คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : 4 : ในทุกๆ ความสัมพันธ์
4
ในทุกๆ ความสัมพันธ์
คงเพราะการันต์จัดการออเดอร์เสร็จตั้งแต่เมื่อวาน ภารกิจของเช้าวันนี้จึงมีแค่รดน้ำต้นไม้แล้วก็ไถอินสตาแกรมไปเรื่อยเผื่อมีข้อความตกค้างจากลูกค้า แต่ส่วนใหญ่การขายของของเขาไม่ค่อยมีปัญหา ด้วยความมั่นใจในเมล็ดพันธุ์แล้วก็คู่มือการปลูกที่แนบไปให้อย่างละเอียด ทำให้นักเพาะปลูกมือใหม่ทำตามได้อย่างง่ายดาย ส่วนใหญ่จึงมีแต่คนรีวิวต้นไม้ดอกไม้ที่ซื้อไปจากเขาซึ่งกำลังเจริญงอกงาม บ้างก็มีดอกให้ชื่นชมแล้ว บ้างก็รอวันออกดอกอย่างใจจดใจจ่อ การันต์คอยเช็กฟีดแบ็กจากลูกค้าอยู่เสมอ ทุกครั้งที่มีคนมีแท็กร้านค้าหรือแม้กระทั่งใส่แฮชแท็กประจำร้าน เขาก็มักจะเข้าไปกดไลก์และคอมเมนต์บ่อยครั้ง กับลูกค้าคนนั้นก็ด้วย ลูกค้าที่ซื้อเซตเพาะปลูกจากเขาไปหลายเซต และลงมือปลูกทั้งหมดนั่นในคราวเดียว
ตอนที่เห็นเขาอัปรูปต้นไม้กำลังเหี่ยวเฉา การันต์ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปให้คำแนะนำ หนึ่งเลยเพราะมันยังไม่ได้ตายจริงๆ การันต์กลัวว่าอีกฝ่ายจะถอนมันทิ้งอย่างไร้เยื่อใย จึงแนะนำให้เขาลดปริมาณน้ำให้น้อยลงเป็นอันดับแรก และข้อความสำหรับเช้าวันนี้ก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
ต้นทานตะวันแคระที่ล้มเอนเมื่อคืนนี้ฟื้นคืนชีพกลับมาได้แล้ว ลูกค้าของเขาอัปรูปและแท็กมาแจ้งข่าว จนการันต์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซว เพราะความคิดแรกในหัวตั้งแต่เมื่อคืนนี้ก็คือเขาอาจจะต้องส่งเมล็ดพันธุ์ไปให้ใหม่ ก็ตั้งแต่ขายของมา ยังไม่เคยมีใครขอเคลมต้นไม้จากเขาเสียที (เพราะว่าส่วนใหญ่ก็ปลูกขึ้นทั้งหมดน่ะนะ)
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรกลับมา พอดีกับที่มีข้อความใหม่จากแอปพลิเคชันอื่นมาแจ้งให้ทราบเหมือนกัน
ไอ้ไจ๋ : เลิกกับน่านแล้วนะ
ไอ้ไจ๋ : คุยกันจบเมื่อคืนนี้ คงไปต่อยากว่ะ ก็คงต้องปล่อย
เป็นเพื่อนสนิทของเขาที่ทักมาบอก อันที่จริงก็คาดเดาไม่ยาก แต่การันต์ก็ต้องยอมรับว่าใจหายเหมือนกัน
สำหรับเขา ไจ๋กับน่านเป็นคู่รักที่เข้ากันได้ดีในทุกเรื่อง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความสัมพันธ์ค่อยๆ จางหายจนกลายเป็นเลิกราในที่สุด
เพราะไจ๋ทำงานหนักไปเหรอ...
หรือเพราะอะไรๆ มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
เกื้อ : โอเคหรือเปล่า
เกื้อ : โทรได้นะ ว่าง
ไอ้ไจ๋ : มึงว่าง แต่กูไม่ 5555
ไอ้ไจ๋ : ขับรถก่อน
ไอ้ไจ๋ : เย็นๆ ค่อยคุย
ไอ้ไจ๋ : ไม่เย็นอะ ดึกๆๆๆ ละกัน
เกื้อ : โอเค มีอะไรก็โทรมานะ
ไอ้ไจ๋ : แดกเหล้าเป็นเพื่อนหน่อยดิ
เกื้อ : ได้เสมอ
ไอ้ไจ๋ : มึงพูดแล้วนะ กูแคปจอเลย ห้ามเบี้ยว
เกื้อ : 55555 เออ ให้ว่างเถอะ มึงอะ
ไอ้ไจ๋ : สัส ขับรถละ
“ซันขับรถอยู่อะเทมส์ แค่นี้ก่อนนะ”
คนที่เพิ่งจะกดรับพูดออกมาแค่นั้นแล้วก็วางสายไปเลย เทมส์ที่ตั้งใจจะโทรไปบอกว่าทานตะวันมันฟื้นขึ้นมาได้แล้วจริงๆ ก็หดหู่จนพูดไม่ออก เขาอยากเล่าเรื่องนี้ให้ซันฟังเป็นคนแรก แต่ตอนที่ตื่นมาซันก็ไปทำงานก่อนแล้ว เข้าใจดีว่าที่ทำงานซันอยู่ไกล ในขณะที่บริษัทเขาขับรถจากบ้านแค่สิบห้านาทีก็ถึง
แต่ทำไมอะ...
แค่ฟังว่าเขาจะพูดอะไร สักนิดก็ไม่ได้เลยเหรอ...
พยายามจะคิดว่าคุยโทรศัพท์ตอนขับรถมันผิดกฎหมาย แต่กับซันมันใช่ที่ไหนล่ะ รถของเขามีคาร์บลูทูธที่แค่กดรับสายจากหน้าจอรถก็คุยโทรศัพท์ได้แล้วเถอะ ซันคุยโทรศัพท์แบบนั้นบ่อยจะตาย เพราะหน้าที่การงานของเขาจะพลาดสายสำคัญไม่ได้ซักสายเดียว
แต่กับเทมส์... คงไม่ใช่
ไม่รู้ว่าตัวเองถูกจัดไว้ในลำดับไหนในชีวิตของซันเหมือนกัน
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ช่วงกลางวันซันก็เป็นฝ่ายโทรหาเขาก่อน พักเที่ยงที่มีเวลาอันน้อยนิดของซันถูกแบ่งมาสำหรับคนรัก และเทมส์ก็ไม่ปฏิเสธที่จะรับสายหรือมัวแต่น้อยใจจนทำให้อดคุยกันด้วย
“ไม่มีอะไร แค่จะบอกว่าทานตะวันที่มันล้มเมื่อคืนนี้ เมื่อเช้ามันฟื้นด้วยแหละ”
“เหรอ เมื่อเช้าตอนออกมาก็ไม่ได้แวะดูเลย”
“เมื่อเช้าเทมส์ก็เลยรดน้ำแค่นิดเดียว เขาบอกว่าถ้ารดน้ำมากใบมันจะเหลือง”
“เทมส์เก่งจัง”
“เก่งอะไรล่ะ ซันก็มาช่วยดูบ้างเหอะ ให้เทมส์ดูแลคนเดียวเลย คนที่ชวนปลูกคือซันแท้ๆ”
คนรับสายทำเสียงตัดพ้อแต่ไม่ได้จริงจังอะไรนัก อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ แบบที่เคย ก่อนพลิกข้อมือดูเวลาแล้วก็จบบทสนทนาก่อนเหมือนทุกครั้ง
“ต้องวางแล้ว เอาไว้เจอกันที่บ้านนะ”
“กลับดึ-...”
มั้ย...
แค่จะถามให้จบประโยค ซันยังไม่อยู่ฟังให้ครบเลย ตัดสายทิ้งไปดื้อๆ จนเทมส์ได้แต่จ้องมองมือถือตัวเองอีกครั้ง
แล้วซันก็กลับดึก...
ดึกกว่าที่เคยเอามากๆ เลยด้วย เกือบเที่ยงคืนแล้ว และเทมส์โทรหา ซันก็ไม่ยอมรับสาย
มันไม่ใช่แค่กังวล แต่เทมส์กำลังเป็นห่วง ทุกครั้งที่ซันกลับดึกเขามักจะส่งข้อความมาบอกก่อน แต่คราวนี้เงียบหายไปเลย ข้อความที่ถูกส่งไปอย่างห่วงใยไม่ได้รับการเปิดอ่านทั้งสิ้น จวบจนตีหนึ่งที่เทมส์ยังคงนั่งรอ ซันก็กลับเข้ามาด้วยบริการรถแท็กซี่
เพราะว่าซันเมา...
และคำตอบสำหรับทุกคำถามก็คือเขาต้องคุยงานกับลูกค้าในร้านอาหารกึ่งผับ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องดื่มไปด้วยกัน
คนเมาที่กลับบ้านดึกนอนหลับไปแล้ว ส่วนคนที่นั่งเป็นห่วงมาตั้งแต่ตอนสี่ทุ่มยังคงนั่งอยู่ที่ปลายเตียง ในใจว้าวุ่นไปหมด
เป็นแบบนี้อีกแล้ว…
ความรู้สึกแบบนั้นกลับมาอีกแล้ว…
รุ่งเช้า ยังเช้าตรู่เอามากๆ คนเมาที่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เพิ่งจะอาบน้ำและกำลังแต่งตัวอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า เทมส์ตื่นขึ้นและมองตามงงๆ
“วันนี้วันเสาร์นะ”
มันเป็นวันหยุดไม่ใช่เหรอ
“ต้องไปนครปฐมน่ะ” ซันตอบกลับด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ ถึงจะยังเป็นเวลาเช้าอยู่มาก แต่ก็สายเกินไปแล้วสำหรับเขา
“ซันทำงานหนักเกินไปหรือเปล่า”
“อือ ซันก็ว่างั้น”
“ไม่เหนื่อยเหรอ” น้ำเสียงไม่ได้ประชดสักนิด เทมส์กำลังเป็นห่วงต่างหาก
ซันที่แต่งตัวเสร็จแล้วจึงเดินกลับมาที่เตียง เลื่อนกายเข้าไปใกล้คนที่เพิ่งตื่นนอนและโอบกอดไว้หลวมๆ ก่อนจะเอ่ยบอกเสียงเบา
“เห็นเทมส์ก็หายเหนื่อยแล้ว”
“เจอหน้ากันวันละกี่ชั่วโมงเชียว”
“ก็ได้นอนกอดทั้งคืนแล้วกัน”
คำพูดนั้นมาพร้อมกับอ้อมแขนที่กระชับแน่นขึ้น ซันกำลังออดอ้อนเขาอีกแล้ว
และก็เป็นอีกครั้งที่เทมส์ใจอ่อน
หลายวันหลังจากนั้น ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่วังวนเดิมๆ คือซันทำงานหนักจนแทบไม่ได้เจอหน้า ส่วนเทมส์ที่ออกไปทำงานตอนเช้า ก็จะแวะรดน้ำต้นไม้ที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ก่อนเสมอ ทานตะวันแคระของเขาเริ่มมีใบจริงงอกขึ้นมาบ้าง ในทุกๆ วันเทมส์จะถ่ายรูปต้นกล้าพวกนั้นแล้วก็อัปลงไอจี และเพราะใส่แฮชแท็กของร้านนั่นแหละ คุณเจ้าของร้านถึงได้มาตรวจการด้วยการกดไลก์อย่างสม่ำเสมอ
เทมส์พยายามจะทำตัวให้คุ้นชินกับสภาพที่เป็นอยู่ การมีแฟนที่แทบไม่ได้เจอหน้า ซันกลับดึก ติดต่อไม่ค่อยได้ ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายแค่ทำงานหนักและไม่ได้มีคนอื่น แต่ในบางครั้งมันก็อดเหนื่อยใจไม่ได้ โดยเฉพาะในตอนที่เทมส์ต้องการความช่วยเหลือ
อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด และเทมส์ก็ไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะขับรถชนจักรยานยนต์ที่เลี้ยวตัดหน้าจนอีกฝ่ายกระเด็นไปไกล มันเป็นครั้งแรกที่เทมส์ต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ นอกจากตื่นตระหนกแล้วเขาก็ยังหวาดกลัว สิ่งแรกที่ทำนอกเหนือจากโทรหาประกันแล้วก็คือการโทรหาซัน
“...”
แต่ก็เหมือนทุกทีที่เทมส์ติดต่อซันไม่ได้... ไม่ได้เลย แม้ว่าเขาจะพยายามโทรหาเป็นสิบๆ สาย และส่งข้อความไปบอกเพราะต้องการความช่วยเหลือ
‘ซัน เทมส์ขับรถชนมอไซค์’
‘เทมส์กลัว’
‘รับสายหน่อยได้ไหม’
‘ขอร้องเหอะ เทมส์ทำอะไรไม่ถูกแล้ว’
ไม่มีการเปิดอ่าน ไม่มีข้อความตอบกลับ จนเทมส์ที่ขับรถชนจักรยานยนต์มือไม้สั่นแล้วก็แทบจะร้องไห้ออกมา
เขาต้องการซัน...
อย่างน้อยที่สุด ซันก็น่าจะอยู่ข้างเขาในตอนนี้
แต่สุดท้ายเทมส์ก็ผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ เขาไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากใครทั้งสิ้น แม้กระทั่งกับเพื่อนสนิทอย่างแกรม บ่ายแก่ๆ นั่นล่ะซันถึงโทรกลับมา เขาเพิ่งได้อ่านข้อความแล้วก็แสดงความเป็นห่วงอยู่สองนาที
“เทมส์ไม่ได้เป็นอะไรก็ดีแล้ว ตอนนี้โอเคใช่ไหม หายตกใจหรือยัง ถ้ายังไงเอาไว้คุยกันต่อที่บ้านนะ ซันต้องรีบกลับไปทำงานแล้ว”
อาจจะไม่ถึงด้วยซ้ำ...
ตอนนั้น... เทมส์เจ็บใจยิ่งกว่าตอนที่ขับรถชนแล้วติดต่อซันไม่ได้เสียอีก
แล้วเหตุการณ์ก็ผ่านไปแบบนั้น จนกระทั่งวันหยุดผ่านมาอีกครั้ง และใช่... ซันต้องไปทำงาน และคราวนี้เขาก็ต้องไปต่างจังหวัดสองคืน
มันคงจะไม่มีอะไรเลยถ้าหากเทมส์ปกติดี
แต่นี่เขาป่วย ปวดหัว ตัวร้อน มีไข้หนัก และทั้งหมดนั่นเกิดขึ้นในตอนที่ซันไม่อยู่
เป็นอีกครั้งที่เทมส์โทรหาซัน และแน่นอน... มันก็เป็นอีกครั้งที่เขาติดต่อซันไม่ได้
เทมส์ไม่ได้ส่งข้อความไปบอกว่าตัวเองป่วยเพราะกลัวว่าซันอาจจะเป็นห่วง เขาคิดเองว่าแค่นอนพักทุกอย่างอาจจะดีขึ้น แต่ไม่เลย ตอนบ่ายที่ตื่นขึ้นมา เทมส์ก็ปวดหัวจนทนไม่ไหว ร่างกายของเขาร้อนจัด มีไข้สูงในแบบที่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องเรียกแท็กซี่เพื่อไปโรงพยาบาลตามลำพัง
ไข้หวัดใหญ่เล่นงานเทมส์แล้ว...
พอจัดการเรื่องแอดมิดเสร็จแล้วเขาจึงโทรหาซัน
แต่ก็เหมือนเดิมนั่นล่ะ
ติดต่อไม่ได้ ซันไม่รับสายเขา
เทมส์โทรหาแกรมเป็นคนต่อมา รายนั้นพอรู้ว่าเพื่อนสนิทเข้าโรงพยาบาลก็รีบรุดมาเยี่ยมเพราะมีปมฝังใจตอนที่ไม่สามารถไปเยี่ยมคุณยายขณะเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้เนื่องจากหัวหน้าไม่อนุญาต หรือแม้แต่ตอนที่คุณยายเสีย หัวหน้าก็ยังไม่ยอมให้แกรมลาไปงานศพ เพราะเหตุการณ์นั้นทำให้แกรมตัดสินใจลาออก ตอนนี้แกรมไม่ใช่พนักงานออฟฟิศแล้ว เพื่อนของเขาดูแลร้านชำต่อจากยายจึงค่อนข้างว่างมากพอที่จะปรากฏตัวในทันที
ต่างจากซัน...
แกรมมาเยี่ยมเขาแล้วก็อยู่เป็นเพื่อนพักใหญ่ เทมส์ที่ป่วยหนักก็ดูร่าเริงดี จนกระทั่งอีกฝ่ายกลับไปแล้ว และตัวเองต้องอยู่ตามลำพังอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าเพราะกำลังป่วยไข้ถึงได้มีอาการเพ้อ หรือว่าน้อยใจจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้กันแน่
เทมส์ร้องไห้...
มันไม่ควรเป็นแบบนี้มั้ยวะ
อย่างน้อยที่สุดซันก็ควรจะรับรู้ว่าเขาป่วย ไม่ต้องมาเยี่ยมก็ได้ แค่รับสายเขา แล้วพูดแค่ว่า ‘หายไวๆ นะ ซันเป็นห่วง’ แค่นั้นก็ได้มั้ยอะ
แต่นี่... เทมส์ก็ยังติดต่อซันไม่ได้ด้วยซ้ำ
ถ้าเทมส์ตาย ซันคงรู้อีกทีในวันเผาแล้วมั้ง
นั่งแท็กซี่ไปโรงพยาบาลเอง จัดการเรื่องแอดมิดด้วยตัวเอง แล้วก็นั่งแท็กซี่กลับบ้านด้วยตัวเอง ช่างเป็นเทมส์ที่แข็งแกร่งยิ่งนัก
พอกลับมาถึงก็เห็นซันนอนหลับอยู่บนโซฟา คนตัวสูงในชุดทำงานเต็มยศไม่ได้ถอดถุงเท้าออกด้วยซ้ำ ท่าทีของซันดูเหน็ดเหนื่อย แต่เทมส์ก็เหนื่อย เหนื่อยมาก และมันมากเกินไป
“ซัน”
เทมส์เอ่ยเรียก เริ่มจากน้ำเสียงแผ่วเบาจนค่อยๆ ดังขึ้น แต่คนที่หลับอยู่บนโซฟากลับขมวดคิ้ว สองวันมานี้เขาเหนื่อยมาก มันมีอะไรหลายอย่างที่ซันทำผิดพลาดในเรื่องงาน ถูกลูกค้า
คอมเพลน หัวหน้าดุ บริษัทได้รับความเสียหายทั้งมูลค่าเม็ดเงินและชื่อเสียง ทั้งหมดคือความผิดของเขาทั้งสิ้น กว่าซันจะจัดการเรื่องจนผ่านพ้นมาได้ เขาก็เหนื่อยจนแทบไม่อยากจะหายใจ
พอกลับมาถึงบ้าน ซันที่ขาดการติดต่อไปเพราะทำงานหนักก็เอนตัวพักผ่อนเพื่อหลบหนีปัญหาทุกอย่าง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเทมส์ไม่อยู่บ้าน ซันแค่อยากนอนแล้วตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากพยายามทำใจลืมๆ เรื่องที่เกิดขึ้น
แต่เพราะเทมส์พยายามปลุกเขา น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกค่อยๆ ดังขึ้นจนน่าขัดใจ
ซันไม่ได้ลืมตาขึ้นมา เขากำลังข่มใจ ไม่อยากอารมณ์เสียและพาลใส่เทมส์
“มาคุยกันเถอะซัน เทมส์รู้ว่าซันตื่นอยู่”
“...”
“ซัน”
“...”
“เทมส์บอกให้ลุกขึ้นมา”
“...”
“ซัน!”
“...”
“บอกให้มาคุย—”
“ซันขอนอนไม่ได้เหรอ!”
เป็นซันที่โพล่งขึ้นมาและเสียงดังว่าคนเอ่ยเรียกหลายเท่า น้ำเสียงติดจะตะคอกนั้นทำให้เทมส์ผงะไปครู่หนึ่ง ซันไม่เคยเป็นแบบนี้เลย แต่เทมส์ก็ไม่ยอมเหมือนกัน
“ก็มาคุยกันก่อนดิ”
“เทมส์ ซันเหนื่อย จะนอน ไม่ต้องกวนได้ไหม เทมส์จะไปเล่นเกม ไปรดน้ำต้นไม้หรือไปทำอะไรก็ทำเหอะ”
พูดจบก็ล้มตัวลงนอนบนโซฟาไปอีกรอบ เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ซันใช้คำพูดแบบนี้กับเทมส์ ทั้งๆ ที่พยายามแล้ว พยายามไม่ใส่อารมณ์ แต่เพราะควบคุมตัวเองไม่ได้เลย ซันเหนื่อยจากเรื่องงานและต้องการพักผ่อน เขาแค่อยากนอนหลับและตื่นขึ้นมาคุยด้วยในตอนที่อารมณ์ดีกว่านี้
ในขณะที่คนถูกไล่ยืนกำหมัด เทมส์โกรธจัดจนน้ำตาคลอ ไอ้ที่พยายามแบกความรู้สึกมาตลอดสองวันกำลังระเบิดออกมา
“ซันเหนื่อยเป็นคนเดียวเหรอ แล้วเทมส์อะ เทมส์เหนื่อยไม่เป็นเลยดิ เคยรู้บ้างไหมว่าเทมส์เป็นอะไร เคยสนใจบ้างมั้ยวะ”
“แล้วเทมส์เคยรู้บ้างไหมว่าซันเป็นอะไร ซันเหนื่อยแค่ไหน ทำงานหนักแค่ไหนเคยสนใจหรือเปล่า นอกจากเรื่องตัวเอง เทมส์สนใจอะไรบ้าง!”
เป็นซันที่ลุกพรวดขึ้นมาแล้วตะคอกกลับ ซันหงุดหงิดจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้อีกแล้ว
เขากำลังพาล
และเทมส์ก็เช่นกัน
“ซันพูดแบบนี้เหรอ... เทมส์เป็นแบบนั้นใส่สายตาซันเหรอ”
“ซันเหนื่อย แค่จะนอนเทมส์ยังปล่อยให้ซันนอนไม่ได้เลย ต้องการอะไรนักหนา อย่าเอาแต่ใจตัวเองให้มันมากได้มั้ยอะ”
“เอาแต่ใจตัวเอง...? เหอะ”
เทมส์ที่ได้ยินแบบนั้นก็แค่นหัวเราะออกมา ทำไมมันช่างเป็นคำพูดที่ฟังแล้วเจ็บจังวะ
“เออ เทมส์แม่งเอาแต่ใจตัวเอง ไม่เคยสนใจอะไรเลย เทมส์เป็นงั้นใช่ปะ”
“แล้วเทมส์เคยสนใจอะไรมั้ยล่ะ เคยรู้ไหมว่าวันๆ หนึ่งซันต้องเจออะไรบ้าง เคยรู้ไหมว่าซันทำงานหนักแค่ไหน เคยสนใจมั้ยว่าซันผ่านแต่ละวันมาได้ยังไง ซันเหนื่อย ซันต้องการพักผ่อน”
คำพูดของซันทำให้เทมส์ดูเลวร้ายและเป็นแฟนที่แย่
อืม มันอาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้
“เทมส์เอาแต่โทรหาซันในเวลาทำงาน ถ้าซันไม่รับก็แปลว่าไม่ว่างหรือเปล่า ไม่ต้องโทรย้ำได้มั้ย นี่มันอะไรนักหนาก็
ไม่รู้ ซันทำงานนะเทมส์ ตอนเทมส์ทำงานซันเคยโทรไปกวนมั้ย
ก็ไม่ เพราะซันรู้ว่าเทมส์ต้องทำงาน”
ทำไมมันกลายเป็นความผิดของเทมส์ทั้งหมดเลยอะ
“แล้วเทมส์ก็ไม่เคยรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซันโดนด่า โดนหัวหน้าดุเพราะเอาแต่รับสายเทมส์ คุยโทรศัพท์ในเวลางาน มันกี่ครั้งกี่หนแล้วที่เป็นแบบนี้ มันเกินไปหรือเปล่า!”
มันเกินไปอย่างนั้นเหรอ...
คำพูดพวกนั้นทำให้เทมส์กำลังทบทวนตัวเอง เขาโทรหาซันบ่อยมาก แต่ทุกครั้งมักจะเป็นเรื่องเร่งด่วน ยิ่งพออีกฝ่าย
ไม่รับเขาก็ยิ่งโทรหาไม่หยุด ตรงนี้คือความผิดใช่ไหม คือความผิดของเทมส์ใช่ไหม
“โอเคเลย...”
น้ำเสียงของเทมส์สลดลง เขาถอนหายใจ ในขณะที่ซันยืนเท้าเอวและใช้มืออีกข้างเสยผมอย่างหงุดหงิด ซันระเบิดแล้ว เขาควบคุมอะไรไม่ได้อีกแล้ว
“ถ้ามันเกินไปขนาดนั้น...”
“จะบอกเลิกกันอีกใช่ปะ”
“...” เทมส์ชะงัก
ความคิดนั้นอยู่ในหัวเขาก็จริง
ใช่ เขากำลังจะพูดแบบนั้น แต่ซันก็เป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน
“งั้นก็เอาเลย ซันเหนื่อยเหมือนกัน เลิกก็เลิก ซันนอนที่นี่ไม่ได้แล้วใช่ไหม จะได้ไปนอนที่อื่น”
“นี่บ้านเทมส์”
“โอเค บ้านเทมส์ ซันมันแค่ผู้อาศัย งั้นเราก็จบกันตรงนี้แหละ ซันไปเอง”
พูดจบ คนที่บอกว่าจะเป็นฝ่ายไปเองก็คว้ากระเป๋าเดินทางใบเล็กที่ติดตัวกลับมาด้วยหลังจากเดินทางไปต่างจังหวัดเมื่อสองวันก่อนออกจากบ้านไปโดยไม่ได้หันกลับมามองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังแม้แต่นิด
มันไม่มีคำล่ำลาใดๆ นอกจาก
‘จบกันตรงนี้’
‘เลิกก็เลิก’
เสียงประตูหน้าบ้านถูกปิดอย่างรุนแรง พร้อมๆ กับที่เทมส์นั่งลงไปกองกับพื้น อาการปวดหัวจากไข้หวัดที่คิดว่าหายดีแล้วหวนกลับมาอีกระลอก แต่ที่เขากำลังร้องไห้อยู่ในตอนนี้มันเป็นเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ระหว่างเขากับซันมันจบแล้ว...
จบอย่างที่ตั้งใจจะพูดตั้งแต่แรก
ทั้งๆ ที่ตัวเองก็คิดจะเลิก แต่พอเอาเข้าจริง เทมส์ก็รู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจตาย
อย่างยิ่งเมื่อซันโยนความผิดให้เขาทั้งหมด เทมส์เป็นแฟนที่แย่ เป็นแฟนที่เอาแต่ใจตัวเอง เป็นแฟนที่เอาแต่โทรหาและรบกวนเวลาทำงานไม่หยุด เป็นแฟนที่ไม่เคยสนใจเลยว่าซันต้องเหนื่อยกับเรื่องงานขนาดไหน ทั้งหมดนั่นเป็นความผิดของเขา
มันเป็นเพราะเขาเองที่ทำให้ความสัมพันธ์จบสิ้นลง...
ความคิดเห็น