ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Stony) Captain Husband

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 5 - Pray For Love

    • อัปเดตล่าสุด 13 มิ.ย. 63


     

    (คำเตือน: Rated R,

    มีฉากความรุนแรงและการใช้อาวุธปืน ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณ)

    .

    -Tony-

    .

    5 ปีก่อน,

    โทนี่และปีเตอร์ในวัย 11 ปีมารับสตีฟที่สนามบิน ต้อนรับสามีของเขาที่เพิ่งกลับมาจากทัวร์ โดยปกติแล้วสตีฟจะมองหาเขามากพอ ๆ กับที่เขามองหาอีกฝ่าย ทว่าครั้งนี้มันมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม สตีฟในชุดเครื่องแบบลายพรางกำลังเดินมากับนายทหารอีกคนที่โทนี่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

    “ป๋าฮะ”

    เด็กชายตัวน้อยส่งเสียงดีใจเดินเข้าไปหาป๋าของเขา สตีฟเองก็หันมาเห็นปีเตอร์พอดี เขายิ้มกว้างให้กับลูกน้อยและย่อตัวเพื่ออุ้มเด็กชายตัวเล็กขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย

    “เฮ้ ปีเตอร์”

    ปีเตอร์ซุกใบหน้ากับบ่ากว้างและโอบแขนเล็กของเขารอบลำคอหนา เขาส่งเสียงเหมือนกับลูกหมาเวลาที่ได้ออดอ้อนเจ้าของ ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูจนสตีฟอดจูบที่ขมับและกกหูเด็กชายไม่ได้ มันทำให้ปีเตอร์หัวเราะคิกคัก เอียงใบหน้าหนีและซุกใบหน้ากับบ่าเขาเข้าไปอีก ใครเห็นสองพ่อลูกเล่นกันอย่างนี้จะต้องรู้สึกเอ็นดูแน่

    “คิดถึงป๋ามาก ๆ เลยฮะ” ปีเตอร์ออดอ้อน

    “พ่อก็คิดถึงลูก”

    สตีฟกอดปีเตอร์แน่นขึ้นอีก ร่างสูงหันมามองโทนี่ ใบหน้าหล่อเหลาขยับยิ้มกว้างแค่ได้เห็นเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลที่คุ้นเคยเป็นประกายรอคอยเขาอยู่

    “โทนี่” เพียงแค่คำเดียว โทนี่ก็ก้าวเข้าไปหาอ้อมกอดอบอุ่นของกัปตันโรเจอร์ส “ผมคิดถึงคุณ”

    “ผมคิดถึงคุณมากกว่า” โทนี่โต้ตอบ

    สตีฟขำกับการอวดเบ่งเล็ก ๆ ที่แสนจะน่าเอ็นดูนี่ คลายอ้อมกอดโทนี่และโอบแขนรอบเอวอีกฝ่ายเอาไว้แทน ใบหน้าหล่อเหลาของกัปตันโรเจอร์สก้มลงมาประทับจูบที่ริมฝีปากสีแดงสดที่แสนคิดถึง โทนี่หัวเราะแนบชิด มือข้างหนึ่งของเขายึดเสื้อลายพรางของสตีฟเอาไว้ไม่ให้ตัวเองละลายลงไปกองกับพื้นเพราะจุมพิตอ่อนหวานชวนละลายแบบนี้

    ทั้งคู่ผละจากกัน ปีเตอร์น้อยเอามือที่ปิดตาลงเมื่อป๋าตัวโตส่งเสียงเรียก

    “ปีเตอร์ โทนี่ ผมมีคนอยากแนะนำให้รู้จัก” สตีฟเว้นวรรคเล็กน้อย เขากอดกระชับเอวโทนี่และเบี่ยงตัวเด็กชายตัวน้อยในอ้อมแขนให้ทั้งคู่ได้เห็นหน้านายทหารหนุ่มอีกคนชัด ๆ

    ชายร่างหนาตรงหน้าอยู่ในชุดทหารลายพรางติดยศจ่าดูดิบเถื่อนแต่หล่อเหลา เส้นผมยาวไร้ทรงสีช็อกโกแลต ดวงตาสีฟ้าใสเฉดใกล้เคียงกับสตีฟ เบ้าตาลึก คางบุ๋มและมีไรหนวดเคราที่ไม่ได้โกนล้อมรอบ แต่อีกฝ่ายเอาแต่ทำหน้าตาเคร่งเครียดและไม่เป็นมิตรอย่างกับเกลียดคนทั้งโลกมันเลยทำให้เขาดูไม่น่าเข้าใกล้

    สตีฟคล้ายจะสูดลมหายใจเข้าเล็กน้อย เขายืดอกขึ้นอย่างภาคภูมิใจ

    “นี่บัคกี้ บาร์นส์ เพื่อนรักของผม”

     

    สตีฟนอนหลับไปหนึ่งวันเต็ม ๆ เขาอดนอน 72 ชั่วโมง และเมื่อได้นอนในเตียงแสนนุ่มเขาก็นอนอย่างเต็มที่ เขาออกมาตอนที่โทนี่รับปีเตอร์กลับมาจากโรงเรียนพอดี สิ่งแรกที่โทนี่เดินเข้ามาในบ้านคือสตีฟกำลังกินพิซซ่าเดลิเวอรี่ทั้งถาดอยู่คนเดียวในครัวกับเอนเนอร์จี้ดริงค์

    “พ่อฮะ เย็นนี้เราจะกินพิซซ่ากันเหรอฮะ?” พีทกระตุกมือโทนี่และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น มันทำเอาเขาหัวเราะขำออกมาและส่ายหน้าให้ลูกชาย

    “ไม่รู้สิ ลูกหิวรึเปล่า ไปแย่งพิซซ่าของป๋ากินก่อน พ่ออนุญาต”

    ปีเตอร์ส่งเสียงร้องดีใจ ปลดกระเป๋าเป้และวิ่งไปหาป๋าของเขาในครัว เด็กชายปีนขึ้นนั่งบนเก้าอี้ก่อนจะทำหน้าเสียใจออกมา “พ่อฮะ ป๋ากินพิซซ่าหมดแล้ว” ดวงตาใส ๆ ไม่ต่างจากสายตาลูกหมาถูกเตะ ทั้งเศร้าสร้อยและผิดหวัง

    “ไม่ต้องห่วง พ่อมีไอศครีมอยู่ในตู้เย็นด้วย ลูกไปเอาสิ”

    ไม่ต้องรอให้สตีฟพูดซ้ำ ร่างเล็กของเด็กชายก็วิ่งเข้าไปในครัว โทนี่เดินเข้ามาหาสตีฟ ทั้งคู่ยื่นหน้าไปจูบทักทายกันหนึ่งครั้ง

    “ตื่นแล้วเหรอ เจ้าหญิงนิทรา?”

    “ตื่นแล้วครับ” สตีฟอมยิ้มกับชื่อเล่นใหม่ของเขา จนถึงตอนนี้แล้วมันก็ยังมีมาเรื่อย ๆ ให้เขาประหลาดใจได้และหัวเราะได้เสมอ

    “ในตู้เย็นไม่มีอะไรกินเลยล่ะสิ ช่วงนี้พี่เลี้ยงของเราลาหยุดน่ะ และผมก็มัวแต่ยุ่งเรื่องงานจนไม่ได้ไปซื้อของ”

    “ไม่เป็นไรหรอก ผมเห็นเบอร์โทรร้านพิซซ่าเดลิเวอรี่ติดไว้บนตู้เย็นพอดี... แต่ว่า แพงน่าดูเลยนะ”

    “มัน gluten-free นี่นา” สตีฟทำหน้าประหลาดกับคำตอบของโทนี่ “เฮ้ๆๆ ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนี้เลยนะ มันดีต่อสุขภาพน่า”

    “ผมเห็นคริสปี้ครีมกล่องเบ้อเริ่มอยู่ในตู้เย็น”

    “นั่น...ชีทมีล”

    สตีฟส่ายหน้า “คุณคงอดกินแล้วล่ะ ก่อนพิซซ่ามาส่งผมหิวมาก เลยกินโดนัทคุณไปหมดแล้ว”

    “พูดเป็นเล่น นั่นหลายชิ้นเลยนะ?”

    “ไปดูในถังขยะสิ” ไม่ต้องพูดซ้ำคนชอบกินของหวานก็เดินผ่านสตีฟตามปีเตอร์เข้าไปในครัว เขาได้ยินเสียงสบถหยาบคายของโทนี่ดังตามมา “โทนี่! สุภาพหน่อย”

    อึดใจต่อมาโทนี่กับปีเตอร์ก็เดินกันออกมาจากในห้องครัว ปีเตอร์ถือถ้วยไอศครีมกับช้อนอยู่ในมือ ท่าทางมีความสุข ส่วนโทนี่หน้าตาเขาบูดบึ้งกลับกันเลย

    “ไม่เอาน่าเบบี้ เดี๋ยวผมซื้อมาคืน” สตีฟหยอกและอมยิ้มขณะที่มองโทนี่ “ผมกำลังจะไปข้างนอกพอดี”

    “ไปข้างนอก?”

    “อืมฮึ ผมนัดบัคกี้ไว้ อาจจะไปดื่มกันสักหน่อย” ร่างสูงลุกขึ้นยืน เขาเก็บถาดพิซซ่าและบีบกระป๋องมอนสเตอร์ดริงค์จนมันบี้แบนด้วยสองมืออย่างง่ายดาย โทนี่เหล่มองกล้ามเนื้อบนแขนล่ำ ๆ ของสตีฟที่โผล่พ้นแขนเสื้อยืดสีขาว ขบริมฝีปากตัวเองและเอ่ยถามสิ่งที่คิดตอนแรกก่อนจะถูกทำให้เสียสมาธิ

    “กลับมากินข้าวเย็นด้วยกันรึเปล่า?”

    “อา.. ไม่แน่ใจเลย ถ้าจะให้ดีคุณกับลูกกินกันก่อนเถอะ”

    “แน่ใจ?”

    “ครับ” มือคว้าเสื้อแจ็กเกตหนังสีน้ำตาลขึ้นมาสวม ล้วงกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ Harley-Davidson ในกระเป๋าเสื้อออกมาถือไว้ “ผมเอาขยะไปทิ้งให้แล้วจะออกไปเลย” ร่างสูงก้าวเข้ามาหา โอบเอวบางเข้าหาตัวและก้มหน้าประทับจูบที่ริมฝีปากหนึ่งครั้ง

    “รักคุณนะโทนี่”

    “รักคุณเหมือนกัน สตีฟ”

    และวันนั้นสตีฟก็ไม่ได้กลับบ้านเป็นครั้งแรก...

    โทนี่ไม่ได้โมโห เขาเข้าใจ เพื่อนทหารร่วมรบนั้นเปรียบเสมือนครอบครัวอีกครอบครัวหนึ่ง พวกเขาใช้เวลาด้วยกันทุกวัน 24-7 นอนด้วยกัน กินด้วยกัน เสี่ยงชีวิตด้วยกันเป็นเดือน ๆ ปี ๆ ทั้งทัวร์ มันไม่แปลกที่จะผูกพันกัน แต่โทนี่ออกจะประหลาดใจมากกว่า เพราะไม่เคยมีเพื่อนสนิทคนไหนของสตีฟที่ทำให้อีกฝ่ายออกไปดื่มด้วยและไม่กลับบ้านได้ ไม่แม้แต่ส่งข้อความมาบอกกันด้วยซ้ำ

    .

    -Sam-

    .

    ศูนย์การแพทย์ทางทหารวอร์แม็ค, ฟอร์ตแบรกก์

    เจมส์ บูแคแนน บาร์นส์ถูกย้ายจากห้อง ICU มาอยู่ในห้องพักฟื้นหลังจากที่อาการของเขาคงที่มากยิ่งขึ้น ทหารปลดประจำการยังคงสวมเครื่องช่วยหายใจ สายน้ำเกลือพร้อมกับเครื่องวัดชีพจรดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แล้วประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกผลักเปิด แซมวล วิลสันในชุดไปรเวทส่งเสียงคุยและกล่าวลาทหารหญิงที่เขาบังเอิญรู้จักด้วยรอยยิ้มก่อนจะปิดประตูลง ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มนั่นกลับมาเคร่งเครียด ผ่อนลมหายใจอ่อนล้า

    “บัคกี้ เพื่อนยาก... นายพ้นขีดอันตรายแล้ว เมื่อไหร่จะตื่นสักที”

    ร่างกำยำของชายผิวสีเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง นัยน์ตาสีดำมองเพื่อนรักที่เพิ่งพ้นจากโคม่าด้วยความรู้สึกหลากหลาย สตีฟโทรมาเช็กกับเขาทุกวัน ถามว่าบัคกี้เป็นอย่างไรบ้าง และเขาให้คำตอบแบบเดิมกับสตีฟมา 5 วันติด

    ‘บัคกี้ปลอดภัย ถ้าเขาฟื้นแล้วฉันจะติดต่อนายทันที’

    “สตีฟเป็นห่วงนายแทบบ้า ฉันเองก็เป็นห่วงนาย นายจะปล่อยให้พวกฉันรู้สึกระยำและสิ้นหวังแบบนี้ต่อไปไม่ได้” น้ำเสียงที่ออกมานั้นอัดอั้นและเกือบจะอ้อนวอน อ่อนแอ

    แซม วิลสันเคยเป็นทหารอากาศมาก่อน เขาเป็นพลร่มกู้ภัยหรือ PJ และมันก็มีเหตุให้เขาตั้งคำถามกับตัวเอง...

    เขาสูญเสียเพื่อนรักไปในสนามรบ

    ‘ไรลี่ย์’ เป็นวิงแมน ของแซม วันหนึ่งที่เราไปปฏิบัติภารกิจช่วยชีวิตทหารที่ตกอยู่ใต้วงล้อมของศัตรูที่เมืองบาคมาลา ปฏิบัติการโดยการขับรถฮัมวี่เข้าไปช่วยเหลือหน่วยจู่โจม แบ่งเป็นสามทีม พวกเขาทำภารกิจสำเร็จและกำลังล่าถอย ทหารในทีมช่วยเหลือยิงปืนกลพยายามสอยสไนเปอร์ที่สาดห่ากระสุนใส่ขบวนรถฮัมวี่ของเรา เกือบจะพ้นดงกระสุนแล้ว เสียงฟิ้ว! ของสสารบางอย่างตัดอากาศและของแข็งอย่างเหล็กปะทะกันก็ดังขึ้น มันตามมาด้วยแสงแฟลร์สีส้มและเสียงระเบิดตู้ม! RPG ของพวกอัฟกันสอยรถฮัมวี่คันที่รั้งท้าย

    รถระเบิดทั้งคั้น ไรลี่ย์อยู่ในนั้น...

    หัวใจของแซมถูกบีบจนเหมือนกับจะหยุดเต้น ความรู้สึกเกรี้ยวกราดถาโถมจนเขาคว้าปืนและเกือบจะโผล่ศีรษะออกไปยิงกลับแต่เขาถูกทหารหน่วยจู่โจมกระชากตัวเอาไว้

    “อย่าโง่ไปหน่อยเลย!” อีกฝ่ายตะโกน “นายทำอะไรไม่ได้!”

    แซมทั้งโกรธและผิวหวัง เขาหายใจแรงและเร็ว ในอกร้อนผะผ่าวอย่างกับข้างในนั้นมีกองไฟสุมอยู่และมันกำลังเผาไหม้อวัยวะจากภายในสู่ภายนอก รู้สึกทั้งเกรี้ยวกราดและสิ้นหวัง

    เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากมองเฉย ๆ

    รถฮัมวี่ของทีมช่วยเหลือมาทั้งหมด 3 คัน แต่มีเพียงแค่ 2 คันที่ได้กลับไป...

    หลังจากทัวร์นั้น แซมลาออกจากราชการ เขากลับไปตั้งสติอยู่สักพัก ตั้งหลักใหม่ และทหารหน่วยจู่โจมคนนั้นก็จุดประกายให้แซมเปลี่ยนอาชีพ เขาตัดสินใจกลับเข้าไปสู่สงครามอีกครั้ง คราวนี้ในฐานะทหารบก หน่วยรบพิเศษกรีนเบอเร่ต์

    ทหารหน่วยจู่โจมในตอนนั้นเองก็ผันตัวกลายมาเป็นกรีนเบอเร่ต์เช่นเดียวกับเขา

    มันน่าเจ็บใจที่อีกฝ่ายเหลือแขนขวาเพียงข้างเดียวและกำลังนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงผู้ป่วยตรงหน้าอย่างนี้

    “ตื่นขึ้นมาสักทีสิวะ บัคกี้!” ชายผิวสีระเบิดอารมณ์ “นายจะเป็นไรลี่ย์คนที่สองไม่ได้” ทหารหนุ่มทนแรงกดดันจากความรู้สึกอย่างนี้ไม่ได้อีกต่อไป

    อาจจะเป็นพระเจ้า หรือปาฏิหาริย์ หรือมันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้...

    ร่างที่นอนอยู่บนเตียงสั่นกระตุก เขาสำลักอากาศและลืมตาขึ้นมา

     

    หลังจากที่หมอออกไปหลังจากดูอาการของบัคกี้เสร็จแล้วเขาก็หันกลับมามองแซม ดวงตาลึกโหล ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด ริมฝีปากแห้งและแตก ผมเผ้าและหนวดเครายาวรกรุงรังจนความหล่อเหลาของจ่าบัคกี้ บาร์นส์แทบจะไม่มีปรากฏให้เห็น

    “ไง” นายทหารผมยาวเอ่ยทักทาย มุมปากแสยะยิ้มส่งให้เพื่อนผิวสี เสียงแหบห้าวงึมงำอยู่ในลำคอ “สภาพนายดูไม่จืด ร้องไห้ให้ฉันอยู่รึไง?”

    “ตื่นแล้วก็ปากเก่งเลยนะ” แซมพ่นลมหายใจ ความรู้สึกสับสนและว้าวุ่นในใจทุกอย่างมลายหายไป ความทุกข์ของเขาถูกปลดเปลื้องและตอนนี้ต่อให้ไอ้เวรนี่พูดจากวนบาทาใส่เขาก็ไม่เก็บไปคิดให้มากความ บัคกี้ยกมือให้แซมเล็กน้อยเท่าที่เขาพอจะมีแรง แซมส่ายหน้าเล็กน้อย เขาคว้ามือของอีกฝ่ายไปจับทักทาย กำแน่นอยู่ในกำมือ

    ทั้งคู่ผ่อนลมหายใจและยิ้มให้กัน แซมปล่อยมือบัคกี้ เขากอดอก ดวงตาสีดำสนิทมีแววซีเรียสจริงจัง

    “บัคกี้ รู้ไหมว่าทำอะไรลงไป?” กดเสียงต่ำ หรี่ลงและคิ้วก็เริ่มขมวดเข้าหากัน “นายพยายามปาดคอตัวเอง เป็นบ้าไปแล้วรึไงวะ นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นมา ทำไมจู่ ๆ นายถึงเกิดบ้าคลั่งทำอะไรสิ้นคิดอย่างนั้น”

    คำถามที่ตรงราวกับหมัดฮุคทำให้บัคกี้ชะงัก เขาอ้าริมฝีปากเล็กน้อยคล้ายจะพูดอะไรบางอย่างแล้วก็หุบลง ใบหน้าคมคายที่เคยหล่อเหลากลับดูอิดโรยทรุดโทรม ที่แย่ยิ่งกว่าคือดวงตาสีฟ้าขุ่นมัวที่มีร่องรอยของความเสียใจและท้อแท้เหมือนตัวเขานั้นได้ตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง

    แซมไม่ชอบบัคกี้คนนี้

    สิ่งที่ทหารหนุ่มเห็นตรงหน้าไม่ทำให้สบายใจขึ้นเลยสักนิด

    บัคกี้มีท่าทางลังเลเล็กน้อย เขาหลับตาลงเหมือนกับไม่อยากเผชิญหน้าความจริง แล้วเขาก็ลืมตา แววตามุ่งมั่นแน่วแน่มากขึ้น

    “ตอนนั้น...ฉันคิดว่าฉันมีทางเลือกเดียว”

    แซมรับฟัง กล้ามเนื้อไม่กระดุกกระดิก ยืนนิ่ง สองเท้าวางยึดบนพื้นอย่างกับรากต้นไม้ใหญ่

    “ฉันไม่เสียใจนะที่ฉันทำมันลงไป แต่พอรอดชีวิตกลับมาได้ ฉันก็รู้ว่าสิ่งที่ฉันทำมันโง่มาก มันไม่ได้ชดใช้ความผิดของฉันสักนิด ชีวิตไม่ได้แลกด้วยชีวิต”

    “นายติดหนี้ใคร?”

    “...สตาร์ก”

    แซมเลิกคิ้ว เขาไม่แน่ใจว่าหมายถึง ‘สตาร์ก’ ที่เรารู้จักหรือเปล่า เขาไม่อยากให้คำตอบคือใช่ เพราะสัมผัสได้ว่าสิ่งที่บัคกี้กำลังจะพูดต่อนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่นัก

    “ถ้าไม่มีฉัน โทนี่ สตาร์กก็จะไม่ฟ้องหย่าสตีฟ”

    “ตกลงนายกับสตีฟเป็นชู้กัน?”

    ก็แค่สงสัย และสงสัยมาตั้งนานแล้ว ทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักสมัยเด็กจากบรู๊คลิน ตัวติดกันและรักกันเหมือนขาดกันไม่ได้ ยิ่งสตีฟแต่งงานกับโทนี่ สตาร์กมานานเป็นสิบปียิ่งทำให้แซมเผลอคิดไปว่าชีวิตคู่ของเพื่อนกำลังจะถึงทางตัน มีทหารจำนวนไม่น้อยที่หย่ากับภรรยาหรือคู่แต่งงานของเขา งานที่เราทำมันเรียกร้องและเอาเวลาชีวิตของเราไปทั้งหมด นอกจากจะเป็นทหารเหมือน ๆ กัน ไม่ใช่ทุกคนที่ทนได้ ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องของเขา แต่แซมไม่อยากให้สตีฟและบัคกี้ เพื่อนรักทั้งสองของเขาทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง...

    สายตาคนภายนอกคนไหนมองก็รู้ว่าครอบครัวของสตีฟสมบูรณ์แบบ สามีที่รวยและหล่อเหลา ไม่มีทางและไม่มีวันมีปัญหาเรื่องเงินทอง มีลูกชายวัยรุ่นที่เหมือนกับเทวดา และลูกสาวตัวน้อยที่ฉลาดน่ารักราวกับเจ้าหญิง จะมีอะไรดีไปกว่านี้อีก?

    “You’d better not, man.”

    บัคกี้มองแซมด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ อีกฝ่ายนิ่งไปเกือบวินาทีก่อนจะสบถเสียงดัง(มากเท่าที่คนป่วยเพิ่งฟื้นจะทำได้) ตวัดสายตามองด้วยแววตาหงุดหงิด

    “ชู้กับพ่อนายสิ! ฉันกับสตีฟไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแบบนั้น”

    แซมโคลงศีรษะ “ก็แล้วที่นายไม่ใช่พวกตีท้ายครัวชาวบ้าน”

    “ให้ตายสิวะแซม สาบานว่าถ้าฉันมีแรงลุกขึ้นได้...”

    “ใจเย็น นายพิสูจน์แล้ว ฉันเข้าใจ” แซมชูมือทั้งสองข้างข้างลำตัว “กลับมาที่เรื่องเดิม เกิดอะไรขึ้นกับนายและสตาร์ก”

    ถ้าแซมไม่บังเอิญรู้เรื่องของสตาร์กเพราะวันนั้นเพ็พเพอร์ติดต่อสตีฟไม่ได้ ถ้าเขาไม่บังเอิญกลายมาเป็นคนกลาง มันไม่ใช่ว่าเขาต้องทำ แต่ทั้งสตีฟและบัคกี้ไม่สามารถจัดการชีวิตให้เข้ารูปเข้ารอยได้ด้วยตนเอง ถ้าเขาไม่บังเอิญเห็นสตีฟเลือกบัคกี้แทนที่จะเป็นสตาร์ก 6 เดือนก่อนที่บากรัม และยังท่าทางลังเลของสตีฟที่โรงพยาบาลเมื่อ 5 วันก่อน

    “ฉันจะเล่าให้นายฟังก็ได้” บัคกี้เว้นวรรค “แต่ก่อนอื่นนายควรเรียกสตีฟมาที่นี่ และบอกเขาว่าถ้าไม่อยากมีปัญหาก็อย่าเอ่ยชื่อของฉันกับสตาร์กอีก”

    “ฉันไม่เข้าใจ”

    “ยี่สิบกว่าปีก่อน... ฉันฆ่าแม่ของเขา”

    .

    -Bucky-

    .

    ปี 1997 -- บรู๊คลิน, นิวยอร์ก

    เด็กหนุ่มอายุ 16 ปีในชุดเสื้อโค้ดเก่ามอซอสะพายกระเป๋าดัฟเฟิลที่ดูท่าจะผ่านมาหลายมือเดินอยู่ริมถนน เขาสวมหมวกแก๊ปทรงโบราณและพันด้วยผ้าพันคอถักเองเพื่อป้องกันความหนาวเย็นโหดร้ายของนิวยอร์กซิตี้ในเดือนธันวาคม ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่มไม่ดีนัก มีสะเก็ดแผลที่โหนกแก้ม แถมเบ้าตายังเป็นสีคล้ำม่วงคล้ำเขียวน่ากลัว

    บัคกี้ บาร์นส์ซุกมือสั่น ๆ ของเขาเอาไว้ในเสื้อโค้ต กำมันแน่นจนเล็บสั้นจิกเนื้อแต่มันก็ยังไม่หาย แก้วตาสีฟ้าขุ่นมองรอบตัว แววตาสับสนและหวาดกลัว เขากัดฟัน ร่างของเด็กหนุ่มก้าวเท้าเดินไปและมองซ้ายขวาไปด้วยเหมือนกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง และสายตาคู่นั้นมันก็ไปหยุดลงที่รถยนต์สีดำที่หรูหราและโดดเด่นกว่าคันอื่น

    เขาไม่จำเป็นต้องรู้ว่ามันแพงแค่ไหน ใครที่มีตาก็ดูรู้ว่ามันสวย รถยนต์สีครีมมันปลาบทั้งคัน ล้อสะอาดสะอ้าน หุ่นเงินรูปนางฟ้าสยายปีกขนาดครึ่งฝ่ามือบนฝากระโปรงรถวาววับ

    บัคกี้เลียริมฝีปากตัวเอง พยายามสงบสติอารมณ์และมองซ้ายมองขวาอีกครั้ง คราวนี้ระแวดระวังภัย บัคกี้เดินลูบกระโปรงรถสัมผัสความเย็นของตัวถัง มันคงจอดอยู่อย่างนี้มาสักพัก ขาของเข้าไปยืนอยู่ที่ประตูข้างคนขับ คว้าเหล็กแบนเส้นยาวที่มีความยืดหยุ่นออกมาจากกระเป๋าก่อนจะสอดมันลงไปในช่องระหว่างกระจกรถกับประตู กวาดมันไปทางซ้ายทางขวาเพื่อจะปลดล็อกรถยนต์จากข้างใน ยังไม่ทันจะทำอะไรต่อเขาก็ได้ยินเสียงของคนคุยกันห่างออกไปทางสองนาฬิกา เด็กหนุ่มหายใจสะดุด เขาเงยหน้ามองไปด้วยสายตาหวาดผวา ตรงนั้นหญิงสาวและชายอีกคนเดินออกมาจากหน้าประตูบ้านหลังหนึ่ง

    คนหนึ่งเป็นหญิงวัยกลางคน ผิวขาวและผมบลอนด์ สวยสะพรั่งในวัยของหล่อน อีกคนหนึ่งเป็นชายสูงวัยมีเส้นผมสีดอกเลาทั่วศีรษะ ทั้งคู่แต่งกายเหมือนพวกคนรวยน่ารังเกียจ พวกเขากล่าวลาชายวัยกลางคนที่สูงวัยกว่าอีกคนหนึ่งที่หน้าประตูบ้านและทั้งสองคนนั้นก็กำลังเดินมาทางนี้

    หัวใจเหมือนจะหยุดเต้น บัคกี้ปล่อยมือจากอุปกรณ์งัดรถและรีบวิ่งหนีออกมา ระยะทางไม่ไกลมากแต่เด็กหนุ่มกลับหอบจนตัวโยน อะดรีนะลีนหลั่งไหล่ เหงื่อไหลซึมออกมาตามไรผมและสองมือของเขาก็ยังไม่หยุดสั่น

    ผลัวะ!

    หนึ่งหมัดพุ่งตรงใส่เบ้าตา

    ผลัวะ!

    อีกหมัดเสยเข้าที่ท้องจนตัวงอ ร่างของเด็กหนุ่มลงไปกองกับพื้น เขาเอาแขนบังใบหน้าของตนเองและขดตัวเป็นลูกบอลตอนที่ชายตรงหน้าจะหวดขาเตะเขาอีกหลายครั้ง

    ‘ได้โปรด... อย่า...’

    เขาอ้อนวอน... มันไม่ได้ผล

    ‘ถ้าแกไม่อยากโดนแบบนี้ก็หัดทำตัวให้มันมีประโยชน์สิวะ!’ อีกฝ่ายโต้ตอบ โยนกระเป๋าดัฟเฟิลใส่ร่างที่นอนคุดคู้อยู่อย่างหมดท่า ‘เอาอะไรสักอย่างกลับมาให้ฉัน รถ เงินสด อะไรก็ได้!’

    ไม่...

    เขาจะกลับไปมือเปล่าไม่ได้

    บัคกี้ตัดสินใจอีกครั้ง ลมหายใจเขาสะดุดทุกครั้งที่พยายามตั้งสติ การพยายามหายใจเป็นเรื่องยากมากขึ้นทุกทีและทุกที เด็กหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ คว้ากระปุกยาออกมา เขาเทมันใส่มือตัวเอง มันหกพรวดออกมาเพราะมือของเขาสั่นไปหมด

    เขาสบถ หยิบยาออกมาหนึ่งเม็ดและพยายามเทยากลับเข้าไปในกระปุก ปิดฝาและใส่มันไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทเหมือนเดิมก่อนจะวางยาเม็ดรีสีขาวบนลิ้น กลืนมันลงคอโดยไม่ดื่มน้ำตาม ร่างสูงที่กำลังหอบตัวโยนค่อย ๆ สงบลง เขาเริ่มกลับมาหายใจได้ เริ่มควบคุมร่างกายของเขาได้เหมือนเดิม

    เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจออกยาว เขาซบไปหน้ากับฝ่ามือตัวเอง เปล่งเสียงคำรามออกมาอย่างอัดอั้น ไหล่กว้างนั้นห่อเข้าหากัน ดูหวาดกลัวไม่ต่างจากสุนัขที่กำลังจนตรอก

    บัคกี้ประสานนิ้วมือของตัวเอง บีบมันทั้งคู่จนกระดูกลั่น จนความรู้สึกปวดแล่นริ้วที่นิ้วลามไปถึงข้อมือ...

    เขาค่อย ๆ ปล่อย ล้วงมือเข้าไปด้านหลังเสื้อโค้ทและสัมผัสปืนพกสั้นที่เสียบอยู่กับกางเกง จับมันเอาไว้แน่นอย่างกับมันเป็นหลักยึด เด็กหนุ่มเดินกลับไปที่รถคันเดิมที่จอดอยู่ มันจอดติดเครื่องเอาไว้ หญิงผมบลอนด์วัยกลางคนนั่งอยู่เพียงคนเดียวที่เบาะข้างคนขับ ห่างออกไปราว 60 ฟุต ชายผมสีดอกเลากำลังคุยบางอย่างกับชายที่เดินเอาของบางอย่างมาให้พวกเขา

    บัคกี้เดินไปที่รถ เขากระชากประตูฝั่งคนขับเปิด ควักปืนพกสั้นออกมาด้วยมือขวา มือซ้ายเหนี่ยวสไลด์จนสุด ลูกกระสุนนัดแรกถูกผลักเลื่อนขึ้นตามทางลาดคอรังเพลิงก่อนจะตั้งลำตามแนวระดับมุดเข้ารังเพลิงพร้อมลั่นไก เด็กหนุ่มหันปืนใส่หญิงวัยกลางคนที่เบาะหลัง หล่อนหวีดเสียงร้อง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวและตกใจ

    “ฮาวเวิร์ด ช่วยด้วย!”

    หล่อนกรีดเสียงร้องพุ่งตัวจะเปิดประตูรถออกไปหาสามีของเธอ บัคกี้กระชากผมของหล่อนกลับมาและหวดใบหน้าตื่นตระหนกของหล่อนด้วยด้ามปืนต่อหน้าต่อตาสามีของหล่อน ชายทั้งสองคนที่ทันเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเบิกตาตกใจ คนแรกที่พุ่งเข้าใส่คือสามี บัคกี้เหยียบคลัตช์ ขยับเกียร์และเหยียบคันเร่ง พุ่งเฉี่ยวชนชายคนนั้นที่วิ่งมาตัดหน้า ร่างของอีกฝ่ายกระเด็นไปด้านข้างและล้มลงไป!

    “มาเรีย!!”

    แว่วเสียงของอีกฝ่ายตะโกนไล่หลัง เสียงนั้นก้องอยู่ในหัวของเขาพอ ๆ กับเสียงหวีดร้องเมื่อถูกปืนจ่อ

    เด็กหนุ่มขับรถออกมาโดยที่ยังตื่นตระหนก ฝ่ามือของเขาชื้นเหงื่อและหัวใจก็เต้นแรงและเร็วอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาสีฟ้าสับสน สีหน้ามีแต่ความกังวลและหวาดกลัว พยายามคิด.. พยายามหาทางออก... แต่สมองโง่ ๆ ของเขานึกอะไรไม่ออก เขาเห็นแต่ทางตัน

    “แม่งเอ๊ย!”

    เขาสบถ มือตบพวงมาลัยด้วยความหงุดหงิด ตัดสินใจขับรถกลับบ้าน เขาหวังว่ามันจะรู้ว่าต้องทำอย่างไรกับสถานการณ์อย่างนี้ สายตาเหลือบมองคนที่กำลังสลบอยู่ด้วยสายตาประหม่าและหวาดกลัวสลับกับมองถนนตรงหน้า เลียริมฝีปากตัวเองหลายครั้ง คนคนนี้ไม่ได้สลบเสียทีเดียว ดูเหมือนเธอจะแค่มึนงงและยังประคองสติตัวเองไม่ได้เท่านั้น

    สลบไป...​อย่าตื่นขึ้นมา อย่าทำแบบนี้...

    บัคกี้อ้อนวอน เขาเอื้อมมือขวาคว้ากระบอกปืนเอาไว้ ด้ามจับกระชับแน่นอยู่ในกำมือ นิ้วชี้สอดเข้าไปเตรียมพร้อมเหนี่ยวไกปืนทุกวินาที

    หญิงสาวได้สติอีกครั้ง และสิ่งแรกที่เห็นคือกระบอกปืนในมือของบัคกี้ หล่อนหวีดเสียงร้องตะเกียดตะกายหนีแต่มันไม่มีที่มากนักในห้องโดยสายรถยนต์

    “เงียบ! อย่าขยับ..”

    “โปรด... ปล่อยฉันไป.. เธอ..เธอไม่อยากทำแบบนี้” หล่อนหวาดกลัวสิ้นหวัง ลมหายใจถี่กระชั้น “เธอ..อยากได้อะไร...ฉัน..ฉันมีเงินอยู่ในกระเป๋าถือ...ฉันสาบาน..ฉันจะไม่แจ้งตำรวจ”

    โกหก

    บัคกี้รู้มากพอว่าเรื่องนั้นมันจะไม่เกิดขึ้น

    “เงียบ!” บัคกี้จ่อปืนที่ตัวหล่อน หญิงสาวสะดุ้งตัวแข็ง ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงสดเผยออ้าออก ลมหายใจสะดุด ใบหน้าของหล่อนซีดขาว ดวงตาเบิกกว้างราวกับยมทูตนั้นได้มาปรากฏตัวตรงหน้า

    “ได้..ได้โปรด... อย่า...”

    ปัง!

     

    .

    .

    .

    .

    to be continued...

    ที่ยังไม่ลงเพราะในตอนนั้นเราอยากจะเขียนalternative ending แต่พอมาคิดดูอีกที... ไม่เอาดีกว่าค่ะ หมดแรง... ตอนนี้คงทำให้หลายๆคนฝันสลายแน่ เราขอโทษด้วยนะคะ แต่นี่คือความตั้งใจแรกที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา และเราไม่อยากเปลี่ยนเพราะจุดเริ่มต้นเราก็แค่อยากจะเขียนสนองนี้ดตัวเองเท่านั้น เรายังไม่เคยได้อ่านงานเขียนอะไรแบบนี้มาก่อน ดังนั้นเราก็เลยอยากสร้างสรรค์ผลงานแบบนี้ขึ้นมา

    ถ้าหากว่ามันทำให้คนอ่านไม่ชอบและไม่อยากอ่านต่อ เราไม่ว่าค่ะ ยังไงก็ขอบคุณที่ร่วมเดินทางใน journey นี้ของเรามาจนถึงตอนนี้นะคะ ส่วนนักอ่านที่ยังติดตามอยู่ เราสัญญาว่าจะมาต่อจนจบแน่นอนค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×