมพงศ์ธารา บ้าเอ้ย”วริศสบทออกมาเมื่อเขานึกอะไรขึ้นมาออก
โรงแรมของหม่อมเจ้าพงศ์ธาริน
ก็คือโรงแรมพงศ์ธาราที่เขาและพี่ๆกำลังคิดอยู่ว่าจะเทคโอเวอร์ดีหรือไม่
เพราะโรงแรมพงศ์ธาราในปัจจุบันย่ำแย่เกินทน ขาดทุนมาหลายปีแล้วเจ้าของก็กำลังประกาศขายกิจการอยู่
“โยม
อะไรที่มันเป็นของเรายังไงมันก็เป็นของเราใช่มั้ยละ”หลวงตาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ครับ อะไรที่มันเป็นของเรายังไงมันก็เป็นของเรา
อาจเพราะว่าโรงแรมพงศ์ธาราจะต้องเป็นของคุณปู่เลยทำให้พวกผมสนใจโรมแรมนั้น ทั้งๆที่โรงแรมพงศ์ธาราไม่มีอะไรที่น่าสนใจเลย
นอกจากที่ดินที่อยู่ใจกลางเมือง ซึ่งมีที่ตรงอื่นดีกว่านั้นเยอะ แต่พวกผมก็สนใจ
เหอะ บ้าบอสิ้นดี”ประโยคสุดท้ายวริศพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย
“เอาละอาตมาไม่กวนโยมแล้ว ทำงานต่อเถอะ”
“ครับ”
บ้านเรือนไทย
“อ้าววริศ มานั่งทานของว่างก่อนสิลูก”หม่อมรัตนาทักวริศด้วยรอยยิ้มเรียกให้วริศมาทานของว่างด้วยกัน
“สวัสดีครับหม่อม สวัสดีครับคุณเขมมิกา
ท่านชายอยู่มั้ยครับพอดีว่าผมเอางานที่แปลมาให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว”วริศเดินไปนั่งใกล้ๆหม่อมรัตนา
“ไหว้พระเถอะลูก มาทานของว่างด้วยกัน นางบัวไปเอาจานมาให้คุณวริศหน่อยไป”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมแค่เอางานมาส่งเท่านั้นแล้วท่านชายละครับ”
“ชายกับหนูศิพาหนูศิไปหาหมอตามนัดคงจะกลับมาค่ำๆ
ถ้ายังไงฝากงานไว้ก็ได้ถ้าถ้าเขาชายกลับมาฉันจะบอกให้”
“ก็ได้ครับ นี่เป็นเอกสารที่แปลให้เสร็จแล้วนะครับ
กองนี้แปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย
ส่วนกองนี้แปลจากภาษาญี่ปู่นเป็นภาษาไทย”วริศยื่นเอกสารให้กับหม่อมรัตนาดู
“เอกสารตั้งเยอะแปลเสร็จแล้วหรือขยันไปไหน
พักบ้างก็ได้ลูก”หม่อมรัตนาพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
“ไม่หรอกครับ
ว่างงานพอดีเลยรีบทำแต่ทำๆไปก็เสร็จหมดแล้วเลยรีบเอามาส่งท่านชายเพราะเอกสารบางอันเป็นเรื่องด่วน
ถ้ายังไงช่วงค่ำผมจะเข้ามาอีกทีนะครับ”
“เอางั้นก็ได้จ๊ะแต่ก่อนอื่นมาทานของว่างกันก่อนมาเร็ว”
“ไม่ดีกว่าครับ”วริศปฏิเสธออกไป
แต่สุดท้ายก็ต้องอยู่ทานของว่างเป็นเพื่อนหม่อมรัตนาอยู่ดี
“หม่อมครับ ท่านชายกับหม่อมศิริรัตน์กลับมาแล้วครับ”สมขึ้นมารายงาน
วริศหันไปมองที่นาฬิกาข้างฝาตอนนี้หกโมงเย็นแล้ว เขานั่งเพลินไปเลยจริงๆ
“มาแล้วหรือชาย
คุณหมอว่ายังไงบ้างหลานแม่แข็งแรงดีมั้ย”หม่อมรัตนาถามหม่อมเจ้าพงศ์ธารินที่เพิ่งเดินขึ้นมาพร้อมๆกับหม่อมศิริรัตน์
“แข็งแรงดีครับ ทั้งคุณแม่และคุณลูก”
“ท่านชายครับ ผมเอางานมาส่งแปลเสร็จเรียบร้อยแล้ว
บางเรื่องเป็นเรื่องด่วนผมอยากให้ท่านชายตัดสินใจเลยเพราะถ้าช้ากว่านี้
ทางท่านชายจะเสียหาย”วริศหยิบเอกสารยื่นให้กับหม่อมเจ้าพงศ์ธาริน วริศเก็บเอกสารต่างๆเดินตามหม่อมเจ้าพงศ์ธารินไปทันที
“เกือบไปแล้วมั้ยละ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินพูดขึ้นมาหลังจากคุยกับวริศเรียบร้อยแล้ว
“คนที่แปลให้เมื่อก่อนคือใครหรือครับ”สริศถาด้วยความสงสัย
“ฉันเพิ่งไล่ออกไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
เขาทำงานล่าช้าจนงานฉันเสียไปหลายครั้งแล้ว
และฉันยังแอบจับได้ว่าเขาเคยไปหาท่านชายพงศ์ปณตด้วย”
“ครับ งั้นผมก็พอรู้เหตุผลแล้ว
คราวนี้ท่านชายจะจัดการยังไงต่อไปถ้ารอช้ากว่านี้โรงแรมเสียหายมากเลยนะครับ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงฉันจัดการได้อยู่แล้ว
ขอบใจมากนะวริศที่นอกจากจะแปลภาษาให้แล้วยังคอยช่วยงานเรื่องอื่นๆอีก
เพราะถ้าฉันคนเดียวคงไม่ทัน”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินบีบบ่าวริศเบาๆเพื่อนขอบใจ
“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ นี่ก็ดึกมากแล้ว
ผมขอตัวกลับไปดูหลวงตาก่อนดีกว่า ผมมานานแล้วเดี๋ยวท่านจะเป็นห่วง”
“ก่อนกลับ ทานข้าวกันก่อนสิวริศ นี่มันสองทุ่มแล้ว
ส่วนหลวงพ่อไม่ต้องเป็นห่วงหรอกฉันให้ลุงสมกับแดงไปคอยดูแลแล้วมาทานข้าวกันก่อน”
“เอ่อ”
“ไปทานข้าวกันก่อนมา”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินฉุดให้วริศลุกขึ้นเดินตามมา
“มาคะ ไปทานข้าวกันคงหิวกันแย่”หม่อมศิริรัตน์พูดยิ้มๆ
“โทษทีนะศิ ผมทำงานลืมไปเลยว่าคุณกับแม่รออยู่
แล้วไอ้ตัวเล็กที่อยู่ในท้องก็คงหิวมากแน่ๆเลย
พ่อขอโทษนะครับ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินลูบท้องหม่อมศิริรัตน์เบาๆ
“ท่านชายละก็ไปทานข้าวเลยค่ะ ศิ
คุณแม่และก็น้องเขมทานกันเรียบร้อยแล้ว
เพราะรู้ดีว่าถ้าลองได้ทำงานท่านชายจะต้องลืมไปแน่ว่ายังไม่ได้ทานข้าว”หม่อมศิริรัตน์บีบจมูกหม่อมเจ้าพงศ์ธารินอย่างหยอกล้อ
“มาลูกมาทานข้าวกัน ประจำเลยนะชายถ้าได้ทำงานแล้วลืมทานข้าวทุกที
ทำให้วริศเขาต้องทนหิวไปด้วย”หม่อมรัตนาดุไม่จริงจังนัก
“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ
ปกติผมก็ทำงานจนลืมทานข้าวบ่อยๆ”วริศพูดด้วยรอยยิ้ม
“เสียสุขภาพแย่ มาเลยนะชาย วริศด้วยมาทานข้าวเดี๋ยวนี้เลย
ถ้าไม่รีบมาแม่จะเอาหวายมาตีคนละที”หม่อมรัตนาแกล้งทำเสียงดุสีหน้าขึงขัง
“ไปกันเถอะวริศเดี๋ยวจะโดนหวายคุณแม่เข้า”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินพูดยิ้มๆ
“วริศลูกเป็นอะไรทำไมเงียบไปเลย”หม่อมรัตนาถามด้วยความตกใจเมื่อวริศตักข้าวเข้าไปคำแรงเขาก็เงียบไปเลยไม่ตักคำต่อไปสีหน้าก็ดูเคร่งเครียดไปด้วย
“หรือกับข้าวไม่อร่อยจ๊ะ สงสัยฝีมือพี่ตกเดี๋ยวให้แม่แย้มไปทำให้ใหม่นะ”หม่อมศิริรัตน์รีบพูดขึ้นมา
เพราะคิดว่าตัวเองฝีมือตกทำอาหารไม่อร่อย
ส่วนถ้าจะไปถามท่านชายเธอทำอะไรก็อร่อยทั้งหมดนั้นแหละ
“เปล่าหรอกครับ
อร่อยครับอร่อยมาก”วริศรีบพูดขึ้นมาเมื่อเห็นหม่อมศิริรัตน์จะลุกขึ้น
“อ้าว แล้วทำไมถึงมีสีหน้าแบบนั้นละ”
“อ้อ ผมก็แค่นึกถึงอาหารฝีมือคุณปู่นะครับ อร่อยแบบนี้เลย”
“คุณปู่ทำอาหารเป็นด้วยหรือจ๊ะ”
“ครับ คุณปู่บอกว่าคุณทวดท่านสอนให้คุณปู่ทำอาหาร
พอคุณปู่มีคุณย่าคุณปู่ก็สอนให้คุณย่าทำอาหารต่อ”
“งั้นก็ทวดของวริศก็คงทำอาหารอร่อยมากนะสิ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินพูดขึ้นมา
“ครับทำอร่อยมาก
ในบรรดาพี่น้องทั้งหมดคนที่ทำอาหารได้อร่อยตามแบบฉบับคุณปู่มีแค่คนเดียวครับคนอื่นทำอร่อยก็จริงแต่คนที่เด็ดจริงก็คือคินครับ”
“น้องชายหรือจ๊ะ”
“ไม่ครับพี่ชาย เขาชื่อคิรินทร์ ครับแต่ที่เรียกแค่ชื่อเฉยๆไม่มีพี่นำหน้าเพราะว่าชินมากกว่าครับแต่เวลาจะอ้อนเอาอะไรก็จะเรียกว่าพี่แล้วแทนตัวเองด้วยชื่อ”
“อ้อ น่ารักจังเลยนะคะ”
“ครับ
เพราะมีแต่ผู้ชายด้วยมั้งเลยอาจจะดูห้าวกันไปหน่อย”เมื่อพูดถึงครอบครัวแววตาของวริศอ่อนโยนจนคนที่แอบมองอยู่ใจสั่นไม่ได้
“ทำอะไรหรือโยม นี่มันก็ดึกแล้วนะ”หลวงตาถามวริศด้วยความสงสัย
ตอนนี้เกือบเที่ยงคืนแล้วแต่วริศยังไม่นอน
ท่านที่จำวัดไปแล้วตื่นมาเข้าห้องน้ำมาเจอกับวริศเข้าพอดี
“อ้อ ทำงานนิดหน่อยนะครับ เสร็จแล้วก็จะไปนอนแล้ว”วริศเงยหน้าจากเอกสารวางปากกาในมือบิดขี้เกียจเล็กน้อย
“อย่านอนดึกละ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าอีก”
“ครับหลวงตา”วริศรับคำ รีบแปลเอกสารต่อจนเสร็จก็เข้านอนทันที
จากวันนั้นตอนนี้ก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้วที่วริศได้ใช้ชีวิตอยู่กับหลวงตาเติม
แต่นั้นไม่ได้ทำให้วริศรู้สึกดีแม้แต่นิดเดียว
เพราะเขารู้ดีว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นแต่เขาแค่ไม่รู้ว่าเวลาจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่เท่านั้นเอง
และเวลาเกือบเดือนที่ผ่านมาทำให้ผู้ชายอย่างวริศเริ่มรู้จักความรักขึ้นมา
ความรักจากการแอบมอง ความรักที่แอบรักข้างเดียว แต่นั้นก็ทำให้วริศมีความสุขมากพอแล้วกับการแอบมอง
“คุณวาดรูปเป็นด้วยหรือคะ”
“ครับ
อะไรนะครับ”วริศที่เผลอใจลอยไปหน่อยสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงหวานๆของเขมมิกาแหมเขากำลังนึกถึงใบหน้าหวานๆนั้นพอดี
“เขมถามว่าคุณวริศวาดรูปเป็นด้วยหรือคะ”เขมมิกาถามซ้ำอีกครั้ง
ดูวริศใจลอยยังไงไม่รู้
“อ้อครับ
วาดเป็นครับแต่ไม่ได้เก่งอะไรมากมาย”วริศหันมายิ้มให้กับเขมมิกา
“คุณวริศวาดรูปคนรักหรือคะ”เขมมิกาเดา
เมื่อเห็นว่าในกระดาษของวริศมีโครงร่างเป็นรูปผู้หญิงแต่เพราะยังวาดไม่เสร็จเลยไม่สามารถดูได้ว่ารูปผู้หญิงในภาพจะสวยมากแค่ไหน
“ครับ แต่ต้องดูความหมายก่อนนะว่าคนรักในรูปแบบไหน”วริศยิ้มให้กับเขมมิกาที่ทำหน้าฉงน
ไม่เข้าใจในสิ่งที่ วริศพูด
“เขมไม่เข้าใจคะ”เขมมิกาถามออกไปเพราะถ้าไม่ถามดูๆแล้ววริศคงไม่อธิบายต่อ
“ก็คนรักมีหลายรูปแบบนี่ครับ แบบพี่น้อง แบบคู่ภรรยาสามี
แบบพ่อลูก หรือคนรักที่เป็นเจ้าของหัวใจ”
“อ้อ แล้วผู้หญิงในรูปเป็นคนรักแบบไหนละคะ
คงจะเป็นเจ้าของหัวใจสินะคะ ดูคุณวริศจะตั้งใจวาดมาก
ขนาดเขมมายืนดูอยู่ตั้งนานคุณวริศยังไม่รู้ตัวเลย”เขมมิกาพูดเชิงหยอกล้อ
แต่ในใจกลับไม่คิดอย่างนั้นเพราะความรู้สึกที่เขมมิการู้สึกได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเลย
“ก็รักมากก็เลยตั้งใจมากเป็นธรรมดาครับ
แต่ผู้หญิงคนที่ผมวาดเขาเป็นคนที่สวยที่สุดในสายตาผมและเขาก็เป็นคนที่ผมรักที่สุดเหมือนกัน
แต่ติดตรงที่ว่าเขาเป็นน้องสาวผมเลยเป็นเจ้าของหัวใจผมไม่ได้
คุณเขมอาสาจะมาเป็นเจ้าของหัวใจผมมั้ยละครับ”วริศถามด้วยรอยยิ้ม เหมือนกับพูดเล่นเรื่องธรรมดาทั่วไป
แต่ใครจะรู้นอกจากตัววริศเองเท่านั้นที่รู้ว่าคำพูดของเขานั้นมันจริงจังแค่ไหน
“เขมคงต้องขอตัวนะคะ เพราะเขมมีคู่หมั้นแล้ว
เอามั้ยค่ะเดี๋ยวเขมช่วยแนะนำให้ผู้หญิงดีๆให้”ใจของเขมมิกาเต้นรัวเหมือนกับใครมาตีกลองในใจเธอ
แต่ก็ต้องพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองเอาไว้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
เพราะเธอมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ทุกอย่างมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว
“ไม่ต้องหรอกครับ
พอดีว่าผมยังไม่รีบมีเจ้าของหัวใจผมก็แค่พูดเล่นเท่านั้นคุณเขมอย่าถือสาเลยนะครับและอีกอย่างผมรอให้น้องสาวผมหาให้ดีกว่าครับ
เพราะถ้าผมหาเองแล้วไม่ถูกใจน้องสาวผมเดี๋ยวบ้านจะแตกเสียเปล่าๆ
แต่ยังไงผมก็ต้องขอบคุณคุณเขมนะครับที่จะแนะนำผู้หญิงดีๆให้”วริศเก็บความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้เขาอยากจะให้พี่ๆน้องๆมาอยู่กับเขาเหลือเกินเขาคิดถึงคนในครอบครัว
ไม่รู้ว่าตอนนี้ทุกคนจะเป็นยังไงบ้าง เขาไม่เคยอ่อนแอแบบนี้มาก่อน
“หือ น้องสาวคุณวริศดุหรือคะ”
“เปล่าครับน้องสาวผมเป็นคนใจดี
แต่เรื่องที่จะเอาสะใภ้เข้าบ้านสักคนนี่ บ้านผมเขาให้น้องสาวเลือกให้ครับ
เพราะถ้าเลือกเองแล้วได้ไม่ดีมาเข้ากับครอบครัวผมไม่ได้ ผมก็ไม่เอาเหมือนกัน”
“ดูคุณวริศจะรักครอบครัวมากนะคะ
บางคนเขาอาจเลือกความรักมากกว่าครอบครัว”
“สำหรับผมครอบครัวสำคัญที่สุด
เพราะสามีภรรยาถ้าเลิกกันไปก็เป็นคนอื่นอยู่ดี
แต่ถ้าเป็นครอบครัวถึงทะเลาะกันยังไง มันก็ตัดกันไม่ขาดหรอกครับ
ไม่ว่าจะร้ายจะเลวแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวถึงจะเป็นญาติกันผมก็ไม่ปล่อยไว้หรอกครับสำหรับคนที่จะมาทำลายครอบครัวผม”ประโยคสุดท้ายวริศพูดเสียงเข้ม
“เขมไม่เข้าใจ ญาติกันไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันหรือคะ”
“ครอบครัวสำหรับผมคือญาติพี่น้องที่มาอยู่ด้วยกันด้วยความรัก
แต่ถ้าเป็นญาติที่จ้องแต่จะแย่งชิง ทำลายล้างกันผมไม่เรียกว่าครอบครัว”
“นั่นสินะ ถ้าเป็นคนในครอบครัวเขาคงไม่ทำร้ายกันหรอก”
“ท่านชาย/พี่ชาย”วริศและเขมมิกาพูดขึ้นมาด้วยความตกใจเพราะไม่รู้ว่าหม่อมเจ้าพงศ์ธารินมาตั้งแต่เมื่อไหร่
“ตกใจอะไรขนาดนั้น
กำลังวาดรูปน้องสาวอยู่หรือวริศ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินเดินเข้าไปดูภาพที่วริศวาดเอาไว้
แม้จะยังไม่เสร็จก็ตามแต่ท่านก็อยากจะเห็น
“ครับ แต่ยังไม่เสร็จ”
“ถึงจะยังไม่เสร็จแต่ก็วาดได้สวยมาก
ไม่คิดว่าจะมีฝีมือทางด้านนี้เหมือนกัน”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินชม
“ไม่หรอกครับ ก็แค่พอวาดได้แต่ไม่ได้สวยงามอะไรมากหรอกครับ”
“อย่าถ่อมตัวไปเลย นี่ขนาดไม่เห็นใบหน้าที่ชัดเจนดูก็รู้ว่าเป็นคนสวยมาก
ถึงว่าสิวริศถึงได้รักน้องสาวมาก
ฉันอยากเห็นพี่ๆน้องๆของวริศคนอื่นแล้วสิว่าจะหน้าตาหล่อเหลากันแค่ไหน”
“ถ้ามีเวลาเดี๋ยวผมจะวาดให้ดูครับอาจจะไม่เหมือนแป๊ะแต่รับรองว่าจะวาดให้เหมือนที่สุด
แต่ก่อนหน้านั้นท่านชายจะดูรูปคุณปู่ผมมั้ยละครับผมวาดเสร็จแล้ว”วริศยิ้มออกมา
แต่ถ้าคนที่รู้จักวริศดีจะรู้ว่ารอยยิ้มของวริศมันมีอะไรที่แฝงอยู่ในนั้น
“หืม
เอามาดูสิ”วริศหยิบสมุดวาดรีบเปิดไปหน้าก่อนหน้านี้และยื่นให้กับหม่อมเจ้าพงศ์ธารินดู
“นี่ครับคุณปู่ผม”
“หือ ทำไมถึง”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินขมวดคิ้วจ้องไปที่ภาพวาดเขม่งเพราะชายในภาพที่วริศบอกว่าเป็นคุณปู่ทำไมถึงได้มีหน้าตาคล้ายเขานัก
ถ้าบอกว่าเป็นพี่น้องกันคงมีคนเชื่อ
“ดูอะไรหรือคะ”หม่อมศิริรัตน์ที่เดินผ่านมาเดินเข้ามาดูอีกคน
“ศิมาดูรูปคุณปู่ของวริศสิ
คุณคิดว่าเขาเหมือนใคร”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินยื่นสมุดวาดรูปให้หม่อมศิริรัตน์
“เหมือนกับท่านชายเลยค่ะ”
“ถ้ามีคนบอกว่าคุณปู่ของคุณวริศเป็นน้องชายของพี่ชายจะต้องคนเชื่อแน่นอนค่ะ”เขมมิกาพูดขึ้นมาหลังจากที่ได้ดูรูป
“คุณปู่ชื่ออะไรหรือวริศ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
เผื่อว่าจะเป็นญาติกันก็ได้
“ท่านชื่อทรงวุฒิครับ”
“ไม่เคยได้ยินนะชื่อนี่”
“อย่าไปคิดมากเลยครับ ท่านชายไม่เคยพบคุณปู่ผมหรอก
ไม่เคยแม้ว่าอยากจะเจอก็ตาม
แต่สักวันผมจะพาคุณปู่มาเจอท่านชายให้ได้”วริศพูดเสียงเครียด
“เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะประโยคหลังได้ยินไม่ค่อยชัด”
“ผมแค่พูดว่าคงไม่ได้เจอกันเพราะคุณปู่ผมท่านอยู่ไกลนะครับ”
“อ้อ ถ้าอยู่ใกล้ๆก็คงจะดี
อย่าลืมละถ้าวาดรูปน้องสาวเสร็จแล้วเอามาให้ดูด้วย
แล้วรูปพี่ๆน้องๆของวริศด้วยนะ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายนิดๆท่านรู้สึกผูกพันยังไงไม่รู้กับคนในภาพ
ถ้าได้เจอกันก็คงดี
“ครับ ผมไม่ลืมแน่นอน
ว่าแต่งานยังมีอีกมั้ยครับผมแปลเสร็จหมดแล้ว
แล้วบัญชีก็ตรวจเรียบร้อยแล้ว”วริศของานเพิ่ม
เพราะงานที่หม่อมเจ้าพงศ์ธารินมอบหมายมาเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว
“พอก่อนเถอะ พักบ้าง
เมื่อก่อนงานฉันแทบล้นมือพอวริศมางานที่เคยล้นแทบจะไม่มีให้ฉันทำเลยวริศทำหมดแล้ว”
“ก็มันว่างนี่ครับ”
“งั้นก็แสดงว่าตอนที่อยู่บ้านก็ทำงานเยอะใช่มั้ยละ
พอได้อยู่เฉยๆแล้วอยู่ไม่ได้”
“ครับหม่อม
ถ้าอยู่ที่โน่นถ้างานของตัวเองเสร็จแล้วก็จะไปช่วยพี่ๆน้องๆทำต่อเพราะงานของแต่ละคนเยอะมาก”
“ถ้าอย่างงั้น คนขยันช่วยไปทานของว่างให้หมดด้วยนะคะ
ท่านชายด้วย
รีบไปทานของว่างให้หมดเลยนะน้องเขมทำสุดฝีมือเลย”หม่อมศิริรัตน์ดุหม่อมเจ้าพงศ์ธารินและวริศให้ไปทานของว่าง
สองคนนี้ทำงานทีไรได้เป็นลืมสิ่งรอบข้างไปหมด นิสัยเหมือนกันจริงๆ
“ครับๆไปแล้วครับ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินเดินนำวริศไป
ภาพนี้ทำให้เขมมิกาที่เห็นมาเกือบเดือนอดที่จะยิ้มไม่ได้
เกือบทุกวันที่หม่อมศิริรัตน์จะต้องมาตามให้หม่อมเจ้าพงศ์ธารินและวริศไปทานของว่างหรือทานข้าวเป็นประจำ
และคนที่เดินนำไปคนแรกก็คือหม่อมเจ้าพงศ์ธารินมีวริศเดินตามไปติดๆไม่มีหรอกที่คนใดคนหนึ่งจะลุกไปกินก่อน
ทำงานจนลืมเวลาทั้งสองคน
“น่ารักใช่มั้ยละ”หม่อมศิริรัตน์ถามเขมมิกาที่ยืนยิ้มอยู่
“ค่ะ เป็นภาพที่หายากจริงๆ”
“ไปค่ะ เราไปคุมทั้งสองคนทานของว่างดีกว่า
เพราะถ้าไม่ลองไปนั่งเฝ้ามีหวังได้หยิบงานมาทำอีกแน่”หม่อมศิริรัตน์เดินตามหม่อมเจ้าพงศ์ธารินและวริศไปโดยมีเขมมิกาตามไปด้วย
“ยัยเขมมีคู่หมั้นแล้ว”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินพูดขึ้นมา
เมื่อเห็นวริศมองตามหลังเขมมิกาไป
“ครับ ทราบแล้ว”
“รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ”พงศ์ธารินถามด้วยความแปลกใจ
“ตอนบ่ายครับ ตอนที่คุณเขมเขาถามเรื่องภาพนะครับ
เขาบอกว่าเขามีคู่หมั้นแล้ว”วริศตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ไม่เสียใจหรือไง”
“ไม่หรอกครับ เพราะผมคิดว่าจีบผู้หญิงมีแฟนมีศัตรูแค่คนเดียว
แต่ถ้าจีบผู้หญิงโสดมีศัตรูเป็นล้านสู้จีบผู้หญิงที่มีแฟนแล้วไม่ดีกว่าหรือครับ”วริศพุโด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน
“ไม่หรอก วริศจะไม่ทำอย่างนั้น
เพราะวริศที่ฉันรู้จักเขาไม่ใช่ที่จะแย่งของของคนอื่น
และเขาก็เป็นสุภาพบุรุษพอ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินพูดด้วยความมั่นใจ
“ท่านชายพูดด้วยความมั่นใจซะขนาดนี้ผมก็คงไม่กล้าทำให้ท่านชายเสียความรู้สึกหรอกครับ
ผมก็พูดไปงั้นแหละ ผมไม่ทำหรอกครับและไม่มีความคิดที่จะทำ
ที่บ้านผมจะสอนเสมอว่าห้ามไปยุ่งกับผู้หญิงที่มีเจ้าของอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นถ้ารู้ว่าเขามีเจ้าของแล้วผมไม่ไปยุ่งหรอกครับไม่อยากถูกไคท์ตบ”วริศอดนึกถึงเหตุการณ์ที่อภิวัฒน์ถูกรัตนกรตบไม่ได้
นึกแล้วเจ็บปวดชะมัด ไม่ใช่เจ็บที่ตัวหรอกแต่เจ็บที่ใจ
เสียใจที่ต้องทำให้พี่ชายต้องเสียใจ
“พูดแบบนี้แสดงว่าเคยมีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นแล้วละสิ”พงศ์ธารินถามด้วยรอยยิ้มท่านเริ่มคุ้นชินชื่อพี่น้องของวริศแล้ว
พออีกฝ่ายพูดขึ้นมาก็รู้ว่าเป็นใครทันที
“ครับ แต่ไม่ได้ไปแย่งคนรักใครหรอกครับ
แต่ถูกบอกว่าไปทำผู้หญิงท้องต่างหาก
ถึงไคท์จะรู้ว่าไม่เป็นความจริงแต่เราตกลงกันแล้วว่าถึงจะไม่เป็นความจริงแต่ถ้ามีคนพูดออกมาคนคนนั้นจะต้องถูกทำโทษ
และเพราะว่าไม่อยากให้ไคท์เจ็บและตัวเองเจ็บทุกคนเลยต้องระวังตัวกันเป็นพิเศษ”
“ถ้าลูกหลานฉันมีนิสัยอย่างพวกเธอฉันจะภูมิใจมากเลยทีเดียว
ยิ่งเรื่องความรักพี่รักน้องด้วยแล้วถือว่าคุณปู่เธอสอนมาดี”
“ตอนนี้ท่านชายก็ภูมิใจได้แล้วครับ”วริศพูดด้วยรอยยิ้ม
“หือ”พงศ์ธารินขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจกับคำพูดของวริศ
วริศไปพูดอะไรแต่เลือกที่จะยิ้มให้
เมื่อเห็นว่าวริศไม่ยอมอธิบายท่านเลยพูดเรื่องอื่นต่อ “อ้อ
พรุ่งนี้ฉันมีธุระต้องไปค้างคืนด้วย วริศช่วยเข้ามาดูที่เรือนหน่อยได้มั้ยเกรงว่าถ้าตาสมคนเดียวจะไม่ไหว”
“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะแวะเข้ามาดูให้ท่านชายไม่ต้องห่วง”
“ขอบใจมากนะ”
“ไม่เป็นอะไรครับ
เราคนในครอบครัวเดียวกันไม่ใช่หรือ”วริศเลิกคิ้วถามยิ้มๆ
“นั่นสินะ”พงศ์ธารินขยี้ผมวริสด้วยความเอ็นยิ้มกว้างให้กับพงศ์ธาริน
“คุณพสินมาแล้วครับ ท่านชายจะให้เชิญขึ้นมาเลยมั้ยครับ”สมเข้ามารายงาน
“ให้ขึ้นมาได้เลย แล้วไปตามคุณเขมด้วยบอกว่าคุณพสินมาแล้ว”
“ครับ”สมรับคำแล้วถอยออกไปเพื่อทำตามคำสั่ง
“คู่หมั้นของเขมมิกา
เขมมิกาจะกลับวันนี้”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินพูดขึ้นมาลอยๆ บอกเป็นนัยให้วริศรู้
“งั้นผมก็คงต้องขอตัวก่อน”วริศทำท่าจะลุกขึ้น
“ถ้ายังทำใจไม่ได้ก็ไปเถอะ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินพูดออกมาเพราะเข้าใจวริศดี
เพราะเท่าที่สังเกตมาวริศเก็บความรู้สึกเก่งมาก
และเขาก็คงไม่รู้ถ้าไม่ดันไปเห็นรูปที่วริศแอบวาดเอาไว้ก็คงไม่รู้
“งั้นผมไม่ไปแล้ว อยู่ที่นี่ก็สบายดีครับ”วริศจากที่ลุกขึ้นกลับนั่งลงที่เดิม
“กวนนักนะ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินพูดยิ้มๆวริศไม่พูดอะไรได้แต่ยิ้มตอบ
“สวัสดีครับท่านชาย สบายดีนะครับ”พสินที่เดินขึ้นมายกมือไหว้
“สวัสดี นั่งก่อนสิ
สบายดีนะไม่เจอกันนาน”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินยิ้มน้อยๆเชิญให้พสินนั่งลงที่เบาะตรงกันข้าม
“ขอบคุณครับ
ผมสบายดีน้องเขมมาที่นี่คงไม่ได้กวนอะไรใช่มั้ยครับ”พสินพูดด้วยความนอบน้อม
ถึงจะไม่ต้องพูดคำราชาศัพท์เพราะหม่อมเจ้าพงศ์ธารินบอกให้พูดธรรมดาก็พอแต่เขาก็อดเกรงไม่ได้
“ไม่หรอก
ลืมแนะนำให้รู้จักกันเลย พสินนี่วริศ เขาเป็นเหมือนคนในครอบครัวของฉัน
วริศนั้นหม่อมหลวงพงศ์พสิน อรุณพัฒน์
เป็นคู่หมั้นของยัยเขม”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินแนะนำตั้งสองให้รู้จักกัน
“สวัสดีครับ”วริศยกมือไหว้ ดูๆแล้วอายุมากกว่าเขาแน่นอน
“ครับ”พงศ์พสินยิ้มรับ
“มาแล้วหรือยัยเขม เก็บเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินถามเขมมิกาที่เดินถือกระเป๋ามา
“เรียบร้อยแล้วค่ะพี่ชาย
เสียดายจังคุณป้าไม่อยู่”เขมมิกาหน้ามุ้ยเล็กน้อยที่วันนี้หม่อมรัตนาติดธุระออกไปตั้งแต่เช้า
จนไม่ได้อยู่ลา
“เราก็บอกลาท่านไปแล้วนี่ ไม่เป็นอะไรหรอก”
“แต่ถึงยังไงก็เถอะคะ”เขมมิกาหน้ามุ่ย
“ไม่คิดจะทักพี่หน่อยหรือครับ”พงศ์พสินพูดขึ้นมาเมื่อเขมมิกาไม่มีทีท่าว่าจะทักเขาเลย
“สวัสดีค่ะพี่พสิน
เขมกำลังจะทักพอดีทำไมมาเร็วจังละคะเขมนึกว่าจะมาบ่ายๆซะอีก”เขมมิกาเดินไปนั่งใกล้ๆพงศ์พสิน
วริศมองภาพนั้นด้วยสายตาเรียบเฉยไม่แสดงออกว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่
คงจะมีแต่หม่อมเจ้าพงศ์ธารินเท่านั้นที่รู้ว่าวริศกำลังคิดอะไร
ท่านยกมือขึ้นบีบบ่าวริศเบาๆเพื่อให้กำลังใจ
“พี่คิดถึงน้องเขมนี่คะ
มาอยู่ที่นี่เกือบเดือนพี่ต้องคิดถึงมากเป็นธรรมดา”พงศ์พสินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“พี่พสินละก็พูดอะไรก็ไม่รู้
เห็นมั้ยคะมีคนอื่นนั่งอยู่ตั้งหลายคน”เขิมกาพูดด้วยท่าทีเขินอาย
“คุยกันต่อเถอะ
ไปกันเถอะวริศเราไปคุยงานกันที่ศาลาดีกว่า”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินเดินนำวริศไปอีกศาลาที่อยู่ใกล้ๆ
“ผมขอตัวกลับไปที่วัดหน่อยนะครับ
เพราะหลวงตาเติมท่านป่วยอยู่เหมือนกันอาการกำเริบจะแย่”วริศพูดขึ้นมาเมื่อหม่อมเจ้าพงศ์ธารินนั่งลงที่เบาะ
“ท่านไม่สบายอีกแล้วหรือ
ครั้งก่อนให้ตาสมพาไปหาหมอนึกว่าอาการดีขึ้นแล้ว”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินขมวดคิ้วด้วยความสงสัยปนเป็นห่วง
“ครับ ท่านไม่ได้กินยาตามที่หมอสั่ง อาการเลยไม่ดีขึ้น
วันก่อนหลวงตาท่านเป็นลมที่ห้องน้ำดีที่ผมไปเห็นเลยช่วยไว้ได้ทัน
ช่วงนี้เลยต้องดูแลอย่างใกล้ชิดครับ”
“อืม งั้นไปเถอะงานที่นี่ก็ไม่มีอะไรแล้ว ส่วนรูปนี่ขอนะ”
“รูปคุณปู่หรือครับ”
“ใช่ ได้มั้ย ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นอะไรนะ”
“ได้ครับ ไม่มีปัญหา แต่ทำไมท่านชายถึงอยากได้ละครับ”วริศถามด้วยความสงสัย
“ไม่รู้สิ ก็แค่อยากได้
แต่เดี๋ยวนะตรงนี้เขียนว่าอะไรดูไม่ชัดตัวเล็กมาก”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินจ้องเขม่งไปที่ตัวอักษรเล็กๆที่อยู่หัวมุมด้านขวาบนของภาพ
“เขียนว่าไรเฟิลครับ”
“ไรเฟิล
ทำไมต้องไรเฟิลละ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินถามด้วยความสงสัยถ้าเป็นชื่อของวริศท่านจะไม่แปลกใจเลย
“ไรเฟิล เป็นชื่อเล่นของผมครับ
ที่บ้านจะเรียกว่าเฟิล”วริศอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“ชื่อแปลกดี”
“ก็ไม่แปลกเท่าไหร่หรอกครับ ก็แค่เอาชื่อปืนมาตั้งชื่อ”
“ปืนมันเป็นอาวุธที่อันตรายนะ”
“นั้นคงเป็นจุดประสงค์ของการตั้งชื่อเล่นของผมมั้งครับ
ผมขอตัวก่อนสวัสดีครับ”วริศไหว้ลาแล้วเดินออกไป
“มีอะไรหรือคะ
ทำไมมีสีหน้าเคร่งเครียดจัง”หม่อมศิริรัตน์เดินมานั่งใกล้ๆหม่อมเจ้าพงศ์ธารินด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไรหรอก”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินหันมายิ้มให้กับภรรยาคนสวย
“น่าสงสารวริศนะคะ”หม่อมศิริรัตน์พูดขึ้นมา
“หืม ทำไมถึงน่าสงสารละ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินถามด้วยความแปลกใจ
“คือศิ แอบเห็นสายตาที่วริศคอยแอบมองน้องเขมนะคะ
ดูก็รู้ว่าวริศคิดอะไร
ยิ่งเห็นตำตาแบบนี้คงจะเจ็บหน้าดู”หม่อมศิริรัตน์พูดด้วยความเป็นห่วง
“ศิ
ช่างสังเกตเสียจริงทั้งๆที่วริศเก็บความรู้สึกเก่งขนาดนั้นแต่เรื่องของความรักมันก็เป็นแบบนี้ละสิ
บางคนก็สมหวังบางคนก็ผิดหวัง แต่ความรักไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรอก
คนที่ผิดหวังก็มัวแต่โทษว่าความรักไม่ดีอย่างโน่นอย่างนี้
แต่ถ้าเขาจะมองให้ดีเขาจะรู้ว่าความรักไม่ผิด เรื่องแบบนี้พูดยากว่าใครผิดใครถูก
ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่นั้นไงไม่รู้ว่าตัวเองรักหรือไม่รัก
แต่เพราะคิดว่ารักก็เลยตอบตกลงหมั้น
ถ้าสักวันรู้ตัวขึ้นมาว่าความรักที่ตัวเองคิดนะที่จริงแล้วมันคือความรักในแบบพี่น้องอะไรจะเกิดขึ้น
และหวังว่าคงจะไม่สายเกินไป”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินมองไปที่เขมมิกาและพงศ์พสินที่นั่งคุยกันอยู่
“ถ้าอย่างนั้นเราควรจะเตือนน้องเขมนะคะ
ถ้าเกิดแต่งงานกันไปแล้วเพิ่งมารู้เอาตอนนั้นมันจะแก้ไขไม่ได้แล้ว”หม่อมศิริรัตน์พูดด้วยความกังวล
“บอกไปก็เท่านั้น ถึงยัยเขมจะเป็นผู้หญิงที่ดูอ่อนหวานแบบนั้น
แต่นิสัยจริงๆแล้วรั้นพอตัวไม่เชื่อในสิ่งที่เราพูดหรอก เพราะยัยเขมเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองมาก”
“แล้วเราจะทำยังไงละคะ”
“เราคงทำได้แค่เป็นผู้ชมเท่านั้น
และหวังว่ามันจะไม่สายเกินไปนะ”
ความคิดเห็น