ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รอรัก...รอเธอ

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 25 มิ.ย. 63


    บทที่ 2

    “โอ๊ะ”อยู่ๆแดงก็ร้องขึ้นมาอีก

    “เป็นอะไรหรือแดง หรือว่าหนาว”วริศถามด้วยความเป็นห่วงสงสัยต้องไปเอาผ้าเช็ดตัวเพิ่ม

    “พ่อใช้ให้ผมมาเก็บผักบุ้ง ผมยังไม่ได้เก็บลืมเกือบลืมไปเลย”แดงตาโต ถ้ากลับไปแล้วไม่มีผักบุ้งไปด้วยสงสัยที่เฆี่ยนหลังลายแน่

    “งั้นปะ เดี๋ยวพี่พาไปเก็บเอง”

    “ครับ ผมลาก่อนนะครับหลวงตาแล้วจะมาใหม่”แดงกราบลาแล้วคลานเข่าออกไปเมื่อเห็นว่าไกลจากหลวงตาก็ลุกขึ้นวิ่งกอดผ้าขนหนูแน่น เพราะเขาเริ่มหนาวขึ้นมาจริงๆแล้ว

    “ผมขอตัวก่อนนะครับ”วริศก้มลงกราบหลวงตาเติมบุญ ไหว้ลาเอิบบุญแล้วเดินลงตามแดงลงไปด้านล่างกุฏิ

    “ไปครับ”เมื่อแดงและวริศช่วยกันเก็บผักบุ้งจนพอใจแล้ว แดงก็ชวนวริศกลับ เพราะป่านนี้พ่อบ่นเขาหูชาแล้วถ้าเขาอยู่ใกล้ๆ

    “เดี๋ยวๆ จะไปไหนพี่ไม่ว่ายน้ำไปนะ”วริศดึงแขนแดงเอาไว้เมื่อเห็นว่าแดงทำท่าจะกระโดดลงน้ำไป

    “ทำไมละครับ ใกล้แค่นี้ไม่ไกลหรอก”แดงถามด้วยความสงสัย ถึงคลองนี้จะกว้างแต่มันก็ไม่ได้กว้างจนไม่สามารถว่าน้ำกลับไปได้

    “เรานั่งเรือไปดีกว่า เชื่อพี่เถอะเดี๋ยวพี่พายเอง”วริศบอก เขาไม่อยากเปียกตอนนี้เพราะยังไม่ถึงเวลาอาบน้ำเลย

    “มันไม่สนุกนะสิครับ ถ้านั่งเรือไปว่ายน้ำไปดีกว่าสนุกกว่าเยอะ หรือพี่วริศว่ายน้ำไม่เป็น งั้นผมสอนให้เอามั้ย”แดงยิ้มกว้างอาสาเป็นครูสอนว่ายน้ำเต็มที่

    “เรียกว่าว่าเฟิลก็ได้ไม่ต้องเรียกวริศหรอกก็เราสนิทกันแล้วนี่นา แล้วก็ไม่ต้องเลย พี่ว่ายน้ำเป็น แต่พี่ยังไม่อยากเปียกไปที่เรือเลย เดี๋ยวพี่พายเอง”วริศพูดเสียงเข้มนิดๆ

    “ไม่เอาหรอกครับเรียกพี่วริศดีแล้ว  ไม่เห็นต้องดุกันเลย”แดงเบ้ปากเดินไปที่เรือ วริศเดินตามไป

    “ปกติแดงมาเก็บผักบุ้งเองแบบนี้บ่อยหรือดูรู้จักเส้นทางดีจัง แล้วไปเก็บผักบุ้งในที่คนอื่นแบบนี้เจ้าของเขาไม่ว่าเอาหรือ”

    “ไม่มีใครว่าหรอกครับ ผักบุ้งที่เราไปเก็บกันมามันขึ้นเองตามธรรมชาติ ใครๆเขาก็เก็บกันดูสิครับกำลังหน้ากินเชียว เอาอย่างนี้มั้ยคับเดี๋ยวมื้อเย็นผมจะแอบนำกับข้าวมาให้ ฝีมือยายแย้มอร่อยมากเลยนะตอนเย็นรอได้เลย”แดงกระซิบเบาๆกลัวใครจะได้ยินในประโยคสุดท้าย ทั้งๆที่จริงแล้วไม่ต้องกระซิบก็ได้เพราะถึงพูดเสียงดังไปคนอื่นไม่มีทางได้ยินหรอก ก็ลอยอยู่กลางคลองเสียขนาดนี้

    “ไม่ต้องเลยแดง ทำอย่างนั้นไม่ได้ทำแบบนั่นเหมือนกับขโมยเลยนะ”วริศรีบเบรกเอาไว้สอนไปในตัว

    “ทำไมละครับ ฝีมือแม่ครัวที่บ้านเรือนไทยสุดยอดเลยนะ ถ้าพี่ได้ทานนะจะติดใจและอีกอย่างยายแย้มท่านไม่ว่าอะไรหรอก”แดงพูดโอ่ๆหน้ามุ่ยนิดๆ

    “จะหยิบจะจับอะไร เราต้องขอเจ้าของก่อนสิแดงและอีกอย่างพี่กลัวว่าถ้าได้ทานขึ้นมาจริงๆแดงจะต้องเป็นคนคอยส่งข้าวส่งน้ำให้พี่จนเหนื่อยแน่”วริศพูดยิ้มๆแต่ภายในใจนั้นคงไม่มีอาหารที่ไหนอร่อยเท่าฝีมือคุณปู่หรือฝีมือคิรินทร์อีกแล้ว เขาอยากกลับบ้านเขาคิดถึงครอบครัว

    “ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เองผมสบายมาก”แดงยิ้มกว้าง

    “ไม่เอาหรอกพี่เกรงใจ”วริศส่ายหน้าพายเรือไปเรื่อยๆท่าน้ำบ้านเรือนไทยที่ยิ่งได้มองใกล้ๆแบบนี้ยิ่งเห็นความสวยงามที่ชัดเจน บ้านเรือยไทยหมู่หลังใหญ่ยิ่งเห็นเขายิ่งชอบ

    “ไอ้แดง ไปเที่ยวที่ไหนมาพ่อบอกให้ไปเก็บผักบุ้งแค่นี้ไปเสียตั้งนาน มันน่าตีให้น่องลาย”เสียงที่ดังมาแต่ไกลทำให้แดงเบ้หน้า ส่วนวริศนั้นหัวเราะออกมาเบาๆ

    “โถ่พ่อ ฉันไปที่วัดมา เห็นมั้ยฉันเก็บผักบุ้งมาเยอะเลย”แดงยกผักบุ้งขึ้นมาให้พ่อดูว่าตัวเองไม่ได้ไปที่อื่นแต่ไปเก็บผักบุ้งมาจริงๆ

    “แล้วนั้นเอ็งมากับใครนะ”สมมองไปที่วริศด้วยความแปลกใจ ที่เห็นแดงมากับคนแปลกหน้าและคงไม่ใช่คนแถวนี้เพราะไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนและที่สำคัญคงไม่ใช่ลูกชาวบ้านตาสีตาสาแถวนี้หรอก

    “สวัสดีครับ ผมชื่อวริศครับ”วริศยกมือไหว้พร้อมกับแนะนำตัว

    “ไม่ต้องไหว้หรอกครับคุณ”สมรีบยกมือไหว้ตอบและรีบปฏิเสธทันทีเพราะดูๆแล้ววริศเหมือนไม่ใช่ชาวบ้านแถวนี้ กริยามารายาทดูแล้วเหมือนกับว่าได้รับการอบรมมาอย่างดี

    “เป็นเด็กก็ต้องไหว้ผู้ใหญ่สิครับไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ผมเอาแดงมาส่งครับตอนแรกแดงจะว่ายน้ำกลับมาเองแต่ผมกลัวว่าจะว่ายน้ำกลับมาไม่ถึงฝั่งนี้เสียก่อนเลยถือวิสาสะมาส่ง”วริศอธิบายให้กับสมฟังมันคงไม่ดีนักที่อยู่ๆคนแปลกหน้าก็มาสนิทกับลูกตัวเอง

    “แล้วไปเจอเจ้าแดงมันที่ไหนหรือครับคุณ ถึงได้มาด้วยกัน”สมถามอย่างสงสัย

    “ฉันไปเจอพี่วริศที่ท่าน้ำของวัดจ้า พี่เขาเป็นญาติกับหลวงตาเติมด้วยนะพ่อ”แดงรีบพูดให้พ่อฟัง เพราะปกติแล้วนอกจากเอิบบุญแล้ว หลวงตาเติมไม่เคยมีญาติมาเลย

    “อ้อ เป็นญาติกับหลวงตานี่เองแล้วพักอยู่ที่ไหนหรือคุณ”สมเริ่มไว้วางใจ เพราะถ้าวริศเป็นญาติกับหลวงตาเติมก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง

    “ผมพักอยู่ที่วัดครับ”

    “งั้นมื้อเย็นก็ลำบากสิครับ”สมถามด้วยความเป็นห่วง

    “ไม่ลำบากอะไรหรอกครับ นี่ก็เย็นมากแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ”วริศไหว้ลาแล้วพายเรือกลับไปที่วัด

    “พ่อๆ เราขอกับข้าวของหม่อมท่านไปให้พี่วริศสักนิดได้มั้ย”แดงดึงกางเกงสมให้หันมามอง

    “ลองขอดูก็ได้ ว่าแต่ทำไมไปเรียกคุณเขาซะสนิทสนมแบบนั้นละ ไม่รู้หรือไงว่าหลวงตาเติมนะมีเชื้อมีสายด้วยนะ แสดงว่าคุณเขาคงไม่ธรรมดา”

    “ก็พี่เขาให้เรียกนี่ พี่เขาใจดีนะพ่อ พี่เขาเล่าเรื่องต่างๆให้ฉันฟังเยอะเยะเลย”แดงยิ้มกว้างเพราะตัวของแดงเองไม่เคยได้ยินเรื่องที่วริศเล่ามาก่อนมันดูน่าเหลือเชื่อสำหรับแดงแต่เขาก็ชอบฟัง

    “เออๆ ไปๆไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าจะเอาผักบุ้งไปให้นางแย้มมันป่านนี้บ่นน้ำลายกระเด็นไปแล้วมั้ง”สมส่ายหัวเบาๆแล้วหยิบผักบุ้งไปที่ครัว

    “เอาไปให้ใครนะเจ้าแดง”หม่อมรัตนาถามแดงอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด

    “พี่วริศครับหม่อม พี่วริศที่พักอยู่ที่วัดกับหลวงตาเติม”แดงยิ้มกว้าง

    “เขาเป็นใครกันฮึ ทำไมถึงไปพักอยู่ที่วัด”หม่อมเจ้าพงศ์ธาริน  ทีฆทัศน์ ถามด้วยความแปลกใจ

    “เป็นญาติกับหลวงตาครับท่านชาย พี่เขาหล่อมากเลยหล่อเหมือนกับท่านชายเลย”แดงยิ้มกว้างเมื่อเล่าถึงวริศ

    “เจ้าแดง ทำไมไม่พูดคำราชาศัพท์กับท่านชาย”สมดุแดงเสียงเข้ม สอนเท่าไหร่ไม่จำเลยลูกคนนี้

    “ไม่ต้องไปดุแดงมันหรอกตาสม ฉันบอกเองว่าไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์ ทุกคนก็เหมือนกันพูดกันแบบปกติ”ท่านชายพงศ์ธารินพูดเสียงดุ

    “พอละๆ ตกลงพ่อหนุ่มที่ชื่อวริศเป็นญาติกับหลวงพ่อใช่มั้ยเจ้าแดง”หม่อมรัตนาถามแดงก่อนที่จะไม่ได้คุยกันเรื่องนี้

    “ครับหม่อม”

    “งั้นเอาไปเถอะกับข้าวบ้านเรามีเยอะอยู่ที่วัดตอนมื้อค่ำคงหาอะไรทานลำบาก”หม่อมรัตนาอนุญาต

    “ครับ”แดงรับคำวิ่งลงไปจากเรือน

    “งั้นที่ชาวบ้านพูดกันเมื่อเช้าก็คงจะเป็นคนเดียวกันนะคะ”หม่อมศิริรัตน์ ภรรยาของหม่อมเจ้าพงศ์ธารินพูดขึ้นมาเพราะตอนที่ออกไปตลาดเห็นชาวบ้านพูดถึงตลอด

    “คนเดียวอะไรกันหรือลูกแล้วชาวบ้านพูดว่าอะไร”หม่อมรัตนาถามด้วยความแปลกใจเพราะวันนี้ท่านไม่ได้ออกไปที่ตลาดเหมือนกับทุกวัน

    “ชาวบ้านพูดกันว่าวันนี้หลวงพ่อมีเด็กวัดมาช่วยถือของซึ่งดูๆแล้วรูปร่างหน้าตาไม่น่าจะมาเป็นเด็กวัดได้ค่ะ  รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาอย่างกับพระเอกภาพยนต์ สาวน้อยสาวใหญ่พูดถึงแทบทุกคน ถ้าแดงบอกว่ามีญาติของหลวงพ่อมาอยู่ที่วัดก็น่าจะเป็นคนเดียวกันนะคะ”หม่อมศิริรัตน์พูดด้วยน้ำเสียงขำๆ

    “แต่ทำไมเมื่อเช้าแม่ไม่เห็นละ”หม่อมรัตนาถามด้วยความแปลกใจ

    “ผมว่าเรื่องนี้ค่อยพูดกันดีกว่าครับ ทานข้าวกันก่อนดีกว่าได้เวลาแล้วเดี๋ยวจะหิวกันแย่โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในท้อง”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินพูดขึ้นมาเพราะถ้ายังไม่เลิกคุยเรื่องนี้ลูกในท้องของภรรยาของเขาอาจจะประท้วงได้

    “นั่นสินะถ้าอย่างนั้นทุกคนก็เริ่มทานข้าวกันเถอะ”

    “หลวงตาป่วยหรือครับ”วริศเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆกับหลวงตาเติมเมื่อเห็นว่าในมือของหลวงตาเติมมียาอยู่หลายเม็ด ทำให้เขาอดเป็นห่วงไม่ได้

    “โรคคนแก่นะโยม”

    “หมอบอกว่าอาการเป็นยังไงบ้างครับ หลวงตาไปหาหมอหรือยัง”วริศถามด้วยความเป็นห่วงถ้าอยู่ที่โน้นเขาคงบอกให้น้องชายมาตรวจดูอาการของท่านได้

    “ไปมาแล้วโยม ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”ท่านลูบผมวริศเบาๆอย่างเอ็นดู ซึ่งท่านก็ทราบดีว่าวริศคงเป็นห่วงท่าน

    “พี่วริศ พี่วริศ”

    “ใครมันมาตะโกนเสียงดังอยู่ที่หน้ากุฏินะ โยมลงไปดูหน่อยไปว่าใครมาแต่อาตมาว่าเสียงเหมือนเจ้าแดงนะ”หลวงตามองไปที่ทางขึ้นกุฏิ

    “ครับหลวงตา”วริศลุกขึ้นไปดูว่าคนที่มาตะโกนเรียกชื่อเขาและคงไม่พ้นแดง เพราะทั้งแต่มาอยู่ที่นี่ไม่ถึงวันดี มีแค่สี่คนเท่านั้นที่รู้จักชื่อเขา หนึ่งหลวงตาเติม สองคุณตาเอิบบุญ สามแดง และสี่ลุงสม

    “พี่วริศดูนี่”แดงชูปิ่นโตขึ้นมาให้วริศดูด้วยรอยยิ้มเขาตักกับข้าวมาเสียเยอะ เพราะกลัววริศจะทานไม่อิ่มและอยากให้พี่วริศได้ทานของอร่อยๆด้วย

    “แดง มาทำอะไรอีกนี่มันใกล้ค่ำแล้วนะ แล้วมายังไง”วริศสังเกตคราวนี้ตัวแดงไม่เปียกงั้นก็แสดงว่าไม่ได้ว่ายน้ำมา แล้วมาได้ยังไงพายเรือมาหรือแล้วไหนจะปิ่นโตที่อยู่ในมือนั่นอีกไม่ใช่ว่าเอออาหารมาให้เขาจริงหรอกนะ

    “เดินมาทางสะพานที่อยู่ที่โน่นครับ ผมเอากับข้าวมาให้”แดงยิ้มกว้าง

    “ไม่เห็นต้องลำบากเลย แล้วสะพานที่ว่านะมันไกลจากที่นี่เกือบกิโลไม่ใช่หรือ”วริศขมวดคิ้ว เขาเดินสำรวจรอบๆแถววัดแล้วพบว่าสะพานที่แดงว่ามันอยู่ห่างไปจากวัดเกือบกิโล

    “ผมกลัวว่าถ้าพายเรือมา จะทำให้อาหารหก พี่วริศคงยังไม่กินข้าวใช่มั้ย ไป ไปกินข้าวกัน”แดงดึงมือวริศให้เดินตามไปที่ศาลาที่มีไว้สำหรับนั่งพัก

    “หยุดก่อน ฟังที่พี่พูดก่อนคราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกพี่เป็นห่วงเข้าใจมั้ย แล้วเรื่องอาหารนี่ไม่ต้องเอามาหรอก อาหารที่เหลือจากตอนเที่ยงยังมี แล้วเรานะทานอะไรมาหรือยัง”วริศถามเสียงดุด้วยความเป็นห่วงนี่ก็เริ่มมืดแล้วเกิดแดงเป็นอะไรขึ้นมาเขาจะทำยังไง

    “แหะๆ ยังเลยครับ ก็ผมกลัวว่าพี่จะไม่ได้ทานอะไรเลยรีบมาก่อน ส่วนเรื่องอาหารนี่หม่อมท่านอนุญาตให้เอามาให้พี่วริศได้ครับ”แดงหัวเราะแหะๆให้วริศเมื่อรู้สึกว่าตัวเองจะถูกดุอีกแล้ว

    “งั้นก็มาทานกับพี่”วริศดึงปิ่นโตมาจากมือแดงแล้วเดินไปหยิบช้อนหยิบจานมา เพราะข้าวที่อยู่ในปิ่นโตนั้นเยอะมาก สงสัยแดงคงกลัวเขาไม่อิ่ม

    “รสชาตินี้มัน”วริศขมวดคิ้วเมื่อตักข้าวเขาปาก ทำไมรสชาติมันเหมือนกับฝีมือคุณปู่และคินเลย

    “อร่อยมั้ยละครับผมบอกแล้ว”แดงยืดอกพูดด้วยความภูมิใจเรื่องรสชาติไม่มีที่ไหนสู้บ้านเรือนไทยของหม่อมท่านได้หรอก

    “อืม อร่อย ทานต่อเถอะ”วริศไม่พูดอะไรแต่ภายในใจมีคำถามตั้งมากมายที่หาคำตอบไม่ได้

    “ไม่ต้องไปส่งหรอก แค่นี้เองผมเดินไปได้”แดงปฏิเสธเมื่อวริศบอกว่าจะเดินไปส่งที่บ้าน

    “ไม่ได้ ถ้าไม่ให้เดินไปส่ง เดี๋ยวพี่พายเรือไปส่งก็ได้ไป”วริศหิ้วแดงไปที่เรือ

    “โอ๊ะ ท่านชาย”แดงร้องออกมาเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ที่ท่าน้ำทางขึ้นบ้าน

    “ท่านชาย”วริศทวนคำแต่หัวใจของเขานั้นกำลังเต้นแรงแทบจะหลุดออกมา หวังว่าคงจะไม่ใช่ท่านชายเดียวกับที่บันทึกอยู่ในสมุดบันทึกของคุณทวดหรอกนะ

    “โน่นไงครับ ท่านชายยืนอยู่ตรงนั้น”แดงชี้ให้วริศดูว่าท่านชายที่ตัวเองพูดถึงกำลังยืนอยู่ที่ท่าน้ำ

    “กลับมาแล้วหรือเจ้าแดง”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินถามเมื่อแดงขึ้นมาจากเรือ

    “เอ่อ”วริศยกมือขึ้นไหว้

    “ไม่ต้องหรอก แค่ไหว้ปกติก็พอ แล้วก็ไม่ต้องพูดคำราชาศัพท์ด้วย”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเมื่อเห็นวริศจะก้มลงกราบ

    “จะดีหรือ”วริศกระซิบถามแดง

    “ดีสิ”แดงพยักหน้ายืนยันท่านชายใจดีจะตายแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีคนใจร้ายมาคอยรังแกอยู่ได้

    “ขึ้นมาข้างบนก่อนสิ”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินชวนขึ้นมาข้างบนก่อนเพราะดูท่าจะคุยกันยาว

    “เอ่อ ผมต้องขอปฏิเสธครับ คือว่าหลวงตาป่วยอยู่ผมเลยจะไปดูท่านสักหน่อย”วริศพูดด้วยท่าทีอึกอัก ใจจริงเขาก็อยากจะขึ้นไปพูดคุยด้วยแต่ตอนนนี้หลวงตาอยู่คนเดียวเขาเป็นห่วงท่าน

    “อ้อ งั้นก็ไม่เป็นไรค่อยคุยกันก็ได้ ฝากบอกหลวงพ่อด้วยว่าพรุ่งนี้ฉันจะไปกราบท่านด้วยตัวเอง”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินเข้าใจว่าวริศคงจะเป็นห่วงหลวงพ่อ

    “ครับ ถ้ายังไงผมขอตัวก่อนนะครับ”วริศไหว้ลาแล้วโบกมือบ๊าย บายแดงที่ยืนอยู่ใกล้ๆท่านชาย

    “ไปเจ้าแดงขึ้นเรือน”

    “ครับ”

    “หลวงตา ยาครับ”วริศยื่นจัดยาให้กับหลวงตา ตามที่หมอสั่ง

    “เอามาสิ”

    “นี่ครับ”วริศยื่นยาไปให้

    “จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงอาตมาหรอก”

    “แต่ว่า”

    “ไปเถอะไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวอาตมาคุยกับพวกญาติโยมเสร็จเดี๋ยวจะให้คนไปตาม จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ”

    “ครับ ถ้ามีอะไรให้คนไปตามได้ทันทีเลยนะครับ ผมจะไปกวาดขยะอยู่ที่ลานวัด”

    “อืมไปเถอะ”

    “ครับ”

     “เด็กวัดใหม่หรือเจ้าคะหลวงพ่อ ดูๆแล้วไม่เหมาะจะเป็นเด็กวัดเลย”ชาวบ้านคนหนึ่งถามขึ้นมารูปร่างหน้าตาโดนเด่นเสียขนาดนี้ ถ้าบอกว่าเป็นลูกหลานบ้านเรือนไทยคงมีคนเชื่อ

    “จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้โยม”หลวงตายิ้มด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน

    “แต่จะไว้ใจหรือหรือเจ้าคะ เป็นใครมาจากไหนไม่รู้ ถึงท่าทางจะดูดีแต่ถ้าเป็นโจรขึ้นมาละ”ชาวบ้านคนเดิมถามด้วยความเป็นห่วงเพราะวัดแห่งนี้มีพระแค่สามรูป เด็กวัดก็มีแค่คนเดียว ถ้าเกิดอะไรขึ้น ใครจะช่วย เพราะพระที่มีอยู่อายุก็เยอะแล้วทั้งนั้น

    “ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกโยม เขาเป็นญาติกับอาตมา เขาไว้ใจได้”หลวงตาพูดออกมาเพื่อไม่ให้ญาติโยมต้องเป็นห่วงแต่ท่านก็ไม่ได้มุสาด้วย เพราะยังไงวริศก็นับว่าาเป็นลูกหลานของท่านจริงๆ

    “ถ้าเป็นญาติกับหลวงพ่อ พวกเราค่อยวางใจหน่อยเจ้าคะ เราจะได้เบาใจเรื่องอาการของหลวงพ่อด้วยถ้ามีคนคอยดูแลแบบนี้”

    “อย่าคิดมากเลยโยม เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสัจธรรมของชีวิต”

    “พี่วริศ”

    “อ้าวแดง”วริศเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนเรียก

    “พี่วริศทำอะไรอยู่หรือ”

    “กวาดขยะไง ว่าแต่เราเถอะมาทำอะไรอีก”

    “ฉันมากับหม่อมและท่านชาย หลวงตาให้มาตามพี่”แดงบอกอย่างอารมณ์ดีวันนี้เป็นวันเสาร์เขาไม่ต้องไปโรงเรียนเขาชอบวันหยุดมากๆเลย

    “นี่ก็ใกล้เวลาฉันท์เพลแล้วนี่ เดี๋ยวพี่ไปล้างมือก่อน”

    “มาแล้วหรือโยม มาใกล้ๆสิ”หลวงตาเรียกให้วริศเข้ามาใกล้ๆท่าน

    “นี่หรือค่ะหลวงพ่อ ที่เจ้าแดงบอกว่าเป็นญาติหลวงพ่อ”หม่อมรัตนาถามหลวงตาสายตาก็สำรวจวริศไปด้วย รูปร่างหน้าตา ดูจากกริยามารยาทแล้วดูเอาก็รู้ว่าถูกสอนมาอย่างดี

    “สวัสดีครับ”วริศยกมือไหว้หม่อมเจ้าพงศ์ธาริน หม่อมรัตนา และหม่อมศิริรัตน์

    “ไหว้พระเถอะลูก”

    “พอใช้ได้มั้ยโยม ถ้าพอใช้ได้ก็พาไปทำงานด้วยสิจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระโยมได้ถ้าจะให้อยู่กับอาตมา อาตมาก็เสียดายความรู้ของเขาที่ได้ร่ำเรียนมา”

    “อะไรหรือครับหลวงตา”วริศถามด้วยความสงสัยเขาไม่อยากไปไหนเขาจะอยู่ที่นี่เพื่อรอเวลากลับบ้านเท่านั้น ทุกคนยังรอเขาอยู่

    “อาตมาเห็นโยมว่างๆอยู่เลยถาม โยมธารินเขาว่ามีงานบ้างมั้ยโยมจะได้ไม่ต้องมานั่งเบื่ออยู่แบบนี้”

    “ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่ทำงานอะไร”วริศปฏิเสธทันที เขาเป็นห่วงหลวงตาอาการท่านไม่ค่อยดีต้องมีคนคอยดูแล  และถ้าเขาไปอยู่ที่อื่นถ้าเกิดวันไหนเขาถึงเวลาที่ต้องกลับบ้านจะทำยังไงซึ่งผิดกับชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นร่วมถึงหม่อมรัตนา หม่อมศิริรัตน์และหม่อมเจ้าพงศ์ธารินมองวริศด้วยสายตาที่ไม่ค่อยดีนักเมื่อได้ยินวริศปฏิเสธที่จะทำงานจากแววตาเอ็นดูและชื่นชมค่อยๆเปลี่ยนไป

    “อ้าว ทำไมละ”หม่อมรัตนาถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ เพราะดูจากท่าทางและแววตาแล้วน่าจะไม่ใช่คนเกียจคร้านไม่ชอบทำงาน ซึ่งท่านคิดว่าท่านมองคนไม่ผิด

    “ไม่ต้องเป็นห่วงอาตมาหรอกโยม อาตมาไม่ได้เป็นอะไรมาก”หลวงตารู้ดีว่าเพราอะไรวริศปฏิเสธมันมีเหตุผลหลายๆอย่างที่วริศไม่อยากไปจากที่นี่

    “แต่ถ้าหลวงตาอาการกำเริบขึ้นมาใครจะดูแลละครับ ”วริศถามด้วยความเป็นห่วง

    “อาตมาไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงสักหน่อยโยมอย่ามาเป็นห่วงเลย ไปช่วยงานโยมธารินดีกว่า อย่าลืมสิ่งที่ตัวเองต้องทำไม่ว่าโยมจะปฏิเสธมันยังไงเจ้าก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้และอีกอย่างวัดกับบ้านเรือนไทยก็ห่างกันแค่คลองกั้นอย่าเป็นห่วงไปเลย”หลวงตาเตือนกลายๆ ส่วนคนอื่นๆก็มองวริศในทางที่ดีขึ้นการที่วริศปฏิเสธออกมาแบบนั้นก็เพราะเป็นห่วงอาการหลวงตาเท่านั้นเอง

    “แต่โรคหัวใจผมถือว่าเป็นโรคร้ายแรงครับ”วริศยืนยันเหมือนเดิม

    “ตายแล้ว หลวงพ่อเป็นโรคหัวใจหรือเจ้าค่ะ เป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมดิฉันไม่รู้เลย”หม่อมรัตนาถามด้วยความตกใจเมื่อรู้ว่าหลวงตาเติมเป็นโรคหัวใจ นึกว่าท่านเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงอะไร

    “ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกโยม ยาก็กินประจำ อย่าเป็นห่วงไปเลย ว่าแต่โยมธารินเถอะ มีงานอะไรพอให้ที่จะให้โยมวริศทำบ้างละ”หลวงตาเปลี่ยนเรื่อง

    “ตอนนี้ก็มีงานแปลภาษาอยู่ครับ ไม่ทราบว่าจะทำได้มั้ย”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินถามวริศที่นั่งอยู่ใกล้ๆ

    “แปลภาษาอะไรบ้างหรือครับ”วริศถามกลับเสียงเรียบ เพราะยังเป็นห่วงอาการหลวงตาอยู่

    “ก็ภาษาอังกฤษ ญี่ปู่น ตอนนี้หาคนมาช่วยแปลอยู่แต่หายากมากพอจะช่วยแปลได้มั้ย”

    “ได้ครับ ไม่มีปัญหาอะไร”วริศพยักหน้า “แต่ผมมีข้อแม้”

    “ข้อแม้อะไร หรือว่าเรื่องเงินเดือน”

    “ไม่ใช่หรอกครับ คือผมขอกลับมาทำที่วัดได้มั้ย ถ้าเอากลับมาทำที่วัดผมจะได้ดูหลวงตาด้วย”

    “ได้ไม่มีปัญหา เพราะฉันก็เอางานมาแปลที่บ้านอยู่แล้วถ้าจะย้ายมาแปลที่นี่คงไม่เป็นอะไร แต่ฉันก็มีข้อแม้เหมือนกันเธอจะตกลงมั้ย”

    “ข้อแม้อะไรหรือครับ”

    “เวลาที่ฉันไปดูงาน ฉันอยากให้เธอไปทำงานที่บ้าน”

    “ทำไมหรือครับ”วริศถามด้วยความแปลกใจการที่จะให้คนที่เพิ่งรู้จักกันสามารถเข้าบ้านได้ง่ายๆแบบนี้มันจะไม่ประหลาดไปหน่อยหรือ

    “ที่บ้านมีแต่ผู้หญิงถ้าฉันไม่อยู่ก็จะมีแค่ตาสมและเจ้าแดงเท่านั้นที่เป็นผู้ชาย แต่ตาสมก็แก่มากแล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นคงจะสู้ไม่ไหวส่วนเจ้าแดงก็ยังด็กเกินไป” และที่สำคัญฉันก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรฉันถึงได้ไว้ใจเธอนักทั้งๆที่เพิ่งจะเจอกันแท้ๆ หม่อมเจ้าพงศ์ธารินคิดในใจไม่ได้พูดออกมา

    “งั้นก็ตกลงครับ”วริศคิดอยู่นิดนึงจึงตอบตกลงมองไปที่หม่อมศิริรัตน์ที่หน้าท้องโตคงจะตั้งครรภ์หกเจ็ดเดือนกระมังวริศคิด

    “นอกจากเงินเดือนที่จะได้แล้ว เดี๋ยวแถมข้าวมื้อเย็น พร้อมกับของว่างให้ด้วย”หม่อมเจ้าพงศ์ธารินพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดู เด็กคนนี้มีอะไรบางอย่างถึงทำให้เขารู้สึกเอ็นดูได้มากขนาดนี้

    “ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ผมอยู่ที่นี่ก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว”วริศปฏิเสธ

    “อย่าปฏิเสธเลย เดี๋ยวให้เจ้าแดงเอามาให้”

    “ก็ได้ครับ ขอบพระคุณท่านชายและหม่อมทั้งสองนะครับที่ให้ความอนุเคราะห์แก่ผม”

    “อย่าคิดมากเลย พร้อมจะเริ่มงานเมื่อไหร่ละ”

    “พรุ่งนี้ก็ได้ครับ”

    “งั้นพรุ่งนี้หลังจากดูแลหลวงพ่อตอนเช้าเรียบร้อยแล้ว ไปที่เรือนไทยนะเดี๋ยวฉันจะได้สั่งงานแล้วจะได้เอากลับมาทำที่นี่”

    “ครับ แต่ตอนนี้หลวงตาต้องทานยาก่อนอาหารนะครับ เมื่อตอนเช้าได้ทานมั้ยครับหรือว่าเอามารวมกันเป็นหลังอาหารหมด”วริศถามหลวงตาเสียงดุนิดๆเพราะกลัวว่าหลวงตาจะไม่ยอมกินยาอีก หรือไม่ก็ไม่กินตามบสั่งยาที่หมอให้มา

    “อาตมากินแล้ว ไปๆไปเอายามาไป”หลวงตาพูดเสียงดุนิดๆ




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×