คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 - Escape
.
-Pepper-
.
บ้านเดี่ยวชั้นเดียวริมทะเลสาบที่นอร์ธแคโรไลน่าหลังนี้คงเป็นอสังหาริมทรัพย์หลังสุดท้ายที่ใคร ๆ จะคิดว่าโทนี่ สตาร์กจะครอบครอง
ทั้งที่เป็นอย่างนั้น มันกลับเป็นบ้านที่อบอุ่นและทำให้โทนี่มีความสุขที่สุด... อย่างน้อยก็ตลอดระยะเวลาหลายปีที่เขาอยู่ที่นี่
ถึงจะไม่ได้หลังใหญ่โตมากแต่ก็โอ่อ่าและอบอุ่น มีสวนรอบบ้านที่ร่มรื่นและมีต้นไม้ขึ้นทั่ว บริเวณหลังบ้านใกล้กับทะเลสาบมีบ้านต้นไม้หลังใหญ่ที่เจ้าของเดิมนั้นสร้างไว้ให้ลูกเขา เมื่อก่อนมันเป็นที่ที่ปีเตอร์โปรดปราน ปีเตอร์ตอนเด็ก ๆ ชอบปีนป่าย เพ็พเพอร์จำได้ว่าโทนี่เล่าให้เธอฟังถึงวีรกรรมซุกซนของเด็กชายคนนี้นับครั้งไม่ถ้วน เจ็บตัวบ้าง ไม่เจ็บตัวบ้าง หรือทำให้โทนี่เจ็บตัวก็มีเหมือนกัน ตอนนี้ปีเตอร์โตเป็นหนุ่มแล้ว และมันกลายเป็นที่เล่นซนของเด็กหญิงมอร์แกนแทน
เมื่อไหร่ที่โทนี่มีความสุข เพ็พเพอร์ พอตส์ก็มีความสุขตาม แต่เมื่อไหร่ที่โทนี่ทุกข์ใจ หญิงสาวในฐานะเพื่อนก็ย่อมต้องเป็นห่วง เธอเคยคิดว่าตัวเองพอแล้วกับการคอยตามแก้ปัญหาไร้สาระและชวนปวดหัวให้กับโทนี่ สตาร์กทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว เบื่อการใช้ชีวิตที่ไม่ปลอดภัยของเขาเต็มที เพ็พเพอร์ไม่เคยคิดว่าโทนี่จะกลายมาเป็นพ่อคนได้ แต่โทนี่ก็พิสูจน์ว่าเขาทำมันได้ และทำได้ดีเสียด้วย
ร่างโปร่งจ่ายเงินและก้าวลงจากรถแท็กซี่ หญิงสาวในวัยสี่สิบกว่าสวมใส่ชุดเดรสสีน้ำเงินเข้มกระโปรงทรงดินสอคลุมเข่าของดีไซเนอร์ที่ช่วยขับให้เธอดูดีในแบบเวิร์กกิ้งวูแมน ผมสีสตรอเบอรี่บลอนด์เหยียดตรงปล่อยยาวคลอเคลียไปกับแผ่นหลัง เธอมาแต่ตัว เข้าไปเช็กอินที่โรงแรมก่อนแล้วจึงจะมาหาเด็ก ๆ ตามที่บอกกับโทนี่ รองเท้าส้นสูงลูบูแตงพื้นแดงทำให้เธอเดินลำบากบนพื้นหญ้าที่ขึ้นตามธรรมชาติและหินกรวดที่โรยเป็นทางเดิน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นหญิงสาวในวัยสี่สิบกว่าก็ยังดูสง่างามและเป็นอัลฟ่าวูแมนที่จัดการทุกอย่างได้เสมอ
เพ็พเพอร์เปลี่ยนมาถือกระเป๋าเบอร์คินส์หนังสีดำด้วยมือซ้าย ก่อนที่มือขวาจะยื่นไปกดกริ่งหน้าประตูบ้าน
รอไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก
เด็กวัยรุ่นชายหน้าตาใสซื่อน่าเอ็นดูสวมใส่เสื้อยืดงานวันวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนที่ออกจะคับนิด ๆ เพราะร่างกายเขาเริ่มจะยืดตัวยืนอยู่หลังบานประตู ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างอย่างตกใจเหมือนกับกวางต้องแสงไฟหน้ารถ ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
ถอดแบบโทนี่มาไม่มีผิด... เพ็พเพอร์คิดและยิ้มมุมปาก
“ปีเตอร์”
เธอเอ่ยทักทาย นั่นทำให้ปีเตอร์ได้สติ เด็กวัยรุ่นโถมตัวเข้าไปสวมกอดเธอด้วยความคิดถึง
“ป้าเพ็พ”
เพ็พเพอร์เกยคางกับไหล่เด็กหนุ่ม ปีเตอร์สูงพอ ๆ กับเธอเสียแล้ว หญิงสาวลูบแผ่นหลังของปีเตอร์ที่ตอนนี้มันไม่ได้เล็กเหมือนเดิมอีกต่อไป เธอสัมผัสได้ถึงมัดกล้ามเนื้อและความเป็นผู้ใหญ่ที่มากขึ้นของเด็กหนุ่ม ทั้งคู่ผละจากอ้อมกอดแต่ก็ยังโอบเอวกันอยู่ ปีเตอร์ยิ้มกว้างอย่างกับเขาไม่ได้ยิ้มแบบนี้มานานมาก รอยยิ้มที่โล่งใจเหมือนกับในที่สุดก็มีผู้ใหญ่อยู่ในบ้านสักคนสักที
“มอร์แกน! เธอจะต้องตื่นเต้นแน่ถ้ารู้ว่าใครมา” ปีเตอร์หันไปตะโกนเรียกน้องสาวในบ้าน
ไม่นานเพ็พเพอร์ก็ได้ยินเสียงวิ่งตึงตัง ร่างเล็กของเด็กหญิงผมสีบรูเน็ตวิ่งเท้าเปล่าออกมา หน้ากากไอรอนแมนที่เธอสวมอยู่ทำให้เพ็พเพอร์เปล่งเสียงหัวเราะและยิ้มกว้าง
“เพ็พเพอโรนี่!”
เสียงร้องแหลมเล็กของเด็กหญิงบอกว่าเธอดีใจขนาดไหนที่คุณป้าคนโปรดปรากฏตัว ร่างโปร่งของเพ็พเพอร์ย่อตัวลงเพื่อตั้งรับเด็กหญิงตัวเล็กที่วิ่งเข้ามาเขา หญิงสาวอุ้มมอร์แกนเข้าสู้อ้อมกอดและลุกขึ้นยืนอย่างง่ายดาย เพ็พเพอร์ถอดหน้ากากไอรอนแมนของมอร์แกนออกให้เด็กสาวได้หายใจหายคอ และเจ้าหญิงหน้าตาน่ารักราวกับเจ้าหญิงก็มอบจุมพิตที่ริมฝีปากเพ็พเพอร์อย่างแสนคิดถึง
“หนูคิดถึง”
มอร์แกนบอกด้วยดวงตาเป็นประกาย นั่นทำให้เพ็พเพอร์จุ๊บริมฝีปากเล็ก ๆ นั่นกลับ
“ป้าเพ็พก็คิดถึงหนู คิดถึงปีเตอร์” เพ็พเพอร์เอ่ย เด็กหญิงส่งเสียงร้องน่ารักเหมือนกับนกตัวน้อยที่ร้องจิ๊บ ๆ มันทำให้แม้แต่พี่ชายของเธอก็เอ็นดูและเข้ามากอดทั้งเธอและป้าเพ็พอีกครั้ง
“พ่อล่ะคะ พ่อไปไหน?” มอร์แกนถามถึงโทนี่บ้าง ดวงตากลมโตมองไปด้านหลังที่ประตูบ้าน หวังว่าพ่อของเธอจะเดินตามเข้ามาอีกคน พ่อมักเป็นคนไปรับป้าเพ็พเพอร์ที่สนามบินเสมอ
“น่าเสียดายที่คุณพ่อของหนูมีธุระ”
เพ็พเพอร์แสร้งถอนหายใจดัง โทนี่บ่นเสมอเวลาที่เธอใช้น้ำเสียงเป็นการเป็นงานราวกับกำลังคุยธุรกิจกับเด็ก ๆ ‘ชู่ว คุณพอตส์ ถ้าคุณจะคุยกับเด็ก ๆ ของผมแบบนี้คุณห้ามเข้าใกล้พวกเขาเกินสามเมตรเลยนะ ผมไม่อยากให้ลูก ๆ ของผมทำตัวเลียนแบบนักธุรกิจเขี้ยวลากดิน พวกเขามีคลาสและมีความคิดสร้างสรรค์กว่านั้นเยอะ!’ นึกถึงใบหน้าและน้ำเสียงของโทนี่ที่ประชดประชันเสียดสีเกินจริงในตอนนั้นแล้วก็ยังขำไม่หาย
“แต่ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนหนูจนกว่าโทนี่จะกลับมาดีไหม?”
“สัญญานะคะ!”
“สัญญาจ้ะ”
มอร์แกนส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว เด็กหญิงชวนเพ็พเพอร์ไปแคมป์ปิ้ง ไม่ต้องเดาเพ็พเพอร์ก็รู้ถึงที่มาของเศษดินบนเสื้อยืดที่มีรอยปื้นเป็นทางยาวและคราบโคลนบนกางเกงบริเวณเข่าของเจ้าหญิงมอร์แกน ก็เด็กหญิงเล่นเดินเท้าเปล่าและคลานไปทั่ว ๆ สนามหญ้าข้างบ้านเหมือนกับลูกสุนัขป่าแบบนี้
ส่วนปีเตอร์คงจะเพิ่งหาความสงบได้ไม่เท่าไหร่ เด็กสองคนคงจะทำสงครามกันก่อนที่ทั้งคู่จะตกลงกันว่ามอร์แกนจะไปยึดพื้นที่ในสวน ทิ้งพื้นที่ห้องรับแขกหน้าจอทีวีที่เธอจองอาณาเขตแล้วให้พี่ชายครอบครอง เพ็พเพอร์เดาจากหลักฐานที่เหลือ ห้องรับแขกนั้นยังเก็บไม่เรียบร้อย มันมีป้อมปราการทำจากกองหมอนและผ้าห่มที่มอร์แกนสร้างทิ้งเอาไว้ขณะที่หน้าจอทีวีเป็นภาพเกม smash bros และต่อกับเครื่องเล่นเกม x-box บนโต๊ะหน้าโซฟามีจอยสติ๊กสองอันวางเอียง ๆ อยู่ใกล้กันกับรีโมตทีวี
“พี่เลี้ยงล่ะ กลับไปแล้วเหรอ?”
หญิงสาวเอ่ยถามปีเตอร์หลังจากที่เล่นกับมอร์แกนจนเจ็บเท้าและตัดสินใจถอดส้นสูงและเอามันมาเก็บในบ้าน ปีเตอร์กดปุ่มหยุดเกมและวางจอยของเขาลง
“ฮะ เธอกลับไปตอนที่ผมกลับถึงบ้าน เธอว่าพ่อไม่ได้บอกไว้ว่าวันนี้ต้องทำงานล่วงเวลาก็เลยกลับไปก่อน” ดวงตาสีน้ำตาลของปีเตอร์หม่นแสงเล็กน้อย ดูเหมือนกับลูกหมาที่ถูกเตะ “ที่พ่อยังไม่กลับเพราะพ่อไปหาป๋า... ป้าเพ็พ พวกเขาจะหย่ากันจริงเหรอฮะ”
เพ็พเพอร์ยิ้มให้ปีเตอร์ สายตาอ่อนลงและเจอสงสารนิด ๆ
“นั่น..ฉันว่ารอให้โทนี่กลับมาบอกเธอเองจะดีกว่า”
ปีเตอร์ถอนหายใจ ไหล่ลู่ลงอย่างท้อแท้
“ผมเข้าใจฮะ”
เพ็พเพอร์ยิ้ม เธอเข้ามานั่งข้าง ๆ เขา โอบกอดไหล่ของเด็กหนุ่มและนวดมันเล็กน้อยให้เด็กหนุ่มผ่อนคลาย เธอจ้องดวงตาที่เคยสุกใสและน่าเอ็นดู
“ปีเตอร์ เธอรู้ใช่ไหม ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทั้งโทนี่และสตีฟก็จะรักเธอและมอร์แกนเหมือนเดิม ความเป็นพ่อมันไม่หายไปไหนหรอกนะ...”
ปีเตอร์เป็นเด็กคนหนึ่งที่จิตใจดีและน่ารักที่สุดในโลก เธอคิดว่าเธอเข้าใจว่าทำไมโทนี่ถึงอยากจะให้มันเป็นแบบนั้นต่อไป... ขนาดหญิงสาวเองยังรู้สึกเหมือนจะใจสลายตอนเห็นสายตาลูกหมาของเด็กหนุ่มคนนี้ นับประสาอะไรกับคนเป็นพ่ออย่างโทนี่
“เย็นนี้เราไปกินอะไรอร่อย ๆ ที่ร้านอาหารดีไหม?” เพ็พเปลี่ยนเรื่อง “หรือจะสั่งพิซซ่ามากินที่บ้านดี?”
“พิซซ่าเหรอฮะ” ปีเตอร์เบิกตาตกใจเกือบจะเหมือนกับตัวการ์ตูน “แต่ป้าเพ็พห้ามเสมอเวลาพ่อจะสั่งพิซซ่า”
“โอ้ แต่ตอนนี้โทนี่ไม่อยู่นี่นา” เพ็พเพอร์ขยิบตา “และอีกอย่างคือพ่อของเธอปล่อยให้ไขมันพิซซ่ามันสะสมและเขาไม่ชอบเบิร์นมันออกต่างหาก”
เด็กหนุ่มหัวเราะ สิ่งที่ป้าเพ็พพูดนั้นจริงเหลือเกิน
“ใช่ฮะ ช่วงนี้พ่ออ้วนขึ้นด้วยล่ะ ถึงเขาจะพยายามแขม่วพุงตอนอยู่ต่อหน้าผม แต่เขาจะเผลอเสมอเวลาอุ้มมอร์แกน” ปีเตอร์เอ่ย เขานึกอะไรบางอย่างออกและรีบพูดต่อ “และจะบ่นปวดหลังทีหลังด้วย”
“เห็นไหม ฉันพูดผิดที่ไหน”
รอยยิ้มของปีเตอร์สว่างไสวมากขึ้น แค่นี้เพ็พเพอร์ก็รู้สึกเหมือนเธอทำอะไรสำเร็จไปหนึ่งอย่างแล้ว ที่เหลือก็แค่รอให้โทนี่กลับมาที่บ้านเท่านั้น
หลังจากอาหารเย็นผ่านไป ปีเตอร์ก็จูงยัยหนูมอร์แกนน้องสาวไปอาบน้ำ เพ็พเพอร์มีเวลาส่วนตัวไม่นาน เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาต่อสายหาโทนี่แต่กลับต่อไม่ได้ หญิงสาวลองใหม่อีกครั้งแต่ผลลัพธ์ก็ยังเป็นเหมือนเดิม หญิงสาวถอดใจ แล้วก็ได้ยินเสียงร้องโวยวายของปีเตอร์กับเสียงหัวเราะสนุกสนานจากมอร์แกนจากทางห้องน้ำ
ไม่นานปีเตอร์ก็เดินตัวเปียกออกมา ส่วนมอร์แกนพันผ้าเช็ดตัวรอบตัวเป็นดักแด้น้อย ๆ ปีเตอร์คงพันผ้าเช็ดตัวอีกผืนบนหัวให้น้องสาวจนมันเป็นผ้าโพกศีรษะอย่างกับอยู่ในซาลอน
“มอร์แกนเด็กนิสัยไม่ดี” ปีเตอร์ดุ เขาพยายามทำหน้าเคร่งขรึม แต่ดวงตาลูกหมาและสภาพเปียกน้ำมะล่อกมะแล่กนั่นไม่สามารถโน้มน้าวเด็กหญิงให้กลัวได้เลย ปีเตอร์จึงต้องงัดไม้ตาย “พี่จะฟ้องป๋า” สตีฟคนเดียวเท่านั้นที่มอร์แกนกลัว
และมันได้ผลชะงัด มอร์แกนเม้มปาก เธอรีบดึงขากางเกงปีเตอร์และส่ายหน้าพัลวัน
“ไม่เอา หนูไม่อยากโดนปะป๊าดุ”
“งั้นก็ห้ามฉีดน้ำใส่พี่อีก ตกลงไหม?”
“ตกลง”
ปีเตอร์พยักหน้า เขากำลังจะจูงมอร์แกนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเด็กหญิงตัวน้อยก็กอดขาเขา ซุกไซร้ใบหน้าเล็ก ๆ อย่างออดอ้อน
“พีท หนูรักพี่3000นะ”
ปีเตอร์รู้ว่าคำบอกรักนี้มอร์แกนมักจะบอกมันกับพ่อ เหมือนเป็นคำบอกรักพิเศษที่เด็กหญิงกับโทนี่บอกกันแค่สองคน แต่วันนี้มอร์แกนกลับบอกมันกับเขา ปีเตอร์อดคิดไม่ได้ว่าน้องสาวตัวน้อยของเขาคงจะคิดถึงพ่อมาก... คิดถึงไม่ต่างจากเขา เด็กหนุ่มจึงก้มตัวและอุ้มน้องสาวขึ้นมากอดไว้ในอ้อมแขน เขาปัดปอยผมสีบรูเน็ตเกะกะไปข้าง ๆ ปลายนิ้วชี้แตะจมูกเล็กของเจ้าหญิงน้อย
“อื้อ พี่ก็รักมอกูน่าเหมือนกัน”
ปีเตอร์เดินกลับออกมาหาเพ็พเพอร์หลังจากส่งมอร์แกนเข้านอน ป้าเพ็พของเขาไม่ได้ละสายตาจากสตาร์กแพ็ดสเปคสูงสุดรุ่นล่าสุดเลย คงกำลังอ่านรายงานหรือสรุปโครงการสักอย่างอยู่ เด็กหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ เขายังไม่อยากรบกวนเพ็พเพอร์ตอนนี้
“แป๊บนะ ปีเตอร์ ฉันใกล้จะอ่านตรงนี้เสร็จแล้ว” เพ็พเพอร์บอกกับปีเตอร์
เด็กหนุ่มพยักหน้า เขาไม่ว่าอะไร นึกย้อนไปถึงสมัยที่เขายังเป็นเด็ก ป้าเพ็พก็ทำงานหนักเสมอ พ่อเคยบอกกับเขาว่าเขาติดหนี้ป้าเพ็พ เพราะป้าเพ็พทำงานหนัก พ่อจึงมีเวลามาอยู่บ้านกับเขา คอยดูแลเขาและมอร์แกนโดยที่ไม่ต้องเข้าบริษัทมากมายเหมือนแต่ก่อน
‘โทนี่ คุณแน่ใจจริง ๆ เหรอที่จะให้ฉันเป็น CEO แทนคุณ?’
ปีเตอร์ในวัย 8 ขวบบังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างพ่อและป้าเพ็พพอดี ตอนนั้นพวกเขายังอยู่ที่เพ้นท์เฮ้าส์ในนิวยอร์ก จะไปหาป๋าที่นอร์ธแคโรไลน่าแค่วันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น (แต่บางครั้งป๋าก็บินมาหาพวกเขาที่นิวยอร์ก)
‘ผมไม่เคยแน่ใจอะไรเท่านี้มาก่อนแล้วเพ็พเพอโรนี่ที่รัก’ โทนี่เอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม ‘แม้แต่พระเจ้าก็รู้ว่าคุณเป็น CEO ที่ดีกว่าผมหลายเท่า สตาร์ก อินดัสทรีขาดผมได้ แต่มันขาดคุณไม่ได้’
‘โอ้ไม่ โทนี่ ฉันจะไม่ลงเรือนี่คนเดียวเด็ดขาด’ เพ็พเพอร์กัดริมฝีปาก ดวงตาขุ่นมัว หญิงสาวพ่นลมหายใจและกอดอก เมื่อสบตากับโทนี่อีกครั้ง สายตาของหญิงสาวเปล่งประกายมุ่งมั่นและหมายมาดบางอย่าง ‘คุณจะต้องดูแล RD โทนี่’
‘ผมเนี่ยนะ?’
‘มันต้องเป็นคุณ โทนี่ คุณเป็นคนประกาศในงานแถลงข่าวเองว่าคุณจะยอมก้าวลงจากตำแหน่ง CEO และจะพาสตาร์ก อินดัสทรีไปในทิศทางใหม่ คุณเล่นไม่ปรึกษาใครเลยแบบนี้ ฉันจะตั้งรับคนเดียวไหวได้อย่างไร?’
‘โถ่ เพ็พ แต่ผมแต่งงานแล้ว... และผมก็มีลูกแล้วด้วย’
‘นั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่คุณจะโยนภาระมาให้ฉันคนเดียวสักหน่อย’
โทนี่เบ้หน้า เขามองซ้ายมองขวา เห็นปีเตอร์แอบมองอยู่จากหลังโซฟา พ่อลูกประสานสายตากันชั่วครู่ เป็นปีเตอร์ที่ตกใจ เด็กชายตื่นตระหนก เขาผลุบหายไปและตั้งใจจะซ่อนตัวต่อ ตอนนั้นเองที่โทนี่เรียกเขาไว้
‘อันเดอร์รูส์ ไม่ต้องแอบฟังแล้ว มาหาพ่อนี่มา’ โดนจับได้คาหนังคาเขา ร่างเล็กกว่าเด็กวัยเดียวกันของปีเตอร์จึงค่อย ๆ ปีนลงจากโซฟา เดินเตาะแตะไปหาพ่อของเขา โทนี่ย่อตัวลงมาอยู่ในระดับเดียวกัน ‘มาทำอะไรตรงนี้ พ่อนึกว่าลูกกำลังดูสารคดีอยู่ในห้องซะอีก?’ โทนี่วางมือที่หลังคอของเด็กชาย เขาจับใบหน้าลูกชายพลิกซ้ายขวา ใบหูเล็ก ๆ แดงเล็กน้อยเพราะถูกหูฟังกดทับนานเกินไป
‘ผมออกมากินพุดดิ้ง แต่ได้ยินเสียงพ่อกับป้าเพ็พเข้ามา ผมวิ่งกลับห้องไม่ทันเลยรีบไปแอบหลังโซฟา’
โทนี่ยิ้มตาหยีจนเห็นริ้วรอยแห่งวัย
‘แล้วทำไมต้องแอบพ่อ?’
‘ป๋าบอกว่าถ้ากินขนมหวานมาก ๆ ป๋าจะบอกกับทูตแฟรี่ และทูตแฟรี่จะมาเอาฟันผมไปทั้งหมด แต่ผมไม่อยากนี่นา... พ่อจะไม่บอกทูตแฟรี่ใช่ไหมฮะ?’
โทนี่เปล่งเสียงหัวเราะ ขยี้กลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนของลูกชายด้วยความเอ็นดู เชื่อฟังสตีฟเกินไปจนน่าสงสาร เขาเงยหน้าและช้อนตามองเพ็พเพอร์ เว้าวอนขอความเห็นใจด้วยน้ำเสียงเรียกร้องความเห็นใจ
‘ดูสิเพ็พ คุณจะไม่ให้ผมออกมาช่วยดูแลลูกจริง ๆ เหรอ? สตีฟเข้มงวดซะขนาดนี้’
เพ็พเพอร์มองสบตาลูกหมาใสซื่อของปีเตอร์ และดวงตาลูกหมาแกล้งทำของโทนี่ หญิงสาวเม้มริมฝีปาก ไม่อยากจะยอมรับ แต่เธอทนใจแข็งได้ไม่นานแน่
‘ยังไงคุณก็ต้องดูแล RD โทนี่’ หญิงสาวเว้นวรรค ‘และถ้าคุณจะย้ายแผนกทั้งแผนกนั่นไปนอร์ธแคโรไลน่าเพื่อให้อยู่ใกล้ชิดกับสตีฟ ฉันก็จะอนุมัติและช่วยพูดกับสมาชิกบอร์ดคนอื่น ๆ ให้’
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้โทนี่ได้อยู่ใกล้ชิดครอบครัวและได้ทำงานไปด้วยพร้อมกัน
แน่นอนกว่าแล็บใหม่ที่เมืองราลีห์, นอร์ธแคโรไลน่าจะเสร็จ คุยกับนักวิจัยและย้ายพนักงานรวมถึงจัดการเรื่องจิปาถะอื่น ๆ พวกเขาใช้เวลาปาเข้าไปเกือบสองปีกว่าที่โทนี่และปีเตอร์จึงได้ย้ายไปอยู่ที่นั่น เมืองราลีห์นั้นอยู่ห่างจากฐานทัพของสตีฟไม่มาก ขับรถหนึ่งชั่วโมงก็ถึง แบบนี้จะทำให้ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้า สตีฟได้มีเวลาอยู่กับลูกและเจอหน้าโทนี่ทุกวัน ถึงแม้ป๋าสตีฟของปีเตอร์จะต้องดีพลอยไปที่อื่นบ้าง มันก็ยังไม่หงอยเหงามากนัก
ปีเตอร์รู้สึกว่าบ้านหลังนี้เป็น ‘บ้าน’ มากกว่าที่ไหน ๆ เป็นที่ที่เขา พ่อ และมอร์แกนอยู่ด้วยกันเพื่อรอให้ป๋ากลับมาหลังจากทำหน้าที่ปกป้องประเทศชาติเสมอ
แต่ดูเหมือนตอนนี้ สตีฟอาจจะไม่กลับมาอีกแล้ว
“โรงเรียนเป็นไงบ้าง ปีเตอร์”
เสียงของเพ็พเรียกสติที่กำลังล่องลอยของเด็กหนุ่ม ปีเตอร์หันมามองป้าเพ็พของเขา ตอนนี้เธอเก็บสตาร์กแพ็ดไปเรียบร้อยแล้ว สองมือวางประสานกันบนตัก มีรอยยิ้มเล็กน้อยประดับมุมปาก
“อ่า ก็ดีฮะ...” ปีเตอร์ตอบกลาง ๆ “ไม่มีอะไรมากมายหรอกฮะ ช่วงนี้ใกล้ปลายภาคแล้ว ต้องอ่านหนังสือมากหน่อย แล้วก็ต้องรีบทำรายงานส่ง”
“ดีแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม” เขายักไหล่ มีปัญหาอะไรก็ยังนึกไม่ออก
ตอนนั้นเองที่มีเสียงกดกริ่งหน้าบ้าน หญิงสาวและเด็กหนุ่มมองหน้ากัน ประหลาดใจ ใครกันมากดกริ่งหน้าบ้านตอนกลางคืนแบบนี้
เพ็พเพอร์ลุกขึ้นยืน ตามมาด้วยปีเตอร์ ทั้งสองเดินไปทางหน้าประตูบ้าน คราวนี้เสียงเคาะประตูดังขึ้นตามมาด้วยเสียงตะโกนของผู้ชาย สำเนียงนอร์ธแคโรไลน่าเข้มข้น
“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจนะครับ ช่วยเปิดประตูให้เราหน่อย”
หญิงสาวก้าวไปที่ประตูเร็วขึ้น เธอคว้าลูกปิดและดึงประตูเปิด ตรงหน้าเธอและปีเตอร์เป็นตำรวจในชุดเครื่องแบบสองนาย อยู่ในวัยสี่สิบ
“สวัสดีครับคุณผู้หญิง นี่บ้านของคุณแอนโทนี่ สตาร์ก-โรเจอร์สรึเปล่าครับ?”
“ใช่ค่ะ” เพ็พเพอร์พยักหน้า “ไม่ทราบว่าพวกคุณ...”
“ขอโทษนะครับ คุณเป็นอะไรกับคุณสตาร์ก-โรเจอร์สครับ”
“ฉันเป็นเพื่อนค่ะ”
“ผมเป็นลูกฮะ” ปีเตอร์รีบพูดต่อ เขาเดินมายืนเคียงข้างเพ็พ ใบหน้าของเด็กหนุ่มเริ่มจะซีดขาว “เกิดอะไรขึ้นกับพ่อผมฮะ”
ตำรวจทั้งคู่มองหน้ากันเล็กน้อย ชายทางซ้ายพยักหน้าให้คู่หู ชายทางขวาที่ทำหน้าที่พูดเพียงคนเดียวจึงกล่าวต่อด้วยใบหน้าเคร่งเครียดและเสียใจ
“คุณสตาร์ก-โรเจอร์สประสบอุบัติเหตุครับ ตอนนี้เขาอยู่ที่โรงพยาบาล”
.
-Tony-
.
โทนี่รู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกบดร่างกายจนละเอียดไปทุกสัดส่วน ความเจ็บปวดลามเข้าไปจากล้ามเนื้อถึงกระดูกแบบที่เพียงแค่การหายใจยังเป็นเรื่องยาก เขากะพริบตา พยายามลืมตามองว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง แต่เปลือกตาที่หนักอึ้งนั้นไม่ยอมให้ความร่วมมือ กล้ามเนื้อบนใบหน้าแน่นตึงและขยับไม่ได้อย่างกับถูกเข็มตรึงเอาไว้ แต่อย่างหนึ่งที่รับรู้ได้คือเขาต้องอยู่ที่โรงพยาบาล
เสียงสัญญาณปิ๊บ...ปิ๊บ...ของเครื่องให้น้ำเกลือและวัดความดันดังอยู่ใกล้ ๆ เขาครางอย่างเจ็บปวด อึดอัด... ที่ปากเขาถูกสวมท่อช่วยหายใจ ยิ่งเขามีสติรับรู้มากเท่าไหร่ ความเจ็บปวดยิ่งทวีคูณมากขึ้นจนไม่อยากตื่น จำใจปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง และเขาก็เห็นสีดำ
.
.
โทนี่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพื่อพบกับหญิงสาวผมสีสตรอเบอรี่บลอนด์ที่เขารักรองจากแม่กำลังนั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วย
เพ็พ...
พยายามเรียกชื่อของเธอ ของเพ็พเพอร์ พอตส์ แต่ไม่มีเสียงอะไรหลุดรอดผ่านริมฝีปากนอกจากเสียงลมและเสียงบางอย่างที่ฟังไม่ได้ศัพท์ผ่านท่อช่วยหายใจ เขาอยากหาผ้าห่มมาให้เพ็พเพอร์ เขาทำไม่ได้...
เขาเห็นสีดำอีกครั้ง
.
.
เสียงครางเจ็บปวดเป็นเสียงแรกที่โทนี่พอจะเปล่งออกมาได้หลังจากเขาฟื้นและตื่นขึ้นมา เขามีสติมากพอที่จะรับรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นรอบตัวเขา มันไม่ใช่โทนี่ไม่อยากทำเสียงอื่น แต่เขาไม่มีทางเลือก
“โทนี่!” เพ็พเพอร์อุทานและยกมือขึ้นปิดปาก หญิงสาวร่างโปร่งบางปรี่เข้ามาที่เตียง ใบหน้าปีติยินดีและโล่งอก เธอคว้าปุ่มเรียกพยาบาลและกดมันเป็นอย่างแรก “โทนี่เธอรู้สึกยังไงบ้าง ฉันเป็นห่วงเธอมาก รู้ไหมเราใจหายแค่ไหนตอนที่ตำรวจมาแจ้งข่าวร้ายแก่เราที่บ้าน”
ท่อช่วยหายใจถูกแทนที่ด้วยสายอ๊อกซิเจนแบบสวมรูจมูกแทน โทนี่รู้สึกเหนื่อยหอบนิด ๆ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าการที่เขาพูดอะไรไม่ได้ “..เจ็..บ...” ลำคอของเขาแห้งผาก รู้สึกอย่างกับกำลังกินกรวด แถมแค่ขยับปากนิดเดียวความเจ็บปวดก็ลามไปทั่วใบหน้าจากซีกหน้าข้างขวา
“เธอประสบอุบัติเหตุ แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว” เพ็พเพอร์มาอยู่ที่ข้างเตียงโทนี่ เธอกุมมือของเขาขึ้นมาจูบและแนบมันกับแก้มของเธอ ดวงตาของเธอมีน้ำตาคลอหน่วยคล้ายใกล้จะร้องไห้เต็มที มันทำให้โทนี่เองก็รู้สึกแย่ไปด้วย...เขาทำอะไรลงไป?
“ที่..ไหน...”
โทนี่กวาดตามอง ทั้งห้องผู้ป่วยและสภาพเจ็บช้ำไปทั้งตัวของเขาทำให้พอรู้ว่าตัวเองอยู่ในโรงพยาบาล ด้านนอกเป็นเคาน์เตอร์พยาบาลและค่อนข้างมืด ดวงไฟเปิดอยู่แค่ไม่กี่ดวงตรงเคาน์เตอร์พยาบาลและบริเวณทางเดินเท่านั้น โทนี่เดาว่านี่เป็นเวลากลางคืน...กลางดึก...?
“ราลีห์ เราอยู่ที่โรงพยาบาลในราลีห์”
ราลีห์? ราลีห์, นอร์ธแคโรไลนาน่ะนะ? ตลกน่า
โทนี่มุ่นคิ้วและนิ่วหน้า อ้อ... จริงสิ แล็บ RD ของเขาเพิ่งเสร็จและพวกเขาย้ายจากนิวยอร์กมาอยู่นอร์ธแคโรไลน่ากันแล้วนี่นะ...
“แล้ว...ปีเตอร์...”
“เด็ก ๆ อยู่ที่บ้าน โทนี่”
‘เด็ก ๆ’ ? โทนี่ประหลาดใจ อาจจะหูฝาดก็ได้ แต่เขามั่นใจว่าเขามีลูกแค่คนเดียว
“ปีเตอร์ไม่ยอมไปไหนตั้งแต่เรามาถึง เขาเป็นห่วงเธอมาก จนฉันบอกว่าถ้าเขาไม่ยอมกลับบ้าน หนูมอร์แกนจะไม่ได้พักผ่อน แบบนั้นแหละถึงได้ยอมให้ฉันอยู่เฝ้าเธอแทน เขาเป็นเด็กดีและเชื่อฟังเสมอเลย”
โทนี่กะพริบตา
มอร์แกน? มอร์แกนไหน... แล้วสตีฟล่ะ เพ็พ สตีฟไปไหน?
เขากำลังจะถามถึงสตีฟ หางตาก็เหลือบไปเห็นหมอกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับชาร์ตประวัติผู้ป่วย หมอสาวผิวสีเดินมาหยุดข้างเตียง พลิกประวัติของเขาอ่านและจดบันทึกก่อนจะเอ่ยปากถาม
“สวัสดีค่ะคุณสตาร์ก-โรเจอร์ ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้างคะ?”
“ไม่..แย่”...เคยเจอ..หนักกว่านี้..มาแล้ว
โทนี่อยากพูดต่อ แต่ลำคอของเขาแห้งผาก แค่จะเรียบเรียงและพูดออกมายังเจ็บ พยายามฝืนยิ้มและขยิบตาให้คุณหมอ เขาเห็นเพ็พเพอร์ทำหน้าไม่เห็นด้วย หญิงสาวส่ายหน้าและทำตาดุใส่โทนี่
คุณหมอเลิกคิ้ว หญิงสาวเงยหน้ามองโทนี่ ใบหน้าคมเข้มแบบหญิงสาวผิวสียังคงเรียบเฉย
“ดีค่ะ มีกำลังใจดี อย่างนั้นฉันคงต้องบอกข่าวดีกับคุณด้วยว่าคุณอาจจะต้องอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสักหลายวันหน่อยเพื่อดูอาการ เสร็จแล้วก็น่าจะกลับบ้านได้” เธอใช้ด้ามปากกาชี้ไปยังขาของโทนี่ที่ใส่เฝือกแขวนเอาไว้ “คุณกระดูกแขนซ้ายและกระดูกขาหัก กล้ามเนื้อฉีก อวัยวะข้างในฟกช้ำจากแรงกระแทก หัวแตก ที่ใบหน้าบวมและเป็นแผล ระยะเวลาที่ต้องทำกายภาพบำบัดต่อหลังออกจากโรงพยาบาลคงจะนานหลายเดือนสักหน่อย แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ คุณจะหายดีแน่นอน”
โทนี่ตาเหลือก เขาเหลือบมองเพ็พเพอร์ด้วยสายตาตื่นตระหนก คอของเขาใส่เฝือกอ่อน ขยับกล้ามเนื้อแค่นิดเดียวก็เจ็บแล้ว สายตาพยายามอ้อนวอนเพ็พขอให้มันมีทางเลือกอื่น แต่เพ็พเม้มริมฝีปากและส่ายหน้า เธอรู้ดีว่าโทนี่ไม่ชอบโรงพยาบาลและอยากกลับบ้านแค่ไหน แต่หญิงสาวจะไม่ใจอ่อน
“ตอนนี้คุณรู้สึกปวดหัวหรือมีอาการคลื่นไส้บ้างไหมคะ? หรือได้ยินเสียงในหัว”
“..ไม่”
“เยี่ยมค่ะ คืนนี้คุณคงจะมีอาการปวดตามตัวมาก ถ้าทนไม่ไหวให้เรียกนะคะ จะมีเจ้าหน้าที่มาฉีดยาให้สามีของคุณ” หมอสาวบอกกับเพ็พเพอร์ เพ็พเพอร์เบิกตาเล็กน้อย เธอตั้งรับไม่ทันกับการถูกทักว่าเป็นภรรยาของโทนี่
“เปล่าค่ะ ฉันเป็นเพื่อน”
“อ้อ..” หมอผิวสีเพียงอุทานเบา ๆ “ถ้าอย่างนั้นฉันขอโทษด้วยนะคะที่เข้าใจผิด ขอตัวก่อนนะคะ พรุ่งนี้ฉันจะเข้ามาใหม่”
“ขอบคุณนะคะคุณหมอ” เพ็พเพอร์กล่าว เธอไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าหมออกไปหรือยัง เพ็พเพอร์หันกลับมามองโทนี่ เธอยกแขนขึ้นกอดอกและพ่มลมหายใจออก
โทนี่มองหญิงสาว บุ้ยหน้าและเลิกคิ้วกลับ ถ้าโทนี่ไม่เจ็บไปทั้งหน้าเขาคงถามหล่อนกลับแล้วว่า ‘อะไร?’ มันทำให้เพ็พเพอร์ส่ายหน้า ร่างโปร่งของหญิงสาวผมสีสตรอเบอรี่บลอนด์นั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วยอีกครั้ง
“เธอทำให้คนอื่นเป็นห่วงกันหมดรู้ไหมโทนี่” หญิงสาวตำหนิ แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความโล่งใจ
โทนี่ทำแบบนั้นเสมอ และนี่ก็เป็นแค่หนึ่งเหตุการณ์ชวนใจหายใจคว่ำทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นตลอดเกือบ 30 ปีที่รู้จักกันมา
คนบนเตียงพยายามส่งยิ้มให้เพ็พเพอร์
“ช่วย..ไม่ได้... แต่ฉัน..พยายาม...แล้วนะ...”
อย่างไรก็ตามช่วงเวลาสามถึงสี่ปีที่ผ่านมานี้โทนี่ระมัดระวังตัวและรักตัวเองมากขึ้น เขาพยายามลดระดับความเสี่ยงต่าง ๆ ในชีวิตลงมาเพื่อให้อยู่กับคนสำคัญในชีวิตให้ได้นานที่สุด ตอนนี้โทนี่ สตาร์ก... ไม่สิ โทนี่ สตาร์ก-โรเจอร์ไม่ได้ตัวคนเดียวอีกต่อไป เขายังมีสตีฟ สามีนายทหารคนดีของเขาและปีเตอร์ ลูกชายวัย 11 ปีีที่แสนจะน่ารัก
ความสุขยามที่เขาไปรอรับสตีฟกลับมาจากภารกิจพร้อมกับปีเตอร์เป็นครั้งแรกยังฉายชัดอยู่ในความทรงจำ มันเป็นช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนของปีเตอร์ปีแรกที่โทนี่รับเด็กชายกำพร้าวัย 7 ขวบมาเลี้ยง
ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์เป็นเด็กกำพร้าจากควีนส์ โทนี่ได้รู้จักเด็กชายวัยประถมในสัปดาห์วิทยาศาสตร์เล็ก ๆ ที่ปีเตอร์เป็นตัวแทนของโรงเรียนเขาไปประกวดโครงการวิทยาศาสตร์ มูลนิธิการกุศลของโทนี่นั้นให้การสนับสนุนงานครั้งนั้น เขามอบรางวัลและให้ทุนการศึกษาแก่เด็ก ๆ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้น ไม่นานเขาก็ได้รับข่าวร้ายว่าพ่อและแม่ของปีเตอร์เสียชีวิต ในฐานะตัวแทนของมูลนิธิฯ โทนี่จึงไปเยี่ยมเด็กชายที่บ้านญาติ เมย์ ปาร์กเกอร์และเบน ปาร์กเกอร์ พวกเขามีชีวิตที่ค่อนข้างลำบาก ในตอนนั้นโทนี่และสตีฟเคยเปรยคุยกันเรื่องมีลูก เขาเล่าปัญหาของปีเตอร์ให้สตีฟฟัง สตีฟแสนใจดีและประเสริฐราวกับนักบุญของเขาจึงเสนอให้รับเลี้ยงปีเตอร์ ...ง่าย ๆ อย่างนั้นเลย
ปีเตอร์กับสตีฟได้เจอกันหนึ่งครั้งในช่วงหนึ่งเดือนที่เป็นวันหยุดของสตีฟ นายทหารหนุ่มมาที่นิวยอร์กเพื่อเซ็นเอกสารรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม ทำความรู้จักกับเด็กชายตัวเล็กที่โทนี่บอกว่าฉลาดแต่กลับทำตัวประดักประเด่อและมีใบหน้าเหรอหราเด๋อด๋าตลอดเวลา
สตีฟหลงรักปีเตอร์ภายในเวลาหนึ่งวัน
‘ผมชักเข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงพิเศษสำหรับคุณ’ สตีฟบอกกับโทนี่ในตอนเช้า เขาได้รับเสียงหัวเราะเบาในลำคอและรอยยิ้มหยีจนเห็นริ้วรอยแห่งวัยจากสามีที่รัก ‘คุณแพ้ทางสายตาลูกหมาของเขา’ ดวงตาลูกหมาน่าเอ็นดูของเด็กชายตัวกระเปี๊ยกที่ทำใครก็ตามใจอ่อน
นั่นยิ่งทำให้โทนี่หัวเราะมากกว่าเดิม เขารินกาแฟดำใส่แก้วสำหรับตัวเอง ก่อนจะยื่นหน้าไปหาสตีฟเพื่อจูบอรุณสวัสดิ์กันหนึ่งครั้ง
‘เขาก็เหมือนคุณนั่นแหละสตีฟ’
‘งั้นเหรอ?’
‘ทำให้ผมหลงรัก’
สตีฟโรเจอร์เป็นใครถึงจะไม่โอบรอบเอวโทนี่และดึงเขาเข้ามาจูบอย่างดูดดื่ม?
น่าเสียดายที่สตีฟได้ใช้เวลากับโทนี่และปีเตอร์ไม่นานก็ต้องกลับไปที่ฐานเพื่อเตรียมตัวไปทำภารกิจที่อิรักเป็นระยะเวลา 6 เดือน
“โทนี่ เธอจำได้ไหมว่าอุบัติเหตุนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง?” ประโยคของเพ็พเพอร์เรียกสติโทนี่กลับมาอีกครั้ง เขากะพริบตางุนงง “เรื่องนี้เกี่ยวกับสตีฟหรือเปล่า ฉันสาบานว่าถ้าสตีฟเป็นสาเหตุให้เธอประสบอุบัติเหตุรถคว่ำฉันจะทำให้เขาชดใช้อย่างสาสม”
อุบัติเหตุเหรอ...? เขานิ่วหน้า
“ส..สตีฟ...ไปไหน?”
“สตีฟ?”
“ใช่...ถ้าเขาอยู่..เธอจะได้...ไปทำงาน...”
“โอ้..โทนี่” เพ็พเพอร์อุทาน หญิงสาวมีสีหน้าประหลาดใจและกระอักกระอ่วนที่จะบอก “ฉันคิดว่าสตีฟอาจจะไม่สะดวกมา”
“ด...ดีพลอย...?” โทนี่พูดได้ทีละคำ เสียงของเขาแผ่วเบาและแหบแห้ง ถ้าเป็นเพราะติดภารกิจ โทนี่ก็เข้าใจว่าทำไมสตีฟจึงไม่สามารถมาหาเขา
“ไม่ โทนี่ สตีฟ.. เขาคงอยู่ที่ฐาน เธออยากเจอเขางั้นเหรอ?”
โทนี่กะพริบตา “อืม...” อยากเจอ... เขาคิดถึงสตีฟ คิดถึงสามีของเขา ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาได้เจอสตีฟแค่วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ สตีฟประจำอยู่ที่ฟอร์ตแบรกก์ ห่างจากเมืองหลวงของรัฐนี้อย่างราลีห์แค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น อย่างน้อยถ้าเขาอยู่ใกล้แค่นี้สตีฟก็น่าจะขับรถมาได้
“ได้ พรุ่งนี้ฉันจะโทรหาสตีฟให้”
“เยี่ยม... ขอบใจนะเพ็พ..”
หญิงสาวยิ้มให้โทนี่และก้มลงมองโทรศัพท์ของตัวเอง กดพิมพ์ข้อความกับใครบางคน ไม่นานก็เงยหน้าขึ้นมา
“เธอคุยกับปีเตอร์ไหวไหม เมื่อกี้ฉันส่งข้อความไปบอกเขาว่าเธอฟื้นแล้ว ปีเตอร์ยืนยันจะโทรหา เขาเองก็เป็นห่วงเธอมาก ๆ และแค่อยากเห็นว่าเธอปลอดภัยเท่านั้น”
โทนี่งุนงง เวลาดึกแบบนี้ปีเตอร์ควรจะนอนได้แล้ว เขาจำได้ว่าให้ปีเตอร์นอนตั้งแต่หัวค่ำเสมอ นอกจากว่าเด็กชายจะแอบเล่นวิดีโอเกมตอนที่ปิดไฟแล้ว ดูเหมือนเขาคงจะต้องมาชำระความกับปีเตอร์ทีหลัง
“อืม..” เขาตอบเพ็พ หญิงสาวพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหยิบแท็บเล็ตออกมาและกดวิดีโอคอล เธอเปิดลำโพงไปด้วย เสียงสัญญาณดังแค่ครั้งเดียวปลายสายก็กดรับ
“ปีเตอร์..”
“สวัสดีฮะป้าเพ็พ พ่อเป็นไงบ้างฮะ”
เสียงเด็กวัยรุ่นเพิ่งแตกหนุ่มทำให้โทนี่ประหลาดใจ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อยและมองเพ็พเพอร์ด้วยสายตางุนงง
“เขาโอเค เพิ่งฟื้น” หญิงสาวพูดจบก็เอาแท็บเล็ตมาตรงหน้าโทนี่
ใบหน้าเด็กวัยรุ่นเพิ่งแตกหนุ่มทำให้โทนี่ตกใจและเบิกตากว้าง เขายิ่งรู้สึกเหมือนกับมีใครกำลังเล่นตลกเมื่อเด็กวัยรุ่นในแท็บเล็ตนั่นเรียกเขาว่า...
“พ่อฮะ พ่อรู้สึกยังไงบ้างฮะ?”
สีหน้าอีกฝ่ายตื่นตระหนกและเป็นห่วง แต่ดวงตาสีน้ำตาลคู่นี้ ดวงตาที่เหมือนกับลูกหมาถูกเตะ... เด็กคนนี้หน้าตาคล้ายกับปีเตอร์เหลือเกิน
โทนี่หาเสียงตัวเองไม่เจอ เพ็พเพอร์คงคิดว่าเขาเจ็บเกินกว่าจะพูดได้จึงตอบให้แทน
“โทนี่โอเคจ้ะ พีท เขาแค่เจ็บแผลเท่านั้น หมอเพิ่งจะถอดท่อช่วยหายใจไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน คงยังเจ็บคออยู่”
“ดีแล้วฮะ” เด็กหนุ่มคนนี้ยิ้มออกมาได้ในที่สุด เขาเหมือนปลดภาระออกจากบ่าไปได้หนึ่งอย่าง “พรุ่งนี้หลังเลิกเรียนผมจะไปเยี่ยมพ่อนะฮะ ผมคิดว่าผมอยากพามอร์แกนไปด้วย เธอคิดถึงพ่อ”
โทนี่พยายามยิ้มให้เด็กวัยรุ่นคนนี้ เขาพยายามประมวลผล แต่เหมือนสมองเขาจะสั่งการช้ากว่าปกติ มันมึนตึงเหมือนกับในหัวโดนกดทับด้วยก้อนหิน
“ผมว่าผมวางสายก่อนดีกว่า... พ่อยังมีเราเสมอนะฮะ ผมรักพ่อ พรุ่งนี้ผมจะไปเยี่ยม พักผ่อนเยอะ ๆ นะฮะ” อีกฝ่ายส่งยิ้มกว้างให้โทนี่ เขากล่าวบอกลาเพ็พเพอร์ก่อนจะกดวางสาย
เพ็พเพอร์เก็บแท็บเล็ตของเธอลงไป เธอหันหลังให้โทนี่และแอบเช็ดน้ำตา รู้สึกสงสารโทนี่และเด็ก ๆ จนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ หญิงสาวสูดลมหายใจ ยืนหลังตรงและหันกลับมาเผชิญหน้ากับโทนี่อีกครั้ง
“มีอะไรรึเปล่า โทนี่?” หญิงสาวถาม โทนี่ดูอึ้งไป เขาทำหน้าประหลาดเหมือนกับยังไม่แน่ใจว่าเพิ่งเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง โทนี่กะพริบตาจนขนตาเขากระพือ เขาเอียงคอเล็กน้อย หันกลับมามองหน้ากัน
“เพ็พ..เมื่อกี้...นั่นใคร?”
“หา?” เพ็พเพอร์ตกใจ เธออาจจะเผลอเสียงดังไปหน่อย โทนี่นิ่วหน้า เขาหลบสายตาดุ ๆ ของหญิงสาว “คุณพูดอะไรของคุณ”
“ผมรู้...” โทนี่เว้นวรรค เสียงของเขาแหบแห้ง “เขา..คล้ายปีเตอร์ แต่ผมไม่รู้จัก...”
“คุณจะบ้ารึไงโทนี่! เขาไม่ได้คล้ายปีเตอร์ แต่เขาคือปีเตอร์ต่างหาก” เพ็พเพอร์เอามือทั้งสองข้างกุมหน้าผาก นี่โทนี่กำลังเล่นตลกอะไรอยู่? มันเป็นเกมที่จะปั่นประสาทเธออีกใช่ไหม เพราะถ้าใช่เธอจะเล่นงานเขาแน่ มันไม่ตลกเลยสักนิด!
“ตะ..แต่...”
“แต่อะไร?”
“แต่ปีเตอร์...ปีเตอร์ลูกผม... เขาเพิ่งอยู่เกรดห้า”
.
-Pepper-
.
เพ็พเพอร์ชะงักไป พอหญิงสาวตั้งสติได้ก็เดินออกไปข้างนอกโดยไม่ฟังคำทัดทานงุนงงของโทนี่ เธอคุยกับพยาบาลสักครู่ ไม่นานพยาบาลก็เพจเรียกหมอสาวมาที่เคาน์เตอร์ เป็นหมอสาวผิวสีคนเดิมใบหน้าอ่อนล้า เพ็พเพอร์คุยกับหล่อนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่นานทั้งคู่ก็เดินกลับเข้ามา
หมอเดินกลับมาที่เตียงโทนี่เพื่อถามคำถามง่าย ๆ ‘ปีนี้ปีอะไรคะ?’ และโทนี่ก็ตอบออกไปตามปกติ เพ็พเพอร์มีสีหน้าไม่ดีสักนิด ขณะที่หมอสาวมีใบหน้าเรียบเฉย เธอกระซิบบางอย่างกับเพ็พเพอร์ แล้วเดินออกไปเพื่อที่จะกลับมาใหม่พร้อมกับบุรุษพยาบาลและเตียงขนย้ายผู้ป่วย
“คุณสตาร์ก-โรเจอร์สคะ ฉันคิดว่าเราคงต้องสแกนสมองของคุณตอนนี้เลย คุณมีอาการปวดหัว คลื่นไส้ หรือวิงเวียนไหมคะ”
โทนี่ส่ายหน้า
“คุณแน่ใจนะคะ? อาหารหูอื้อ หรือเห็นภาพสีขาวล่ะคะ ตอนนี้หรือก่อนหน้ามีอาการแบบนั้นบ้างไหมคะ?”
“ไม่..”
“โอเคค่ะ”
บุรุษพยาบาลช่วยกันย้ายโทนี่มานอนที่เตียงอีกเตียง พวกเขาเข็นและพาโทนี่ไปที่ห้องสแกนmri
ร่างโปร่งของเพ็พเพอร์ยืนรออยู่หน้าห้องปฏิบัติการ เธอมองประตูถูกปิดลงและห้องนั้นก็ถูกใช้งาน หญิงสาวมองรอบ ๆ บริเวณนี้เงียบเชียบจนแค่เธอก้าวเท้าก็ได้ยินเสียงส้นสูงกระทบพื้น แสงไฟฟลูออเรสเซนต์สีขาวสลัว ๆ หน้าห้องปฏิบัติการทำให้เธอรู้สึกดำดิ่งลงไปอีก เพ็พเพอร์พาร่างของตัวเองไปนั่งพักที่เก้าอี้นั่งรอ แผ่นหลังที่เคยตั้งตรงโค้งงอ ไหล่ผายงุ้มเข้าหากันอย่างเหนื่อยอ่อน หญิงสาวที่เคยเป็นอัลฟ่าวูแมนและจัดการกับทุกอย่างได้ซบใบหน้ากับฝ่ามือ หลุดสะอื้นออกมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
.
.
.
.
to be continued...
ความคิดเห็น