ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (hsr2) os/sf - perfect two ♡

    ลำดับตอนที่ #2 : series/ it isn't in my blood (harry potter! au) [2]

    • อัปเดตล่าสุด 11 เม.ย. 64


    title: serie - it isn't in my blood (harry potter!au) [2]
    paring: kim haon/lee byungjae
    bgm: shawn mendes - in my blood
    note: ยอมรับเลยว่าตกใจกับยอดเม้นจริงๆค่ะ มันเกินกว่าที่เราคาดไว้ ตอนแรกเราคือกะจะแต่งเองอ่านเองล้วนๆเลย มีฟีลตอนไหนค่อยมาอัพ เจองี้แล้วรู้สึกมีไฟ 55555555 ขอบคุณนะคะ /_\

     


     

     

    just have a drink and you’ll feel better
    keep telling me that it gets better. does it ever?
    ดื่มมันซะ เดี๋ยวนายจะรู้สึกดีขึ้นเอง
    บอกอยู่ทุกวันว่าเดี๋ยวมันจะดีขึ้นเอง
    . แล้วมันเคยดีขึ้นไหมล่ะ?

     

     

     

     

                    นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าวรรณกรรมเกลื่อนโลกอย่างแฮร์รี่พอตเตอร์มีประโยชน์

     

                    ความหมายของคำว่า 'เกลื่อนโลก' ของเขานั่นเปรียบเปรยอย่างตรงความหมาย ซีรี่ส์เซ็ตนี้ถูกตีพิมพ์ไปทั่วโลก และแน่นอน หนึ่งในนั้นถูกส่งมาที่คฤหาสน์ของเขา ผู้เป็นมารดายังคงเก็บรักษาไว้ในห้องสมุดของคฤหาสน์ในหมวดหมู่ของวรรณกรรมสั่นประสาท

                    ใช่ ครอบครัวของเขามองว่า การที่ศาสตร์มืดพ่ายแพ้นั่นเป็นเรื่องขบขันและเป็นไปไม่ได้ ซึ่งมันผิดแผกจากเรื่องราวบนหน้าหนังสือนั่นโดยสิ้นเชิง

     

                    แต่ก็นั่นล่ะ เขาไม่ได้รู้สึกคิดต่างหรอก อย่างน้อยเขาก็ยังเป็นตระกูลอีผู้ซึ่งได้รับคัดเลือกให้ศึกษาต่อที่เดริมสแตรงก์ -- แค่เคยล่ะนะ

     

                    แต่ตอนนี้ วรรณกรรมสั่นประสาทที่เขาเคยให้คำนิยามไว้นั่นกลับเป็นประโยชน์ เขาไม่คิดว่าข้อมูลต่างๆ ของโรงเรียนเวทย์มนต์รั่วไหลออกมาเพราะหนังสือวรรณกรรมนั่นเป็นเรื่องดีซะทีเดียว ถึงแม้ว่านั่นจะทำให้ฮอกวอร์ตกลายเป็นโรงเรียนที่ผู้วิเศษสนใจเข้าศึกษาต่อมากเป็นประวัติการณ์ก็ตามที

     

     

                    ตอนนี้เขาอยู่ในห้องโถงประหลาดๆ แห่งหนึ่ง อ้างอิงจากวรรณกรรม มันเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่เบื้องบนเป็นท้องฟ้าจำลอง โต๊ะอาหารถูกวางเรียงเป็นแถวตรงหลายๆ แถว ซึ่งมีนักเรียนฮอกวอร์ตปีสูงนั่งเรียงกันเป็นบ้านๆ ที่เห็นได้ชัดจากเครื่องแบบยูนิฟอร์ม อาหารที่ถูกจัดวางอย่างเรียบง่ายแต่กลับดูน่าลิ้มลองไม่หยอกน้่นไม่ได้ต่างอะไรกับที่เขาอ่านเจอในหนังสือเลยด้วยซ้ำ ที่ต่างก็คงเป็นชื่อคุณครูใหญ่ล่ะกระมัง

     

     

                    "โทษทีนะ ไม่อยากรู้จักนักหรอก แต่ขอนั่งด้วยแล้วกัน"

     

                    บุคคลมาใหม่พูดขึ้น ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับเขาซึ่ง -- แหงล่ะ ก่อนหน้านั้นมันกลายว่าเขาดูเด่นไปเลยเพราะมีช่องโหว่รอบทิศ แต่นั่นไม่ทำให้มันดูเด่นมากเกินไปเพราะเก้าอี้ถูกดีไซน์ให้วางเป็นทางยาวต่อเนื่องกัน

                    อีบยองแจเลิกคิ้ว พลางมองบุคคลมาใหม่ที่สวมใส่เสื้อคอเต่าหม่นๆ ทับด้วยเบลซเซอร์สีสุภาพที่ดูขนาดใหญ่กว่าเจ้าตัวประมาณไซส์สองไซส์ล่ะมั้ง -- กะด้วยสายตาล่ะนะ เขาเพียงแค่รู้สึกเบื่อกับพิธีจนต้องละสายตาจากมันมาวิเคราะห์สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าอย่างห้ามไม่ได้ ไม่ได้อยากจะรู้คำตอบหรอก

     

                    "ขโมยของพ่อมาใส่น่ะ เท่ดีใช่มะ"

     

                    "..." บยองแจขมวดคิ้ว เดี๋ยวนี้มีหลักสูตรการเรียนของพ่อมดสามัญชนมีสอนการอ่านใจตั้งแต่เด็กเลยรึไง

     

                    "เฮ้ ฉันแค่คิดว่านายคงสงสัยเฉยๆ ไม่ต้องทำหน้าตาขนลุกขนาดนั้น" เจ้าตัวตอบกลับ และนั่นทำให้เขาแทบจะอ้าปากเถียงไม่ทัน หน้าตาขนลุกเหรอ ตลกชะมัด ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยแสดงสีหน้าไร้ศักดิ์ศรีนั่นออกไปแม้จะอาศัยอยู่ในตระกูลอีก็ตามที "ไม่แปลกหรอก ก่อนหน้านี้ฉันโดนคำถามนี้จนพรุนแล้วล่ะ มีคาแรคเตอร์ไม่ดีหรือไง"

     

                    บยองแจไม่ตอบ เพียงแต่ยกคำพูดของอีกคนมาขบคิด การมีคาแรคเตอร์น่ะเหรอ คงจะดีกับผู้ที่อยากจะสานสัมพันธ์กับผู้อื่นล่ะนะ อย่างเจ้าหมอนี่คงเป็นประเภทคิดเองเออเองในระดับกู่ไม่กลับ ส่วนคิมฮาอน -- ให้ตายสิ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าเด็กเอเชียผอมกระหร่องนั่นจะกลับมาอยู่ในความคิดเขาได้อีกครั้ง

                    ปฏิเสธไม่ได้หรอก แม้ว่าคนตรงหน้าเขาจะประหลาด แต่คิมฮาอนน่ะ ประหลาดกว่าหลายเท่า

     

     

                    "เอาล่ะ จริงๆ ฉันเองก็ไม่ได้อยากเกี่ยวข้องอะไรกับนายนักหรอกนะอีบยองแจ เพียงแต่ -- ฉันสงสัยน่ะ"

     

                    สาบานสิว่าเจ้าตัวไม่ได้อยากข้องเกี่ยวกับเขา อีบยองแจถอนหายใจ เขาเดาผิดซะที่ไหนที่เจ้าตัวเป็นโรคคิดเองเออเอง แถมประโยคที่หลุดออกมาจากปากคนตรงหน้านั่นเป็นหลักฐานชิ้นดีที่บอกว่าเจ้าตัวรู้จักเขาเสียด้วย

                    แต่ช่างมันประไร เขาเองก็อยากจะรู้อยู่เหมือนกันว่าเจ้านี่ต้องประสาทขนาดไหนถึงเอาตนเองมาพัวพันกับตัวอันตรายแบบเขา

     

                    "นายได้รับจดหมายจากเดริมสแตรงก์ใช่ไหม"
                   
    "อืม"

                    "แล้วเรื่องที่นายเผามันทิ้งด้วยตัวเองล่ะ จริงไหม"

     

                    บยองแจเลิกคิ้ว บางทีเขาอาจจะตีเกรดความสามารถของพ่อมดแม่มดสามัญชนน้อยเกินไป แต่ก็นั่นล่ะ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ของตระกูลเขาเชียวล่ะ

     

                    "อืม" น่าขัน เขาอาจจะติดเชื้อบ้าบอจากคนตรงหน้าเข้าแล้วกระมังถึงยอมตอบคำถามที่ไม่อยากให้ผู้อื่นล้วงถึงเท่าไหร่นัก

     

                    แต่ทว่า ปฏิกิริยาตอบโต้ของคนตรงหน้าทำเขาประหลาดใจเล็กน้อย เจ้าตัวไม่ได้ทำตาโต ร้องดีใจที่ข้อมูลที่ได้รับมาถูกต้อง อีกคนเพียงแต่วางมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ ผสานมันเข้าด้วยกันราวกับใช้ความคิดขั้นสูงสุด

     

                    "โอเค เจ๋งโคตรไปเลยที่นายสามารถใช้คาถาไฟได้ตั้งแต่อายุสิบสาม แต่ก็นั่นแหละนะ นายคือตระกูลอีนี่"

                    "นี่คือคำชมหรือไง"

                    "คำชมสิ ถ้ามันออกมาจากปากฉัน นายควรรับรู้ไว้นะว่ามันวิเศษมาก"

     

                    อีบยองแจถอนหายใจ ให้ตาย คำชมพร้อมการถากถางนั่นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีเลยซักนิด แถมยังรู้สึกหนักใจขึ้นมาเสียดื้อๆ

     

                    "แต่ -- เดริมสแตรงก์น่ะ เขารับเฉพาะเด็กที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสตร์มืดใช่ไหม"

     

                    คนตรงหน้าเขาถามขึ้น รูปประโยคดูจริงจังผิดปกตินั่นทำให้เขาสงบนิ่งตามไปด้วย นั่นเป็นคำถามที่ดีไม่ใช่น้อย และไม่แปลกที่อีกคนเลือกมาถามเขา เพราะเดิมที เดริมสแตรงก์นั่นนับว่าเป็นโรงเรียนที่ลึกลับที่สุดในหมู่ของผู้วิเศษสามัญชนที่ต้นตระกูลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสตร์มืด คนทั่วไปจะรู้จักเดริมสแตรงก์ด้วยภาพลักษณ์อันโหดร้ายจากคำบอกเล่าปากต่อปากเสียมากกว่า

     

                    "อืม เขาคงไม่รับพ่อมดสามัญเข้ามาในรั้วโรงเรียนหรอก สิ่งที่ควบคุมยากที่สุดก็คือจิตใจคนเรานี่แหละ"

     

                    บยองแจตอบกลับด้วยเหตุผลที่ค่อนข้างอธิบายยากเล็กน้อย เขาหมายถึง -- โอเค ใครๆ ก็อาจจะเรียนที่เดริมสแตรงก์ได้ แต่ด้วยหลักสูตรที่จำเป็นต้องปิดเป็นความลับเนื่องด้วยความโหดร้ายนั้น มันจำเป็นที่จะต้องให้ผู้ที่เสมอกันในการเข้ารับการศึกษา เพราะมีเพียงแค่พวกเขาเหล่านั้นเข้าใจเหตุผล ประมาณนั้นล่ะนะ

     

                    หมายความว่า มีเพียงแค่ผู้วิเศษที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์มืดเท่านั้นถึงจะได้รับจดหมายจากเดริมสแตรงก์?”
                    “ประมาณนั้น

     

                    “ใช่มั้ยล่ะ! แล้วทำไมฉันได้รับมันล่ะวะ!”

     

                    อีบยองแจเลิกคิ้ว ท่ามกลางความเงียบสงบของพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ คนตรงหน้าเขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มือหนาๆ สมความเป็นชายนั่นล้วงเข้าไปในเบลซเซอร์ตัวใหญ่กว่าขนาดตัว ก่อนจะวางจดหมายเจ้าปัญหาที่เขามองจากหางตาก็รู้ว่ามันมาจาก เดริมสแตรงก์ หยาดโลหิตสีแดงเพลิงบนมุมขวาของหน้ากระดาษซึ่งถูกเล่าขานกันมาว่านี่เป็นโลหิตของจ้าวแห่งศาสตร์มืดผู้ก่อตั้งโรงเรียน ซึ่งจะซึมติดเป็นสีกับจดหมายเชิญเข้าศึกษาต่อเฉพาะผู้วิเศษเหมาะสมเพียงเท่านั้น

     

                ‘Rohan Lee’

     

                    อีโรฮัน? นี่คงเป็นชื่อของเขาสินะ น่าสนใจไม่น้อย ท่าทางประหลาดใจถึงขีดสุดของคนตรงหน้าทำให้เขาแน่ใจว่านี่ไม่ใช่เรื่องโกหก และดูเหมือนว่าอีกคนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสตร์มืดเลยแม้แต่นิดเดียว โอเค ถึงจะใช้สายตาและความรู้สึกประเมินไม่ได้ แต่เชื่อเถอะ ตระกูลของเขามีอำนาจและกว้างขวางพอที่จะมีข้อมูลของทุกคนที่มีสิทธิ์จะปีนป่ายขึ้นมาเทียบเคียง และเจ้าหมอนี่น่ะ ไม่ได้อยู่ในสายตาเลยแม้แต่นิด

     

     

                    นายว่าบางที เอ่อ มีสิทธิ์ที่เดริมสแตรงก์จะผิดพลาดบ้างไหม?”

                    ไม่มีทาง เดริมสแตรงก์มีวิธีตรวจสอบความเหมาะสมของนักเรียนตามวิธีของพวกเขาเอง และนั่นไม่เคยผิดพลาด เขาไม่ได้พูดถึงโลหิตของผู้ก่อตั้งโรงเรียนหรอก และเขาเองค่อนข้างมั่นใจว่าพวกเขาเหล่านั้นมีวิธีตรวจสอบที่วุ่นวายกว่านี้พอสมควร เขาเดาได้ระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนได้รับจดหมายนั่น เรื่องราวประหลาดๆ มักประเดประดังอยู่ในหัวแม้ว่าเขาจะไม่เคยนึกถึงมันมาก่อน บยองแจคิดว่านั่นเป็นวิธีทดสอบระดับจิตใจในการรับมือกับเรื่องโหดร้ายของเดริมสแตรงก์

     

                    “บางทีการเติบโตขึ้น มันก็น่าเบื่อ

                    “หมายถึง?”

     

                    “ก็แค่ ตอนนี้นายคงใกล้จะเป็นประสาท เพราะมั่นใจว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสตร์มืดเลยแม้แต่นิดเดียวบยองแจชันข้อศอกทั้งคู่ลงบนโต๊ะ ผสานมือเข้าด้วยกัน พลางมองหน้าของเพื่อนร่วมชะตากรรมที่กำลังทำหน้าตาตื่นตระหนกอย่างปิดไม่มิด รอยยิ้มมุมปากผุดขึ้นมาบนใบหน้า นั่นล่ะ เขารู้เรื่องของตัวเองดีมากกว่าใคร เพราะอย่างนั้น เขาถึงค้านหัวชนฝาว่าเขาไม่เคยทำสีหน้าขนลุกกับคำพูดของอีโรฮัน ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว

     

                แต่ทว่า ผู้ใหญ่มักทำลายความคิดของเราจนไม่มีชิ้นดี

     

                    เขารู้ตัวเองดี รู้ว่าเขาทำสีหน้าอย่างไร รู้ว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกไปนั่นแข็งหรืออ่อนนุ่มมากเพียงใด และรู้ว่าประโยคที่เขาพูดออกไปนั่นหมายถึงอะไร

                    แต่เขาไม่รู้ว่าอีโรฮันจะเข้าใจมันได้มากน้อยเพียงใด

                   

                   

                    พิธีปฐมนิเทศจบลงไปพร้อมกับบทสนทนาชวนอึดอัดใจของเขากับอีโรฮัน ต่อจากนั้นเป็นพิธีที่สำคัญที่สุดในรอบวัน โอเค ใครที่เคยอ่านวรรณกรรมสั่นประสาทอย่างแฮร์รี่พอตเตอร์เหมือนเขาก็คงรู้ดีว่ามันคืออะไร อาจารย์ใหญ่นำหมวกรูปร่างประหลาดที่ขยับไปมาได้เหมือนกับรูปใบหน้าของมอนสเตอร์ในเกมต่อสู้ปี 90 นักเรียนฮอกวอร์ตโดยเฉพาะเด็กปีหนึ่งดูตื่นตาตกใจกับมันสุดๆ ซึ่งเขาเองก็มั่นใจอีกนั่นแหละว่าแต่ละคนแทบจะท่องไดอาล็อกของพิธีการบ้าบอนี่ได้แล้วจากวรรณกรรมชั้นยอดที่มีอยู่ในบ้านทุกหลัง และก็เขาอีกนั่นแหละทำหน้าตายในพิธีจนหลายคนเก็บไปซุบซิบกันว่าลูกชายจ้าวแห่งศาสตร์มืดไม่มีอารมณ์ร่วมกับพิธีของพ่อมดแม่มดบริสุทธิ์

                    ให้ตายสิ จะเข้าร่วมก็หาว่าเขาเป็นสายลับจากตระกูลมาทำลายพิธี พอทำหน้าเบื่อหน่ายก็ด่าว่าเขาไม่มีส่วนร่วม คนที่ไม่รู้อะไรซักอย่างแต่สักจะวิจารณ์นี่มันน่ารำคาญชะมัด

     

                    พิธีคัดสรร อ่า สีสันของวันนี้เลยนะเนี่ย

                   

                    อีโรฮันพูดออกมาหลังจากเงียบปากไปเกือบชั่วโมงก่อนหน้านั้น ใบหน้าสะลึมสะลือนั่นทำให้เขารู้ได้ในทันทีว่าหมอนี่มันแอบหลับในพิธี น้ำลายเป็นวงๆ เปื้อนอยู่บนเสื้อคอเต่าของเขาอย่างปิดไม่มิด และแน่นอนว่าอีบยองแจไม่ใช่คนดีที่จะกล่าวเตือนอีกคนซะด้วย น่ารังเกียจซะไม่มี

     

                    นาย บยองแจ สลิธีรินแน่นอน แถมชื่อขึ้นต้นด้วยตัวอักษรบีอีก คงได้เข้าพิธีคัดเลือกเป็นคนแรกๆแหง ฉันรอเห็นเด็กปีหนึ่งร้องไห้เพราะได้อยู่บ้านเดียวกับนายไม่ไหวแล้วล่ะ

     

                    อีกคนพูดขึ้น พลางหัวเราะในลำคอออกมาอย่างกวนประสาท และนั่นทำให้เขาถอนหายใจเป็นรอบที่ เท่าไหร่แล้วไม่รู้ของวัน แต่ช่างเถอะ เขาไม่เถียงหรอก การอยู่บ้านเดียวกับเขาในฮอกวอร์ตนั่นคงเป็นฝันร้ายของเด็กที่นี่ล่ะนะ

     

                    “อเล็กซานเดอร์ โจนส์, กริฟฟินดอร์!”
                   
    อลิซ วิลสัน, เรเวนคลอ!”
                   
    ออกัส ฮิล, เรเวนคลอ!”
                    “ออสติน บราวน์, ฮัฟเฟิลพัฟ!”

                    เบนจามิน อีแวน, สลิธีริน!”

     

                    เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นเมื่อเด็กชายได้ยินคำประกาศจากหมวกคัดสรรเมื่อซักครู่ ซึ่งแน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับกลุ่มคนก่อนหน้า ใบหน้าสลดของเด็กชายฉายอยู่บนใบหน้าอย่างปิดไม่มิด ก่อนที่เด็กปีหนึ่งจะเริ่มตะโกนว่า อีแวน! ไม่เป็นไร! อีแวน! ไม่เป็นไร!” กันจนก้องห้องโถงจนกลายเป็นความวุ่นวายที่ห้ามไม่ได้ถ้าหากอาจารย์ใหญ่ไม่ลงมาควบคุมสถานการณ์ด้วยตนเอง

                    แต่ก็นั่นแหละ อาจารย์ใหญ่น่ะ คุมได้แค่สถานการณ์แค่นั้นแหละ

     

                แค่คิดว่าหกปีหลังจากนี้ต้องอยู่บ้านเดียวกับตระกูลอี ฉันก็ขนลุกแล้วเนี่ย
                “ให้ตายสิ ใครๆ ก็อยากจบจากโรงเรียนดีๆ ทำงานที่กระทรวงเวทย์มนต์ ใช้ชีวิตอย่างแก่เฒ่าอย่างมีความสุข ทำไมเขาต้องมาเสี่ยงตายเพราะอยู่บ้านเดียวกับตระกูลอีด้วยนะ
               
    ตระกูลอีนี่ ตัวปัญหาชัดๆ
               
    เฮ้ พวกนายหยุดตอกย้ำอีแวนได้แล้วน่า!”

     

     

                    “ปฏิกิริยาตอบรับรุนแรงกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลยว่ะพวก อีโรฮันกล่าวขึ้นหลังจากความวุ่นวายจบลง เชื่อเถอะ อีกคนไม่ได้หมายถึงใบหน้าของเบนจามิน อีแวน ที่เบะปากพร้อมร้องไห้อยู่ร่อมร่อถ้าหากเพื่อนร่วมโต๊ะตอกย้ำความซวยของเจ้าตัวหรอก อีโรฮันคงหมายถึงเรื่องที่เขาถูกโยงเข้าไปในบทสนทนาซะมากกว่า แต่นายดูนิ่งกว่าที่คิด คงเจอเรื่องแบบนี้จนชินแล้วสินะ

     

                    ตามนั้น อีบยองแจตอบไปตามความจริง ใบหน้าเขาเรียบนิ่งตามความรู้สึกของเขา แต่ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าครั้งแรกที่เขาได้รับคำวิจารณ์นั่นทำให้เขาจิตตกไปเล็กน้อย แต่ก็นั่นแหละ เขาแก้ไขความคิดของพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ ความรู้สึกนั้นจึงกลายเป็นความเบื่อหน่ายไปในที่สุด รู้แล้วก็ดี ถ้านายยังนั่งอยู่ตรงนี้อีกสามสิบนาที นายอาจจะเป็นหัวข้ออันต่อไปให้พวกเขากล่าวถึง

     

                    อีโรฮันหัวเราะออกมาเต็มเสียงจนเด็กปีหนึ่งรอบข้างหันมามองด้วยความสนใจ และนั่นทำให้เขารู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าตัวยักไหล่ ไม่ได้ยี่หระอะไรกับสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของคนรอบข้างที่คงจะคิดว่า ไอ้หมอนี่กล้าหัวเราะต่อหน้าลูกชายจ้าวแห่งศาสตร์มืดได้ยังไง อะไรประมาณนั้น

     

                    เป็นเพื่อนนายแล้วจะโดนนินทาตลอดหกปีน่ะเหรอ น่าสนใจดีนี่

     

                    สาบานเลย เขาคิดว่าไอ้หมอนี่มันบ้าโคตรๆ

     

                    บยองแจ ลี

     

                    ชื่อของเขาถูกเรียกออกมาจากปากของอาจารย์ใหญ่ในสำเนียงภาษาอังกฤษ และนั่นเป็นสัญญาณว่าเขาคือคนต่อไปที่ต้องเข้าพิธีคัดสรร บยองแจลุกขึ้น สายตาของผู้วิเศษนับร้อยพุ่งมาที่ตัวเขา พร้อมกับฉายาที่เขาเบื่อหน่ายที่จะได้ยินมากกว่าการทนนั่งรถบัสสีแดงเมื่อตอนเช้าเสียอีก

                    มันอาจจะเป็นนิสัยของเขาไปแล้ว วางสายตาและจุดโฟกัสไว้ตรงหน้านั่นทำให้เขาไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวเท่าไหร่นักจนเขาใช้สายตาเรียบนิ่งมองทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า นั่นอาจจะดูเป็นการกระทำที่น่าขนลุกสำหรับหลายคน แต่ก็นั่นล่ะ เขาถูกสอนให้ประพฤติตัวแบบนี้มาตั้งแต่เกิด การอยู่ในรั้วคฤหาสน์ตระกูลนั้นมีหลักสูตรที่สอนเรื่องความประพฤติมากกว่าที่ใครหลายคนจะตระหนักถึงได้ และทุกอย่างจะถูกหล่อรวมเป็นคำว่า ความน่าเกรงขาม คุณแม่เขาบอกไว้อย่างนั้นล่ะนะ

     

                    อืม ตระกูลอีสินะ น่าสนใจกว่าที่คิด
                   
    “…”
                   
    ซับซ้อนเหลือเกิน ถูกแล้วล่ะ คนอย่างนายน่ะ เดริมสแตรงก์ก็รับไม่ไหวหรอก

                    คุณเลิกพล่ามซักทีเถอะ

     

                    เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกคราเมื่อเขาตอบกลับหมวกคัดสรรด้วยฝีปากของตนเองราวกับนี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ให้ตายสิ ไม่มีกฎข้อไหนบอกว่าห้ามหยุดคู่สนทนาถ้าหากอีกคนกำลังพูดถึงเรื่องที่เขาไม่อยากให้ทุกคนรับรู้นี่

                    อีบยองแจขมวดคิ้ว ถึงจะรู้ก็ตามทีว่าเจ้าหมวกคัดสรรบ้าบอนี่ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้จากมุมนี้เพราะเขาสวมใส่มันอยู่ แต่ก็นั่นแหละ อีกฝ่ายคงรับความรู้สึกคุกกรุ่นของเขาได้ คาดเดาจากเสียงหัวเราะที่ดังออกมาจนตัวเขารู้สึกได้ถึงแรงสั่นกระเพื่อมของหมวกใบเก่าบนศีรษะ

     

                    ตอนแรกก็เห็นใจล่ะนะ ว่าจะจัดให้นายอยู่ในที่ที่เหมาะสม
                   
    “…”

                    บยองแจ ลี, สลิธีริน!”

     

                   

                    “เดาหวยทำไมไม่ถูกแบบนี้วะเนี่ย

     

                    นั่นคือเสียงตอบรับของอีโรฮันหลังจากที่เขาผ่านพิธีคัดสรรเสร็จเรียบร้อย บยองแจไม่ได้สนใจคำเยินยอตัวเองของเจ้าตัวหรอก ถ้าการคาดเดาว่าเขาจะได้อยู่บ้านไหนในฮอกวอร์ตเป็นการพนันจริง เจ้ามือคงจะเจ๊งไปนานแล้วล่ะ

                    ถึงเขาจะนั่งลงบนเก้าอี้, เข้าร่วมพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตามที แต่อีบยองแจยังคงมองตรงไปที่แท่นทำพิธีอย่างละสายตาไม่ได้ หมวกคัดสรรถูกวางลงบนศรีษะของเด็กปีหนึ่งด้วยมือของอาจารย์คนหนึ่งในฮอกวอร์ต เจ้าหมวกคัดสรรนั่นจะนิ่งไปพักหนึ่ง รอยยับที่ปรากฏเป็นใบหน้าของมอนสเตอร์ในเกมต่อสู้ปี 90 นั่นหลับตาลงเพื่อครุ่นคิดว่าเด็กคนนี้ควรอยู่บ้านไหนในหกปีต่อจากนี้

                    อ้างอิงจากวรรณกรรมสั่นประสาทที่เขาเคยอ่าน ทุกอย่างที่หมวกคัดสรรเลือกให้นั้นขึ้นอยู่กับตัวตนของผู้เข้าคัดเลือกอย่างแท้จริง อย่างพอตเตอร์ เด็กชายผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมสงครามผู้วิเศษกับจ้าวแห่งศาสตร์มืดในนิยายนั่น แน่นอนว่าเขาต้องอยู่กริฟฟินดอร์ และไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ามัลฟอยด์ควรอยู่สลิธีริน ลำพังแค่เรื่องตระกูลนั่นก็มีเหตุผลมากพอแล้ว

     

                    ในขณะที่เขากำลังขบคิด สายตาของเขาบังเอิญไปจบลงที่อาจารย์ใหญ่ อีกคนกำลังมองมาทางเขาพอดี หล่อนระบายยิ้มให้เขา ท่าทีน่าเกรงขามนั่นทำให้เขาว้าวุ่นไปพักหนึ่ง

                    ราวกับเจ้าตัวรู้ว่าเขานึกคิดอะไรอยู่

     

     

                    โรฮัน ลี

     

                    คนตรงข้ามเขาลุกขึ้นตามเสียงเรียกของอาจารย์ใหญ่ อาจจะเพราะว่าเขานั่งอยู่ใกล้กับเจ้าหมอนี่กระมัง ถึงได้รู้ว่าอีโรฮันรู้สึกประหม่าไม่น้อยแม้ว่าเขาจะลุกขึ้นยืนด้วยความมั่นใจก็ตาม และนั่นทำให้เขาอดเอ่ยปากคาดเดาสลากกินแบ่งตามแบบฉบับของอีกคนเสียไม่ได้

     

                    กริฟฟินดอร์?”

                   

                    อีโรฮันยักไหล่ แสดงท่าทีไม่ยี่หระอะไรกับความคาดเดาของเขา แต่เจ้าตัวก็ยังไม่สาวเท้าไปยังแท่นพิธี ยังคงยืนอยู่ที่เดิมราวกับเสกในเวลาหยุดนิ่งไปแล้ว

                   

                    ถ้าฝืนโชคชะตาได้ คงสุดยอดไปเลยล่ะ

     

                    ในวินาทีนั้น เขายกยิ้มมุมปากให้กับเจ้าของประโยคโดยลืมไปเลยว่า เจ้าตัวคือคนที่ทำให้เขาถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจตลอดทั้งวัน

     

                    โรฮัน ลี, สลิธีริน!”

     

     

     

     

    (special part)

     

                   

     

     

                    นายมันประหลาด คิมฮาอน

                   

                    เขามันประหลาด มีหลายคนกล่าวอย่างนั้นเมื่อเขาสาวเท้าออกมาจากห้องโดยสารเบอร์ 4

                    ครั้งแรกที่เขาได้ยินอย่างนั้น เขาตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะ ทัศนียภาพถูกปิดลงด้วยสีดำ อ่า มันเป็นนิสัยของเขาไปแล้วล่ะ หัวเราะ ยิ้ม เวลาเจอสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกมีความสุขได้นั่นทำให้เขายิ้มจนตาปิดจริงๆ มันเป็นอัปกิริยาที่ดูน่ารักไปเลย เมื่อครั้นที่เขายังเด็ก มุกนี้ใช้ได้เสมอเมื่อเขาขออนุญาตผู้ปกครองไปเที่ยวเล่น

     

                    บ้าไปแล้วหรือไง นายน่ะ

     

                    นี่เป็นคำกล่าวที่สองที่เขาได้รับจากนักเรียนปีหนึ่งคนถัดมา มันเป็นคำว่าประหลาดในรูปแบบที่รุนแรงกว่าสินะ วินาทีแรกเขาคงรู้สึกเคืองอยู่หรอกที่เจ้าตัวใช้คำแบบนี้ทั้งๆที่เราไม่รู้จักกันเลยซักนิด แต่ท่าทางหวาดกลัวเกินกว่าจะต่อว่าได้นั่นทำให้เขาเปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทัน

     

                เป็นยังไงบ้างคิมฮาอน ฉันเดาว่านายคงโดนขู่ฆ่าตั้งแต่เขาเห็นหน้านายล่ะ
               
    เฮอะ ฉันว่าโดนตั้งแต่วินาทีแรกที่แย่งอากาศเขาหายใจต่างหาก
               
    หรือโดนฆ่าไปแล้วกัน ที่อยู่นี่ไม่ใช่นายสินะคิมฮาอน

     

                    เขาขมวดคิ้ว พยายามตีความของประโยคบ้าๆ ที่เปล่งออกมาจากปากของเด็กปีหนึ่งที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด อีบยองแจที่เขาพบเจอในห้องโดยสารหมายเลขสี่ไม่ได้มีทีท่าจะลงมือฆาตกรรมเขาตามที่พวกนั้นเดากันเป็นตุเป็นตะซักหน่อย

                    เพียงแต่เจ้าตัวน่าจะหงุดหงิดมากกว่าที่จู่ๆ เขาก็มานั่งอยู่ตรงหน้าล่ะนะ..

                   

                    ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละ ฉันคิมฮาอน ไม่ได้ถูกขู่ฆ่าอะไรทั้งนั้นด้วย

     

                “เป็นไปไม่ได้น่า เขาใช้คำพูดร้ายกาจเกินที่นายจะเข้าใจหรือเปล่า
                “บางทีเขาอาจจะเป็นไก่อ่อนก็ได้นะ เหมือนมัลฟอยด์ตอนปีหนึ่งไง คิมฮาอน! พ่อฉันต้องรู้เรื่องนี้แน่!”

     

                    พอได้แล้วน่า น่ารำคาญเป็นบ้าเลยพวกนายนี่

     

                    เสียงของบุคคลมาใหม่ดังขึ้น เบลซเซอร์สีสุภาพเกินกว่าที่จะทาบอยู่บนตัวของเด็กปีหนึ่งนั่นเตะตาคิมฮาอนรองจากประโยคที่แสดงได้ถึงความรำคาญของเจ้าตัว เด็กชายปีหนึ่งกลุ่มเล็กนั่นค่อยๆ สลายตัวไปเมื่อเห็นใบหน้าเรียบนิ่งของอีกคน แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาเดินเตาะแตะไปกับกลุ่มเด็กปีหนึ่งที่สาวเท้าไปยังห้องโถงเพื่อเข้าพิธีปฐมนิเทศที่กำลังจะเกิดขึ้น

                    เพียงแต่รู้สึกว่า คนตรงหน้ามีเรื่องจะพูดกับเขา ก็เท่านั้น

     

                    อีบยองแจ ไม่ได้ขู่ฆ่านายจริงๆ น่ะเหรอ?”

                    “แน่ซะยิ่งกว่าแน่เสียอีก นายเชื่อพวกเขางั้นเหรอ?”

     

                    คิมฮาอนตอบกลับด้วยคำถาม เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นึกว่าตัวเขาเองไม่ใช่คนเดียวเสียอีกที่ไม่เชื่อคำพูดสบประมาทอีบยองแจของกลุ่มเด็กปีหนึ่ง อีกอย่าง เจ้าตัวไม่มีความจำเป็นที่จะทำลายบทสนทนาก่อนหน้านั้นเลยซักนิดถ้าเขาเชื่อว่าบยองแจโหดร้ายอย่างที่เล่ากันมาปากต่อปากจริงๆ

     

                    เคยเชื่อก็พอมั้ง แหงล่ะ ยังไงเลือดก็ข้นกว่าน้ำอยู่แล้วนี่ เจ้าตัวพูดอย่างไม่ยี่หระ แต่ก็นั่นแหละ การเป็นตระกูลอีนั่นทำให้ถูกเข้าใจผิดอย่างง่ายดายเสียทีเดียวล่ะ อาจจะฟังดูโง่ๆ นะ แต่ฉันไม่คิดว่าการที่นายยอมเสี่ยงอยู่ในห้องโดยการเดียวกับอีบยองแจเป็นชั่วโมงเพียงเพราะนายสงสัยน่ะ

     

                    น้ำเสียงติดทุ้มนั่นทำให้เขาชะงักเล็กน้อย ความเงียบเกิดขึ้นพร้อมกับฝีเท้าของเขากับเจ้าของเบลซเซอร์ตัวใหญ่นั่นที่มีเป้าหมายเดียวกันคือห้องโถงของฮอกวอร์ต แผ่นหลังกว้างของคนที่กำลังอยู่ในความคิดของเขาในขณะนี้อยู่ห่างกับเขาประมาณสองร้อยเมตร และไม่น่าเชื่อว่ามันทำให้เขาให้คำตอบกับตัวเองได้ไวขึ้นโดยไม่ต้องทบทวนความรู้สึกของตัวเองให้วุ่นวายไปมากกว่านี้

     

                    อืม -- แค่ความสงสัยมันฟังไม่ขึ้นจริงๆนั่นล่ะ
                   
    “…”

                    แค่รู้สึกว่า ถ้าช่วยอะไรเขาไม่ได้ คงจะรู้สึกผิดไปจนตายแน่ๆ

     

     

     

                   

                    ฮาอน คิม, สลิธีริน!”

     

     

     

    ((truly)end ep.2)

                   
                   

     

                   

    talk

    เพิ่งสังเกตว่า เป็นฟิคที่แต่งออกมาจากความรู้สึกส่วนตัวเยอะเหมือนกันนะเนี่ย 5555555
    เป็นทาสใคร ดูได้จากสิ่งที่เขียนมาเลยค่ะ ส่วนตัวชอบความสัมพันธ์ของบยองแจกับโรฮันมากๆ
    อารมณ์เพื่อนกันจริงๆ เล่นหัวกัน แซะกัน ส่วนเพื่อนอีกคนน่ะนี่แบบ เหมือนมาคนละเรื่อง เอ็นดู๊เอ็นดู (ชิป)
    5555555555555555555555555555555555555555
    พูดเรื่องตื้นตันใจไปแล้ว (แง้) ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ตกใจมากจริงๆ 5555555

    ปล. เรื่องต่างๆ ของเดริมสแตรงก์ เป็นจริงตามในนิยายเฉพาะเป็นโรงเรียนที่เน้นสอนเรื่องศาสตร์มืดนะคะ นอกนั้นเราสร้างเรื่องขึ้นมาเองหมด เพราะจะโยงเข้าพล็อตค่ะ สุดแฟนตาซี 555555555555555
    ปลล. ถึงจะบอกว่าใช้ bgm เป็นเพลง in my blood แต่ตอนแต่งนี่แอบฟัง Cause ไปด้วยค่ะ อินจัดเลย..


    hashtag #perfect2บอ < สกรีมแท็กนี้ได้นะคะ คือเราตกใจมากตอนเห็นว่ามีคนสกรีมด้วย (คนนึง ; _ ;) มีความสุขมาก แบบ เกินความคาดหมายอ่ะ 555555
    ขอบคุณนะคะ <3

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×