คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1
บทที่
1
“ตายแล้วหรือวะ
ไม่น่าจะใช่ หรือตายแล้ววะ”วริศยินขยี้ผมตัวเองอย่างคิดหนักว่าตกลงแล้วเขาตายแล้วหรือไม่
เพราะสถานที่ที่เขาอยู่ตอนนี้มันแปลกๆยังไงไม่รู้
มันไม่เหมือนสถานเดิมไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนหรือรถราแม้แต่การแต่งตัวของคนที่นี่
“มาแล้วหรือโยม
อาตมารอโยมอยู่นึกว่าจะไม่มาเสียแล้ว”วริศหันไปมองด้านหลังด้วยความตกใจ
“หลวงตา”วริศพูดออกมาด้วยความดีใจเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนพูดรีบก้มลงกราบทันดี
“ไม่ใช่หรอกโยม อาตมาไม่ใช่หลวงตาที่โยมรู้จักหรอก
ดูให้ดีสิ”หลวงตาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่จริงน่า”วริศที่จ้องอยู่นานพูดขึ้นมาด้วยความตกใจกับความคิดของตัวเอง
“มาเถอะ วันนี้มาเป็นเด็กวัดให้กับอาตมาหน่อย
อาตมาขาดเด็กวัดพอดี”หลวงตาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าของท่านมีรอยยิ้มนิดๆ
“เอ่อ
ครับ”วริศลุกขึ้นแล้วเดินตามหลวงตาไปอย่างงงๆตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนแล้วทำไมหลวงตาที่อยู่ตรงหน้าเขาพูดเหมือนกับรู้ว่าเขาจะมาและยังมีหน้าตาคล้ายหลวงตาเพิ่มอีก
แต่วริศก็เลือกที่จะเดินตามไปอย่างงงๆต่อไป
“นมัสการค่ะหลวงพ่อ
วันนี้มีเด็กวัดมาช่วยถือของแล้วหรือเจ้าคะ”หญิงชราทักขึ้นมาเมื่อเห็นว่าวันนี้พลวงตาเติมบุญหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าหลวงตาเติมหรือหลวงพ่อเติม
วันนี้มีเด็กวัดมาช่วยถือของด้วยถึงแม้ว่าหน้าตาท่าทางจะไม่เหมาะกับการเป็นเด็กวัดสักเท่าไหร่และยังเป็นคนแปลกหน้าอีกด้วย
“ใช่
แล้วละโยมแต่คงจะเป็นเด็ดวัดได้ไม่กี่วันหรอก”พลวงตายิ้มเล็กน้อยแล้วส่งช่อดอกไม้ให้กับวริศถือเก็บใส่ย่าม
“อ้าวทำไมละคะหลวงพ่อ”หญิงชราถามด้วยความแปลกใจ
“เขามีหน้าที่ต้องทำนะ”หลวงพ่อพูดจบก็เดินออกไปเพราะมีชาวบ้านมารอใส่บาตรอยู่อีกหลายคน
“วัดนี้มีในกรุงเทพด้วยหรือครับ”วริศขมวดคิ้วถามด้วยความแปลกใจกับภาพตรงหน้า
“ที่นี่ไม่ใช่กรุงเทพหรอกโยม ที่นี่คือสุพรรณบุรีต่างหาก
มาเถอะ”หลวงตาเดินนำเข้าไปในวัด วริศมองรอบๆด้วยสายตาที่แปลกใจปนทึ่ง
วัดนี้สวยมากแถมยังติดกับคลองบรรยากาศก็เงียบสงบดี
“แล้วทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ละครับ ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมถูกรถชน
แต่พอรู้สึกตัวอีกทีผมก็ไปยืนอยู่ตรงที่หลวงตาเจอผมแล้ว ผมตายไปแล้วหรือครับ ไม่สิ
ถ้าผมตายชาวบ้านจะเห็นผมได้ยังไง”วริศถามขึ้นมาหลังจากที่หลวงตาฉันท์ข้าวเรียบร้อยแล้ว
“โยมกับพี่ชายน้องชายกำลังสงสัยอะไรอยู่ละ”หลวงตาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เรื่องบันทึก
อุบ”วริศยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองทันทีเมื่อพูดออกไป มันไม่ใช่ความลับอะไรหรอก
แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าเรื่องที่เขามาอยู่ที่นี่มันจะเกี่ยวกับบันทึกได้ยังไงเพราะในบันทึกเล่มนั้น
ทั้งๆที่พวกเขาพี่น้องคิดว่ามันเป็นแค่นิยายที่ถูกแต่งขึ้นมาเท่านั้น
ถึงแม้ว่าในบันทึกเล่มนั้นจะมีนามสกุลศิริรัตนาอยู่ด้วยแล้วไหนจะแหวนประจำตระกูลศิริรัตนาอีก
ตกลงเรื่องไหนเป็นเรื่องจริงเรื่องไหนเป็นแค่นิยายที่ถูกแต่งขึ้นมา
“โยม คนเรามีหน้าที่ของแต่ละคนไม่เหมือนกันนะ”
“สมมุตินะครับ สมมุติว่าเรื่องที่เขียนในบันทึกเป็นจริง
ไม่ใช่นิยายที่ถูกแต่งเติมขึ้นมาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
งั้นก็หมายความว่าการที่ผมต้องมาที่นี่เพื่อให้เรื่องที่บันทึกเอาไว้เปลี่ยนไปใช่มั้ยครับ”วริศถามด้วยความร้อนใจเพราะถ้าเป็นจริงอย่างที่ในบันทึกนั้นเขียนเอาไว้
มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยนะ
“ไม่มีใครสามารถแก้ไขอดีตได้หรอกโยม
ไม่งั้นจะมีคำพูดที่ว่าอดีตคือรากฐานของปัจจุบันอย่างนั้นหรือ”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละครับ
ถ้าไม่ใช่เพราะให้ผมมาแก้ไขอดีต จะให้ผมมาทำไมผมไม่อยากเห็นการสูญเสียอีกแล้ว”วริศมีสีหน้าเคร่งเครียดไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา
“โยม เกิด แก่ เจ็บ
ตายเป็นสัจธรรมของชีวิตที่ทุกคนไม่ว่ายิ่งใหญ่แค่ไหนทุกคนก็ต้องเจอ
ปัจจุบันเป็นยังไงอดีตก็เป็นอย่างนั้นนั่นแหละโยม”
“มันอาจจะมีวิธีแก้ก็ได้เพราะในบันทึกมันยังเขียนไม่จบด้วยซ้ำถ้าผมสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้”วริศพูดออกไปทั้งๆที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว
“ไม่หรอกโยม มันจะไม่มี
แม้แต่ตัวของโยมเองก็จะหายไปเพราะที่ที่โยมอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ที่ของโยมสักวันเมื่อวันนั้นมาถึงโยมก็ต้องกลับไป
ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว การที่โยมมาที่นี่ไม่ใช่มาเพื่อแก้ไขอดีตแต่มาเพื่อสิ่งหนึ่ง
สิ่งที่โยมกำลังตามหามันอยู่
และการที่สมุดบันทึกเล่มนั้นบันทึกไม่จบก็ใช่ว่าเหตุการณ์มันจะไม่ดำเนินต่อไปเวลาไม่เคยหยุดเคลื่อนไหว
และมันก็ไม่มีทางย้อนกลับเช่นกัน”
“ผมเกลียดการสูญเสีย
ที่ผ่านมาผมสูญเสียไปมากแล้วผมไม่อยากสูญเสียอะไรอีก”วริศกำหมัดแน่นที่ผ่านมาเขายังสูญเสียไม่พออีกหรือ
“มันเป็นชะตากรรมโยม ชะตากรรมที่โยมและครอบครัวของโยมจะต้องเจอ
ที่ผ่านมาไม่ใช่เจอแต่สิ่งร้ายๆไม่ใช่หรือ
อาตมาว่าเรื่องดีเยอะกว่าเรื่องร้ายๆอีก”หลวงตายิ้มด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
“ครับหลวงตา”วริศยอมรับในที่สุดมันก็จริงอย่างที่หลวงตาพูด
ในเมื่อเขาแก้ไขอดีตไม่ได้เขาก็จะทำให้ดีที่สุด
แต่ถ้าเขาได้เจอในสิ่งที่ตามหาอยู่จริงแล้วมันจะเป็นไปได้ยังไง
ก็ในเมื่อสักวันเขาก็ต้องกลับไป
“ไปพักเถอะโยม อาตมาให้เด็กวัดจัดที่นอนไว้แล้ว”
“ครับหลวงตา”
“พี่ชาย พี่ชายมาจากไหนหรือ”วริศที่นั่งอยู่ที่ท่าน้ำของวัดขมวดคิ้วหันไปมองเด็กอายุประมาณเจ็ดแปดขวบหรืออาจจะอายุน้อยกว่านั้นด้วยความแปลกใจ
เพราะไม่รู้ว่าเด็กคนนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ สงสัยเขาจะเหม่อจนไม่มีสติเลยไม่รู้ตัวว่าเด็กคนนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่
ถ้าอยู่ที่โน้นเขาต้องถูกดุแน่ที่สติไม่อยู่กับตัวแบบนี้
“พี่ต่างหากละครับ
ที่จะต้องถามเรามาจากไหน”วริศเริ่มสังเกตเด็กตรงหน้า
“อย่าบอกนะว่าจากคลอง”วริศถามด้วยความแปลกใจเพราะเสื้อผ้าของเด็กตรงหน้าเปียกไปหมด
“ใช่แล้ว”เด็กชายกอดอกยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ
“บ้านอยู่แถวนี้หรือครับ ถึงได้มาว่ายน้ำเล่นแถวนี้”วริศถามยิ้มๆมองเด็กชายนั่งลงข้างๆเนื้อตัวเปียกปอน
“บ้านอยู่ตรงนั้นไงพี่ชาย”เด็กชายชี้ไปที่บ้านเรือนไทยหลังใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับวัด
“บ้านสวยนี่”วริศเอ่ยชมเมื่อบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัด
แปลกดีแต่เป็นบ้านที่สวยมากถ้ายัยน้องมาเห็นคงจะชอบ แต่น่าเสียดายที่ยัยน้องคงไม่มีโอกาสมาได้ดู
“ไม่ใช่บ้านผมหรอก”
“อ้าวไหนบอกว่าบ้านอยู่ตรงนั้นไง
บ้านตรงนั้นก็มีแค่เรือนไทยหลังเดียวไม่ใช่หรือ”วริศเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจหรือว่าจะมีบ้านหลังอื่นอีกแต่เขาไม่เห็น
“บ้านเรือนไทยหลังนั้นแหละครับ แต่บ้านหลังนั้นไม่ใช่บ้านของผม
บ้านหลังนั้นเป็นบ้านของหม่อมท่าน พ่อผมเป็นคนใช้บ้านนั้น”
“หม่อมงั้นหรือ ว่าแต่ชื่ออะไรอะเรา พี่ยังไม่รู้จักชื่อเลย”
“ผมชื่อแดง พี่ละชื่ออะไร”วริศชะงักไปเมื่อได้ยินชื่อ
เขาเจอแล้วคนที่อยู่ในบันทึกเล่มนั้น
วริศจ้องไปที่แดงอย่างค้นหาแต่จะใช่คนเดียวกันหรือไม่นั้นก็คงต้องรอกันต่อไป “พี่
พี่ชื่ออะไรหรือ”แดงเขย่าแขนวริศเมื่อเห็นวริศเงียบไป
“เอ่อ พี่ชื่อจริงว่าวริศ ชื่อเล่นว่าไรเฟิล”
“ทำไมชื่อจริงกับชื่อเล่นไม่เหมือนกันละ
ชื่อจริงผมก็แดงชื่อเล่นก็แดง”แดงยิ้มกว้างถามด้วยความสงสัย พี่ชายคนนี้ใจดี
“ตั้งชื่อเล่นไว้ก็เพื่อที่จะได้เรียกชื่อได้ง่ายๆไง
เพราะชื่อจริงจะยาว”วริศพูดด้วยรอยยิ้ม เขาเชื่อว่าแดงจะต้องถามเขาอีกแน่นอน
“แต่พี่ชื่อจริงว่าวริศ แค่สองพยางค์เอง
ส่วนชื่อเล่นก็สองพยางค์เท่ากันทำไมไม่ชื่อวริศไปเลยทีเดียวละ”แดงถามอย่างสงสัย
“นั่นสิ ชื่อของพี่ตั้งชื่อเล่นและชื่อจริงก็สองพยางค์เหมือนกัน
อืม พี่ว่ามันก็เหมือนกับการเรียกชื่อไง
ก็อย่างเช่นถ้าคนที่ไม่สนิทก็เรียกชื่อจริงสนิทกันก็เรียกชื่อเล่นอย่างชื่อเล่นพี่ไรเฟิล
ที่บ้านพี่เขาก็เรียกเฟิลอะไรแบบนี้”วริศอธิบายให้แดงฟังด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“อ้อ อย่างงี้นี่เองผมเข้าใจแล้ว”แดงพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่วริศพูด
“ว่าแต่ไม่หนาวหรือไงเรา”
“ไม่หนาวหรอกชินแล้ว ว่าแต่พี่มาจากที่ไหนหรือผมไม่เคยเห็น”
“พี่มาจากที่ไกลแสนไกลนะ”
“ไกลมากมั้ย”แดงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
ที่วริศบอกว่าไกลมันจะไกลมากแค่ไหน
“ใช้เวลาเดินทางกว่าจะถึงเจ็ดสิบถึงแปดสิบปีเลยละ”
“โห ทำไมนานจัง แล้วพี่มาได้ยังไง”แดงตาโต
“พี่มาด้วยเครื่องทุ่นแรงนะเลยมาถึงเร็ว”
“แล้วพี่จะกลับไปอีกมั้ยแล้วเครื่องทุ่นแรงที่ว่ามันอยู่ไหนละ”แดงชะเง้อคอมองเขาอยากเห็นว่ามันจะมีรูปร่างยังไงนะไอ้เครื่องทุ่นแรงเนี่ย
“กลับไปสิ ครอบครัวพี่รอพี่อยู่
ส่วนเครื่องทุ่นแรงนะมันเสียไปแล้วละ”
“อ้าวแล้วพี่จะกลับไปได้ยังไง”
“แล้วสักวันพี่จะบอกแดงเอง”วริศขยี้ผมแดงเบาๆด้วยความเอ็นดู
“อะ แล้วไรเฟิลมันคืออะไรหรือ”แดงถามขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้
“ไรเฟิลคือปืนชนิดหนึ่ง”
“ปืนหรือ ทำไมต้องใช้ชื่อนี้ละ
ปืนมันอันตรายมากพ่อบอกว่าปืนทำให้คนตายได้เลยนะ”
“อันนี้คงไปถามพ่อพี่เองแล้วละเพราะท่านตั้งชื่อนี้ให้พี่
ปืนเป็นอาวุธสองคมที่มีไว้ปกป้องและทำลายมันอยู่ที่เราเลือกว่าเราจะใช้แบบไหน”วริศพูดด้วยรอยยิ้ม
“โอ๊ะ”แดงร้องออกมาอย่างตกใจ
“เป็นอะไรหรือแดง มีอะไรหรือเปล่า”วริศถามด้วยความเป็นห่วง
แดงไม่ตอบแต่มองไปทางด้านหลังเขา
“หลวงตา”แดงยิ้มกว้างก้มลงกราบ
“เจอกันแล้วหรือโยม”
“ครับ หลวงตามีอะไรให้ผมรับใช้หรือเปล่าครับ”
“อ้อ อาตมามีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อยตามมาสิ
เจ้าแดงก็ตามมาด้วยสิ”
“ครับ”วริศและแดงเดินตามหลวงตาไปที่กุฏิ
วริศไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาให้แดงเช็ด
เพราะกลัวว่าจะหนาวซะก่อนถึงเจ้าตัวจะบอกว่าชินก็เถอะ
“นมัสการครับหลวงพ่อ”
“มาแล้วหรือโยม
ได้ของตามที่อาตมาบอกไปหรือไม่”หลวงตาเติมถามคนที่คลานเข่าเข้ามา
“ได้ครับ แต่ว่าหลวงพ่อจะเอาไปให้ใครใส่หรือครับเสื้อผ้าตั้งเยอะ”เอิบบุญถามด้วยความสงสัย
ก่อนหน้านั้นหลวงพ่อเติมบุญสั่งให้เด็กวัดเขียนจดหมายบอกให้เขาเอาเสื้อผ้ามาให้
เขาก็นึกแปลกใจแล้วว่าท่านจะให้เอามาทำไมแต่เขาก็เลือกที่จะทำตามความต้องการของท่านถึงแม้ท่านจะอดสงสัยไม่ได้ก็ตาม
“โน่นไงคนที่จะใส่”หลวงตามองไปที่วริศที่เดินขึ้นกุฏิมาพร้อมกับแดง
เอิบบุญมองตามด้วยความสงสัย รู้สึกคุ้นเคยแปลกๆประดังเข้ามา
ความรู้สึกมันแปลกไปเหมือนกับคุ้นเคยกับชายตรงหน้า
“สวัสดีครับ”วริศยกมือไหว้แล้วนั่งลงข้างๆแดง
“ใครหรือครับหลวงพ่อ”เอิบบุญรับไหว้แล้วหันไปถามหลวงตาเติมด้วยความแปลกใจ
“ลูกหลานของโยมยังไงละโยมเอิบบุญ
ต่อไปเขาจะมาอยู่ที่นี่ถึงจะไม่นานก็เถอะเขาจำเป็นต้องมีเสื้อผ้าสวมใส่และของที่จะใช้ในการดำรงชีวิตเมื่อโยมเขาต้องอยู่ที่นี่”ท่านพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ลูกหลานหมายความว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นญาติกับผมหรือครับ”เอิบบุญมองไปที่วริศด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
“ใช่ ญาติ คิดว่าเขาเป็นหลานเป็นเหลนก็ได้”
“ครับ”เอิบบุญรับคำ
ท่านรู้จักหลวงตาดีว่าเป็นคนยังไงก่อนที่ท่านจะบวชท่านได้พูดอะไรเอาไว้แต่ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจนักตอนนี้พอที่จะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง
แต่มันจะเป็นไปได้จริงๆนะหรือ
“เอาไปดูสิโยมว่าเสื้อผ้าใส่ได้มั้ย
อาตมาให้โยมเอิบเอามาให้พร้อมกับข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน”
“ให้ผมหรือครับหลวงตา”
“ใช่ อาตมาใส่ได้เมื่อไหร่ละ”
“ขอบคุณนะครับสำหรับเสื้อผ้า”วริศยกมือไหว้ขอบคุณเอิบบุญ
หลวงตาทราบว่าเขาจะมาอยู่ที่นี่ถึงกับให้คนไปเตรียมเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ไว้รอเชียวหรือ
“ไม่เป็นอะไรหรอก
ถือว่าให้ลูกหลาน”เอิบบุญยกมือขึ้นลูบผมวริศเบาๆ วริศยิ้มรับ
ความคิดเห็น