ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ki(ss)dnapper สะดุดรักร้าย พลิกหัวใจให้ลงล็อก

    ลำดับตอนที่ #2 : ❤ จุดเริ่มต้นของความซวย

    • อัปเดตล่าสุด 30 มี.ค. 53





                ออดดด!!

                “หมดเวลาแล้ว นักศึกษาทุกคนวางปากกาลงได้”

                อ๊าย เสียงนรกชัดๆ ฉันยังทำข้อสอบไม่เสร็จเลย อะไรกันนี่ แล้วคนอื่นๆ จะรีบเดินไปส่งข้อสอบทำไม ถ่วงเวลาให้ฉันบ้างสักนิดซี่ เอาไงเนี่ย A B C D เหอะๆ มั่วอีกละงานนี้

                “ปาลิดา”

                “แป๊บนะ ขอมั่วอีกสองข้อ จะเสร็จแล้ว” ฉันตอบส่งๆ ไปงั้น โดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมอง ในใจก็คิดคำตอบอย่างเร่งรีบ ถึงจะต้องกามั่ว อย่างน้อยฉันขออ่านโจทย์บ้างก็ยังดี

                “ปาลิดา”

                “เฮ้ย! แป็บนึง” ฉันตอบแบบกระซิบกระซาบอีกรอบ อะไรนักหนาคนยิ่งรีบๆ ถ้าเสร็จแล้วก็เดินออกไปก่อนก็ได้นี่ จะมาเซ้าซี้เอาอะไร “เออ เสร็จแล้ว...น่า”

                ฉันลุกพรวดหวังจะเดินไปส่งข้อสอบเหมือนที่เพื่อนคนอื่นทำกัน แต่ทว่า...

                “ยัยปาลิดา เธอโดนหักห้าคะแนน โทษฐานทำข้อสอบเกินเวลา”

    เฮือก! นี่แสดงว่าคนที่ยืนเร่งฉันยิกๆ อยู่นี่ไม่ใช่ยัยมิ้นท์แต่เป็นอาจารย์หรอกเหรอ โอ้มายก๊อด

    “อาจารย์อุ่นเรือนขา นี่มันเพิ่งเกินเวลาไปแค่ห้านาทีเองนะคะ” ฉันทำหน้าสลด กระพริบตาปริบๆ ประดุจดั่งลูกแมวขออาหาร เพื่อขอความเห็นเห็นใจจากอาจารย์คุมสอบที่เป็นเจ้าของรายวิชาภาษาศาสตร์ ที่ฉันเพิ่งจะมั่วข้อสอบไปเมื่อครู่นี้

    “ห้านาทีของหล่อน ฉันก็ตรวจข้อสอบได้ห้าคนแล้วย่ะ ปล่อยแขนฉันได้แล้ว” อาจารย์อุ่นเรือนตวาด พลางสะบัดแขนเบาๆ ให้หลุดจากอุ้งมือแมวน้อยอย่างฉัน แต่อย่างว่าล่ะนะ ฉันยังออดอ้อนไม่เสร็จเลย ถ้าปล่อยไปแบบนี้ ห้าคะแนนที่ฉันอาจจะทำได้ในข้อสอบนั่นมีหวังสูญสลายแน่ๆ

    ไม่ได้! ยังไงฉันก็ยังไม่ปล่อยหรอก

    “โธ่! อาจารย์ขา หนูน่ะเรียนหนักม๊าก...มาก แล้วไหนจะต้องทำงานพิเศษเพื่อส่งตัวเองเรียนอีก หนูยังไม่อยากติด F ในรายวิชาสุดท้าย ก่อนไปฝึกงานหรอกนะคะ ส่งข้อสอบช้าไปนิดเดียว อาจารย์จะใจร้ายทำลายอนาคตของชาติได้ลงคอเชียวหรือคะ” แน้...ฉันนี่ทำน้ำตาคลอได้ด้วย น่าไปเป็นนางเอกละครนะเนี่ย

    “ปล่อยฉัน ปาลิดา” แต่แหม อาจารย์ก็ยังไม่ยอมฉันเสียที

    “อาจารย์ขา...”

    “ปล่อย!

    “อาจารย์รับปากสิคะว่าจะไม่หักคะแนนหนู ถึงมันจะเป็นเพียงห้าคะแนน แต่มันก็อาจทำให้อนาคตของหนูต้องพังพินาศเลยนะคะ” ฉันยังคงออดอ้อนต่อไป พร้อมกับจ้องตาอาจารย์ผ่านเลนส์แว่น ที่คาดว่าจะหนาเกิน 2 เซ็นติเมตรนั่น หูย น่ากลัวชะมัด

    “ก็ได้ ปล่อยฉันเสียที” อาจารย์อุ่นเรือนพูดแล้วก็กระชากแขนตัวเองออก ส่วนฉันเมื่อเห็นว่าอาจารย์ท่านรับปากแล้ว ก็เลยเผลอปล่อยมือในจังหวะนั้นพอดี เป็นผลให้ร่างท้วมที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันล้มโครมลงไปกองกับพื้นเลยทีเดียว

    “ยัยปาลิด๊าาา...สิบคะแนน”

    พุทโธ ธัมโม สังโฆ อาจารย์ขา หนูไม่ได้ตั้งใจ ฮือออ...

    **********************************************

    พอออกจากห้องสอบมหาโหดนั่นได้ อาจารย์อุ่นเรือนก็เรียกฉันไปเทศน์ยกใหญ่ พร้อมกับสั่งให้ทำรายงานมาส่งก่อนประกาศผลสอบ ถ้าไม่อยากโดนหักคะแนน

    เฮ้อ! แล้วปิดเทอมที่รอคอยของฉัน ก็ต้องยืดเวลาออกไปอีกใช่ไหมเนี่ย ปีสุดท้ายแล้วแท้ๆ แถมเทอมหน้าฉันก็ยังต้องฝึกงาน ไม่อยากจะคิดเล้ยถ้าวิชานี้ฉันไม่ผ่านมันจะเกิดอะไรขึ้น

    “แป้ง ทางนี้” มิ้นท์หรือ มินตรา เพื่อนสาวคนสนิทของฉันตะโกนเรียกออกมาจากซุ้มคณะ พอเห็นร่างเล็กนั่นโบกมือหยอยๆ ฉันก็ตรงดิ่งไปหาแบบไม่รีรอ “เป็นไงบ้าง”

    “จะเป็นไงล่ะ ก็โดนเทศน์ยาวน่ะสิ แถมยังโดนทำรายงานเพิ่มด้วย ซวยโคตร” ซวยจริงๆ แป้งเอ๊ย!

    อ้าว...ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวสินะคะ ฉันชื่อแป้งค่ะ หรือที่อาจารย์อุ่นเรือนแกตะคอกใส่ฉันอยู่ตลอดเวลาเมื่อครู่นี้ว่า ปาลิดา นั่นแหละ ฉันเรียนคณะอักษรชั้นปีที่ 4 ในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพ แต่จริงๆ แล้ว ฉันกับมิ้นท์เป็นคนเชียงใหม่ เราสองคนจบมาจากโรงเรียนเดียวกัน เราก็เลยค่อนข้างสนิทกันมาก แถมปิดเทอมนี้ฉันกับมิ้นท์ก็มีแพลนว่าจะปิ๊กบ้านด้วยกันแท้ๆ แต่ทุกอย่างก็พังทลายลง เพราะอาจารย์อุ่นเรือน!

    “สิ้นเดือนนี้มิ้นท์ก็กลับบ้านไปก่อนเลยนะ พอแป้งส่งรายงานเสร็จจะตามไปทีหลัง”

    “เอางั้นเหรอ” มิ้นท์ถามเสียงเบา สีหน้าดูเป็นกังวลมากกว่าฉันเสียอีก

    “อื้อ เอางั้นแหละ ซื้อตั๋วไปแล้วนี่ อย่างน้อยจะได้ไม่เสียเปล่า” ฉันตอบแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก ฟุบหน้าลงกับโต๊ะหินอ่อนอย่างเหนื่อยใจ ทำไมฉันต้องมีปัญหาด้วยนะ

    “ปกติแล้วแป้งไม่เคยส่งข้อสอบช้านี่นา อีกอย่าง...วิชานี้ก็ไม่ได้ยากด้วย” มิ้นท์เอ่ยถามฉันพลางทำสีหน้าสงสัย นั่นสิ ฉันเองก็สงสัย ทำไมฉันถึงทำข้อสอบวิชานี้ช้านักล่ะ?

    แชะ...แชะ...

    เอ๋ เสียงกดชัตเตอร์?

    “ใช่แล้ว เพราะเรื่องนี้นี่เอง” ฉันที่ฉุกคิดขึ้นมาได้ จู่ๆ ก็ลุกพรวดตะโกนเสียงดังจนมิ้นท์ที่นั่งข้างๆ ถึงกับสะดุ้ง แต่ช่างเถอะ ฉันต้องจัดการกับเสียงชัตเตอร์ปริศนานั่นก่อน

    พอคิดได้แบบนั้น ฉันก็แทบกระโดดออกจากม้านั่งแล้วเริ่มเดินสำรวจไปทางซ้ายที ขวาที หวังจะเห็นไอ้คนโรคจิตที่ตามถ่ายรูปฉัน แต่ก็ไม่มีวี่แววอะไรเลย นอกจากนักศึกษาที่รวมตัวกันอ่านหนังสือสอบกับนักการภารโรงที่กวาดใบไม้อยู่ข้างสนามหญ้าตามปกติ

    นี่มันอะไรกัน ฉันหลอนไปเองอีกแล้วเหรอ?

    “อะไรเหรอแป้ง” มิ้นท์ที่คงจะสงสัยในท่าทีของฉัน ถึงกับลุกออกมาแล้วเขย่าตัวฉันเพื่อให้ได้สติ

    “มิ้นท์จำได้มั้ย ที่แป้งบอกว่าพักนี้มีคนแอบตามถ่ายรูปแป้งน่ะ แป้งรู้สึกแบบนั้นจริงๆ นะ เมื่อกี๊ก็ได้ยินเสียงชัตเตอร์อีกแล้วด้วย” ฉันตอบเสียงเบาคล้ายจะกระซิบ แต่ก็ยังคงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่น

    “แป้งน่ะเอาแต่คิดเรื่องนี้ แป้งเครียด เครียดมากจนอ่านหนังสือไม่ได้เลย พอแป้งไม่ได้อ่านหนังสือ แป้งก็เลยทำข้อสอบไม่ได้ พอแป้งทำข้อสอบไม่ได้ แป้งก็เลยง่วง แล้วแป้งก็เลยเผลอหลับในชั่วโมงสอบของอาจารย์อุ่นเรือนเมื่อกี๊นี้ไง” นี่แหละ ทุกอย่างมันเป็นเหตุเป็นผลกัน ถ้าฉันไม่เจอกับเสียงชัตเตอร์หลอนนั่น ฉันก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก

    “คอยดูนะ แป้งจะต้องจับไอ้คนถ่ายรูปนั่นให้ได้เลย มันทำให้แป้งเสียสมาธิ แล้วไหนจะ...”

    “ยัยแป้ง!!!

    “หือ”

    “ที่แท้ก็หลับในห้องสอบ จะอ้างนู่นอ้างนี่ทำไม สมควรแล้วที่ถูกลงโทษ มานี่เลย ขอเขกกะโหลกซักทีเหอะ ยัยบ้า” แล้วพูดเปล่าที่ไหน สองมือเล็กๆ นั่นเงื้อขึ้นมาแล้วก็ทุบฉันเอา ทุบฉันเอา ถึงมันจะไม่เจ็บ แต่ว่าเรื่องอะไรฉันจะอยู่เฉยๆ ให้ยัยมิ้นท์ตีอยู่ได้ แบร่!

    “อย่าหนีนะแป้ง เธอนี่มัน”

    “มิ้นท์ก็...อย่าโมโหสิ แป้งไม่ได้ตั้งใจหลับ แป้งแค่เหนื่อย เข้าใจเปล่า?” ฉันพยายามหาข้อแก้ตัว ที่ฟังแล้วอาจจะทำให้รูปการณ์ดูดึ้น มิ้นท์เป็นแบบนี้ตลอดแหละ ทุกครั้งที่ฉันเกเรียนหรือไม่ตั้งใจ เธอก็มักจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเสมอ อาจจะเพราะมิ้นท์เป็นคนรักเรียน แล้ก็อยากให้เราสองคนเรียนจบพร้อมๆ กันนั่นแหละ แต่แหม! ถึงฉันจะขี้เกียจหรือหัวทึบยังไง แต่ไอ้เรื่องที่มีคนคอยตามแอบถ่ายรูปฉันตลอดสัปดาห์นี่ ฉันพูดจริงนะ

    ฉันกับมิ้นท์ยังคงวิ่งไล่ตีกันอยู่อย่างนั้นแหละ ยัยนี่ยังไม่ได้เขกหัวฉัน หล่อนก็คงยังไม่ยอมเลิกลาง่ายๆ ฉันเองก็เถอะ สำเหนียกตัวเองบ้างหรือเปล่าเนี่ย จะจบปริญญาตรีกันอยู่แล้วแท้ๆ แต่ยังมาวิ่งไล่จับกันอย่างกะเด็กอนุบาล

    “ยัยแป้ง!!!

    “เฮ้ย!” ฉันมัวแต่เหม่อเลยไม่ทันมอง มิ้นท์ที่แต่แรกดูเหมือนจะสงบลงแล้ว จู่ๆ ก็กลับไปเอาหนังสือที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะมาเป็นอาวุธ ก่อนจะถลามาที่ฉันแบบเต็มสตรีม ว๊ากกก...ตรงแด่วมาเลย เผ่นเหอะ งานนี้

    โครม!!!

    แต่แล้วก็เกิดเหตุอีกจนได้ เมื่อฉันที่รังแต่จะวิ่งหนียัยเพื่อนตัวแสบโผล่พรวดออกไปบนฟุตปาธจนชนกับผู้ชายที่บังเอิญเดินผ่านมาเข้า ข้าวของตกกระจายเต็มไปหมด โชคดีที่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่งั้นฉันได้เสียตังค์ค่าทำขวัญอีกแน่

    “ขอโทษนะคะ ฉันไม่ทันระวังก็เลย...แหะๆ” หัวเราะกลบเกลื่อน

    “ไม่เป็นไรครับ” คู่กรณีพูดแค่นั้น แล้วก็รีบก้มลงเก็บข้าวของที่หล่นกระจายอยู่เต็มพื้น ฉันที่เพิ่งนึกได้จึงรีบไปช่วย มิ้นท์รีบเก็บสัมภาระอาวุธแล้ววิ่เข้ามาช่วยฉันอีกแรง

    “หล่อนะยะ” มิ้นท์ที่ก้มลงเก็บดินสออยู่ข้างๆ ได้ทีหันมากระซิบใส่พลางหัวเราะคิก เพราะข้าวของเครื่องใช้ที่ตกหล่นอยู่เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เช่นพวกดินสอ ยางลบ แล้วก็บัตรต่างๆ ทำให้เราใช้เวลาเก็บค่อนข้างนาน และพอมิ้นท์พูดแบบนั้น ฉันก็เลยลอบสังเกตเขาดูบ้าง

    อืม หล่อจริงแฮะ หน้างี้ขาวจั๊วะเลย แล้วยิ่งย้อมผมสีทองแบบนี้ทำให้เขาดูดีขึ้นไปอีก จมูกก็โด่ง ปากงี้เรียวบาง แถมยังเป็นสีชมพูอีกแหน่ะ ผู้ชายอาไร๊ ดูสำอางกว่าผู้หญิงอย่างฉันอีก ไหนดูซิ ไอ้ที่หล่นๆ อยู่นี่มีพวกเครื่องประทินโฉมมั่งป่ะเนี่ย ฮิๆ

    อ้อ โชคดี ไม่มี มีแต่ไอ้เนี่ย อะไรหว่า...สีดำกลมๆ ไม่มีรูตรงกลาง ไม่ใช่ห่วงยาง แล้วก็ไม่มีคนห่วงใย เย้ย ไม่ใช่ละ แต่เอ๊ะ! นี่มันฝาครอบเลนส์กล้องนี่นา

    ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองคู่กรณีอีกรอบ ร่างสูงยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า เขาเก็บข้าวของเสร็จหมดแล้ว จะเหลือก็แต่ฝาครอบที่ยังอยู่ในมือฉัน ในมืออีกข้างของเขาก็ถือกล้องเอาไว้ด้วย

    ประมวลผลเร็วเท่าความไวแสง...

    เสียงชัตเตอร์ดังมาจากแถวนี้ แล้วหมอนี่ก็โผล่มา แถมเขายังมีกล้องมาด้วย ชัดเลย! ชัดเจน! แบบนี้แสดงว่าต้องเป็นนายนี่แน่ๆ ที่แอบถ่ายรูปฉัน

    “นาย...พวกโรคจิตแอบถ่ายรูปคนอื่น” ฉันโพล่งออกไป เห็นหมอนั่นกระตุกยิ้มเล็กๆ ให้ตายสิ โรคจิตอะไร ยิ้มแล้วยังดูดี

    “อะไรของเธอ มาว่าคนอื่นเขาเป็นโรคจิต บ้าหรือเปล่า”

    “บ้าที่ไหน ฉันได้ยินเสียงคนถ่ายรูปอยู่แถวนี้ แล้วนายก็โผล่มาพอดี ที่สำคัญนายก็มีกล้องด้วย นายแน่ๆ ใช่ไหม” ฉันยืนท้าวเอวถามเขาแบบเอาจริงเอาจัง ฉันต้องรู้ให้ได้ว่ามีจุดประสงค์อะไรถึงได้ตามถ่ายรูปฉันเป็นอาทิตย์ๆ แบบนี้

    “ฉันเรียนเอกโฟโต้ พกกล้องมันผิดตรงไหน” หมอนั่นตอบเสียงเรียบ แล้วก็คว้าเอาฝาครอบเลนส์กล้องในมือฉันไปอย่างง่ายดาย

    อ้าว เออ เรียนถ่ายภาพก็ต้องมีกล้องสินะ แต่เอ๊ะ! เด็กนิเทศมาทำอะไรแถวนี้

    “รถฉันจอดอยู่นี่ ไปละ” พูดจบเขาก็จากไป ทิ้งให้ฉันยืนงงแล้วก็ยังคงสงสัยไม่เลิก มิ้นท์หันมามองฉันแว้บหนึ่ง ก่อนจะเดินกลับไปที่ม้านั่งตามเดิมด้วยความละเหี่ยใจ

    “ไม่จริงอ่ะ ฉันไม่เชื่อ แน่จริงเอาฟิล์มมาให้ดูสิ ว่านายไม่ได้แอบถ่ายรูปฉันน่ะ โถ่!

    **********************************************

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×