ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รอรัก...รอเธอ

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 25 มิ.ย. 63


    บทที่ 1

     “ตายแล้วหรือวะ ไม่น่าจะใช่ หรือตายแล้ววะ”วริศยินขยี้ผมตัวเองอย่างคิดหนักว่าตกลงแล้วเขาตายแล้วหรือไม่ เพราะสถานที่ที่เขาอยู่ตอนนี้มันแปลกๆยังไงไม่รู้ มันไม่เหมือนสถานเดิมไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนหรือรถราแม้แต่การแต่งตัวของคนที่นี่

    “มาแล้วหรือโยม อาตมารอโยมอยู่นึกว่าจะไม่มาเสียแล้ว”วริศหันไปมองด้านหลังด้วยความตกใจ

    “หลวงตา”วริศพูดออกมาด้วยความดีใจเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนพูดรีบก้มลงกราบทันดี

    “ไม่ใช่หรอกโยม อาตมาไม่ใช่หลวงตาที่โยมรู้จักหรอก ดูให้ดีสิ”หลวงตาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    “ไม่จริงน่า”วริศที่จ้องอยู่นานพูดขึ้นมาด้วยความตกใจกับความคิดของตัวเอง

    “มาเถอะ วันนี้มาเป็นเด็กวัดให้กับอาตมาหน่อย อาตมาขาดเด็กวัดพอดี”หลวงตาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าของท่านมีรอยยิ้มนิดๆ

    “เอ่อ ครับ”วริศลุกขึ้นแล้วเดินตามหลวงตาไปอย่างงงๆตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนแล้วทำไมหลวงตาที่อยู่ตรงหน้าเขาพูดเหมือนกับรู้ว่าเขาจะมาและยังมีหน้าตาคล้ายหลวงตาเพิ่มอีก แต่วริศก็เลือกที่จะเดินตามไปอย่างงงๆต่อไป

    “นมัสการค่ะหลวงพ่อ วันนี้มีเด็กวัดมาช่วยถือของแล้วหรือเจ้าคะ”หญิงชราทักขึ้นมาเมื่อเห็นว่าวันนี้พลวงตาเติมบุญหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าหลวงตาเติมหรือหลวงพ่อเติม วันนี้มีเด็กวัดมาช่วยถือของด้วยถึงแม้ว่าหน้าตาท่าทางจะไม่เหมาะกับการเป็นเด็กวัดสักเท่าไหร่และยังเป็นคนแปลกหน้าอีกด้วย

    “ใช่ แล้วละโยมแต่คงจะเป็นเด็ดวัดได้ไม่กี่วันหรอก”พลวงตายิ้มเล็กน้อยแล้วส่งช่อดอกไม้ให้กับวริศถือเก็บใส่ย่าม

    “อ้าวทำไมละคะหลวงพ่อ”หญิงชราถามด้วยความแปลกใจ

    “เขามีหน้าที่ต้องทำนะ”หลวงพ่อพูดจบก็เดินออกไปเพราะมีชาวบ้านมารอใส่บาตรอยู่อีกหลายคน

    “วัดนี้มีในกรุงเทพด้วยหรือครับ”วริศขมวดคิ้วถามด้วยความแปลกใจกับภาพตรงหน้า

    “ที่นี่ไม่ใช่กรุงเทพหรอกโยม ที่นี่คือสุพรรณบุรีต่างหาก มาเถอะ”หลวงตาเดินนำเข้าไปในวัด วริศมองรอบๆด้วยสายตาที่แปลกใจปนทึ่ง วัดนี้สวยมากแถมยังติดกับคลองบรรยากาศก็เงียบสงบดี

    “แล้วทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ละครับ ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมถูกรถชน แต่พอรู้สึกตัวอีกทีผมก็ไปยืนอยู่ตรงที่หลวงตาเจอผมแล้ว ผมตายไปแล้วหรือครับ ไม่สิ ถ้าผมตายชาวบ้านจะเห็นผมได้ยังไง”วริศถามขึ้นมาหลังจากที่หลวงตาฉันท์ข้าวเรียบร้อยแล้ว

    “โยมกับพี่ชายน้องชายกำลังสงสัยอะไรอยู่ละ”หลวงตาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    “เรื่องบันทึก อุบ”วริศยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองทันทีเมื่อพูดออกไป มันไม่ใช่ความลับอะไรหรอก แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าเรื่องที่เขามาอยู่ที่นี่มันจะเกี่ยวกับบันทึกได้ยังไงเพราะในบันทึกเล่มนั้น ทั้งๆที่พวกเขาพี่น้องคิดว่ามันเป็นแค่นิยายที่ถูกแต่งขึ้นมาเท่านั้น ถึงแม้ว่าในบันทึกเล่มนั้นจะมีนามสกุลศิริรัตนาอยู่ด้วยแล้วไหนจะแหวนประจำตระกูลศิริรัตนาอีก  ตกลงเรื่องไหนเป็นเรื่องจริงเรื่องไหนเป็นแค่นิยายที่ถูกแต่งขึ้นมา

    “โยม คนเรามีหน้าที่ของแต่ละคนไม่เหมือนกันนะ”

    “สมมุตินะครับ สมมุติว่าเรื่องที่เขียนในบันทึกเป็นจริง ไม่ใช่นิยายที่ถูกแต่งเติมขึ้นมาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น งั้นก็หมายความว่าการที่ผมต้องมาที่นี่เพื่อให้เรื่องที่บันทึกเอาไว้เปลี่ยนไปใช่มั้ยครับ”วริศถามด้วยความร้อนใจเพราะถ้าเป็นจริงอย่างที่ในบันทึกนั้นเขียนเอาไว้ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยนะ

    “ไม่มีใครสามารถแก้ไขอดีตได้หรอกโยม ไม่งั้นจะมีคำพูดที่ว่าอดีตคือรากฐานของปัจจุบันอย่างนั้นหรือ”

    “ถ้าอย่างนั้นทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละครับ ถ้าไม่ใช่เพราะให้ผมมาแก้ไขอดีต จะให้ผมมาทำไมผมไม่อยากเห็นการสูญเสียอีกแล้ว”วริศมีสีหน้าเคร่งเครียดไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา

    “โยม เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นสัจธรรมของชีวิตที่ทุกคนไม่ว่ายิ่งใหญ่แค่ไหนทุกคนก็ต้องเจอ ปัจจุบันเป็นยังไงอดีตก็เป็นอย่างนั้นนั่นแหละโยม”

    “มันอาจจะมีวิธีแก้ก็ได้เพราะในบันทึกมันยังเขียนไม่จบด้วยซ้ำถ้าผมสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้”วริศพูดออกไปทั้งๆที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว

    “ไม่หรอกโยม มันจะไม่มี แม้แต่ตัวของโยมเองก็จะหายไปเพราะที่ที่โยมอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ที่ของโยมสักวันเมื่อวันนั้นมาถึงโยมก็ต้องกลับไป ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว การที่โยมมาที่นี่ไม่ใช่มาเพื่อแก้ไขอดีตแต่มาเพื่อสิ่งหนึ่ง สิ่งที่โยมกำลังตามหามันอยู่ และการที่สมุดบันทึกเล่มนั้นบันทึกไม่จบก็ใช่ว่าเหตุการณ์มันจะไม่ดำเนินต่อไปเวลาไม่เคยหยุดเคลื่อนไหว และมันก็ไม่มีทางย้อนกลับเช่นกัน”

    “ผมเกลียดการสูญเสีย ที่ผ่านมาผมสูญเสียไปมากแล้วผมไม่อยากสูญเสียอะไรอีก”วริศกำหมัดแน่นที่ผ่านมาเขายังสูญเสียไม่พออีกหรือ

    “มันเป็นชะตากรรมโยม ชะตากรรมที่โยมและครอบครัวของโยมจะต้องเจอ ที่ผ่านมาไม่ใช่เจอแต่สิ่งร้ายๆไม่ใช่หรือ อาตมาว่าเรื่องดีเยอะกว่าเรื่องร้ายๆอีก”หลวงตายิ้มด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน

    “ครับหลวงตา”วริศยอมรับในที่สุดมันก็จริงอย่างที่หลวงตาพูด ในเมื่อเขาแก้ไขอดีตไม่ได้เขาก็จะทำให้ดีที่สุด แต่ถ้าเขาได้เจอในสิ่งที่ตามหาอยู่จริงแล้วมันจะเป็นไปได้ยังไง ก็ในเมื่อสักวันเขาก็ต้องกลับไป

    “ไปพักเถอะโยม อาตมาให้เด็กวัดจัดที่นอนไว้แล้ว”

    “ครับหลวงตา”

    “พี่ชาย พี่ชายมาจากไหนหรือ”วริศที่นั่งอยู่ที่ท่าน้ำของวัดขมวดคิ้วหันไปมองเด็กอายุประมาณเจ็ดแปดขวบหรืออาจจะอายุน้อยกว่านั้นด้วยความแปลกใจ เพราะไม่รู้ว่าเด็กคนนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ สงสัยเขาจะเหม่อจนไม่มีสติเลยไม่รู้ตัวว่าเด็กคนนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้าอยู่ที่โน้นเขาต้องถูกดุแน่ที่สติไม่อยู่กับตัวแบบนี้

    “พี่ต่างหากละครับ ที่จะต้องถามเรามาจากไหน”วริศเริ่มสังเกตเด็กตรงหน้า “อย่าบอกนะว่าจากคลอง”วริศถามด้วยความแปลกใจเพราะเสื้อผ้าของเด็กตรงหน้าเปียกไปหมด

    “ใช่แล้ว”เด็กชายกอดอกยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ

    “บ้านอยู่แถวนี้หรือครับ ถึงได้มาว่ายน้ำเล่นแถวนี้”วริศถามยิ้มๆมองเด็กชายนั่งลงข้างๆเนื้อตัวเปียกปอน

    “บ้านอยู่ตรงนั้นไงพี่ชาย”เด็กชายชี้ไปที่บ้านเรือนไทยหลังใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับวัด

    “บ้านสวยนี่”วริศเอ่ยชมเมื่อบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัด แปลกดีแต่เป็นบ้านที่สวยมากถ้ายัยน้องมาเห็นคงจะชอบ แต่น่าเสียดายที่ยัยน้องคงไม่มีโอกาสมาได้ดู

    “ไม่ใช่บ้านผมหรอก”

    “อ้าวไหนบอกว่าบ้านอยู่ตรงนั้นไง บ้านตรงนั้นก็มีแค่เรือนไทยหลังเดียวไม่ใช่หรือ”วริศเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจหรือว่าจะมีบ้านหลังอื่นอีกแต่เขาไม่เห็น

    “บ้านเรือนไทยหลังนั้นแหละครับ แต่บ้านหลังนั้นไม่ใช่บ้านของผม บ้านหลังนั้นเป็นบ้านของหม่อมท่าน พ่อผมเป็นคนใช้บ้านนั้น”

    “หม่อมงั้นหรือ ว่าแต่ชื่ออะไรอะเรา พี่ยังไม่รู้จักชื่อเลย”

    “ผมชื่อแดง พี่ละชื่ออะไร”วริศชะงักไปเมื่อได้ยินชื่อ เขาเจอแล้วคนที่อยู่ในบันทึกเล่มนั้น วริศจ้องไปที่แดงอย่างค้นหาแต่จะใช่คนเดียวกันหรือไม่นั้นก็คงต้องรอกันต่อไป “พี่ พี่ชื่ออะไรหรือ”แดงเขย่าแขนวริศเมื่อเห็นวริศเงียบไป

    “เอ่อ พี่ชื่อจริงว่าวริศ ชื่อเล่นว่าไรเฟิล”

    “ทำไมชื่อจริงกับชื่อเล่นไม่เหมือนกันละ ชื่อจริงผมก็แดงชื่อเล่นก็แดง”แดงยิ้มกว้างถามด้วยความสงสัย พี่ชายคนนี้ใจดี

    “ตั้งชื่อเล่นไว้ก็เพื่อที่จะได้เรียกชื่อได้ง่ายๆไง เพราะชื่อจริงจะยาว”วริศพูดด้วยรอยยิ้ม เขาเชื่อว่าแดงจะต้องถามเขาอีกแน่นอน

    “แต่พี่ชื่อจริงว่าวริศ แค่สองพยางค์เอง ส่วนชื่อเล่นก็สองพยางค์เท่ากันทำไมไม่ชื่อวริศไปเลยทีเดียวละ”แดงถามอย่างสงสัย

    “นั่นสิ ชื่อของพี่ตั้งชื่อเล่นและชื่อจริงก็สองพยางค์เหมือนกัน อืม พี่ว่ามันก็เหมือนกับการเรียกชื่อไง ก็อย่างเช่นถ้าคนที่ไม่สนิทก็เรียกชื่อจริงสนิทกันก็เรียกชื่อเล่นอย่างชื่อเล่นพี่ไรเฟิล ที่บ้านพี่เขาก็เรียกเฟิลอะไรแบบนี้”วริศอธิบายให้แดงฟังด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

    “อ้อ  อย่างงี้นี่เองผมเข้าใจแล้ว”แดงพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่วริศพูด

     “ว่าแต่ไม่หนาวหรือไงเรา”

    “ไม่หนาวหรอกชินแล้ว ว่าแต่พี่มาจากที่ไหนหรือผมไม่เคยเห็น”

    “พี่มาจากที่ไกลแสนไกลนะ”

    “ไกลมากมั้ย”แดงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ที่วริศบอกว่าไกลมันจะไกลมากแค่ไหน

    “ใช้เวลาเดินทางกว่าจะถึงเจ็ดสิบถึงแปดสิบปีเลยละ”

    “โห ทำไมนานจัง แล้วพี่มาได้ยังไง”แดงตาโต

    “พี่มาด้วยเครื่องทุ่นแรงนะเลยมาถึงเร็ว”

    “แล้วพี่จะกลับไปอีกมั้ยแล้วเครื่องทุ่นแรงที่ว่ามันอยู่ไหนละ”แดงชะเง้อคอมองเขาอยากเห็นว่ามันจะมีรูปร่างยังไงนะไอ้เครื่องทุ่นแรงเนี่ย

    “กลับไปสิ ครอบครัวพี่รอพี่อยู่ ส่วนเครื่องทุ่นแรงนะมันเสียไปแล้วละ”

    “อ้าวแล้วพี่จะกลับไปได้ยังไง”

    “แล้วสักวันพี่จะบอกแดงเอง”วริศขยี้ผมแดงเบาๆด้วยความเอ็นดู

    “อะ แล้วไรเฟิลมันคืออะไรหรือ”แดงถามขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้

    “ไรเฟิลคือปืนชนิดหนึ่ง”

    “ปืนหรือ ทำไมต้องใช้ชื่อนี้ละ ปืนมันอันตรายมากพ่อบอกว่าปืนทำให้คนตายได้เลยนะ”

    “อันนี้คงไปถามพ่อพี่เองแล้วละเพราะท่านตั้งชื่อนี้ให้พี่ ปืนเป็นอาวุธสองคมที่มีไว้ปกป้องและทำลายมันอยู่ที่เราเลือกว่าเราจะใช้แบบไหน”วริศพูดด้วยรอยยิ้ม

    “โอ๊ะ”แดงร้องออกมาอย่างตกใจ

    “เป็นอะไรหรือแดง มีอะไรหรือเปล่า”วริศถามด้วยความเป็นห่วง แดงไม่ตอบแต่มองไปทางด้านหลังเขา

    “หลวงตา”แดงยิ้มกว้างก้มลงกราบ

    “เจอกันแล้วหรือโยม”

    “ครับ หลวงตามีอะไรให้ผมรับใช้หรือเปล่าครับ”

    “อ้อ อาตมามีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อยตามมาสิ เจ้าแดงก็ตามมาด้วยสิ”

    “ครับ”วริศและแดงเดินตามหลวงตาไปที่กุฏิ วริศไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาให้แดงเช็ด เพราะกลัวว่าจะหนาวซะก่อนถึงเจ้าตัวจะบอกว่าชินก็เถอะ

    “นมัสการครับหลวงพ่อ”

    “มาแล้วหรือโยม ได้ของตามที่อาตมาบอกไปหรือไม่”หลวงตาเติมถามคนที่คลานเข่าเข้ามา

    “ได้ครับ แต่ว่าหลวงพ่อจะเอาไปให้ใครใส่หรือครับเสื้อผ้าตั้งเยอะ”เอิบบุญถามด้วยความสงสัย ก่อนหน้านั้นหลวงพ่อเติมบุญสั่งให้เด็กวัดเขียนจดหมายบอกให้เขาเอาเสื้อผ้ามาให้ เขาก็นึกแปลกใจแล้วว่าท่านจะให้เอามาทำไมแต่เขาก็เลือกที่จะทำตามความต้องการของท่านถึงแม้ท่านจะอดสงสัยไม่ได้ก็ตาม

    “โน่นไงคนที่จะใส่”หลวงตามองไปที่วริศที่เดินขึ้นกุฏิมาพร้อมกับแดง เอิบบุญมองตามด้วยความสงสัย รู้สึกคุ้นเคยแปลกๆประดังเข้ามา ความรู้สึกมันแปลกไปเหมือนกับคุ้นเคยกับชายตรงหน้า

    “สวัสดีครับ”วริศยกมือไหว้แล้วนั่งลงข้างๆแดง

    “ใครหรือครับหลวงพ่อ”เอิบบุญรับไหว้แล้วหันไปถามหลวงตาเติมด้วยความแปลกใจ

    “ลูกหลานของโยมยังไงละโยมเอิบบุญ ต่อไปเขาจะมาอยู่ที่นี่ถึงจะไม่นานก็เถอะเขาจำเป็นต้องมีเสื้อผ้าสวมใส่และของที่จะใช้ในการดำรงชีวิตเมื่อโยมเขาต้องอยู่ที่นี่”ท่านพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    “ลูกหลานหมายความว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นญาติกับผมหรือครับ”เอิบบุญมองไปที่วริศด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก

    “ใช่ ญาติ คิดว่าเขาเป็นหลานเป็นเหลนก็ได้”

    “ครับ”เอิบบุญรับคำ ท่านรู้จักหลวงตาดีว่าเป็นคนยังไงก่อนที่ท่านจะบวชท่านได้พูดอะไรเอาไว้แต่ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจนักตอนนี้พอที่จะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง แต่มันจะเป็นไปได้จริงๆนะหรือ

    “เอาไปดูสิโยมว่าเสื้อผ้าใส่ได้มั้ย อาตมาให้โยมเอิบเอามาให้พร้อมกับข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน”

    “ให้ผมหรือครับหลวงตา”

    “ใช่ อาตมาใส่ได้เมื่อไหร่ละ”

    “ขอบคุณนะครับสำหรับเสื้อผ้า”วริศยกมือไหว้ขอบคุณเอิบบุญ หลวงตาทราบว่าเขาจะมาอยู่ที่นี่ถึงกับให้คนไปเตรียมเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ไว้รอเชียวหรือ

    “ไม่เป็นอะไรหรอก ถือว่าให้ลูกหลาน”เอิบบุญยกมือขึ้นลูบผมวริศเบาๆ วริศยิ้มรับ




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×