ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (bts) sf/os - how yoongi survive when- (vga/kookga/etc)

    ลำดับตอนที่ #8 : os/ how taehyung survive when he's a Papa?

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.19K
      79
      6 เม.ย. 61

    Title : OS - How Taehyung survive when he's a Papa? | ป๊ะป๋าแทฮยอง
    Paring : V x Suga
    Note : จริงๆมันเป็นการเอาฟิคที่เคยไว้ในกรุมาเขียนต่อค่ะ ออกมาแบบนี้เฉ๊ย งงเหลย

     

                    คุณเสพติดสื่อผ่านเฟสบุ๊คบ้างไหม ณ ที่นี้ผมไม่ได้หมายถึงอาการเสพติดโซเซี่ยลเน็ตเวิร์คโดยวิธีการสูดดมหรือการกินมันเข้าไปหรอกนะ แต่ผมกำลังพูดถึงสเตตัสสั้นๆ ไม่กี่บรรทัดที่ถูกแชร์ไปทั่วโลก

     

                    "ถ้ามียาอยู่สองเม็ดให้คุณเลือกทาน คุณจะเลือกเม็ดไหน ระหว่าง
                    1. ยาเม็ดสีแดง ที่จะทำให้คุณกลายเป็นมหาเศรษฐีในพริบตา
                    2. ยาเม็ดสีน้ำเงิน ที่จะทำให้คุณย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว

     

                    ผมเคยเห็นสเตตัสนั่นตั้งแต่ผมอายุสิบสี่ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลคิมอันสูงส่งที่ได้รับรางวัลครอบครัวดีเด่นตั้งแต่ผมอายุแปดขวบที่ไม่มีอะไรขาดในชีวิตซักอย่าง

                    อ้อ ผมไม่ได้เป็นอย่างที่ใครๆคิดหรอกนะ ลูกชายคนเล็กของครอบครัวที่พ่อแม่มักจะไม่มีเวลามามอบความรักจนเก็บกดน่ะ แม่เขาละหน้าที่จากงานทุกอย่างมาเพื่อดูแลลูกชายอย่างเต็มที่ตั้งแต่พี่ชายเขาลืมตามาดูโลกด้วยซ้ำ บวกกับการที่ผมไม่ใช่คนติดแม่ (หรือเรียกว่าลูกแหง่นั่นแหละ) ทำให้เหตุผลที่บอกว่าผมห่างจากการขาดความอบอุ่นลิบลับ

                    ด้วยเหตุผลข้างต้นทำให้ผมเลือกที่จะไม่สนใจบทสนทนาของกลุ่มเพื่อนสนิทที่กำลังโต้แย้งสรรพคุณของยาที่ไม่มีจริงในโลกกันอย่างจริงจังจนแทบจะตั้งศาลตัดสินขนาดย่อมๆ และสุดท้ายจีมิน เพื่อนสนิทของผมก็สร้างประเด็นใหม่ขึ้นมา

     

                    "แล้วมึงล่ะ มึงว่าเม็ดไหนดีกว่ากัน?"

     

                    แทฮยองวัยสิบสี่ปีขมวดคิ้วเข้าหากัน แม้ว่าจะไม่ได้เปล่งเสียงออกมาแต่นั่นก็พอทำให้ทุกคนเดาออกว่าผมต้องการพูดว่าอะไร

     

                    "เออน่า ตอบมาเถอะ พวกกูมีสี่คน คะแนนมันไม่เอกฉันท์นี่หว่า"

     

                    แทฮยองพ่นลมหายใจออกมาท่ามกลางใบหน้าที่ดูลุ้นระทึกจนเกินจริงของจีมิน ริมฝีปากที่พ่นชื่อกิจกรรมที่โอ่อ่าหลังจากเป็นมหาเศรษฐีจากโฮซอก

     

                    "มึงลืมรึเปล่าว่าแทฮยองมันมีทุกอย่างแล้วน่ะ"

     

                    อ่า

                    เสียงทุ้มของคิม นัมจุนดังขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมือสามสี่ครั้งตามหลังด้วยความชอบใจนั่นทำให้ผมเลิกคิ้วขึ้น

     

                    "มึงก็พูดเกินไป" ผมแย้ง แน่นอน ผมไม่ได้มีทุกอย่าง ไอ้เพื่อนตัวดีสี่คนนี้ก็ไม่ได้พรีออเดอร์มาจากที่ไหน โรงเรียนมัธยมที่มีแต่ลูกเจ้าคนนายคนนี่เขาก็ไม่ได้จับฉลากเข้ามาหรอกนะ

     

                    "มึงก็เอาเม็ดสีน้ำเงินไง จำเลขล็อตเตอรี่แล้วย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรที่มึงทำพลาดไว้ ได้สองต่อ"

     

                    "มึงครับ เงินสำหรับมันก็แค่กระดาษทด"

     

                    "ประวัติไม่เคยเสียหาย ที่ชอกช้ำสุดนี่ก็แค่รับน้องตอนม.ต้นปะวะ"

     

                    "ห่าเอ้ย"

     

                    แทฮยองอยากจะหัวเราะออกมาดังๆให้สมใจอยากกับคำสบถที่ดังออกมาจากปากของกลุ่มเพื่อนสนิทตรงหน้า แต่เพราะนิสัยของเจ้าตัวทำให้มีแค่เสียงแค่นหัวเราะในลำคอเท่านั้น

     

                    "ความจริงคือมันก็ไม่ได้มีทุกอย่างจริงๆหรอกประเด็นคือแม่งไม่ได้ต้องการอะไรเลยไง"

     

     

     

     

                    นัยน์ตาคมค่อยๆเบิกกว้างออกช้าๆ ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ผมอยากจะตาบอดขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนจะใช้มือขยี้ตาทั้งสองข้างเผื่อว่าผมจะฝันไป แม้ว่าจะได้ยินเสียงของสิ่งของกระทบลงกับพื้นอย่างชัดเจนในโสตประสาท

     

                    ผมไม่ได้บอกไปใช่ไหมว่านอกจาก คิม แทฮยองเด็กชายที่เกิดมาจากตระกูลที่แสนโอ่อ่านั่นเพียบพร้อมทุกอย่างพึ่งติดสอบตรงของคณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งมาได้ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจเก็บหนังสือทุกเล่มเข้ากรุและแกะกล่องฟิกเกอร์ที่ซื้อทิ้งไว้ตั้งแต่ต้นปีมาประกอบ แน่นอนว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในรอบปีเลยด้วยซ้ำ

     

                    แต่.. นั่นแหละ หัวของตัวละครเอกที่มีผมสีเหลืองอย่างนารูโตะเด้งทำมุมสี่สิบห้าองศากับพื้นหลังจากที่ฟิกเกอร์ทั้งตัวตกลงบนพื้นห้องด้วยความตั้งใจ

     

                    แทฮยองถอนหายใจ มือเรียววางทาบกับใบหน้าของตัวเองก่อนจะร้องคำรามในลำคอ

     

                    ถ้าย้อนเวลากลับไปตอนที่เขาอายุสิบสี่ปี เขาจะกลับไปตอบเพื่อนสนิทอย่างหนักแน่นว่า 'กูต้องเลือกยาเม็ดสีน้ำเงิน' อยู่แล้ว ถ้าเป็นไปได้ อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องมาทนหน้าดำหน้าแดงเมื่อเห็นซากปรักหักพังตรงหน้า

     

                    ฟิกเกอร์... กู...

     

     

                    "ป๊ะป๋าาาาาาา มาเย่นกับเค้าโหน่ยจิ ทัมมัยหุ่นพวกเน้โยนแล้วพังเลยอ่า ไม่เหมือนมิกกี้เม้าส์ของเค้าเยย"

     

                    "..."

     

                    "อ่อนมั่กๆ นู้บ"

     

                    "..."

     

                    "ป๊ะป๋าเป็นไย เงียบเชียว"

     

                    ถึงผมจะเป็นคนที่ไม่มีความสนใจกับสิ่งๆหนึ่งในระยะยาว แต่แน่นอนว่าสิ่งที่ผมเห็นไม่ใช่แค่ซากปรักหักพังของฟิกเกอร์หลายสิบตัวที่โดนขว้างลงพื้นอย่างเอาเป็นเอาตาย เด็กชายในชุดกะลาสีเรือที่กำลังยิ้มกว้างพร้อมกับโยนฟิกเกอร์หัวขาดไปที่มุมห้องพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นว่าของเล่นที่โยนรอบนี้ไปได้ไกลกว่ารอบเก่า

     

                    คิม แทฮยอง ผู้เพียบพร้อมทุกอย่าง หน้าตา ฐานะนิสัย ทุกอย่างที่เทพเจ้าประทานให้ และบางที ผมอาจจะท้าทายพระเจ้าไปหน่อยด้วยการลัดขั้นเป็นพ่อคนตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ พระเจ้าเลยส่งเด็กชายหน้าตาน่ารักพร้อมกับนิสัยสุดขั้วมาให้

     

                    แต่ผมอาจจะถูกออกแบบให้ไม่โอเคกับเด็ก โดยเฉพาะกับ 'คิม ยุนฮยอง' เด็กชายที่กำลังหยิบฟิกเกอร์ตัวท็อปที่วางตระหง่านไว้ตรงกลางของตู้ พร้อมกับขว้างไปที่ประตูห้องราวกับเป็นนักเบสบอลมือฉมัง

     

                    ไอ้เด็กเปรต..

     

                    แน่นอนว่าคำพูดพวกนี้ผมไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะได้กล่าวออกไปด้วยซ้ำ เอาวะ ฟิกเกอร์ก็แค่ของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้ แต่ถ้าหากผมพลั้งปากไปดุไอ้เด็กตรงหน้าเขาคงได้ตายคามือผู้เป็นแม่(ของเขา)แน่ๆ

     

                    คิมแทฮยองถอนหายใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะนั่งยองๆให้ส่วนสูงพอดีกับไอ้เด็กเวรตรงหน้า นัยน์ตากลมที่ได้จากผมมาร้อยเปอร์เซนต์ ไหนจะเรียวปากนั่นที่พูดเก่งเกินใคร โอเค มันอาจจะเป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูของใครบางคน แต่นั่นไม่ใช่ผมแน่ๆล่ะ

     

                    "ป๊ะป๋าโอเคครับ เราแต่งตัวเสร็จรึยัง?"

     

                    พูดจบก่อนจะฉีกยิ้มเป็นคุณพ่อวัยละอ่อนผู้มีความรักเด็กเต็มสตรีม ยอมรับเลยว่าผมไม่ใช่คนรักเด็กมากนักแต่รอยยิ้มแป้นๆที่ถอดแบบมาจากผมนั่นทำให้แทฮยองเอ็นดูขึ้นมา (นิดนึง)

     

                    ยุนฮยองพยักหน้ารับ ก่อนจะวิ่งนำคุณพ่อวัยละอ่อนออกมาก่อนจะแทรกตัวเข้าไปกับรถเก๋งคันสวยที่จอดรออยู่หน้าบ้านแล้ว ชายหนุ่มวัยสิบเก้าปีหัวเราะ พลางขบคิดในใจว่าไอ้เด็กนี่มันใช่ยุนฮยองหัวเกรียนที่ปาฟิกเกอร์ผมเข้ากับพื้นห้องรึเปล่า แต่ก็นั่นแหละ

     

                    ลูกใคร ใครก็รักว่ะ

     

                    "คิม ยุนฮยอง!"

     

                    เสียงทุ้มดังขึ้นทุกครั้งเมื่อเจ้าตัวสาวเท้าไปได้ทุกๆห้าเมตรท่ามกลางสวนสาธารณะกลางกรุงโซล ใบหน้าคมบูดเบี้ยวราวกับสอบตกทั้งๆที่อ่านหนังสือข้ามคืน -บางทีผมอาจจะเปรียบเทียบมันง่ายเกินไปด้วยซ้ำ ในเมื่อเจ้าตัวแสบที่ควรจะยืนใกล้ๆผมกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อคิม แทฮยองแวะไปซื้อไอติมได้แค่สามนาทีเท่านั้น

     

                    โอเค นั่นอาจจะเป็นความผิดของผมเองที่ไว้ใจไอ้เด็กกะลาสีเรือนั่นยืนอยู่คนเดียว แต่จากการที่เขาดูแลไอ้เด็กนี่ตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย การเดินห้างหรือแม้แต่เดินในงานเทศกาลต่างๆนั้นไม่เคยมีปัญหาเลยด้วยซ้ำ เอาล่ะ ทุกคนคงคิดว่ายุนฮยองเป็นเด็กฉลาด แต่จริงๆไอ้เด็กนี่มันไม่มีเงินซื้อของที่อยากได้เองต่างหาก จะพลัดหลงกับป๊ะป๋าผู้ถืออภิสิทธิ์ทุกอย่างมันไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่นั่นไม่ได้รวมถึงสวนสาธารณะ ที่ไม่มีอะไรต้องเสียเงินเลยยกเว้นไอ้ลูกตัวแสบของผมอยากจะปั่นจักรยานรอบสวน และแน่นอนว่านั่นเป็นความคิดที่ประหลาดสุดๆ

     

                    "คิม ยุนฮยอง! ป๊ะป๋าเหนื่อยแล้วนะ!"

     

                    ตะโกนออกมาโดยไม่สนใจว่าไอ้เด็กในความคิดมันจะได้ยินไหม ไอศกรีมในมือขวาละลายไปตามซอกนิ้วนั่นทำให้แทฮยองหงุดหงิด ผมตัดสินใจทิ้งไอศกรีมที่ตอนนี้เหลือแค่ซากอารยธรรมของไอศกรีมเละๆกับโคนลงถังขยะ ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปในร้านสะดวกซื้อที่ตั้งอยู่เพื่อใช้ล้างมือการที่ไอศกรีมที่สร้างความเหนอะหนะไปมากกว่านี้

     

                    มือหนาบิดขวดน้ำที่พึ่งซื้อมาจากมินิมาร์ทก่อนจะเทมันลงกับพื้นเพื่อล้างมือถึงแม้ว่าอีกยี่สิบเมตรจะมีห้องน้ำสาธารณะตั้งอยู่ น่าตลกดีเหมือนกันที่ผมเลือกที่จะควักกระเป๋าเงินซื้อน้ำมากกว่าสาวเท้าไปอีกไม่กี่ก้าว

     

                "Twinkle, twinkle little stars, How I wonder what you are"

     

                    แทฮยองเผลอสะดุ้งเมื่อน้ำเย็นๆกระทบกับมือของเขา สบถในใจนิดหน่อยเพราะไม่คิดว่าน้ำในขวดจะเย็นขนาดนี้ -อย่างไรก็ดีที่พระเจ้าสร้างให้มนุษย์ปรับสภาพได้เร็ว

     

                "Up above the world so high, like a diamond in the sky"

     

                    น้ำจากขวดไรรินลงมาเรื่อยๆพร้อมกับเสียงเพลงกล่อมเด็กที่ไหลตามมา ถึงจะสงสัยนิดหน่อยก็เถอะว่าทำไมเจ้าตัวถึงฮัมเพลงนี้ออกมา เพราะดูน้ำเสียงแล้วน่าจะเป็นผู้ชาย เสียงห้าวๆนั่นทำให้เขาติดใจขึ้นมาแปลกๆ อ่า ยอมรับหน่อยๆว่าเขาเป็นพวกติดเพลงง่ายน่ะ ฟังเพลงนี้เขาอาจจะต้องฮัมเพลงนี้ไปทั้งวัน

     

                "Twinkle, twinkle, little stars, How I wonder what you are"

     

                    เสียงเพลงกล่อมเด็กยังคงดังคลอไปเรื่อยพร้อมกับน้ำของผมที่ไหลลงพื้นไปจนหมดขวดแล้ว แทฮยองหมุนขวดก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้และนึกขึ้นได้ว่าต้องเอาขวดน้ำไปทิ้ง โอเค มนุษย์ถูกออกแบบให้แยกประสาทออกว่าเสียงออกมาจากทางขวาหรือทางซ้าย ขายาวๆสาวเท้าไปทางขวาตามสัญชาติญาณ และภาพตรงหน้าก็ไม่ต่างจากที่ผมหวังไว้เท่าไหร่นัก

     

                    อ่า- พลั้งปากไปซะแล้วสิ

     

                    เสียงเพลงกล่อมเด็กนั่นดูมีมนตร์สะกดขึ้นมาทันทีเมื่อผมได้เห็นริมฝีปากบางนั่น สีชมพูอ่อนตามประสาคนสุขภาพดีที่พบเห็นได้บนใบหน้าของหญิงสาวที่รักษาสุขภาพ -แต่เปล่าเลย สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้ากลับเป็นชายหนุ่มตัวเล็กคนหนึ่งที่สวมใส่กางเกงยีนขาเดป บวกกับเสื้อยืดสกรีนลายฮิตฮอตตามหมู่วัยรุ่นกับเสื้อคลุมโอเวอร์ไซส์ โอเค มันอาจจะดูฮิปฮอปและดูสแว็กจนดูขัดกับกับเสียงเพลงกล่อมเด็กที่เจ้าตัวร้องออกมา แต่เชื่อเถอะ ถ้าคุณเป็นผมตอนนี้ คุณจะไม่มีความคิดแบบนั้นเลย

     

                    แล้ว

     

                    คิม ยุนฮยองมันไปทำอะไรตรงนั้นวะ!

     

                    "ยุนฮยอง!"

     

                    ทันทีที่เห็นเจ้าเด็กกะลาสีเรือที่ทำให้ผมเดินว่อนมาเกือบสามสิบนาที แทฮยองก็รีบสาวเท้าเข้าไปหา แทบลืมมู้ดโรแมนติกที่อุส่าต์สร้างขึ้นในความคิดของตัวเองเมื่อซักครู่ โอเค คิมแทฮยองจะพยายามคิดว่าตอนนี้ตัวเองกำลังหงุดหงิด สิ่งที่ผมควรทำคือดุไอ้เด็กแสบนี่ แต่ใบหน้าขาวเงยหน้ามามองก่อนจะยกยิ้มให้นั่นทำให้เขาหน้าร้อนแปลกๆ

     

                    "คุณคือผู้ปกครองของยุนฮยองใช่มั้ยครับ?"

     

                    "อ่า ครับ ขอโทษด้วยนะครับ รบกวนแย่เลย" พูดก่อนจะอ้าแขนรับไอ้ตัวแสบเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง และดูเหมือนยุนฮยองจะไม่ได้ขัดขืนอะไรเมื่อเพราะเหมือนเจ้าตัวจะพล็อยหลับไป นอกจากจะทำเขายุ่งแล้วยังมาหลับใส่อีกนะไอ้เด็กนี่

     

                    ไม่ทันที่แทฮยองจะได้พูดอะไร คนตรงหน้าผมก็หัวเราะออกมา โอเค ผมอาจจะไม่เคยเล่าว่าผมเป็นคนอารมณ์ขันนิดหน่อยกับเพื่อนสนิท แต่ไม่ใช่กับคนทั่วไป แต่แทฮยองก็ยอมรับว่าไม่ได้รู้สึกลบอะไรกับเสียงหัวเราะของคนตรงหน้าซักนิด

     

                    "หัวเราะทำไมครับ?" น้ำเสียงละมุนที่ไม่เคยนำมาใช้กับกลุ่มเพื่อนเป็นเครื่องการันตีได้ดี คนตัวขาวยิ้มแป้น ก่อนจะชี้เข้าที่ริมฝีปากของเขา

     

                    "เมื่อกี้คุณทำหน้าตาหงุดหงิด แต่คงจะไม่มีใครบอกคุณว่าไอศกรีมมันเลอะปากคุณอยู่น่ะครับ"

     

                    ทันทีที่คนตัวขาวพูดจบ แทฮยองก็คว้ามือเช็ดริมฝีปากทันที นึกด่าไอ้เด็กในอ้อมแขนอยู่ในใจ แต่สิ่งที่ผมพูดออกมาคือ "อ่า แย่จัง"

     

                    "ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ น่ารักดีออก"

     

                    อ่า

                    ชมขนาดนี้ รู้รึเปล่าครับว่าต้องรับผิดชอบกันด้วย?

     

                    "ยุนฮยองก็อ้อนไอศกรีมรสนี้กับผมเหมือนกัน กินเสร็จก็ง่วงนอน ผมก็เลยร้องเพลงกล่อม นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณพลัดหลงกันน่ะครับ"

     

                    อ่า

                    อย่างนี้นี่เอง

     

                    "จริงๆ ผมไม่ชอบเด็กหรอกครับ แต่เจอเด็กที่ไหนไม่รู้มาอ้อนเอาไอศกรีม ก็เลยให้ไป จริงๆก็ไม่รู้จะรับมือยังไงเลยกล่อมให้น้องนอนไปก่อน อีกซักพักก็จะไปแจ้งประชาสัมพันธ์แล้วล่ะครับ คงเสียเวลาคุณแย่เลยสิ ขอโทษด้วยนะครับ"

     

                    "อ่า.. ครับ"

     

                    แย่จัง

     

                    คิมแทฮองโคตรจะเป็นผู้สนทนาที่แย่สุดๆไปเลย แต่ทำยังไงได้ล่ะ

                    ริมฝีปากสีชมพูนั่น แม่งโคตรร้ายกาจเลยว่ะ

     

                    "ยังไงก็ขอโทษอีกทีแล้วกันนะครับ ผมสบายใจเวลาคุยกับคนแปลกหน้าน่ะ และน้องคงชอบไอศกรีมรสมิ้นต์น่าดูเลย"

     

                    คนตัวขาวฉีกยิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นจากม้านัง มือเล็กนั่นกระตุกเสื้อแขนยาวของตัวเองเข้าหากันก่อนจะโบกมือลาคุณพ่อวัยละอ่อนกับเด็กชายในอ้อมแขนเมื่อหมดธุระจะพูดด้วยแล้ว

     

                    แย่ล่ะสิ

                    ถ้าผมปล่อยให้เป็นแบบนี้ เม็ดยาสีน้ำเงินนั่นก็ไม่มีจริงซะด้วย

     

                    "ผม คิมแทฮยอง อายุสิบเก้า เกรดเฉลี่ยไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่ผมก็สอบตรงติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เอ ได้นะ"

     

                    "..."

     

                    "จริงๆ ผมเองก็ไม่ชอบเด็ก แต่นั่นแหละ ผมทำพลาดไปแล้ว เด็กนี่ไม่ใช่น้องชายผมหรอก เขาคือลูกชายผมเองล่ะ แต่เขาก็น่าเอ็นดูนะ"

     

                    "..."

     

                    "ผมกลัวผีนะ แต่ก็ชอบดู มันท้าทายดีเวลาที่ดูหรือเล่าเรื่องน่าขนลุกให้เพื่อนฟัง และเหมือนจะมีหนังสยองขวัญน่าดูที่ยังฉายอยู่ในโรงนะครับ"

     

                    "อ่า.."

     

                    "ถ้าไม่รังเกียจ สนใจไปดูหนังกับผมมั้ยครับ?"

     

     

     

                    "แย่จังครับ ผม มินยุนกิ ปฏิเสธคนไม่ค่อยเก่งซะด้วยสิ :)"

     

    (End)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×