คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 01. รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง
01.
“ป่ะป๊าทำอะไรอ่ะ”
“หืม
ป๊าตรวจข้อสอบนักศึกษาอยู่ครับ”
“อ่อ
ยุนกิชอบๆ ถ้าเขียนตามคำบอกถูกทุกข้อ คุณครูอีจะให้ปั๊มดาวให้ยุนกิสามดาว”
“ฮ่าๆ”
“ป่ะป๊ามีความสุขไหม”
“หมายถึงอะไร”
“สอนหนังสือเด็กๆ”
“อืม.. ตอบยากแฮะ”
“มันยากเหรอ”
“ขึ้นชื่อว่าทำงาน
ทุกอย่างก็ยากหมดนั่นแหละมินยุนกิ”
“จริงเหรอ
ปั๊มดาวก็ยากเหรอ”
“ปั๊มดาวไม่อยาก
สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับคุณครูประถมคือการดูแลเด็กๆ ต่างหาก”
“จริงด้วย
ทุกคนๆ ชอบแย่งสีเทียนกัน ยุนกิไม่ชอบเลย”
“แล้วยุนกิชอบทำอะไร”
“ยุนกิชอบปั๊มดาว
ยุนกิอยากได้ดาวเยอะๆ”
“เป็นงั้นไป
แล้วไม่ชอบอะไร”
“ยุนกิไม่ชอบงานหม่าม๊า
ยุนกิเห็นหม่าม๊ายุ๊งยุ่ง”
“หม่าม๊าเป็นคุณหมอนะครับ
ตอนป่วยยุนกิก็ต้องไปรักษาที่โรงพยาบาล”
“อือ
หม่าม๊าเก่ง แต่หม่าม๊ายุ่ง ยุนกิไม่ชอบ”
“ก็สมควรล่ะนะ”
“วันนี้คุณครูให้บอกว่าโตมาอยากเป็นอะไร”
“งั้นเหรอ
แล้วยุนกิอยากเป็นอะไร”
“ยุนกิไม่รู้”
“อ่าฮะ”
“ป่ะป๊า
ยุนกิควรเป็นอะไร”
“เรามีเวลาค้นหาตัวเองอีกเยอะ
รู้ไหม”
“…”
“เราไม่ต้องรีบหรอก
ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป”
“…”
“เป็นอะไรก็ได้
ที่เราชอบ”
“…”
“แค่เป็นคนดีก็พอ
เชื่อป่ะป๊านะ”
“ป๊าไม่เข้าใจผม”
“สิ่งที่แกทำมันน่าเชื่อถือมั้ยล่ะมินยุนกิ!”
ประโยคเดือดดาลของคนอายุมากกว่าที่สวนกลับแทบจะทันทีทำให้เขาสะอึก
ทั้งๆ ที่คิดว่ามีเวลามากพอที่จะตระเตรียมคำพูดทุกอย่างเพื่อโน้มน้าวให้คนตรงหน้ารับฟังเหตุผลของเขาได้บ้าง
แต่ดูเหมือนว่าคำพูดที่แสดงถึงความผิดหวังนั่นชะโลมความคิดของเขาให้หมดสิ้น
“มันยากตรงไหน
แค่เรียนต่อให้จบน่ะ มันยากตรงไหน”
“ผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้”
ให้ตาย ถ้าตอนนี้เขากำลังถ่ายวาไรตี้อยู่
ทีมงานฝังซับคงจะก้อปปี้คำว่า ‘ผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้’ ไปวางบนวิดิโอรอบที่สิบแปด ชายหนุ่มตรงหน้าที่มีศักดิ์เป็น ‘พ่อ’ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขายกมือทั้งสองข้างกุมศีรษะราวกับพยายามตั้งสติ
แหงล่ะ คำว่า ‘ราวกับ’ นั่นไม่ได้แสดงถึงความเป็นไปได้ที่แน่นอนนี่นา
เขาแค่ต้องการคิดประโยคที่พยายามเสียดแทงจิตใจของเขาให้มากที่สุดก็เท่านั้น
“งั้นเหรอ
แล้วแกต้องการอะไรกับการไปมั่วสุมในที่อโคจรแบบนั้น”
“…”
เขารู้สึกเจ็บ
ไม่ใช่เพราะโกรธกับประโยคเหน็บแนมของผู้เป็นพ่อ
อันที่จริง มันก็ใช่ล่ะส่วนนึง แต่สิ่งที่แน่ชัดคือเขารู้สึกเจ็บริมฝีปากเนื่องจากการขบเม้มอวัยวะดังกล่าวอย่างแรงเพื่อไม่ให้ส่งเสียงสะอื้นออกมา
อีกอย่างคือเขารู้สึกแสบแผลบริเวณสะบัก
ไม่คิดเลยว่าแจกันเซรามิกที่เขาเป็นคนเลือกลายเองกับมือที่อีเกียกับคนตรงหน้าเมื่อแปดปีก่อน
“ฉันทำอะไรผิดเหรอ
ฉันเลี้ยงแกมาไม่ดีพอหรือไง”
“ไม่ ป๊าไม่ผิด”
“แล้วทำไมแกถึงทำแบบนั้น
แกต้องการอะไร”
“…”
“แกเปลี่ยนไปมากนะมินยุนกิ
ตั้งแต่แกชอบฟังเพลงบ้าๆนั่น”
“มันเป็นรสนิยมของผม”
ถ้าการฝังซับประโยค
‘ผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้’ เป็นการฝังซับรอบที่สิบแปด
มินยุนกิก็ขอเสริมว่าบทสนทนาต่อไปนี้จะเป็นการโต้เถียงไร้แก่นสารครั้งที่หกสิบเจ็ด
“แล้วแกไปไนต์คลับทำไมทั้งๆที่อายุไม่ถึง
ไม่ใช่เพราะคอนเสิร์ตเฮ็งซวยนั่นเหรอ”
“เพราะป๊าอคติไง”
“ใช่ ฉันอคติ เพราะมันทำให้แกไม่ได้เรียนต่อไงมินยุนกิ”
เขาเคยอ่านผ่านๆ
มาว่า ‘อย่าเถียงกับผู้ใหญ่’ หรืออะไรทำนองนี้
สาบานได้เลยว่ามินยุนกิวัยสิบสี่ปีขบขันกับประโยคล้อเลียนดังกล่าว
เขามักนึกถึงตอนที่หม่าม๊าสั่งให้เขาดื่มนมเป็นกล่องที่สามของวันทั้งๆ ที่ปกติหล่อนตั้งกฎให้เขาดื่มเพียงสองกล่องต่อวันเพราะเขายื่นคำขาด
เขาปฏิเสธที่จะดื่มเนื่องจากเขารู้สึกเอียนรสชาติมันโคตรๆ แต่หล่อนก็ยังคะยั้นคะยอให้เขาดื่มมันลงไปโดยไม่สนคำโต้เถียงของเขาที่บอกว่านมกล่องนี้เป็นกล่องที่สามของวัน
แต่ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มันจะรุนแรงเกินที่เขาจะแสดงอาการขบขันนั่นออกไปได้
เขาพูดอะไรไม่ออก ยังไงดีล่ะผิดหวังเหรอ ก็คงใช่ เสียใจเหรอ นั่นก็ใช่เหมือนกัน
ถ้าคุณจินตนาการไม่ออก
ให้ลองคิดว่าคุณอยู่ในสถานการณ์เดียวกับผม คุณได้ทำการกระทำโง่ๆ ไปหนึ่งครั้ง
คุณหันหลังให้โลกทั้งใบโดยไม่สนใจว่าพวกเขาเหล่านั้นจะคิดอย่างไร
แต่คุณกลับขอร้องให้คนไม่กี่คนที่คุณรักเข้าใจในสิ่งที่คุณทำ และได้รู้ว่ามันศูนย์เปล่า
นั่นแหละ สิ่งที่เขากำลังรู้สึกน่ะ
เสียใจชะมัด
มินยุนกิวัยสี่ขวบเป็นวัยที่สดใสที่สุดในความคิดของเขา
เขาค่อนข้างจดจำช่วงเวลาเหล่านั้นได้ดีกว่าช่วงไหนๆ
เนื่องจากเขาทำอะไรไว้มากมายเหลือเกิน
มันเป็นอายุที่เขาเริ่มตั้งคำถามให้กับตัวเองว่าเขา ‘อยากจะ’ ทำอะไรในอนาคต
โชคดีที่เขาในวัยประถมเข้าหาคนอื่นไม่เก่งนัก
เขาเลยไม่มีปัญหากับการคบเพื่อนที่จะพาตัวเขาไปเหลวแหลกตั้งแต่วัยเด็ก
การที่ผู้ปกครองของเขารู้ว่าเขาเป็นนักเรียนคนแรกของห้องที่ท่องสูตรคูณครบ 12 แม่ได้จากอาจารย์ประจำชั้นนั่นทำให้พ่อของเขายิ้มไม่หุบไปหนึ่งสัปดาห์
เขารู้สึกว่าตัวเองมีค่า เขามีความสุขที่ได้รับคำยินยอ นั่นเป็นจุดประกายแรกที่ทำให้เขาตั้งใจเรียน
อาจจะเป็นเพราะพระเจ้าเอ็นดูมินยุนกิมาก
เขาทำผลการเรียนได้ดีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
การตอบคำถามอย่างฉะฉานนั่นทำให้เพื่อนร่วมงานของผู้ปกครองของเขาได้แต่กล่าวกันว่า ‘ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น’ ญาติๆ ของเขาต่างคาดเดากันว่าเขาจะประกอบอาชีพอะไรในอนาคต
อาจารย์มหาวิทยาลัยเหมือนคุณพ่อ? แพทย์เหมือนคุณแม่? นักวิจัยเหมือนคุณน้า? หรือว่าจะเป็นวิศวกรเหมือนคุณอา?
ผลโหวตที่อิงจากพฤติกรรมและผลการเรียนของเขานั่นส่งผลให้อาชีพคุณครูเรียงรายขึ้นมาเป็นอำดับหนึ่ง
และนั่นทำให้พ่อของเขามีความสุขมากทีเดียวเชียว
แต่มินยุนกิวัยสิบสามปีนั่นยังเด็กไปนัก
เขาคิดว่าตัวเองมีความสุขที่สุดที่ได้เห็นรอยยิ้มของผู้เป็นพ่อเมื่อเขาตอบคำถามว่า
‘โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไรจ้ะ’ กับอาจารย์สาขาวิชาต่างๆ
เมื่อครั้นเขาสาวรองเท้าพละใบเปรอะไปหาคุณพ่อที่มหาวิทยาลัยด้วยอาชีพคุณครู และสามสัปดาห์ถัดไปจากการตอบคำถามอาจารย์สาวคนนั้นกลับทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดกับเด็กนักเรียนที่มีพฤติกรรมเลวร้ายเข้าไปทุกวัน
ไม่รู้ว่านี่เรียกว่าโชคดีหรือโชคร้าย
เขาที่ปิดกั้นตัวเองด้วยมือทั้งสองข้างของเขาได้รู้จักกับคิมซอกจิน
คิมซอกจินเป็นชื่อของเพื่อนสนิทวัยมัธยมต้นของเขาเอง
และเป็นบุคคลสุดท้ายที่มินยุนกิคิดว่าเจ้าตัวจะเดินเตาะแตะมาทักเขาก่อน
และพูดด้วยความสัตย์จริง แวบแรกเขาโคตรไม่ชอบหน้าไอ้หมอนี่เลย เขาเกลียดการสะพายกระเป๋าลายโคนันเห่ยๆ
แม้ว่ามันจะเคยเป็นการ์ตูนที่เขาชอบดูมากที่สุดในวัยประถมก็ตามที
คิมซอกจินมีนิสัยหลายอย่างที่ต่างกับเขาโดยสิ้นเชิง
แต่เพื่อนๆ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่านั่นทำให้เขาสนิทกัน
มันเหมือนกับลูกกุญแจกับแม่กุญแจ
ทฤษฎีการเร่งปฏิกิริยาที่คุณอาจจะคุ้นหูถ้าเรียนสายวิทย์-คณิตนั่นทำให้เขาเบ้ปากทุกครั้งที่ได้ยิน
แต่เชื่อเถอะ
มินยุนกิในวัยมัธยมต้นปีสุดท้ายกลืนน้ำลายตัวเองกับการกระทำแบบนั้นเป็นหนที่ร้อยสิบแปด
อาจจะเป็นเพราะเขาต่างกับซอกจินมากเกินไป
เจ้าตัวเลยเปิดโลกใบใหม่ที่เขาไม่เคยสัมผัสให้ได้เห็น
ครั้งแรกเขาอาจจะรู้สึกว่ามันไร้สาระ แต่พอคลุกคลีกับเพื่อนสนิทคนนี้ นานเข้าเขากลับรู้สึกว่ามันน่าค้นหา
และหลงใหลได้ไม่ยาก
และนั่น
เป็นครั้งแรกที่ทำให้เขาตกหลุมเข้าเต็มเปา
“ยุนกิ
วันนี้กูไม่ไปเรียนพิเศษนะ”
“อ้าว มึงจะไปไหนอ่ะ”
“ไปดูพี่นัมจุน
พี่เขาไปเปิดหมวกอยู่ฮงแดอ่ะ”
นั่นเป็นครั้งแรกที่ซอกจินโดดเรียนพิเศษ
– อันที่จริง
ก็เรียกว่าโดดไม่เต็มปากเต็มคำเท่าไหร่นักในเมื่อการเรียนกวดวิชาของพวกเขาเป็นระบบบันทึกการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ในการเข้าถึง
มินยุนกิในวัยสิบห้าปีไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้เท่าไหร่นัก
แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกไป ได้แต่สาวเท้าตามเจ้าของเรือนผมสีดำสนิทที่เก็บสำภาระต่างๆ
เขากับล็อกเกอร์หลังห้อง ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะเตรียมพร้อมกับเหตุการณ์ในครั้งนี้เอามากๆ
“ไม่ยักกะรู้ว่ามึงชอบฟังเพลงแนวนี้”
“หมายถึงอะไร
แรพอ่ะเหรอ”
“อืม”
“กูก็ไม่ได้ชอบอะไรขนาดนั้น
แต่พี่นัมจุนเขาก็เป็นรุ่นพี่เรานี่หว่า
แถมมีรุ่นพี่เราไม่กี่คนที่ออดิชั่นค่ายบิ๊กฮิตติด
ค่ายเดียวกับบังทันโซนยอนดันเลยนะมึง แม่งโคตรเท่”
มินยุนกิพยักหน้าไปตามคำพูดอีกมากมายที่เขาฟังไม่ได้ความทั้งหมด
อันที่จริง ซอกจินไม่จำเป็นต้องเล่าชีวประวัติของคิมนัมจุนให้ฟัง
เขาก็พอจะรู้จักเจ้าตัวดี
เคป็อปถูกพูดถึงเป็นอย่างแรกๆ
เกี่ยวกับเกาหลี ถึงแม้ว่ามินยุนกิจะไม่ได้คลุกคลีกับดนตรีมาก เขาก็พอจะรู้เรื่องนี้ดี
เขาเรียกมันว่าความอัศจรรย์ สำหรับการฟังเพลงเคป็อปบางเพลงที่ถูกเปิดในห้างสรรพสินค้าไม่กี่ครั้งโดยความไม่ได้ตั้งใจ
แต่นั่นกลับวนเวียนอยู่ในโสตประสาทเขาอย่างเหลือเชื่อ ในขณะที่เขาต้องอ่านบทเรียนหลายบนกว่าสามรอบเพื่อทำความเข้าใจกับมันนั่นมันดูโหดร้ายไปเลย
ในเมื่อเคป็อปเป็นบิ๊กคีย์เวิร์ดสำคัญสำหรับประเทศเกาหลี
นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกที่ความฝันของนักเรียนมัธยมปลายเกินครึ่งคือการเดบิวต์เป็นไอดอล
แม้แต่นักเรียนยอดเยี่ยมอย่างคิมนัมจุนก็ตาม
ใช่
รุ่นพี่คิมนัมจุนคือที่หนึ่งของรุ่น
มินยุนกิรู้จักคิมนัมจุนครั้งแรกเมื่อครั้นเขาอายุได้สิบสี่ปี
ยุนกิเป็นตัวแทนแข่งขันทักษะด้านวิทยาศาสตร์
ส่วนรุ่นพี่นัมจุนเป็นผู้ฝึกซ้อมให้เขาเมื่ออาจารย์ไม่อยู่ ซึ่งซอกจินเรียกความสัมพันธ์ระหว่างเขากับรุ่นพี่นัมจุนเป็น
‘เนิร์ด
relationship’ และน่าขันที่ซอกจินได้ลบล้างชื่อความสัมพันธ์ประหลาดๆ
นั้นด้วยตัวเองเมื่อรุ่นพี่นัมจุนออดิชั่นติดค่ายวงการเพลงค่ายหนึ่งที่มีชื่อเสียงพอสมควรในปัจจุบัน
ซอกจินอึ้ง
เขาเองก็อึ้งเหมือนกัน ทุกอย่างมันดูบ้าบอไปหมด แต่ทว่านั่นคือความจริง
ข่าวนี่แพร่กระจายว่อนเว็บบอร์ดของโรงเรียนเพราะไอ้เด็กที่ออดิชั่นติดนั่นเป็นคนๆ
เดียวกับนักเรียนที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกเคมีระดับนานาชาติมาให้
และแน่นอน
นัมจุนในตอนนั้นฮอตยิ่งกว่าลีมินโฮในสายตาของคุณครูเสียอีก
มินยุนกิจำได้ดีว่ามีนักเรียนครึ่งร้อยไปยืนกรูกันหน้าตึกอำอวยการเมื่อผู้อำนวยการเรียกพบรุ่นพี่คิมนัมจุนพร้อมผู้ปกครอง
คงไม่มีผู้บริหารคนไหนปล่อยพนักงานฝีมือดีไปอย่างง่ายๆ หรอก
มินยุนกิเองก็คิดว่าอย่างนั้น
เขาคาดว่ายังไงผู้อำนวยการก็ต้องหว่านล้อมให้คิมนัมจุนเปลี่ยนใจกลับมาศึกษาต่อ
สอบเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาให้ได้อำดับสูงๆ เพื่อยกระดับชื่อเสียงของโรงเรียน
หรือไม่ก็หว่านล้อมผู้ปกครองของรุ่นพี่อย่างเต็มความสามารถ
และเหตุการณ์ในครั้งนั้น
ทำให้มินยุนกิได้รู้จักคิมนัมจุนอีกแง่มุมนึง
เด็ดขาด ล่ะมั้ง
และนั่นเป็นคำคุณศัพท์ที่มินยุนกิไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่นัก
“มึง ฮงแดอ่ะ”
“ทำไม”
“กูไปด้วยคนดิ”
มินยุนกิไม่เคยรู้เลยว่าการหลงใหลสิ่งที่ไม่เคยคาดฝันว่าจะได้พบเป็นเรื่องที่อันตรายที่สุด
เขาที่เคยฟังแต่บีโธเฟนในการอ่านหนังสือทุกครั้งเริ่มได้ใช้โสตประสาทกับการฟังเพลงที่เขาเรียกกันว่า
‘ฮิปฮอป’ เสียงบีททันสมัยที่พ่อเขาไม่เคยเปิดให้ฟังบนรถยนต์เวลาไปต่างจังหวัด
เสียงทุ้มแหบเข้ากับเนื้อหาที่สะท้อนสังคมจนมินยุนกิอดรู้สึกทึ่งไม่ได้ทำให้เขาเหมือนหลุดเข้าไปอยู่อีกโลก
ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เขาค่อยๆ
หลับตาลงเพื่อตั้งใจฟังเนื้อเพลงที่สะกิดต่อมความรู้สึกของเขาให้แตกกระจายราวกับนี่เป็นความรู้สึกส่วนลึกที่เขาไม่กล้าจะยอมรับมัน
ซอกจินบอกว่าตัวเองประหลาดใจเมื่อเห็นแววตาของเขาระหว่างดูการแสดงของรุ่นพี่คิมนัมจุนครั้งแรก
เจ้าตัวคาดว่าเขาน่าจะขอตัวกลับก่อนตั้งแต่สามนาทีแรกเสียอีก
แต่กลับเป็นมินยุนกิซะเองที่ยืนนิ่งเป็นก้อนหินตั้งแต่การแสดงเริ่มจนจบ
สาบานเถอะ
นี่ยังน้อยไปด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับรีแอคชั่นของซอกจินตอนที่รู้ว่าเขาโหลดเพลงของ Dynamic
Duo ลงเครื่องทุกอัลบั้มหลังจากนั้น
นั่นเป็นครั้งแรกที่ยุนกิพบเส้นทางของตัวเองโดยไม่ได้คาดหวังให้ผู้ปกครองของเขาเยินยอกับความคิดของตัวเอง
แต่เชื่อเถอะ คำว่า
‘ไม่ได้คาดหวัง’ มันไม่ใช่คำพูดที่จริงจังนักกับมินยุนกิวัยสิบห้าปี
เขายอมรับแล้วล่ะว่าตนเองมีความสุขกับมัน
ความชอบมันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเขาขออนุญาตพ่อไปฮงแดในเย็นวันเสาร์ด้วยตัวเอง อีกคนดูประหลาดใจ
และเมื่อรู้เหตุผล
นั่นเป็นครั้งแรกที่มินยุนกิรู้สึกแย่กับการขมวดคิ้วพร้อมการปฏิเสธเสียงแข็งของผู้เป็นพ่อ
ตอนนั้นคุณพ่อของเขาให้เหตุผลว่ามันดึกเกินไปสำหรับเด็กมัธยมต้น
และเขาก็พยายามเข้าใจมัน มินยุนกิคิดว่าคุณพ่อเพียงแค่ไม่ชอบให้เขาออกไปข้างนอกดึกๆ
ดื่นๆ ไม่ใช่เพราะว่าอีกฝ่ายไม่สนับสนุนในสิ่งที่เขาชอบ
ความคิดนั้นทำให้เขาเทความสนใจให้กับสิ่งที่เรียกว่าความสุขอย่างอันลิมิต
เขาเริ่มสนใจการแรพ สนใจการทำเพลงอย่างงูๆ ปลาๆ เขาที่เริ่มรู้สึกอินกับคำว่าศิลปินนั่นทำให้หลายๆ
คนประหลาดใจไม่เว้นแม้แต่บุคคลที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ – คิมนัมจุน,
เขาได้พบเจ้าตัวอีกทีก็ตอนที่เขาตั้งสเตตัสตามหาอัลบั้มแรกของ Dynamic
Duo อย่างจริงจัง และนั่นคงไปสะดุดตาคิมนัมจุนเขาเข้าล่ะนะ
ใครๆ
ก็บอกว่าเขาเปลี่ยนไป แต่มินยุนกิไม่คิดแบบนั้น เขาเพียงแค่ค้นพบตัวเองเสียมากกว่า
จะเรียกว่าวัยหัวเลี้ยวหัวต่อก็ได้
มินยุนกิวัยมัธยมปลายปีหนึ่งโดดเรียนพิเศษเป็นครั้งแรกเพื่อเข้าไนต์คลับเนื่องจากศิลปินที่เขาชอบเปิดคอนเสิร์ตที่นั่น
และแน่นอน มันเป็นไม่กี่สิ่งที่เรียกว่าความสุขสำหรับเขาในเวลานั้น โอเค
มันอาจจะเป็นการกระทำที่ไม่ดีนัก แต่เขาไว้ใจตัวเองพอที่จะไม่ยุ่งกับแหล่งมั่วสุม
เขาเพียงแค่อยากชมการแสดงที่เขารัก เขาแค่อยากจะทำแบบนั้นบ้าง
แต่โชคร้าย
มีใครบางคนจับภาพของเขาได้ในคืนวันนั้น ภาพมันชัดเจนเหลือเกินที่จะปฏิเสธอะไรออกไปได้
และช่วงเวลานั้นเป็นช่วงแห่งการเปิดภาคเรียนใหม่ในรั้วมัธยมปลายในโรงเรียนแห่งใหม่ที่เขาไม่สามารถอ้างถึงประวัติ, พฤติกรรมในอดีตได้นั่นทำให้ครอบครัวของเขาหัวเสียไม่ใช่น้อยกับการถูกพักการเรียนไปหนึ่งเทอมการศึกษา
และนั่นคงจะดีกว่าที่จะให้เขาลาออกโดยอ้างว่ามีปัญหาส่วนตัวแทนที่จะถูกตีตราว่าเขาถูกพักการเรียนล่ะมั้ง
ตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่มินยุนกิวัยสิบหกปีเศษที่เกือบถูกไล่ออก
ซ้ำร้าย เขายังหัวรั้นเกินที่จะปฏิเสธความสุขของตัวเองที่เพิ่งค้นพบเมื่อปีก่อนอีก
ให้ตายสิ
บัดซบชะมัด
บรรยากาศตอนนี้มันร้ายแรงยิ่งกว่าโดนคุณครูไปสอบสวนเรื่องภาพหลุดเสียอีก
เขาเหมือนน้ำท่วมปาก คุณพ่อของเขาดูผิดหวังจนเกินที่เขาจะรับไหว
ท่านหันใบหน้าไปอีกทางราวกับไม่ต้องการให้เห็นสีหน้าที่แท้จริง
คุณแม่ของเขาน้ำตาอาบใบหน้า เจ้าหล่อนสะอื้นเล็กน้อย
และนั่นทำให้มินยุนกิอยากทุบตัวเองให้ตายๆ ไปเสีย
ถ้าทำได้
ถ้ามินยุนกิทำได้ เขาก็ไม่อยากจะทำแบบนี้ ถ้าเขาไม่ถูกปิดกั้นตั้งแต่เด็ก
เขาอาจจะรู้สึกเฉยๆ กับสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็เป็นได้
แต่การค้นพบสิ่งที่ใช่ในเวลานี้มันทำให้เขาเหมือนพบหลอดเก็บออกซิเจนแหล่งสุดท้ายบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินแห่งนี้
เขาแค่ไม่อยากหลอกตัวเองอีกต่อไปแล้ว
“ลูกคิดดีแล้วใช่มั้ย
กับเส้นทางนี้น่ะ”
เสียงคุ้นหูที่หวานนุ่มในอดีตกลับติดเสียงสะอื้นมาเป็นระยะนั่นทำให้เขาใจเสีย
มินยุนกิเงยหน้ามองบุคคลผู้เป็นมารดาอีกครั้ง มือเล็กๆ
นั่นยกขึ้นมาลูบศีรษะลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างบอบเบา หล่อนทำงานจนไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่ามินยุนกิสูงขึ้นจากวัยประถมไปไม่รู้กี่ฟุต
“ผม.. ผมไม่รู้”
“…”
“แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็อยากเสี่ยงกับมันดู”
มันเป็นหนึ่งในประโยคที่เขาคิดไว้ก่อนที่จะมายืนในเหตุการณ์ปัจจุบัน
มินยุนกิรู้ เขารู้ว่ามีอีกล้านประโยคที่จะทำให้พ่อแม่ของเขารู้สึกดีกว่านี้มาก
แต่ทว่าประโยคที่เขาพูดออกไปมันคือสิ่งที่ตรงใจเขาที่สุด
มินยุนกิไม่รู้ว่าถ้าหากเขาเลือกเส้นทางนี้จริงๆ
มันจะสวยงามเหมือนที่เขาวาดฝันไว้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ถ้าการเดินตามความฝันของเขาเป็นการลงทุน
เขาคงจะเทหุ้นที่มีทั้งหมดไปกับธุรกิจที่ว่า เขายอมเสี่ยงทุกอย่างไปกับมัน
“ถ้าอย่างนั้น
เราก็ต้องเข้าใจนะว่าม๊ากับป๊าก็เป็นห่วงเรา”
“…”
“ม๊ายอมให้เราทำสิ่งที่เราชอบก็ได้
แต่ก่อนหน้านั้นน่ะ..”
“…”
“ยุนกิพิสูจน์ให้แม่ดูก่อนได้มั้ย
ว่าเราสามารถดูแลตัวเองได้”
อย่างที่เขาบอก
มินยุนกิในตอนนั้นกล้าที่จะเสี่ยงทุกอย่างเพื่อทำตามความฝัน
เขาพยักหน้าตอบรับคำถามที่ผู้เป็นมารดากล่าวอย่างมั่นใจ
และนั่นเป็นรอยยิ้มแรกของหล่อนในรอบวัน
ถึงแม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะอาบไปด้วยน้ำตาก็ตามที
วันรุ่งขึ้น
เขาเดินทางออกจากโซลตั้งแต่เข้าตรู่
อันที่จริง
มันค่อนข้างจะเป็นการเดินทางที่โคตรกะทันหัน คุณแม่ของเขาตระเตรียมกระเป๋าเดินทางให้โดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
พอรู้ตัวอีกที เขาก็อยู่บนยานพาหนะของคุณหมอพัค เพื่อนสนิทของคุณแม่โดยไม่มีบุคคลในครอบครัวคนอื่นติดสอยห้อยตามมาด้วย
สุดท้ายเขาก็รวบรวมความกล้าหาญในการออกคำถามถึงคุณหมอพัคเมื่อหล่อนพาเขาออกจากโซลได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ
เขามั่นใจว่าคุณหมอพัคคงไม่ได้พาเขามาลงโทษที่ประพฤติตัวไม่ดีหรอก
มินยุนกิค่อนข้างมั่นใจว่าคุณแม่ของเขามีเหตุผลกว่านั้น
แต่นั่นกลับทำให้ยุนกิขมวดคิ้วงงงวยมากกว่าเก่าอีกเมื่อหล่อนตอบกลับคำถามของเขาด้วยคำถามว่า
“แล้วเราไปตกลงอะไรกับคุณแม่มาล่ะจ้ะ”
มินยุนกิชะงัก
ถึงตอนนั้นเขาจะรู้สึกบอบช้ำไปบ้าง
แต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าในบทสนทนาไม่มีการตกลงว่าจะลงโทษเขานี่
ดูเหมือนคุณหมอพัคจะเข้าใจว่าทำไมเขาถึงเงียบไป
มินยุนกิเลือกที่จะหันออกไปมองข้างทาง
พยายามคาดเดาว่าการเดินทางในครั้งนี้จะจบลงที่ใดแต่ดูเหมือนว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยเนื่องจากเขาไม่คุ้นชินกับมันเลยซักนิด
คุณหมอพัคหัวเราะออกมา
เจ้าหล่อนสัมผัสจออัจฉริยะบนคอนโซลรถ ซักห้าหกวินาทีก่อนที่เสียงเพลงคุ้นหูจะดังขึ้น
และนั่นทำให้เขาที่กำลังเหม่อมองทางหันขวับมามองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ
บ้าหน่า
เขาไม่คิดว่าบนรถยนต์ของคุณหมอวัยสี่สิบสี่จะมีเพลงของ Dynamic Duo อยู่หรอกนะ
“คุณแม่เราบอกว่าเราชอบ
น้าเลยโหลดไว้ให้เราน่ะ”
“…ขอบคุณครับ”
ไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่หลับระหว่างทางก่อนที่จะมาถึงจุดหมาย
อาจจะเป็นเพราะเพลงโปรดของเขาที่ไหลมาอย่างไม่หยุดหย่อน
กับความปรารถนาอันแรงกล้าของเขาเองที่ฝึกแรพคลอไปตามศิลปินคนโปรดนั่นทำให้เขาตื่นตัวตลอดการเดินทาง
และแน่นอน
เขาอายุสิบหกปีเศษ นั่นเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะระงับความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง
เขาหยิบโทรศัพท์ของตนเองมาเปิด GPS นำทาง ก่อนจะได้รู้ว่าสถานที่ที่คุณหมอพัคมาส่งเขาคือจังหวัดแดกู
ซึ่งคุณน้าไม่ได้บอกอะไรไปถามกว่าถามเขาว่ามาที่นี่ล่าสุดเมื่อไหร่
นั่นไม่ใช่คำถามที่ยาก
แต่มันยากสำหรับเขาที่ความทรงจำตอนนั้นมันช่างน้อยนิด มินยุนกิไม่รู้เวลาที่แน่ชัด
อันที่จริงแล้ว เขาเคยอาศัยอยู่ที่แดกูด้วยซ้ำไปสมัยที่คุณแม่ของเขาเป็นคุณหมออยู่ที่โรงพยาบาลแดกู
ก่อนจะจำความได้ ครอบครัวของเขาก็ย้ายไปอยู่โซลเมื่อคุณแม่ย้ายสถานที่การทำงาน
และนั่นทำให้คุณพ่อของเขาย้ายจากมหาวิทยาลัยแดกูไปที่โซลเช่นกัน
คุณหมอพัคดูพอใจกับคำตอบของเขาเป็นอย่างมาก
คุณน้าเอ่ยปากชมด้วยซ้ำว่าเขายังพอจำเหตุการณ์ยิบย่อยแบบนั้นได้อย่างน่าประหลาด
ก่อนที่คุณน้าจะเพิ่มเติมให้เขารู้ว่าบ้านที่แดกูที่เขาอาศัยอยู่จริงๆ
เป็นบ้านของคุณยายของเขา ซึ่งท่านเสียไปเมื่อเขาอายุได้เจ็ดขวบ
และครอบครัวเขาก็จ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดบ้านหลังนั้นเสมอเพื่อรักษาความทรงจำเหล่านั้นไว้
ก่อนจะปิดท้ายด้วยคำว่า “แต่ดูเหมือนว่าหลังจากนี้คงไม่จำเป็นแล้ว”
ให้ตายสิ.. มินยุนกิคิดว่าเขาพอจะเดาอะไรออกนะ
เขาเดาว่าการกระทำทั้งหมดมันช่างกะทันหัน
เช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณหมอพัค หล่อนดูไม่ได้มีข้อมูลที่จะอธิบายให้เขาได้รับรู้มากนัก
คุณน้าบอกแค่ว่าหล่อนทำตามที่คุณแม่ของเขาสั่ง
ก่อนจะทวนประโยคว่าคุณแม่ของเขาได้คุยกับเขาทุกอย่างแล้ว
คุณหมอพัคจึงไม่ได้จ้ำจี้จ้ำไชอะไรมากนัก
การที่ยานพาหนะผ่านเขตเมืองของแดกูก่อนที่คุณหมอพัคจะเปิด
GPS นำทางบนจออัจฉริยะที่คอนโซลรถนั่นทำให้มินยุนกิปิด
GPS บนโทรศัพท์เครื่องบางของตนเองทิ้ง มองเส้นทางที่จะไปถึงจุดหมายที่หล่อนกรอกลงไปด้วยความงุนงง
มันห่างจากเขตเมืองไปหลายกิโลเมตร
เส้นทางคดเคี้ยวนั่นทำให้มินยุนกิรู้สึกขนลุกอย่างประหลาด
ให้ตาย สาบานได้เลย
เขาไม่ค่อยได้ดูรายการวาไรตี้เท่าไหร่นัก ถ้านี่เป็นการซ่อนกล้อง
เขาจะนับว่าเป็นการแสดงที่แนบเนียนที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาเลยด้วยซ้ำ
ภาพตึกรามบ้านช่องที่อยู่สองข้างทางของเขาตอนนี้กลายเป็นต้นไม้ใบหญ้าที่ไม่คุ้นชินกับโซลเท่าไหร่นัก
ถนนลาดยางกลับรู้สึกได้ถึงความกระตุกกระตักจากความหละหลวมของรัฐบาลในสถานที่นอกเขตเมืองหลวง
การขับเครื่องยนต์เลี้ยวไปเลี้ยวมาแสดงออกได้ดีพอๆ กับสัญญาณโทรศัพท์ที่ค่อยๆ
ขาดหายไปทีละขีดบนจอทำให้มินยุนกิเริ่มออกปากถามจุดหมายกับคุณหมอพัคบ้างแล้ว
คุณหมอพัคไม่ตอบ
หล่อนเพียงแต่บอกว่าอีกซักพักก็ถึงแล้ว ขอบคุณพระเจ้า
บางทีหล่อนก็น่าจะรู้ว่าเขาเองก็อ่าน GPS เป็น
มินยุนกิรู้ว่ามันใกล้ถึงที่หมายแล้ว
เขาเพียงแค่อยากเช็คเพื่อความแน่ใจถึงแม้ว่าเขาจะทำคะแนนในรายวิชาภูมิศาสตร์ได้ดีก็ตามที
บ้านเรือนไม่กี่หลังที่กระจุกอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านแทนที่จะเป็นตึกรามบ้านช่องนั่นทำให้เขารู้สึกแปลกตา
การปลูกพืชผักบนลานกว้างแทนที่จะเป็นห้างสรรพสินค้าหรือสวนสาธารณะอีกล่ะ มินยุนกิสาบาน
เสาสัญญาณของค่ายมือถือที่เขาเห็นล่าสุดก็เมื่อสามสิบนาทีก่อน
และดูเหมือนว่ามันไม่มีท่าทีที่จะมีอยู่ในปลายทางเลยด้วยซ้ำ
และ ใช่
ในที่สุด คุณหมอพัคก็ดับเครื่องยนต์ตรงหน้าบ้านสองชั้นหลังหนึ่ง
มินยุนกิรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
ถึงแม้ว่าเขาจะจำได้ว่าเขาเคยอยู่ที่นี่สมัยเด็ก
แต่เขาไม่มีภาพความทรงจำเหล่านี้อยู่บนเมมโมรี่การ์ดของเขาเลยซักนิด เขาก้าวออกมาจากรถยนต์ของคุณหมอพัค
ปิดประตูรถ มองภาพเบื้องหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองนัก
บ้านสองชั้น
แปลงดอกทานตะวันขนาดประมาณสองเมตรข้างบ้าน จักรยานที่สภาพไม่สู้ดีนัก
แต่เชื่อเถอะ
สิ่งที่ทำให้เขาอ้าปากค้างนั่นไม่ใช่สามสิ่งที่เขากล่าวออกมาข้างต้นหรอก..
“อ่า – ต้อนรับอบอุ่นดีแฮะ ยัยยูนาคงไม่ต้องเป็นห่วงเราแล้วล่ะมินยุนกิ”
มินยุนกิหัวเราะแห้ง พลางแหงนใบหน้ามองผ้าด้ายดิบผืนใหญ่ที่ถูกแขวนลงมาจากหน้าต่างชั้นสองซึ่งถูกคัดลายมือชุ่ยๆ ด้วยหมึกจีนเป็นคำว่า ‘ยินดีต้อนฮับเปื้อนบ้านใหม่ ♡’ พร้อมกับมนุษย์ก้างปลาสามคน โดยไม่ลืมที่จะใส่รายละเอียดด้วยการเขียนชื่อระบุว่าใครเป็นใคร
ให้ตาย
นี่มันอะไรวะเนี่ย!
talk
พาต๋องคนดีคนเดิมมาเสิร์ฟแล้วค่าทุกคน ฮือ
ไอ้แสบเขียนผ้าเชียร์(?)ต้อนรับจะเป็นใคร คงเดากันออกเนาะ 555555555
ฮือ ขอโทษด้วยค่ะที่มาอัพช้า TTTT คือนอกจากงานถาโถมแล้ว
เราพลาดที่ต้องเขียนทุกอย่างใหม่หมดแต่แรกด้วย ใช่ค่ะ คอมเราโดนไวรัส *หัวเราะแห้ง*
แต่ไม่เป็นไรเนาะ ยังไงมันก็ผ่านมาแล้ว ช่างมัน 55555555555
ฝากติดตามเรื่องนี้ด้วยนะคะ เอ็นดูเจ้ายุนกิของไอ้ต๋องกันด้วยนะคะ
เอ็นดูน้องกันๆๆ ฮือ รู้เลยว่าเชียร์มาก เพราะที่เขียนฟิคมานี่ก็เพราะอยากอ่านฟิคแบบนี้ค่ะ
อ่าว ฮา
ปล. ที่เห็นดราม่าต้นเรื่องมันคือการเกริ่นค่ะ
ต่อจากนี้จะเป็นความหรรษาของจริง 555555555
ปลล. เราอาจจะกลับมาพรูฟใหม่อีกรอบนะคะ
นี่ไม่ได้เช็คเลย สะลึมสะลือมากตอนพิมพ์ ฮา
ปลลล. ภาษาเหนือทั้งหมดนี้เราไม่ได้ครีเอทเองนะคะ ให้เครดิตพี่ไอซ์ @icezy_seobbie เลย กราบบบ ฮืออ มันน่ารักมาก ให้มโนว่าภาษาเหนือที่อ่านกันคือภาษาถิ่นแดกูของเจ้าต๋องเอานะคะ 555555555
twt @sugayeaplease
hashtag #อย่าว่าต๋อง
:D
ความคิดเห็น