ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ki(ss)dnapper สะดุดรักร้าย พลิกหัวใจให้ลงล็อก

    ลำดับตอนที่ #3 : ❤ ตามล่าโจรโรคจิต!!

    • อัปเดตล่าสุด 31 มี.ค. 53







    -2-



    หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปไวเหมือนโกหก เวลาก็ล่วงเลยมาจนป่านฉะนี้แล้วฉันยังทำรายงานไม่เสร็จไม่เสร็จเลย โฮๆ...อุ่นเรือนใจร้าย และไม่ใช่ว่าไม่เสร็จธรรมดานะ ต้องเรียกว่ายังไม่ได้เริ่มเลยดีกว่า วิเคราะห์อะไรนี่ทำไมหัวสมองฉันมันไม่ทำงานเลย มิ้นท์ก็ไม่อยู่ ฉันจะพึ่งใครได้ในบัดนี้ อยากเอาหัวเขกสันหนังสือให้วิชาความรู้หลั่งไหลเข้ามาในสมองเสียจริง ถ้าวันไหนฉันฉลาดขึ้นมานะ จะจัดปาฐกถาแข่งกะอุ่นเรือนเลยคอยดู!

                แชะ...แชะ

                เสียงนี้อีกแล้ว?

                จะว่าไปพักนี้ฉันว่าฉันไม่ค่อยรู้สึกว่ามีคนตามแล้วนะ ทำไมวันนี้ถึงได้ยินเสียงชัตเตอร์อีกล่ะ อ๋อ อาจจะเป็นเพราะว่าตั้งแต่วันนั้น ฉันก็นั่งทำรายงานอยู่ที่หอพักตลอดเลย เพิ่งจะมีวันนี้เนี่ยแหละ ที่ฉันทนอุดอู้อยู่แต่ในห้องไม่ไหว ถึงได้ออกมานั่งทำรายงานในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยแบบนี้

                ดีเลย กำลังเบื่อๆ ฉันว่าฉันพักทำรายงาน แล้วหันมาเล่นเกมตามล่าไอ้โรคจิตก่อนดีกว่า ห้องสมุดในวันปิดเทอมแบบนี้คนน้อยจะตาย คราวนี้แกเสร็จฉันแน่ ไอ้โรคจิตเอกโฟโต้! (มั่นใจมากเลย?)

                แชะ...

                นั่นไง ฉันได้ยินเสียงกดชัตเตอร์อีกแล้ว ดังอยู่ใกล้นี่เอง โอ๊ย ฉันตื่นเต้นชะมัดเลย แต่ไม่ได้ๆ ฉันต้องนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหวเอาไว้ ว่าแล้วก็หันไปหยิบหูฟังจากเครื่องเล่น MP3 มาเสียบไว้ที่หูทั้งสองข้าง และทำท่าราวกับว่าฉันกำลังนั่งฟังเพลงอันแสนไพเราะ แต่ความจริงแล้ว ฉันไม่ได้เปิดเพลงหรอก แค่หลอกตามันไปงั้นแหละ เป็นความคิดที่ดีใช่ไหมล่ะ ไอ้โรคจิตนั่นจะได้คิดว่าฉันกำลังเพลิดเพลินอยู่กับบทเพลงจนไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง บางทีมันอาจจะทำอะไรที่มากกว่าการแอบถ่ายก็ได้ (นี่ฉันหวังอะไรอยู่เนี่ย?) เถอะน่า มันต้องสำเร็จสิ

                แชะ...แชะ...แชะ...แชะ

                โห คราวนี้มันกดรัวเลย ตกหลุมพรางฉันเข้าแล้วล่ะสิ หึๆ ไม่ได้การแล้ว ฉันอยู่เฉยอีกต่อไปไม่ได้แล้ว เสียงนั่นดังมาจากชั้นหนังสือหมวดวรรณคดีที่อยู่ห่างออกไปเพียงสองล็อค แถวนั้นค่อนข้างเงียบแล้วก็ไม่มีผู้คนพลุกพล่านด้วยสิ ไม่แปลกเลย ถ้าไอ้โรคจิตจะไปแอบอยู่ตรงนั้นน่ะ

                ฉันนั่งนิ่งๆ อยู่ที่เดิมพักหนึ่ง เสียงกดชัตเตอร์ยังคงดังอยู่เป็นระยะ โชคดีที่มันยังดังมาจากที่เดิม แต่ก่อนที่อะไรจะสายเกินไป ฉันควรต้องทำอะไรซักอย่างเสียที!

                ฉันลุกออกจากเก้าอี้ด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น จากนั้นก็ลัดเลาะไปยังชั้นหนังสือหมวดวรรณกรรมฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ถัดจากจุดที่คาดว่าคนร้ายแอบอยู่ ด้านหน้าสุดเป็นทางเปิดโล่ง แต่ตรงนั้นมีเสาตึกที่ยื่นออกมา ทำให้สามารถใช้เป็นที่กำบังกายได้อย่างดี ฉันยืนนิ่งอยู่กับที่ พลางสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ ก้าวขาออกไปยังปลายทางของชั้นหนังสือ และเมื่อไปถึง ฉันก็ได้พบ...

                ใช่แล้ว ตรงนั้นแหละ ที่มุมเสาข้างหน้าต่างปรากฏร่างของใครคนนึงซึ่งกำลังยืนถ่ายรูปอยู่ เป็นผู้ชายร่างสูงโปร่งสวมชุดนักศึกษาไม่ค่อยเรียบร้อยนักยืนพิงกำแพงอยู่ในท่าทีสบายใจ ในมือมีกล้องถ่ายรูปสีดำสนิทอยู่ในท่าพร้อมถ่าย ถึงแม้ว่าจุดโฟกัสของกล้องจะไม่ได้หันไปในทิศทางที่ฉันนั่งอยู่เมื่อครู่นี้ก็เถอะ นั่นเป็นเพราะว่าฉันลุกออกมาแล้วใช่ไหมล่ะ นายถึงใช้กล้องเพื่อซูมตามหาฉัน!

                ฉันเดินย่างกรายไปอย่างช้าๆ ในมือข้างหนึ่งถือสเปรย์พริกไทย อาวุธคู่กายที่ยัยมิ้นท์ทิ้งไว้ให้ใช้ยามฉุกเฉิน โชคดีที่เขายืนหันหลังอยู่ และก็เป็นอีกโชคของฉัน ที่เดินได้เบาราวกับลูกแมวเช่นนี้ เขาจึงไม่เอะใจอะไรเลย หึ แกเสร็จฉันแน่

                “หยุดพฤติกรรมโรคจิตของแกเดี๋ยวนี้นะ ไอ้โรคจิต! นี่แหน่ะๆ”

                นั่นคือคำพูดของฉัน หลังจากที่ย่องเบาเข้าไปใกล้ พร้อมกับกระชากกล้องในมือของเขาให้ลดระดับลง ก่อนจะจัดการพ่นสเปรย์พริกไทยใส่หน้ามันทันที ฮ่าๆ เจ๋งใช่ไหมล่ะ

                “เฮ้ย! อะไรวะ”

                โจรโรคจิตดิ้นพรวด สองมือป่ายสะเปะสะปะไปมาจนกล้องที่อยู่ในมือของเขาตกลงไปที่พื้น เลนส์แตกกระจาย เป็นจังหวะเดียวกันกับที่คนกลุ่มหนึ่งวิ่งมาพอดี

                “ช่วยด้วยค่า ไอ้นี่มันเป็นโรคจิตแอบถ่ายรูปฉัน!” พอเห็นคนเข้ามาใกล้ ฉันก็รีบตะโกนบอกพร้อมกับคว้าข้อมือไอ้โจรนั่นไว้ หมายจะให้มันอยู่นิ่งไม่สามารถหนีไปไหนได้ แต่กลายเป็นว่ามือหนาคู่นั้นกลับกระชากฉันเข้าไปแทน

    อ๋อ...คิดจะเอาฉันเป็นตัวประกันล่ะซี้ ไม่ง่ายหรอกย่ะ!

    ปึ้ก!!!

    “โอ๊ยยย” หึๆ แกไม่รอดแน่ อ๊ะไม่ต้องงงค่ะ ก็หลังจากที่หมอนี่พยายามจะจับฉันเป็นตัวประกัน ฉันก็อาศัยช่วงที่มันยังแสบตาและมองอะไรไม่ถนัด ตีเข่าเข้ากลางเป้ามันพอดีน่ะสิ ฮ่าๆ สุดยอด!

    “ไอ้ต้า!” เสียงหนึ่งในกลุ่มคนที่วิ่งมาดูเหตุการณ์เอ่ยร้องขึ้น พร้อมกับกรูเข้าไปหาโจรโรคจิตนั่น อะไร...รู้จักกันเหรอ แสดงว่ามาด้วยกันสินะ

    “เกิดอะไรขึ้นวะ” อีกหนึ่งเสียงตามมา

    “ไหวไหมมึง” และก็อีกหนึ่ง

    เหวอ! มากันตั้งสี่คน แล้วฉันคนเดียว ไม่แฟร์นะเนี่ย

    ฉันมองตามไปยังสถานที่ที่ทั้งสามหน่อนั้นวิ่งมา ที่ตรงนั้นเป็นมุมอ่านหนังสือปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือมีโมเดลบ้านที่ตั้งตระหง่านอยู่บนโต๊ะ ซึ่งถ้ามองจากมุมนี้ก็จะเห็นว่าเป็นมุมเดียวกับที่ตาโจรโรคจิตยืนถ่ายรูปอยู่พอดี เอ่อ เหมือนฉันจะเข้าใจอะไรผิดไป

    “เว มึงพาต้าไปล้างหน้าล้างตาเหอะ เดี๋ยวทางนี้กูจัดการเอง”

    “อืม ฝากด้วยแล้วกัน”

    แล้วผู้ชายคนนั้นก็พาอดีตโจรโรคจิตของฉันออกไป อีตาที่บอกว่าจะจัดการเองก็หันกลับมายืนจ้องฉันเขม็ง ทำเป็นวางท่าน่าหมั่นไส้ จนฉันนี้เกือบจะยกเสปรย์ขึ้นมาพ่นใส่หน้าหมอนี่ให้ดิ้นแด่วๆ ไปอีกราย ส่วนผู้ชายอีกคนก็นั่งอยู่ที่พื้น ทำท่าหมดอาลัยตายอยาก

    “ฮืออ...กล้องของฉัน ฟีโอน่าลูกรักของช้านนน...”

    เอ่อ...คือ นี่ฉันทำอะไรลงไปเนี่ยยย!

    **********************************************

    สิบนาทีก่อนหน้า ฉันยังมั่นใจอยู่เลยว่ากลุ่มคนเหล่านี้คือพวกโรคจิตที่แอบถ่ายรูปฉันตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา สถานภาพของฉันในตอนนั้นคือผู้กุมชัยชนะ และพวกเขาคือนักโทษ แต่ทว่า...ทำไมตอนนี้มันถึงกลับตาลปัตรนักล่ะ

    “ไหนลองอธิบายมาซิ เธอมีเหตุผลอะไรถึงทำแบบนี้”

    ชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามกับฉันเอ่ยขึ้น หมอนี่สวมชุดนักศึกษาถูกระเบียบเป๊ะ แถมยังจัดทรงผมซะเรียบแปล้ มาดยังกะผู้พิพากษา ส่วนอีกคนน่ะเหรอ

    “ฮือ กล้องของฉัน ม่ายยยนะ” ก็ยังคงฟูมฟายถึงกล้องลูกรักอะไรนั่นไม่เลิกเลยน่ะสิ แหม แต่จะว่าไป กล้องหล่นลงมาแรงขนาดนั้น สภาพยังไม่ค่อยเยินเท่าไหร่เลยนะ แค่เลนส์แตก ตัวกล้องถลอกนิดหน่อย ส่วนหน้าจอทัชสกรีนดับอนาถ รวมๆ แล้วฉันว่านี่ยังเบาะๆ นะ

    ฉันจ้องหน้าสองคนนี้ไปมา อาจจะเพราะไม่รู้จะทำอะไรที่มันดีกว่านี้ได้ เพราะหลังจากเหตุการณ์ชุลมุนเมื่อครู่ ฉันก็ถูกจับกุมโดยให้มานั่งรอคำตัดสินจากศาลเตี้ยอยู่หน้าห้องสมุดกับชายสองคนนี้ทันที

    ส่วนคู่กรณีที่ฉันไม่ได้ตั้งใจทำร้ายร่างกายนั้น ไปห้องพยาบาลกับเพื่อนอีกคน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ตานั่นก็ย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าให้ฉันหนีรอดไปได้ โดยการสั่งงานผ่านโทรศัพท์มือถือนี่

    “ยัยบ้า! คอยดูนะ ฉันกลับไปเธอตายแน่” เขาตะโกนเสียงดังลั่น ลำโพงโทรศัพท์สั่นสะเทือนจนปากกาที่วางอยู่ข้างๆ ถึงกับกลิ้งออกมาด้วยความทนฟังไม่ไหว โห ขนาดตัวไม่อยู่นะเนี่ย ยังโหดซะ

    “ฉันไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษน้าาา...” ฉันตอบกลับโทรศัพท์ระบบ 3G นั่น ไม่รู้เขาจะเห็นหรือเปล่า ฉันยกมือพนมไหว้เหนือหัวเลยนะเนี่ย “แค่สถานการณ์มันพาไป ไม่ได้ตั้งใจจริงจริ๊ง”

    “เหอะ หยุดพูดเลย โชกุนมึงดูยัยนี่ไว้ให้ดีนะอย่าให้หนีไปได้ ไอ้ฟิล์มมึงเฝ้าโมเดลบ้านให้ด้วย เดี๋ยวจะมีบางคนหมั่นไส้มาลอบทำร้ายของของกูอีก แค่นี้แหละ เดี๋ยวไป” หมอนั่นสั่งแล้วก็ตัดสายไปเลย อา...แบบนี้สินะ ที่เขาเรียกว่าสั่งงานผ่านโฟนอิน

    “เธอตายแน่!” นายเจ้าของกล้องคนนั้น หรือที่รู้จักดีในนาม นายเอกโฟโต้ เงยหน้าขึ้นมาพูดกับฉัน พร้อมกับทำท่าเอานิ้วปาดคอตัวเอง เฮือก น่ากลัวชะมัด

    “ก็บอกแล้วไงว่าเข้าใจผิด ฉันเองก็ไม่ได้ตั้งใจ แหม อะไรกันนักกันหนา” ฉันสบถเบาๆ ไม่หวังให้ใครได้ยินหรอก แต่ลืมนึกไปว่ามันเงียบขนาดนี้ พวกเขาคงได้ยินมันชัดเจน

    “คำว่าไม่ได้ตั้งใจ มันใช้ไม่ได้ในศาลหรอกนะ ถ้าเธอถือมีดวิ่งไล่แทงคนจนตาย แล้วสุดท้ายมาบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ ก็ใช่ว่าเธอจะพ้นผิด” แหมะ ดูไอ้หมอนี่มันพูด ช่างเปรียบเปรยซะจนฉันไปต่อไม่เป็นเลย

    “แล้วฉันทำใครตายหรือไง”

    “ไม่ตายก็โดนข้อหาพยายามฆ่าได้ ยิ่งในสถานที่ราชการแบบนี้ด้วยแล้ว...”

    “เออๆ ฉันผิด จบละ โอเคป้ะ” ฉันลุกขึ้นตอบพลางยกมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นนัยว่ายอมแพ้แล้ว ให้ตายสิ ฉันจะเอาอะไรไปเถียงไอ้หมอนี่ได้เนี่ย

    “โชกุน ดูนี่ให้กูหน่อย” นายเอกโฟโต้นั่นยื่นอะไรไม่รู้ สีดำๆ ให้ผู้พิพากษาของฉันดู ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของกล้องตัวนั้น แล้วทั้งสองก็สุมหัวดูอุปกรณ์อย่างไม่คิดจะสนใจอะไรฉันอีก เหอะๆ ดี

    ฉันคิดว่าตัวเองต้องหนี เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ต่อ ยังไงซะงานนี้ฉันก็ผิดเต็มประตู ไม่มีหลักฐานอะไรที่จะไปกล่าวหาว่าคนที่ถ่ายรูปในห้องสมุดเป็นพวกโรคจิต แถมยังทำร้ายเขาซะขนาดนั้น ฉันคงไม่รอดแน่ โชคดีที่สองคนนี้เอาแต่ซ่อมกล้องโดยที่ไม่ได้หันมาสนใจฉันอีกเลย ช่วงเวลานี้คงเหมาะสมที่สุดหากว่าฉันจะหนี เพราะถ้าหากว่าอีกสองคนตามมาสมทบเมื่อไหร่ ฉันคงตายแน่ๆ

    ฉันนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ครู่หนึ่ง จนมั่นใจแล้วว่าฉันคงหนีรอดออกไปได้ หากวิ่งอ้อมไปทางด้านหลัง แล้วลัดเลาะผ่านตึกครุศาสตร์ พอพ้นแยกนั่นก็จะมีมอเตอร์ไซค์รับจ้างจอดรอรับคนอยู่ แค่นี้ฉันก็รอดแล้ว

    พอคิดได้แบบนั้น ฉันที่นั่งอยู่กลางลำของม้าหินอ่อนก็เริ่มกระเถิบชิดริมไปข้างหนึ่ง เพื่อให้ตัวเองเดินออกไปได้สะดวกมากกว่าการก้าวข้ามม้านั่งแบบนั้น พอถอยร่นมาจนถึงริมสุด ในจังหวะที่ยังไม่มีคนสนใจ ฉันก็ทำการลุกพรวดและเตรียมวิ่งหนีทันที

    แต่ว่า...ฉันไม่ได้ดูถนนหนทางด้านหลัง แล้วยิ่งอยู่ดีๆ ก็พรวดพราดออกมาแบบนั้น มันก็เลยเกิดการปะทะกับใครคนหนึ่ง ซึ่งกำลังเดินเข้ามาพอดี

    “กรี๊ดดด” ฉันกำลัจะล้มแล้ว โอว ไม่นะ

    โครม!!

    สุดท้ายทุกอย่างก็เป็นไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก ฮือๆ กรรมตามสนองจริงๆ เลยฉัน แค่คิดจะหนี แค่วิ่งออกมาได้ก้าวเดียว ฉันก็ชนกับใครบางคนจนล้มไม่เป็นท่าทีเดียว

    เจ็บชะมัด...แต่เอ...ไม่เจ็บมากอย่างที่คิดแฮะ

    ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้น เป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า เวลาจวนตัวทีไรหลับตาหนีไว้ก่อนทุกที แล้วพอฉันลืมตามอง ภาพเบื้องหน้าก็ปรากฏ

    กรี๊ด! นี่มันนายโรคจิตของฉันนี่นา ซวยอีกแล้วมั้ยล่ะตู!

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×