คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : series/ it isn't in my blood (harry potter! au) [2]
title: serie - it isn't in my blood (harry potter!au) [2]
paring: kim haon/lee byungjae
bgm: shawn mendes - in my blood
note: ยอมรับเลยว่าตกใจกับยอดเม้นจริงๆค่ะ
มันเกินกว่าที่เราคาดไว้ ตอนแรกเราคือกะจะแต่งเองอ่านเองล้วนๆเลย
มีฟีลตอนไหนค่อยมาอัพ เจองี้แล้วรู้สึกมีไฟ 55555555
ขอบคุณนะคะ /_\
just have a drink and you’ll feel
better
keep telling me that it gets better. does it ever?
ดื่มมันซะ เดี๋ยวนายจะรู้สึกดีขึ้นเอง
บอกอยู่ทุกวันว่าเดี๋ยวมันจะดีขึ้นเอง. แล้วมันเคยดีขึ้นไหมล่ะ?
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าวรรณกรรมเกลื่อนโลกอย่างแฮร์รี่พอตเตอร์มีประโยชน์
ความหมายของคำว่า
'เกลื่อนโลก' ของเขานั่นเปรียบเปรยอย่างตรงความหมาย
ซีรี่ส์เซ็ตนี้ถูกตีพิมพ์ไปทั่วโลก และแน่นอน หนึ่งในนั้นถูกส่งมาที่คฤหาสน์ของเขา
ผู้เป็นมารดายังคงเก็บรักษาไว้ในห้องสมุดของคฤหาสน์ในหมวดหมู่ของวรรณกรรมสั่นประสาท
ใช่
ครอบครัวของเขามองว่า การที่ศาสตร์มืดพ่ายแพ้นั่นเป็นเรื่องขบขันและเป็นไปไม่ได้
ซึ่งมันผิดแผกจากเรื่องราวบนหน้าหนังสือนั่นโดยสิ้นเชิง
แต่ก็นั่นล่ะ
เขาไม่ได้รู้สึกคิดต่างหรอก อย่างน้อยเขาก็ยังเป็นตระกูลอีผู้ซึ่งได้รับคัดเลือกให้ศึกษาต่อที่เดริมสแตรงก์
-- แค่เคยล่ะนะ
แต่ตอนนี้
วรรณกรรมสั่นประสาทที่เขาเคยให้คำนิยามไว้นั่นกลับเป็นประโยชน์
เขาไม่คิดว่าข้อมูลต่างๆ
ของโรงเรียนเวทย์มนต์รั่วไหลออกมาเพราะหนังสือวรรณกรรมนั่นเป็นเรื่องดีซะทีเดียว
ถึงแม้ว่านั่นจะทำให้ฮอกวอร์ตกลายเป็นโรงเรียนที่ผู้วิเศษสนใจเข้าศึกษาต่อมากเป็นประวัติการณ์ก็ตามที
ตอนนี้เขาอยู่ในห้องโถงประหลาดๆ
แห่งหนึ่ง อ้างอิงจากวรรณกรรม มันเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่เบื้องบนเป็นท้องฟ้าจำลอง
โต๊ะอาหารถูกวางเรียงเป็นแถวตรงหลายๆ แถว ซึ่งมีนักเรียนฮอกวอร์ตปีสูงนั่งเรียงกันเป็นบ้านๆ
ที่เห็นได้ชัดจากเครื่องแบบยูนิฟอร์ม อาหารที่ถูกจัดวางอย่างเรียบง่ายแต่กลับดูน่าลิ้มลองไม่หยอกน้่นไม่ได้ต่างอะไรกับที่เขาอ่านเจอในหนังสือเลยด้วยซ้ำ
ที่ต่างก็คงเป็นชื่อคุณครูใหญ่ล่ะกระมัง
"โทษทีนะ
ไม่อยากรู้จักนักหรอก แต่ขอนั่งด้วยแล้วกัน"
บุคคลมาใหม่พูดขึ้น
ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับเขาซึ่ง -- แหงล่ะ ก่อนหน้านั้นมันกลายว่าเขาดูเด่นไปเลยเพราะมีช่องโหว่รอบทิศ
แต่นั่นไม่ทำให้มันดูเด่นมากเกินไปเพราะเก้าอี้ถูกดีไซน์ให้วางเป็นทางยาวต่อเนื่องกัน
อีบยองแจเลิกคิ้ว
พลางมองบุคคลมาใหม่ที่สวมใส่เสื้อคอเต่าหม่นๆ
ทับด้วยเบลซเซอร์สีสุภาพที่ดูขนาดใหญ่กว่าเจ้าตัวประมาณไซส์สองไซส์ล่ะมั้ง -- กะด้วยสายตาล่ะนะ
เขาเพียงแค่รู้สึกเบื่อกับพิธีจนต้องละสายตาจากมันมาวิเคราะห์สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าอย่างห้ามไม่ได้
ไม่ได้อยากจะรู้คำตอบหรอก
"ขโมยของพ่อมาใส่น่ะ
เท่ดีใช่มะ"
"..." บยองแจขมวดคิ้ว
เดี๋ยวนี้มีหลักสูตรการเรียนของพ่อมดสามัญชนมีสอนการอ่านใจตั้งแต่เด็กเลยรึไง
"เฮ้
ฉันแค่คิดว่านายคงสงสัยเฉยๆ ไม่ต้องทำหน้าตาขนลุกขนาดนั้น" เจ้าตัวตอบกลับ
และนั่นทำให้เขาแทบจะอ้าปากเถียงไม่ทัน หน้าตาขนลุกเหรอ ตลกชะมัด
ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยแสดงสีหน้าไร้ศักดิ์ศรีนั่นออกไปแม้จะอาศัยอยู่ในตระกูลอีก็ตามที
"ไม่แปลกหรอก ก่อนหน้านี้ฉันโดนคำถามนี้จนพรุนแล้วล่ะ มีคาแรคเตอร์ไม่ดีหรือไง"
บยองแจไม่ตอบ
เพียงแต่ยกคำพูดของอีกคนมาขบคิด การมีคาแรคเตอร์น่ะเหรอ
คงจะดีกับผู้ที่อยากจะสานสัมพันธ์กับผู้อื่นล่ะนะ อย่างเจ้าหมอนี่คงเป็นประเภทคิดเองเออเองในระดับกู่ไม่กลับ
ส่วนคิมฮาอน -- ให้ตายสิ
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าเด็กเอเชียผอมกระหร่องนั่นจะกลับมาอยู่ในความคิดเขาได้อีกครั้ง
ปฏิเสธไม่ได้หรอก
แม้ว่าคนตรงหน้าเขาจะประหลาด แต่คิมฮาอนน่ะ ประหลาดกว่าหลายเท่า
"เอาล่ะ จริงๆ
ฉันเองก็ไม่ได้อยากเกี่ยวข้องอะไรกับนายนักหรอกนะอีบยองแจ เพียงแต่ --
ฉันสงสัยน่ะ"
สาบานสิว่าเจ้าตัวไม่ได้อยากข้องเกี่ยวกับเขา
อีบยองแจถอนหายใจ เขาเดาผิดซะที่ไหนที่เจ้าตัวเป็นโรคคิดเองเออเอง
แถมประโยคที่หลุดออกมาจากปากคนตรงหน้านั่นเป็นหลักฐานชิ้นดีที่บอกว่าเจ้าตัวรู้จักเขาเสียด้วย
แต่ช่างมันประไร
เขาเองก็อยากจะรู้อยู่เหมือนกันว่าเจ้านี่ต้องประสาทขนาดไหนถึงเอาตนเองมาพัวพันกับตัวอันตรายแบบเขา
"นายได้รับจดหมายจากเดริมสแตรงก์ใช่ไหม"
"อืม"
"แล้วเรื่องที่นายเผามันทิ้งด้วยตัวเองล่ะ
จริงไหม"
บยองแจเลิกคิ้ว
บางทีเขาอาจจะตีเกรดความสามารถของพ่อมดแม่มดสามัญชนน้อยเกินไป แต่ก็นั่นล่ะ
เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ของตระกูลเขาเชียวล่ะ
"อืม"
น่าขัน
เขาอาจจะติดเชื้อบ้าบอจากคนตรงหน้าเข้าแล้วกระมังถึงยอมตอบคำถามที่ไม่อยากให้ผู้อื่นล้วงถึงเท่าไหร่นัก
แต่ทว่า
ปฏิกิริยาตอบโต้ของคนตรงหน้าทำเขาประหลาดใจเล็กน้อย เจ้าตัวไม่ได้ทำตาโต
ร้องดีใจที่ข้อมูลที่ได้รับมาถูกต้อง อีกคนเพียงแต่วางมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ
ผสานมันเข้าด้วยกันราวกับใช้ความคิดขั้นสูงสุด
"โอเค
เจ๋งโคตรไปเลยที่นายสามารถใช้คาถาไฟได้ตั้งแต่อายุสิบสาม แต่ก็นั่นแหละนะ
นายคือตระกูลอีนี่"
"นี่คือคำชมหรือไง"
"คำชมสิ
ถ้ามันออกมาจากปากฉัน นายควรรับรู้ไว้นะว่ามันวิเศษมาก"
อีบยองแจถอนหายใจ
ให้ตาย คำชมพร้อมการถากถางนั่นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีเลยซักนิด
แถมยังรู้สึกหนักใจขึ้นมาเสียดื้อๆ
"แต่ --
เดริมสแตรงก์น่ะ เขารับเฉพาะเด็กที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสตร์มืดใช่ไหม"
คนตรงหน้าเขาถามขึ้น
รูปประโยคดูจริงจังผิดปกตินั่นทำให้เขาสงบนิ่งตามไปด้วย
นั่นเป็นคำถามที่ดีไม่ใช่น้อย และไม่แปลกที่อีกคนเลือกมาถามเขา เพราะเดิมที
เดริมสแตรงก์นั่นนับว่าเป็นโรงเรียนที่ลึกลับที่สุดในหมู่ของผู้วิเศษสามัญชนที่ต้นตระกูลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสตร์มืด
คนทั่วไปจะรู้จักเดริมสแตรงก์ด้วยภาพลักษณ์อันโหดร้ายจากคำบอกเล่าปากต่อปากเสียมากกว่า
"อืม
เขาคงไม่รับพ่อมดสามัญเข้ามาในรั้วโรงเรียนหรอก
สิ่งที่ควบคุมยากที่สุดก็คือจิตใจคนเรานี่แหละ"
บยองแจตอบกลับด้วยเหตุผลที่ค่อนข้างอธิบายยากเล็กน้อย
เขาหมายถึง -- โอเค ใครๆ ก็อาจจะเรียนที่เดริมสแตรงก์ได้
แต่ด้วยหลักสูตรที่จำเป็นต้องปิดเป็นความลับเนื่องด้วยความโหดร้ายนั้น
มันจำเป็นที่จะต้องให้ผู้ที่เสมอกันในการเข้ารับการศึกษา เพราะมีเพียงแค่พวกเขาเหล่านั้นเข้าใจเหตุผล
ประมาณนั้นล่ะนะ
“หมายความว่า
มีเพียงแค่ผู้วิเศษที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์มืดเท่านั้นถึงจะได้รับจดหมายจากเดริมสแตรงก์?”
“ประมาณนั้น”
“ใช่มั้ยล่ะ! แล้วทำไมฉันได้รับมันล่ะวะ!”
อีบยองแจเลิกคิ้ว
ท่ามกลางความเงียบสงบของพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ คนตรงหน้าเขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
มือหนาๆ สมความเป็นชายนั่นล้วงเข้าไปในเบลซเซอร์ตัวใหญ่กว่าขนาดตัว
ก่อนจะวางจดหมายเจ้าปัญหาที่เขามองจากหางตาก็รู้ว่ามันมาจาก ‘เดริมสแตรงก์’ หยาดโลหิตสีแดงเพลิงบนมุมขวาของหน้ากระดาษซึ่งถูกเล่าขานกันมาว่านี่เป็นโลหิตของจ้าวแห่งศาสตร์มืดผู้ก่อตั้งโรงเรียน
ซึ่งจะซึมติดเป็นสีกับจดหมายเชิญเข้าศึกษาต่อเฉพาะผู้วิเศษเหมาะสมเพียงเท่านั้น
‘Rohan Lee’
อีโรฮัน? นี่คงเป็นชื่อของเขาสินะ
น่าสนใจไม่น้อย
ท่าทางประหลาดใจถึงขีดสุดของคนตรงหน้าทำให้เขาแน่ใจว่านี่ไม่ใช่เรื่องโกหก
และดูเหมือนว่าอีกคนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสตร์มืดเลยแม้แต่นิดเดียว – โอเค ถึงจะใช้สายตาและความรู้สึกประเมินไม่ได้
แต่เชื่อเถอะ ตระกูลของเขามีอำนาจและกว้างขวางพอที่จะมีข้อมูลของทุกคนที่มีสิทธิ์จะปีนป่ายขึ้นมาเทียบเคียง
และเจ้าหมอนี่น่ะ ไม่ได้อยู่ในสายตาเลยแม้แต่นิด
“นายว่าบางที –
เอ่อ
มีสิทธิ์ที่เดริมสแตรงก์จะผิดพลาดบ้างไหม?”
“ไม่มีทาง
เดริมสแตรงก์มีวิธีตรวจสอบความเหมาะสมของนักเรียนตามวิธีของพวกเขาเอง
และนั่นไม่เคยผิดพลาด”
เขาไม่ได้พูดถึงโลหิตของผู้ก่อตั้งโรงเรียนหรอก และเขาเองค่อนข้างมั่นใจว่าพวกเขาเหล่านั้นมีวิธีตรวจสอบที่วุ่นวายกว่านี้พอสมควร
เขาเดาได้ระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนได้รับจดหมายนั่น เรื่องราวประหลาดๆ
มักประเดประดังอยู่ในหัวแม้ว่าเขาจะไม่เคยนึกถึงมันมาก่อน
บยองแจคิดว่านั่นเป็นวิธีทดสอบระดับจิตใจในการรับมือกับเรื่องโหดร้ายของเดริมสแตรงก์
“บางทีการเติบโตขึ้น
มันก็น่าเบื่อ”
“หมายถึง?”
“ก็แค่ – ตอนนี้นายคงใกล้จะเป็นประสาท
เพราะมั่นใจว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสตร์มืดเลยแม้แต่นิดเดียว” บยองแจชันข้อศอกทั้งคู่ลงบนโต๊ะ ผสานมือเข้าด้วยกัน พลางมองหน้าของเพื่อนร่วมชะตากรรมที่กำลังทำหน้าตาตื่นตระหนกอย่างปิดไม่มิด
รอยยิ้มมุมปากผุดขึ้นมาบนใบหน้า – นั่นล่ะ
เขารู้เรื่องของตัวเองดีมากกว่าใคร เพราะอย่างนั้น เขาถึงค้านหัวชนฝาว่าเขาไม่เคยทำสีหน้าขนลุกกับคำพูดของอีโรฮัน
ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว
“แต่ทว่า ผู้ใหญ่มักทำลายความคิดของเราจนไม่มีชิ้นดี”
เขารู้ตัวเองดี
รู้ว่าเขาทำสีหน้าอย่างไร
รู้ว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกไปนั่นแข็งหรืออ่อนนุ่มมากเพียงใด และรู้ว่าประโยคที่เขาพูดออกไปนั่นหมายถึงอะไร
แต่เขาไม่รู้ว่าอีโรฮันจะเข้าใจมันได้มากน้อยเพียงใด
พิธีปฐมนิเทศจบลงไปพร้อมกับบทสนทนาชวนอึดอัดใจของเขากับอีโรฮัน
ต่อจากนั้นเป็นพิธีที่สำคัญที่สุดในรอบวัน โอเค ใครที่เคยอ่านวรรณกรรมสั่นประสาทอย่างแฮร์รี่พอตเตอร์เหมือนเขาก็คงรู้ดีว่ามันคืออะไร
อาจารย์ใหญ่นำหมวกรูปร่างประหลาดที่ขยับไปมาได้เหมือนกับรูปใบหน้าของมอนสเตอร์ในเกมต่อสู้ปี
90
นักเรียนฮอกวอร์ตโดยเฉพาะเด็กปีหนึ่งดูตื่นตาตกใจกับมันสุดๆ
ซึ่งเขาเองก็มั่นใจอีกนั่นแหละว่าแต่ละคนแทบจะท่องไดอาล็อกของพิธีการบ้าบอนี่ได้แล้วจากวรรณกรรมชั้นยอดที่มีอยู่ในบ้านทุกหลัง
และก็เขาอีกนั่นแหละทำหน้าตายในพิธีจนหลายคนเก็บไปซุบซิบกันว่าลูกชายจ้าวแห่งศาสตร์มืดไม่มีอารมณ์ร่วมกับพิธีของพ่อมดแม่มดบริสุทธิ์
ให้ตายสิ
จะเข้าร่วมก็หาว่าเขาเป็นสายลับจากตระกูลมาทำลายพิธี พอทำหน้าเบื่อหน่ายก็ด่าว่าเขาไม่มีส่วนร่วม
คนที่ไม่รู้อะไรซักอย่างแต่สักจะวิจารณ์นี่มันน่ารำคาญชะมัด
“พิธีคัดสรร อ่า
สีสันของวันนี้เลยนะเนี่ย”
อีโรฮันพูดออกมาหลังจากเงียบปากไปเกือบชั่วโมงก่อนหน้านั้น
ใบหน้าสะลึมสะลือนั่นทำให้เขารู้ได้ในทันทีว่าหมอนี่มันแอบหลับในพิธี น้ำลายเป็นวงๆ
เปื้อนอยู่บนเสื้อคอเต่าของเขาอย่างปิดไม่มิด และแน่นอนว่าอีบยองแจไม่ใช่คนดีที่จะกล่าวเตือนอีกคนซะด้วย
น่ารังเกียจซะไม่มี
“นาย – บยองแจ สลิธีรินแน่นอน แถมชื่อขึ้นต้นด้วยตัวอักษรบีอีก
คงได้เข้าพิธีคัดเลือกเป็นคนแรกๆแหง
ฉันรอเห็นเด็กปีหนึ่งร้องไห้เพราะได้อยู่บ้านเดียวกับนายไม่ไหวแล้วล่ะ”
อีกคนพูดขึ้น
พลางหัวเราะในลำคอออกมาอย่างกวนประสาท และนั่นทำให้เขาถอนหายใจเป็นรอบที่ – เท่าไหร่แล้วไม่รู้ของวัน
แต่ช่างเถอะ เขาไม่เถียงหรอก
การอยู่บ้านเดียวกับเขาในฮอกวอร์ตนั่นคงเป็นฝันร้ายของเด็กที่นี่ล่ะนะ
“อเล็กซานเดอร์ โจนส์,
กริฟฟินดอร์!”
“อลิซ
วิลสัน, เรเวนคลอ!”
“ออกัส
ฮิล, เรเวนคลอ!”
“ออสติน
บราวน์, ฮัฟเฟิลพัฟ!”
“เบนจามิน อีแวน,
สลิธีริน!”
เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นเมื่อเด็กชายได้ยินคำประกาศจากหมวกคัดสรรเมื่อซักครู่
ซึ่งแน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับกลุ่มคนก่อนหน้า ใบหน้าสลดของเด็กชายฉายอยู่บนใบหน้าอย่างปิดไม่มิด
ก่อนที่เด็กปีหนึ่งจะเริ่มตะโกนว่า “อีแวน! ไม่เป็นไร!
อีแวน! ไม่เป็นไร!” กันจนก้องห้องโถงจนกลายเป็นความวุ่นวายที่ห้ามไม่ได้ถ้าหากอาจารย์ใหญ่ไม่ลงมาควบคุมสถานการณ์ด้วยตนเอง
แต่ก็นั่นแหละ อาจารย์ใหญ่น่ะ
คุมได้แค่สถานการณ์แค่นั้นแหละ
“แค่คิดว่าหกปีหลังจากนี้ต้องอยู่บ้านเดียวกับตระกูลอี
ฉันก็ขนลุกแล้วเนี่ย”
“ให้ตายสิ
ใครๆ ก็อยากจบจากโรงเรียนดีๆ ทำงานที่กระทรวงเวทย์มนต์
ใช้ชีวิตอย่างแก่เฒ่าอย่างมีความสุข ทำไมเขาต้องมาเสี่ยงตายเพราะอยู่บ้านเดียวกับตระกูลอีด้วยนะ”
“ตระกูลอีนี่
ตัวปัญหาชัดๆ”
“เฮ้ พวกนายหยุดตอกย้ำอีแวนได้แล้วน่า!”
“ปฏิกิริยาตอบรับรุนแรงกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลยว่ะพวก” อีโรฮันกล่าวขึ้นหลังจากความวุ่นวายจบลง เชื่อเถอะ
อีกคนไม่ได้หมายถึงใบหน้าของเบนจามิน อีแวน
ที่เบะปากพร้อมร้องไห้อยู่ร่อมร่อถ้าหากเพื่อนร่วมโต๊ะตอกย้ำความซวยของเจ้าตัวหรอก
อีโรฮันคงหมายถึงเรื่องที่เขาถูกโยงเข้าไปในบทสนทนาซะมากกว่า “แต่นายดูนิ่งกว่าที่คิด คงเจอเรื่องแบบนี้จนชินแล้วสินะ”
“ตามนั้น” อีบยองแจตอบไปตามความจริง ใบหน้าเขาเรียบนิ่งตามความรู้สึกของเขา
แต่ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าครั้งแรกที่เขาได้รับคำวิจารณ์นั่นทำให้เขาจิตตกไปเล็กน้อย
แต่ก็นั่นแหละ เขาแก้ไขความคิดของพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ ความรู้สึกนั้นจึงกลายเป็นความเบื่อหน่ายไปในที่สุด
“รู้แล้วก็ดี ถ้านายยังนั่งอยู่ตรงนี้อีกสามสิบนาที
นายอาจจะเป็นหัวข้ออันต่อไปให้พวกเขากล่าวถึง”
อีโรฮันหัวเราะออกมาเต็มเสียงจนเด็กปีหนึ่งรอบข้างหันมามองด้วยความสนใจ
และนั่นทำให้เขารู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าตัวยักไหล่ ไม่ได้ยี่หระอะไรกับสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของคนรอบข้างที่คงจะคิดว่า
‘ไอ้หมอนี่กล้าหัวเราะต่อหน้าลูกชายจ้าวแห่งศาสตร์มืดได้ยังไง’ อะไรประมาณนั้น
“เป็นเพื่อนนายแล้วจะโดนนินทาตลอดหกปีน่ะเหรอ
น่าสนใจดีนี่”
สาบานเลย
เขาคิดว่าไอ้หมอนี่มันบ้าโคตรๆ
“บยองแจ ลี”
ชื่อของเขาถูกเรียกออกมาจากปากของอาจารย์ใหญ่ในสำเนียงภาษาอังกฤษ
และนั่นเป็นสัญญาณว่าเขาคือคนต่อไปที่ต้องเข้าพิธีคัดสรร บยองแจลุกขึ้น
สายตาของผู้วิเศษนับร้อยพุ่งมาที่ตัวเขา พร้อมกับฉายาที่เขาเบื่อหน่ายที่จะได้ยินมากกว่าการทนนั่งรถบัสสีแดงเมื่อตอนเช้าเสียอีก
มันอาจจะเป็นนิสัยของเขาไปแล้ว
วางสายตาและจุดโฟกัสไว้ตรงหน้านั่นทำให้เขาไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวเท่าไหร่นักจนเขาใช้สายตาเรียบนิ่งมองทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
นั่นอาจจะดูเป็นการกระทำที่น่าขนลุกสำหรับหลายคน แต่ก็นั่นล่ะ
เขาถูกสอนให้ประพฤติตัวแบบนี้มาตั้งแต่เกิด การอยู่ในรั้วคฤหาสน์ตระกูลนั้นมีหลักสูตรที่สอนเรื่องความประพฤติมากกว่าที่ใครหลายคนจะตระหนักถึงได้
และทุกอย่างจะถูกหล่อรวมเป็นคำว่า ‘ความน่าเกรงขาม’ – คุณแม่เขาบอกไว้อย่างนั้นล่ะนะ
“อืม – ตระกูลอีสินะ น่าสนใจกว่าที่คิด”
“…”
“ซับซ้อนเหลือเกิน
ถูกแล้วล่ะ คนอย่างนายน่ะ เดริมสแตรงก์ก็รับไม่ไหวหรอก”
“คุณเลิกพล่ามซักทีเถอะ”
เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกคราเมื่อเขาตอบกลับหมวกคัดสรรด้วยฝีปากของตนเองราวกับนี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
ให้ตายสิ ไม่มีกฎข้อไหนบอกว่าห้ามหยุดคู่สนทนาถ้าหากอีกคนกำลังพูดถึงเรื่องที่เขาไม่อยากให้ทุกคนรับรู้นี่
อีบยองแจขมวดคิ้ว
ถึงจะรู้ก็ตามทีว่าเจ้าหมวกคัดสรรบ้าบอนี่ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้จากมุมนี้เพราะเขาสวมใส่มันอยู่
แต่ก็นั่นแหละ อีกฝ่ายคงรับความรู้สึกคุกกรุ่นของเขาได้
คาดเดาจากเสียงหัวเราะที่ดังออกมาจนตัวเขารู้สึกได้ถึงแรงสั่นกระเพื่อมของหมวกใบเก่าบนศีรษะ
“ตอนแรกก็เห็นใจล่ะนะ
ว่าจะจัดให้นายอยู่ในที่ที่เหมาะสม”
“…”
“บยองแจ ลี, สลิธีริน!”
“เดาหวยทำไมไม่ถูกแบบนี้วะเนี่ย”
นั่นคือเสียงตอบรับของอีโรฮันหลังจากที่เขาผ่านพิธีคัดสรรเสร็จเรียบร้อย
บยองแจไม่ได้สนใจคำเยินยอตัวเองของเจ้าตัวหรอก
ถ้าการคาดเดาว่าเขาจะได้อยู่บ้านไหนในฮอกวอร์ตเป็นการพนันจริง
เจ้ามือคงจะเจ๊งไปนานแล้วล่ะ
ถึงเขาจะนั่งลงบนเก้าอี้, เข้าร่วมพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตามที
แต่อีบยองแจยังคงมองตรงไปที่แท่นทำพิธีอย่างละสายตาไม่ได้
หมวกคัดสรรถูกวางลงบนศรีษะของเด็กปีหนึ่งด้วยมือของอาจารย์คนหนึ่งในฮอกวอร์ต เจ้าหมวกคัดสรรนั่นจะนิ่งไปพักหนึ่ง
รอยยับที่ปรากฏเป็นใบหน้าของมอนสเตอร์ในเกมต่อสู้ปี 90 นั่นหลับตาลงเพื่อครุ่นคิดว่าเด็กคนนี้ควรอยู่บ้านไหนในหกปีต่อจากนี้
อ้างอิงจากวรรณกรรมสั่นประสาทที่เขาเคยอ่าน
ทุกอย่างที่หมวกคัดสรรเลือกให้นั้นขึ้นอยู่กับตัวตนของผู้เข้าคัดเลือกอย่างแท้จริง
อย่างพอตเตอร์ เด็กชายผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมสงครามผู้วิเศษกับจ้าวแห่งศาสตร์มืดในนิยายนั่น
– แน่นอนว่าเขาต้องอยู่กริฟฟินดอร์
และไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ามัลฟอยด์ควรอยู่สลิธีริน
ลำพังแค่เรื่องตระกูลนั่นก็มีเหตุผลมากพอแล้ว
ในขณะที่เขากำลังขบคิด
สายตาของเขาบังเอิญไปจบลงที่อาจารย์ใหญ่ – อีกคนกำลังมองมาทางเขาพอดี
หล่อนระบายยิ้มให้เขา ท่าทีน่าเกรงขามนั่นทำให้เขาว้าวุ่นไปพักหนึ่ง
ราวกับเจ้าตัวรู้ว่าเขานึกคิดอะไรอยู่
“โรฮัน ลี”
คนตรงข้ามเขาลุกขึ้นตามเสียงเรียกของอาจารย์ใหญ่
อาจจะเพราะว่าเขานั่งอยู่ใกล้กับเจ้าหมอนี่กระมัง ถึงได้รู้ว่าอีโรฮันรู้สึกประหม่าไม่น้อยแม้ว่าเขาจะลุกขึ้นยืนด้วยความมั่นใจก็ตาม
และนั่นทำให้เขาอดเอ่ยปากคาดเดาสลากกินแบ่งตามแบบฉบับของอีกคนเสียไม่ได้
“กริฟฟินดอร์?”
อีโรฮันยักไหล่
แสดงท่าทีไม่ยี่หระอะไรกับความคาดเดาของเขา
แต่เจ้าตัวก็ยังไม่สาวเท้าไปยังแท่นพิธี
ยังคงยืนอยู่ที่เดิมราวกับเสกในเวลาหยุดนิ่งไปแล้ว
“ถ้าฝืนโชคชะตาได้
คงสุดยอดไปเลยล่ะ”
ในวินาทีนั้น เขายกยิ้มมุมปากให้กับเจ้าของประโยคโดยลืมไปเลยว่า
เจ้าตัวคือคนที่ทำให้เขาถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจตลอดทั้งวัน
“โรฮัน ลี, สลิธีริน!”
(special part)
“นายมันประหลาด คิมฮาอน”
เขามันประหลาด
มีหลายคนกล่าวอย่างนั้นเมื่อเขาสาวเท้าออกมาจากห้องโดยสารเบอร์ 4
ครั้งแรกที่เขาได้ยินอย่างนั้น
เขาตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะ ทัศนียภาพถูกปิดลงด้วยสีดำ – อ่า
มันเป็นนิสัยของเขาไปแล้วล่ะ หัวเราะ ยิ้ม
เวลาเจอสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกมีความสุขได้นั่นทำให้เขายิ้มจนตาปิดจริงๆ มันเป็นอัปกิริยาที่ดูน่ารักไปเลย
เมื่อครั้นที่เขายังเด็ก มุกนี้ใช้ได้เสมอเมื่อเขาขออนุญาตผู้ปกครองไปเที่ยวเล่น
“บ้าไปแล้วหรือไง
นายน่ะ”
นี่เป็นคำกล่าวที่สองที่เขาได้รับจากนักเรียนปีหนึ่งคนถัดมา
มันเป็นคำว่าประหลาดในรูปแบบที่รุนแรงกว่าสินะ วินาทีแรกเขาคงรู้สึกเคืองอยู่หรอกที่เจ้าตัวใช้คำแบบนี้ทั้งๆที่เราไม่รู้จักกันเลยซักนิด
แต่ท่าทางหวาดกลัวเกินกว่าจะต่อว่าได้นั่นทำให้เขาเปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทัน
“เป็นยังไงบ้างคิมฮาอน
ฉันเดาว่านายคงโดนขู่ฆ่าตั้งแต่เขาเห็นหน้านายล่ะ”
“เฮอะ
ฉันว่าโดนตั้งแต่วินาทีแรกที่แย่งอากาศเขาหายใจต่างหาก”
“หรือโดนฆ่าไปแล้วกัน
ที่อยู่นี่ไม่ใช่นายสินะคิมฮาอน”
เขาขมวดคิ้ว
พยายามตีความของประโยคบ้าๆ
ที่เปล่งออกมาจากปากของเด็กปีหนึ่งที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
อีบยองแจที่เขาพบเจอในห้องโดยสารหมายเลขสี่ไม่ได้มีทีท่าจะลงมือฆาตกรรมเขาตามที่พวกนั้นเดากันเป็นตุเป็นตะซักหน่อย
เพียงแต่เจ้าตัวน่าจะหงุดหงิดมากกว่าที่จู่ๆ
เขาก็มานั่งอยู่ตรงหน้าล่ะนะ..
“ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละ
ฉันคิมฮาอน ไม่ได้ถูกขู่ฆ่าอะไรทั้งนั้นด้วย”
“เป็นไปไม่ได้น่า
เขาใช้คำพูดร้ายกาจเกินที่นายจะเข้าใจหรือเปล่า”
“บางทีเขาอาจจะเป็นไก่อ่อนก็ได้นะ
เหมือนมัลฟอยด์ตอนปีหนึ่งไง คิมฮาอน! พ่อฉันต้องรู้เรื่องนี้แน่!”
“พอได้แล้วน่า
น่ารำคาญเป็นบ้าเลยพวกนายนี่”
เสียงของบุคคลมาใหม่ดังขึ้น
เบลซเซอร์สีสุภาพเกินกว่าที่จะทาบอยู่บนตัวของเด็กปีหนึ่งนั่นเตะตาคิมฮาอนรองจากประโยคที่แสดงได้ถึงความรำคาญของเจ้าตัว
เด็กชายปีหนึ่งกลุ่มเล็กนั่นค่อยๆ สลายตัวไปเมื่อเห็นใบหน้าเรียบนิ่งของอีกคน
แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาเดินเตาะแตะไปกับกลุ่มเด็กปีหนึ่งที่สาวเท้าไปยังห้องโถงเพื่อเข้าพิธีปฐมนิเทศที่กำลังจะเกิดขึ้น
เพียงแต่รู้สึกว่า
– คนตรงหน้ามีเรื่องจะพูดกับเขา
ก็เท่านั้น
“อีบยองแจ – ไม่ได้ขู่ฆ่านายจริงๆ น่ะเหรอ?”
“แน่ซะยิ่งกว่าแน่เสียอีก
นายเชื่อพวกเขางั้นเหรอ?”
คิมฮาอนตอบกลับด้วยคำถาม
เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นึกว่าตัวเขาเองไม่ใช่คนเดียวเสียอีกที่ไม่เชื่อคำพูดสบประมาทอีบยองแจของกลุ่มเด็กปีหนึ่ง
อีกอย่าง
เจ้าตัวไม่มีความจำเป็นที่จะทำลายบทสนทนาก่อนหน้านั้นเลยซักนิดถ้าเขาเชื่อว่าบยองแจโหดร้ายอย่างที่เล่ากันมาปากต่อปากจริงๆ
“เคยเชื่อก็พอมั้ง
แหงล่ะ ยังไงเลือดก็ข้นกว่าน้ำอยู่แล้วนี่”
เจ้าตัวพูดอย่างไม่ยี่หระ แต่ก็นั่นแหละ
การเป็นตระกูลอีนั่นทำให้ถูกเข้าใจผิดอย่างง่ายดายเสียทีเดียวล่ะ “อาจจะฟังดูโง่ๆ นะ แต่ฉันไม่คิดว่าการที่นายยอมเสี่ยงอยู่ในห้องโดยการเดียวกับอีบยองแจเป็นชั่วโมงเพียงเพราะนายสงสัยน่ะ”
น้ำเสียงติดทุ้มนั่นทำให้เขาชะงักเล็กน้อย
ความเงียบเกิดขึ้นพร้อมกับฝีเท้าของเขากับเจ้าของเบลซเซอร์ตัวใหญ่นั่นที่มีเป้าหมายเดียวกันคือห้องโถงของฮอกวอร์ต
แผ่นหลังกว้างของคนที่กำลังอยู่ในความคิดของเขาในขณะนี้อยู่ห่างกับเขาประมาณสองร้อยเมตร
และไม่น่าเชื่อว่ามันทำให้เขาให้คำตอบกับตัวเองได้ไวขึ้นโดยไม่ต้องทบทวนความรู้สึกของตัวเองให้วุ่นวายไปมากกว่านี้
“อืม -- แค่ความสงสัยมันฟังไม่ขึ้นจริงๆนั่นล่ะ”
“…”
“แค่รู้สึกว่า
ถ้าช่วยอะไรเขาไม่ได้ คงจะรู้สึกผิดไปจนตายแน่ๆ”
“ฮาอน คิม, สลิธีริน!”
((truly)end ep.2)
talk
เพิ่งสังเกตว่า เป็นฟิคที่แต่งออกมาจากความรู้สึกส่วนตัวเยอะเหมือนกันนะเนี่ย 5555555
เป็นทาสใคร ดูได้จากสิ่งที่เขียนมาเลยค่ะ ส่วนตัวชอบความสัมพันธ์ของบยองแจกับโรฮันมากๆ
อารมณ์เพื่อนกันจริงๆ เล่นหัวกัน แซะกัน ส่วนเพื่อนอีกคนน่ะนี่แบบ เหมือนมาคนละเรื่อง เอ็นดู๊เอ็นดู (ชิป)
5555555555555555555555555555555555555555
พูดเรื่องตื้นตันใจไปแล้ว (แง้) ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ตกใจมากจริงๆ 5555555
ปล. เรื่องต่างๆ ของเดริมสแตรงก์ เป็นจริงตามในนิยายเฉพาะเป็นโรงเรียนที่เน้นสอนเรื่องศาสตร์มืดนะคะ นอกนั้นเราสร้างเรื่องขึ้นมาเองหมด เพราะจะโยงเข้าพล็อตค่ะ สุดแฟนตาซี 555555555555555
ปลล. ถึงจะบอกว่าใช้ bgm เป็นเพลง in my blood แต่ตอนแต่งนี่แอบฟัง Cause ไปด้วยค่ะ อินจัดเลย..
hashtag #perfect2บอ < สกรีมแท็กนี้ได้นะคะ คือเราตกใจมากตอนเห็นว่ามีคนสกรีมด้วย (คนนึง ; _ ;) มีความสุขมาก แบบ เกินความคาดหมายอ่ะ 555555
ขอบคุณนะคะ <3
ความคิดเห็น