คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 4 - Weak for you
.
-Tony-
.
หลังจากแฮปปี้กลับไปที่บ้านไปหาเมย์ที่บินมานอร์ธแคโรไลน่าด้วยกันเพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้มอร์แกนโดยเฉพาะ (โทนี่เดาว่าเพ็พเพอร์เป็นคนจัดการ ขอบคุณพระเจ้า! สาวผมสตรอเบอรี่บลอนด์คนนี้ทำให้ชีวิตเขาง่ายขึ้นตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงปัจจุบันจริง ๆ) เพ็พเพอร์เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอด 5 ปีให้โทนี่ฟังเยอะแยะตลอดช่วงบ่าย โทนี่ซึมซับข้อมูลใหม่ ๆ เหมือนกับหัวสมองเขาทำมาจากฟองน้ำ แต่แน่นอนมันเป็นแค่คำเปรียบเปรย เพราะมันสมองของโทนี่ สตาร์ก-โรเจอร์สนั้นปราดเปรื่องอยู่แล้ว และโทนี่ไม่ลืมถามถึงตอนที่เขามีมอร์แกน เพ็พเพอร์ทำหน้าเหมือนกับจะเข้ามาเขมือบกินหัวเขา
“โอ้ ขอร้องล่ะโทนี่! เธอรู้ไหมว่าเธอตามตื๊อฉันเรื่องบริจาคไข่ให้เธอนานแค่ไหน” นั่นเป็นคำอุทานยาวเหยียดของเพ็พที่ทำให้โทนี่หัวเราะออกมา เขายิ้มตาหยีให้หล่อนจนเพ็พเพอร์อดไม่ได้และต้องส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา หญิงสาวไม่ลืมเล่าถึงการประชุมเมื่อเช้าของ SI ที่เธอไปเข้าประชุมแทน พวกเขาต่างตื่นตระหนกกันใหญ่
“นิวยอร์ก?”
“นอร์ธแคโรไลน่า” หญิงสาวกลอกตา “รู้อยู่แล้วก็ยังจะถาม”
โทนี่ส่งเสียงฮัมในลำคอ “รู้ไหมเพ็พ เธอเป็นผู้หญิงที่ผมรักรองจากแม่” เขาส่งยิ้มให้หญิงสาว ทำตาหวานฉ่ำและกระพือขนตาใส่ คงจะอ้อนใครต่อใครสำเร็จ แต่ไม่ใช่กับเพ็พเพอร์แน่นอน
“อ๊ะอา!” หญิงสาวส่ายหน้า เธอยื่นนิ้วชี้มาตรงหน้าโทนี่และกระดิกนิ้วไปมา “ผิดแล้วโทนี่ ตอนนี้ผู้หญิงที่เธอรักที่สุดบนโลกใบนี้คือเจ้าหญิงน้อย ลูกสาวของเธอต่างหาก”
ริมฝีปากของโทนี่อ้าออกเป็นรูปตัวโอ จริงสินะ... มอร์แกน เพ็พเพอร์บอกว่าช่วงบ่ายแก่ ๆ หลังปีเตอร์เลิกเรียน เขา, แฮปปี้ และเมย์จะพาหนูน้อยมอร์แกนมาเยี่ยม และหลังจากนั้นสตีฟก็จะมา เยี่ยมไปเลย คงวุ่นวายน่าดู
“ผมรักเธอมากเลยสินะ”
คำถามของเขาทำให้เพ็พเพอร์ชะงัก หญิงสาวถือสตาร์กโฟนในมือค้างไว้ เธอหันกลับมามองโทนี่ด้วยสายตาเหมือนไม่อยากเชื่อ
“มอร์แกนเป็นผู้หญิงที่เธอรักที่สุด”
“มากกว่าแม่อีกงั้นเหรอ”
หญิงสาววัยสี่สิบปลายหลุดเสียงหัวเราะ “ใช่ มากกว่ามาเรียซะอีก”
โทนี่ทำหน้าประหลาด เขาเบือนหน้าหนีและคิดอะไรภายในใจหลายอย่าง เพ็พเพอร์เห็นดังนั้นก็ยิ้มด้วยความรู้สึกอ่อนใจ ร่างโปร่งก้าวเข้ามาข้างเตียงก่อนจะก้มลงจูบแก้มโทนี่
“อย่าคิดมากเลย เธอจะเรียนรู้ที่จะหลงรักมอร์แกนได้อีกครั้ง ฉันมั่นใจ” หญิงสาวกล่าวด้วยเสียงปลอบโยน ลูบศีรษะของเขา “เธอเป็นพ่อที่ยอดเยี่ยมมากนะโทนี่ ทั้งปีเตอร์ทั้งมอร์แกนเป็นเด็กที่น่ารักมาก ที่มันเป็นแบบนั้นเพราะพวกเขามีเธอ และเธอก็ได้พิสูจน์ว่าไม่มีอะไรที่เธอทำให้พวกเขาไม่ได้”
โทนี่พยายามยิ้ม แต่แววตาของเขาไม่มั่นใจเอาเสียเลย
“เธอต้องกลับวันนี้แล้วจริง ๆ เหรอ”
เพ็พเพอร์ขยับยิ้มเพื่อปลอบใจเขา เธอจับมือของโทนี่และพยักหน้า “พรุ่งนี้ฉันมีประชุมบอร์ด เพราะเธอเกิดอุบัติเหตุกะทันหัน พวกเขาจึงกังวลเป็นธรรมดา”
“อ้อ มีอะไรที่ผมไม่รู้อีกบ้างไหมนะ”
โทนี่กลอกตาเหนื่อยหน่าย เขาสู้รบปรบมือกับคนพวกนี้มาเกือบค่อนชีวิต คนเหล่านี้เป็นคนเก่าคนแก่ที่มีส่วนร่วมใน SI มาตั้งแต่ยุคของฮาวเวิร์ด กว่าครึ่งบอร์ดอายุเกิน 70 แล้วทั้งนั้น และตั้งแต่โทนี่ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO และเปลี่ยนทิศทางของบริษัท พวกเขาก็ไม่ปลื้มโทนี่อีกเลย นั่นเป็นสิ่งที่โทนี่จำได้...
“อยากเข้าประชุมด้วยไหม ฉันว่าฉันทำให้ได้นะ พวกเขาคงไม่ถือหรอกหากเธอจะเข้าประชุมผ่าน vdo conference”
“ไม่มีทาง เห็นหน้ากรรมการบอร์ดแก่หงำพวกนั้นแล้วผมหมดอารมณ์ รู้สึกหดหู่และแก่ขึ้นสิบปี เหมือนนอกจากหาเมียเด็ก ๆ หรือทำให้ชีวิตคนอื่นฉิบหาย...เจาะจงหน่อยคือชีวิตของผม พวกเขาก็ไม่รู้จักวิธีอื่นที่จะทำให้ตัวเองกระชุ่มกระชวยน่ะ เข้าใจไหม” โทนี่พูดยาวยืด ถ้าหากแขนซ้ายไม่หักและมืออีกข้างนั้นยังไม่ค่อยมีแรงเขาคงขยับไม้ขยับมือประกอบคำพูดไปด้วยแล้ว
มันทำให้หญิงสาวหัวเราะ เธอมองโทนี่ที่ยิ้มตามนิด ๆ จับมือขวาของเขาด้วยสองมือและพูดต่ออย่างเชื่องช้า
“ฉันเองก็อยากอยู่ต่อโทนี่ แต่ประชุมวันพรุ่งนี้ฉันต้องกลับไปจริง ๆ”
เสี้ยวหนึ่งเขาทำหน้าเหมือนเด็กที่ถูกขัดใจ แต่อีกส่วนเขาก็เข้าใจ CEO ของเขาเป็นอย่างดี
“สัญญาว่าฉันจะโทรหาเธอบ่อย ๆ และถ้าจัดการงานเสร็จแล้วฉันจะบินมาเยี่ยมใหม่”
สุดท้ายโทนี่ก็ยอมรับ เขานอนต่อ กว่าจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาเย็น
“เฮ้...เบบี้”
บอกทีว่าโทนี่กำลังฝันอยู่ สามีของเขาในชุดเสื้อยืดและกางเกงสีกากีกำลังนั่งมองเขาอยู่ เขามีสมุดอยู่บนตักและดินสอในมือขวา แถมเมื่อกี้อีกฝ่ายยังเรียกเขาว่า ‘เบบี้’ ด้วยเสียงทุ้มต่ำแบบนี้ นี่ชักจะเป็นฝันดีเกินไปแล้ว
“ไงแคป”
โทนี่ทักตอบ เขายิ้มมุมปากให้อีกฝ่าย เหมือนสตีฟรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ อึดใจถัดมาคนตัวโตก็ลุกขึ้น วางสมุดกับกระดาษลงก่อนจะโน้มตัวลงมาจูบที่ริมฝีปากของเขา
“พีทพามอร์แกนไปหาอะไรกินพร้อมกับเมย์และแฮปปี้น่ะ” สตีฟอธิบายเมื่ออีกฝ่ายเห็นเขาทำตาปริบและมองรอบข้างเหมือนกำลังหาใครบางคน “ส่วนเพ็พเพอร์ เธอกลับนิวยอร์กไปแล้ว เธอเห็นคุณนอนอยู่เลยไม่อยากปลุก”
“อ้อ...”
“คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้าง ดื่มน้ำหน่อยไหม?” คนเจ็บพยักหน้าเล็กน้อย นั่นจึงทำให้แคปจัดการรินน้ำเปล่าใส่แก้วและนำแก้วมาป้อนให้เขาดื่มถึงปาก “ระวังสำลักนะ”
เมื่อโทนี่ดื่มน้ำเสร็จสตีฟก็ใช้นิ้วโป้งของเขาเช็ดขอบปากให้โทนี่ เขาเก็บแก้วไว้ที่เดิม สอดประสานปลายนิ้วจับมือของโทนี่และจ้องเขาด้วยดวงตาสีฟ้าหวานฉ่ำ มันทำให้โทนี่รู้สึกคันยุบยิบในอก เขายิ้มเหมือนคนบ้า
“บอกทีสิแคป ผมทำความดีอะไรลงไปถึงได้คุณมาอยู่ตรงนี้”
ประโยคของโทนี่ทำให้สตีฟชะงักไปเกือบวินาที เขายิ้มตอบโทนี่ พ่นลมหายใจและจูบหลังมือของคนเจ็บ
“ผมต่างหากที่ต้องพูดประโยคนั้น”
ถ้าโทนี่ไม่ได้คิดมากไป ดวงตาของสตีฟกำลังฉายแววเจ็บปวดและขมขื่น แน่ล่ะว่ามันไม่ใช่เขาไม่เคยเห็นสามีของเขาเศร้าสร้อย แต่สตีฟในตอนนั้นไม่ได้ดูเศร้าหมองหรือทำท่าทางเหมือนกับทำผิดต่อเขาขนาดนี้ เขารู้ว่ามีอะไรกำลังรบกวนสตีฟอยู่ และมันจะต้องเป็นเรื่องราว 5 ปีที่เขาหลงลืมไป
“พอได้แล้ว เลิกทำหน้าเศร้าสร้อยเหมือนคุณทำหมาตายแบบนี้สักที” โทนี่รู้สึกว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่างให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น “ยิ้มแล้วมีความสุขหน่อย ผมใกล้จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วนะ”
ตกบ่าย หมอคนเดิมมาตรวจเขา เธอบันทึกข้อมูลลงไปในชาร์ตคนไข้ บอกกับโทนี่ด้วยน้ำเสียงโทนเรียบว่าเขาสามารถกลับบ้านได้ภายในสามสี่วันนี้ เพ็พเพอร์และแฮปปี้ก็อยู่ที่นั่นด้วย เธอคุยกับหมอเรื่องการดูแลเขาหลังจากออกจากโรงพยาบาล หมอบอกเธอว่าแผลสดที่แขนและที่หัวเขาจะต้องล้างและเปลี่ยนผ้าพันแผลทุกวัน จะต้องมีคนคอยดูแลเขาตลอดเพราะเขาไม่สามารถลุกไปไหนได้ ขยับตัวเยอะไม่ได้เพราะอวัยวะข้างในยังบอบช้ำ อาจจะต้องนอนนิ่ง ๆ อยู่บนเตียงอย่างน้อยเป็นอาทิตย์ถึงจะพอขยับตัวได้บ้าง ส่วนกระดูก ต้องรอมันสมานอย่างน้อย 45 วันถึงจะถอดเฝือก และหลังจากนั้นโทนี่ก็ต้องทำกายภาพบำบัดต่ออีก นับเป็นความทรมานสุด ๆ โทนี่ไม่อยากจะคิดถึงมันเลย นอกจากเขาจะต้องหาบุรุษพยาบาลมาดูแลเขาแล้ว เขายังต้องหาพี่เลี้ยงและแม่บ้านมาดูแลพวกเราอีก...
“ครับ เพ็พบอกกับผมแล้วตอนที่คุณยังนอนอยู่” สตีฟยิ้มตอบ เอามือของโทนี่แนบแก้มเขา “แต่คุณไม่ต้องห่วงเรื่องคนดูแล ผมจะดูแลคุณเอง”
“จริงเหรอ?” โทนี่ประหลาดใจ ดวงตาแบมบี้อายส์เบิกกว้างเหมือนไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน “คุณไม่ต้องดีพลอย?”
“ที่จริงกำหนดการณ์เดิมของผมคืออีกสองเดือน” สตีฟลังเล สีหน้าของเขาฉายแววไม่มั่นใจชั่วครู่ แต่แล้วความไม่มั่นใจนั้นก็กลายเป็นความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว “แต่ผมจะพยายามคุยกับผู้บังคับบัญชาให้สามารถอยู่นานกว่านั้น และถ้าหากมันเป็นไปไม่ได้ ผมจะขอร้องท่านนายพลฟิลิป”
โทนี่ไม่เคยได้ยินข่าวดีแบบนี้มาก่อน ด้วยหน้าที่การงานของสตีฟมันยากมากที่เขาจะได้กลับบ้านบ่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ช่วงแรกที่เราแต่งงานกันสตีฟดีพลอยแค่สองทัวร์ หลังจากนั้นก็เข้าฝึกในหน่วยต่าง ๆ เพื่อให้คุณสมบัติของเขาผ่านและได้เป็นสมาชิกกรีนเบเร่ต์ในที่สุด โทนี่ภูมิใจกับสตีฟ กับการทำงานหนักและให้ตายสิ เพราะการที่สตีฟที่ทุ่มเทให้กับประเทศชาติออกมาจากใจจริงและไม่ยอมแพ้นี่ไม่ใช่หรือไงที่ทำให้โทนี่หลงรักเขาหัวปักหัวปำ? นั่นยังไม่นับว่าอีกฝ่ายดูฮ็อทแค่ไหนเวลาอยู่ในชุดยูนิฟอร์มทหารนั่น... โทนี่สามารถจินตนาการภาพนั้นในหัวและรู้สึกมีอารมณ์ได้ง่าย ๆ เขายอมรับข้อตกลงนี้ตั้งแต่แรก ข้อตกลงที่ว่าสามีเขาทำงานรับใช้ชาติบ้านเมือง แต่พอมาได้ยินแบบนี้... สตีฟที่เลือกเขา
“คุณต้องมาตรงนี้...” โทนี่ดึงมือสตีฟ “ผมจูบคุณไม่ได้”
โทนี่ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกที่มีอยู่ออกมายังไง ความรู้สึกพองฟูและร้อนวูบวาบในอกนี่กำลังทำให้เขากลั้นยิ้มไม่อยู่ สตีฟหัวเราะ ร่างสูงทำตามคำสั่งของโทนี่ทันที เขาก้มลงมาประทับจูบอีกฝ่าย
จุ๊บ
ยิ่งสตีฟขยับยิ้ม มองเขาด้วยสายตาบูชาและเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักแบบนี้ โทนี่ยิ่งยิ้มเหมือนกับคนบ้า
“ผมต้องเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลกแน่” กระซิบบอกสตีฟ สามีทหารคนดีของเขา
“อย่างนั้นผมคงเป็นผู้ชายที่โชคดียิ่งกว่าคนที่โชคดีที่สุด”
ทั้งคู่จูบกันอีกหลายครั้งจนพยาบาลที่เพิ่งเข้ามาต้องกระแอมไอ สตีฟสะดุ้ง เขาผละออกมาจากโทนี่ แก้มขึ้นสีแดงเรื่อ ขณะที่คนเจ็บหัวเราะเบา ๆ กับท่าทางน่าเอ็นดูของสามีตัวโต พยาบาลสาวยิ้มให้ทั้งคู่อย่างเข้าใจ เธอเปลี่ยนขวดน้ำเกลือให้กับโทนี่และบอกเขาว่าเมื่อยาแก้อักเสบหมดขอให้เรียกและเธอจะกลับมาให้มันอีกรอบ
“คุณน่ารักชะมัด” โทนี่อดแซวสตีฟไม่ได้ ถึงพยาบาลสาวจะออกไปแล้วเขาก็ยังหน้าแดงอยู่ ท่าทางจะเขินมากทีเดียว “นั่นคุณทำอะไรอยู่ วาดรูปเหรอ ขอผมดูหน่อยสิ” พยักเพยิดไปที่สมุดของสตีฟ เขาไม่ได้เห็นสตีฟวาดรูปมานานพอสมควร สตีฟมีฝีมือ เราเคยคุยกันเล่น ๆ ว่าหากสตีฟไม่เป็นทหาร เขาก็คงจะเป็นศิลปิน และโทนี่ถือโอกาสนั้นเกี้ยวสตีฟ บอกว่าเขาจะเป็นมหาเศรษฐีที่สนับสนุนผลงานของสตีฟเอง จะซื้องานของสตีฟ จะโปรโมทมัน ยินดีกระทั่งซื้อแกลอรี่และให้พวกเขาจัดแสดงผลงานของสตีฟทุกเดือน มันทำให้สตีฟทั้งขำและมันเขี้ยวความเป็น ‘พ่อบุญทุ่ม’ ของโทนี่ สตาร์กไปพร้อมกัน
“เอาสิ...” สตีฟเอาสมุดสเก็ตช์ให้โทนี่ดู หน้าปกของมันทำมาจากหนังและตัวเล่มดูค่อนข้างสมบุกสมบันเหมือนผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ สตีฟค่อย ๆ เปิดสมุดให้โทนี่ดูทีละหน้า ที่ปกด้านในเสียบรูปถ่ายเอาไว้
“นั่นอะไร?” โทนี่เอ่ยถาม อีกฝ่ายยิ้มเล็กน้อย
“นั่น...มอร์แกน” เสียงทุ้มต่ำของสตีฟบอกกับโทนี่ เขากระแอมไอ “เราถ่ายภาพนี้ในวันที่เธอคลอด”
สตีฟหยิบมันออกมาให้เขามองใกล้ ๆ ในรูปนั้นมีเขา สตีฟ ปีเตอร์ และเด็กหญิงในห่อผ้าสีชมพู สตีฟอยู่ในชุดยูนิฟอร์มลายพราง อุ้มเด็กหญิงวัยไม่ถึงขวบเอาไว้แนบอกอย่างทะนุถนอม ส่วนปีเตอร์สวมหมวกเบเร่ต์ทหารสีเขียวที่มีตราสัญลักษณ์กองกำลังของสตีฟเอาไว้ โทนี่นั่งอยู่ตรงกลางเป็นศูนย์กลางของภาพ โอบกอดทั้งปีเตอร์และสตีฟ
“ในภาพคุณดูประหม่า” โทนี่ตั้งข้อสังเกต และมันทำให้สตีฟหัวเราะด้วยท่าทางเขิน ๆ
“มาก ๆ เลยล่ะ” เขาสารภาพอย่างจริงใจ “ตอนที่ผมอุ้มมอร์แกนครั้งนั้นผมตื่นเต้นและกังวลไปหมด เธอหลับอยู่ ผมไม่อยากทำเธอตื่น แต่ขณะเดียวกันผมก็ไม่อยากหยุดอุ้มเธอเลย วันนั้นคุณแซวผมด้วยว่าผมเป็นแม่ไก่หวงไข่ ฮะ ฮะ ผมจำมันได้แม่นเหมือนเหตุการณ์เพิ่งผ่านมาเมื่อวาน ทั้งใบหน้าประหม่าเหยเกของปีเตอร์ที่ได้ลองอุ้มน้องเป็นครั้งแรก และใบหน้ามีความสุขที่สวยงามที่สุดของคุณ... มันทำให้ผมรู้ว่าผมมีครอบครัวที่อบอุ่นและสมบูรณ์ พวกคุณเป็นคนสำคัญที่สุดของผม”
โทนี่รู้สึกคันยุบยิบในอก แววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของสตีฟทำให้เขาหยุดยิ้มไม่ได้อีกต่อไป
“ผมรักคุณ สตีฟ”
คนคนนี้แหละคือ ‘สตีฟ โรเจอร์ส’ ที่เขาหลงรัก ผู้ชายที่โทนี่ สตาร์กเลือกที่จะแต่งงานด้วย นายทหารหนุ่มไฟแรงผู้รักความถูกต้องยุติธรรม มีหัวใจที่ดีงามและมีเข็มทิศในใจที่จะชี้นำเขาไปยังทิศทางที่ถูกต้องเสมอ
“ผมเองก็รักคุณเหมือนกัน โทนี่” สตีฟก้มตัวลงและจูบที่หน้าผากของโทนี่แผ่วเบา “ผมรักคุณมาก คุณรู้ไหม”
“ผมรู้...”
“คุณและครอบครัวของเราเป็นส่ิงที่สำคัญที่สุดสำหรับผมเสมอ”
“ผมรู้ สตีฟ ผมรู้”
พวกเขาดูสมุดบันทึกของสตีฟต่อ สตีฟบันทึกเรื่องราวของเขาด้วยรูปภาพ มันมีทั้งภาพนายทหารเพื่อนร่วมรบของเขา ภาพตึกอาคารในอัฟากานิสถานและอิรัก ภาพหญิงสาวมุสลิมที่ก้มลงหมอบกับพื้น ภาพเด็กผู้หญิงในฮิญาบที่เห็นแต่ดวงตา แต่ละภาพจะมีบันทึกสั้น ๆ และลงวันที่เอาไว้เสมอ และในทุก ๆ สามหรือสี่หน้าจะมีภาพของโทนี่ ปีเตอร์ หรือเด็กหญิงในห่อผ้าแทรกเข้ามา...
“เล่มนี้เป็นเล่มล่าสุดของผม เริ่มวาดเม่ือสี่ห้าปีที่แล้วตอนที่มอร์แกนเพิ่งคลอด”
“ผมจำนี่ได้” โทนี่เอ่ยอย่างตื่นเต้น เขาชี้ไปที่รูปสเก็ตช์ของเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังโหนบาร์และสวมชุดยิมนาสติกอยู่ “ปีเตอร์ช่วงวัยนี้กำลังซนมาก ๆ เลย เขาปีนทุกอย่าง”
สตีฟหัวเราะ “ใช่ครับ” พยักหน้าเห็นด้วย
เด็กชายปีเตอร์ในรูปวาดของสตีฟไม่ต่างไปจากปีเตอร์ในความทรงจำของโทนี่สักเท่าไหร่ เขาจำได้ว่าปีเตอร์กำลังปรับตัวเป็นอย่างมากกับโรงเรียนใหม่ เด็กชายไม่ค่อยมีเพื่อนที่โรงเรียน โทนี่จึงขยันพาเขาไปทำกิจกรรมอย่างอื่น ทั้งเบสบอล, ฟันดาบ หรือกระทั่งซอคเกอร์ จนกระทั่งสุดท้ายลงเอยที่ยิมนาสติก
“ปีเตอร์มีพลังล้นเหลือ เขาปีนบ้านต้นไม้ กอดอกและห้อยหัวลงมา บอกว่าเขาคือแบทแมน” สตีฟพูดถึงเด็กชายด้วยแววตาอ่อนโยนและแสนรัก “ตอนนั้นคุณเอือมระอากับเขามาก ๆ คุณพยายามหว่านล้อมไม่ให้เขาห้อยหัวนาน ๆ และบอกเขาว่าไอรอนแมนเจ๋งกว่าแบทแมนมากแค่ไหน คุณไม่ยอมให้เขาชอบฮีโร่คนไหนมากกว่าฮีโร่คนโปรดของคุณ”
โทนี่พ่นเสียงหัวเราะ
“เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ผมคุ้น ๆ แต่ไม่ยักจำได้ทันที”
“เดือนพฤษภาคมครับ ปี2014” โทนี่ประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าเขาจะจำอะไรพลาดไป เพราะตัวเขาในตอนนี้ยังมีความทรงจำในตอนนั้นอยู่
“คุณกลับมาที่บ้านเหรอ?”
แต่สตีฟส่ายหน้า “คุณเล่าให้ผมฟังทางสไกป์”
“และคุณก็ยังจำได้...”
“ผมจำทุกอย่างที่คุณเล่าให้ผมฟังได้เกี่ยวกับลูกของเรา” สตีฟเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เขายิ้มไปด้วย “ผมเก็บรูปถ่ายทุกรูปที่คุณส่งมาให้ตั้งแต่อีเมลฉบับแรก มันอยู่ในคอมพิวเตอร์ของผม”
มือหยาบกร้านเปิดสมุดวาดรูปหน้าถัดไปให้ดู โทนี่เหมือนเห็นพัฒนาการของยัยหนูมอร์แกนจากภาพวาดของสตีฟ ใต้รูปแต่ละรูปจะมีบันทึกสั้น ๆ เขียนเอาไว้พร้อมกับลงวันที่ และหลาย ๆ ครั้งที่สมุดบันทึกภาพวาดเล่มนี้จะกลายเป็นสมุดบันทึกที่มีแต่ตัวหนังสือ
‘มอร์แกนเดินได้เป็นครั้งแรก’
‘มอร์แกนพูดได้เป็นครั้งแรก เธอพูดคำว่า Papa’
‘เปิดเทอมชั้นมัธยมต้นของปีเตอร์วันแรก’
‘มอร์แกนพูดคำว่า Pete เป็นครั้งแรก’
‘ปีเตอร์ได้ถ้วยรางวัลยิมนาสติก’
‘มอร์แกนพูดคำว่า Dada เป็นครั้งแรก โทนี่ร้องไห้’
‘โทนี่ถูกปีเตอร์และมอร์แกนเซอร์ไพรส์วันเกิด’
‘มอร์แกนฉีดวัคซีนเข็มแรก เธอไม่ร้องสักแอะ ปีเตอร์ร้องไห้แทนเธอ’
“นี่งานแต่งงานของแฮปปี้นี่!”
“คุณส่งรูปนี้มาให้ และผมก็วาดตาม... ผมเสียใจที่ผมไม่สามารถไปร่วมงานได้ แต่ตอนนั้นทุกอย่างเคร่งเครียดและอันตรายมาก ผมขยับตัวไปไหนไม่ได้เลย” หน้ากระดาษข้าง ๆ นั้นถูกฉีกขาดออกไป “หน้ากระดาษตรงนี้ผมฉีกรูปที่ผมวาดให้แฮปปี้และเมย์ ส่งไปพร้อมกับจดหมายแสดงความยินดีกับพวกเขา”
“คลาสสิกสมกับเป็นคุณ” โทนี่ยิ้มน้อย ๆ “ส่งอีเมลจะเร็วกว่ามากแท้ ๆ”
“ยังไงผมก็ยืนยันว่ายุคอนาล็อกดีกว่ายุคดิจิตอล”
ท่าทางจริงจังของสตีฟทำเอาโทนี่หลุดขำ “คุณปู่หวานเย็น” เขาอดแซวอีกฝ่ายไม่ได้ และสตีฟก็ยิ้มอย่างยินดี
“คุณจำเพลงวันแต่งงานของเราได้ไหม”
“ทำไมผมจะจำไม่ได้ ผมเลือกเองกับมือ Back In Black ของ AC/DC ไงล่ะ”
สตีฟพ่นเสียงหัวเราะ เขาส่ายหน้าระอา ขณะที่โทนี่ยิ้มตาหยีด้วยท่าทางน่ามันเขี้ยว
“ถ้าคุณตอบผิดผมจะเล่นงานคุณแน่ คุณสตาร์ก-โรเจอร์ส”
“อย่างอนน่า ผมล้อเล่น ผมว่าผมมีเพลงนั้นอยู่ในไอพอด มันอยู่ไหนแล้วนะ...” โทนี่ขมวดคิ้วนึกถึงเครื่องเล่นไอพอดคลาสสิกสีเงินของเขา มันมีเพลงอยู่ในนั้นเป็นหมื่นเพลง แถมยังมีคลิปวิดีโออีกเยอะแยะ ทั้งเหมาะสมและไม่เหมาะสม แต่ก็นะ ไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครดูสักหน่อย
“ไอพอดของคุณอยูกับผม” สตีฟเฉลย เขายิ้มเอ็นดูให้โทนี่ “ผมเอามันไปด้วย เพลงในเพลย์ลิสต์ของคุณช่วยให้คลายเหงาได้เยอะเลยเวลาที่ผมไม่เจอหน้าคุณ เวลาที่หมู่บ้านที่เราไปไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ หรือโทรศัพท์สัญญาณดาวเทียมถูกคนอื่นใช้อยู่”
“จริงอะ? มันยังใช่ได้อยู่อีกเหรอ”
“ใช้ได้สิครับ”
“พอพูดถึงไอพอดนั่นแล้วผมก็นึกออกแต่เซ็กซ์เทปที่เคยอัดให้คุณ คุณเปิดมันดูบ้างรึเปล่า?”
สตีฟชะงัก เขาทำหน้ากระอักกระอ่วนชั่วครู่ ริมฝีปากนั้นเม้มเป็นเส้นตรงขณะที่แก้มของเขาแดงปลั่งมากขึ้นและมากขึ้น สุดท้ายเขาก็ยอมพยักหน้า
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลย” สตีฟพูดขัดก่อนที่โทนี่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกรอบ ใบหน้าเหล่อเหลาของเขาแดงจัดไปจนถึงใบหู มันดูตลกและน่าเอ็นดูเป็นบ้าในสายตาของโทนี่ เพราะสตีฟในลุคมีหนวดเคราเท่ ๆ แบบนี้มันขัดกับท่าทางน่ารักนี่เป็นบ้า “เพลงแต่งงานของเรา โทนี่”
“โอเค โอเค... เฮ้ ผมรู้แล้วน่า” โทนี่เอ่ยด้วยเสียงเหนื่อยอ่อน แต่ดวงตาของเขากลับเป็นประกายระยิบระยับ เจ้าเล่ห์ล้อเลียนอย่างไม่ปิดบังความรู้สึกเลย “เพลงแต่งงานของเรา... Unchained Melody มันร้องยังไงแล้วนะ...”
สตีฟยิ้ม เราฮัมท่อนแรกให้โทนี่ และโทนี่ก็ค่อย ๆ ร้องตาม... เขาแกล้งสตีฟไปยังงั้นเอง เพราะเขาจำเพลงนี้ได้แม่นยำอยู่ในใจ มันทั้งโรแมนติกและก็เศร้าไปพร้อมกัน
‘Oh, my love, my darling. I’ve hungered for your touch
A long, lonely time. Time goes by so slowly.
And time can do so much’
สตีฟในตอนนั้นค้านโทนี่ว่าจะใช้เพลงนี้จริง ๆ ใช่ไหม แต่โทนี่ยืนยันแบบนั้น
‘Are you still mine?
I need your love. I need your love
God speed your love to me’
เพราะความรู้สึกหวานขมนี้มันจะทำให้สตีฟกลับมาหากันหลังจากถูกดีพลอย และคอยย้ำเตือนว่าเรารักกันและโหยหากันมากแค่ไหน
‘Lonely rivers flow. To the sea, to the sea. To the open arms of the sea.
Lonely rivers sigh “Wait for me, wait for me”
I'll be coming home, wait for me’
เสียงของโทนี่ติดจะแหบแห้งเพราะเขายังไม่แข็งแรงนัก แต่มันยังไพเราะมากสำหรับสตีฟ
“I'll be coming home, wait for me.”
ผมจะกลับคืนไปหาความรักของเรา รอผมด้วยนะ...
ดวงตาสีน้ำตาลและขนตายาวที่จ้องกลับมาเหมือนเขาอย่างกับถอดแบบกันมา เด็กหญิงตรงหน้าเอียงศีรษะเหมือนรอคอยคำตอบจากโทนี่ ริมฝีปากจิ้มลิ้มเม้มสนิทและดูจะคว่ำลงนิด ๆ คล้ายผิดหวังเมื่อพ่อของเธอดูจะเบิกตามองเธอเฉย ๆ และไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอะไรอยู่เกือบวินาที จนกระทั่ง..
“โอเค... มากอดกันหน่อย แต่ลูกต้องอ่อนโยนและไม่ทำให้พ่อเจ็บ ตกลงไหม?”
โทนี่เป็นใครถึงทำลายความฝันของเด็กหญิงตัวน้อย ๆ คนนี้ได้ลงกัน?
ต่อให้เขาไม่รู้จักเธอมาก่อน โอเค ขีดฆ่า.. เขาไม่ได้ไม่รู้จักเธอ เขาแค่จำเธอไม่ได้ ต่างกันนะ แต่แววตาออดอ้อนเหมือนกับจะเปล่งแสงได้นั่นมันเหมือนกับเขาถูกพุ่งชนด้วยลูกฟุตบอลกลางท้อง ไล่อากาศออกไปจนหมดจนเขาจุกและหายใจไม่ออก
มอร์แกนยิ้มกว้าง เธอหัวเราะชอบใจ รีบถอดรองเท้าและจัดแจงลากเก้าอี้มาไว้ข้างเตียงผู้ป่วย เธอปีนขึ้นเก้าอี้และจากเก้าอี้นั่นปีนขึ้นเตียงต่อโดยไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่สักคน ร่างเล็ก ๆ ของมอร์แกนตัวน้อยขดอยู่ใกล้ ๆ กับโทนี่ เธอเอาหัวกลมหนุนไหล่ข้างขวาของพ่อและพาดแขนซ้ายกอดลำตัวโทนี่เอาไว้
“พ่อคะ หนูคิดถึง” เด็กหญิงพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนและดีใจ “พีทอาบน้ำไม่สนุก พีทไม่แปรงฟันให้หนูเหมือนพ่อ นิทานก่อนนอนด้วย หนูอยากเห็นกระต่ายอีสเตอร์กระโดด... พีทไม่ทำ” เธอได้ดีฟ้องคุณพ่อคนโปรดของตัวเอง มันทำเอาโทนี่หันไปมองปีเตอร์ด้วยสายตา แต่ปีเตอร์กลับยักไหล่กลับและทำหน้าเหมือนจะโวยวายว่าสิ่งที่มอร์แกนพูดนั้นไม่เป็นความจริงเอาซะเลย เด็กหนุ่มย่นคิ้วใส่พ่อของเขาและยกแขนกอดอกเหมือนเขาเองก็ไม่ได้รับความยุติธรรม
โทนี่จึงไม่มีตัวเลือกมากนัก เขาจะให้ลูก ๆ ทะเลาะกันได้อย่างไร
“เฮ้... มอร์แกน ฟังพ่อนะ กระต่ายอีสเตอร์น่ะออกมาได้แค่ตอนอีสเตอร์เท่านั้น” เขาบอกกับเด็กหญิงด้วยเหตุผลและน้ำเสียงอ่อนโยนกว่าปกติ “ถ้ามันออกมาช่วงเวลาอื่น เราก็ไม่เรียกเขาว่ากระต่ายอีสเตอร์สิ จริงไหม?”
“โอเค หนูเข้าใจแล้ว” มอร์แกนตอบ น้ำเสียงเง้างอนเล็กน้อยแต่ก็ยอมจำนนด้วยเหตุผล
รางวัลพ่อดีเด่นต้องเป็นของเขาแล้วล่ะ... โทนี่คิดอย่างนั้น แต่แล้วหนูน้อยมอร์แกนก็เอ่ยประโยคถัดมาที่ทำเอาเขาเกือบจะยกมือกุมขมับ
“หนูไม่โกรธพีทเรื่องกระต่าย แต่ว่าอาบน้ำ แปรงฟัน แล้วก็นิทานก่อนนอนไม่นับ” เธอส่ายหน้าพรึบพรับ
“โถ่ ลูกจะไม่ยกโทษให้พีทจริง ๆ เหรอ?”
“ไม่มีวัน” น้ำเสียงที่ใช้และการเชิดจมูกรั้นขึ้นมันทำเอาโทนี่อดตะลึงไม่ได้กับท่าทางที่เขาแสนจะคุ้นเคยแบบนี้ ไม่ใช่แค่โทนี่คนเดียว สตีฟเองก็กำลังกลั้นขำ
กลั้นขำงั้นเหรอ?
โทนี่ไม่อยากจะเชื่อ... เขาหันขวับไปมองสตีฟด้วยสายตาดุ ๆ นี่มอร์แกนกำลังดื้อรั้นกับพวกเราและใจร้ายกับปีเตอร์อยู่นะ! โทนี่ถลึงตามองให้สตีฟรู้ตัว ทันใดนั้นอีกฝ่ายก็ทำหน้าเจื่อน สตีฟรู้ว่ากำลังโดนโทนี่เอ็ดทางสายตา และสายตาคู่นั้นก็กำลังบอกอย่างชัดเจนให้เขาทำอะไรบางอย่าง
“มอร์แกน...” สตีฟเว้นวรรค เขากระแอมไอเล็กน้อยและพูดด้วยเสียงที่ต่ำลึกมากยิ่งขึ้น “พ่อคิดว่าลูกควรจะให้อภัยพีท”
โทนี่กลอกตา เยี่ยมยอด... อะไรจะเพอร์เฟกต์ขนาดนี้ เรียกว่าอะไรดี? พังพินาศอย่างไรล่ะ!
มอร์แกนไม่ฟังสิ่งที่สตีฟเตือน เรื่องอะไรเธอจะฟังล่ะ ในเมื่อสตีฟนั้นคล้ายกับคนแปลกหน้าสำหรับเด็กหญิง เธอกอดพ่อของเธอแน่นขึ้น ขยับตัวหนุนไหล่โทนี่และมันกะทันหันจนกระทบกระเทือนกับเขา
“อะ..อู๊ย!”
คนเจ็บสะดุ้ง เขาครางเสียงไม่ดังนัก แต่มันทำให้มอร์แกนตกใจ เธอเด้งตัวหนีโทนี่
“หนูทำพ่อเจ็บเหรอคะ” เด็กหญิงมีท่าทางตกใจ ดวงตาสีน้ำตาลคู่โตตื่นตระหนก โทนี่เห็นดังนั้นจึงพยักหน้าให้เธอ
“นิด..นิดหน่อย แต่ว่าลูกรู้ไหมอะไรจะทำให้พ่อหายเจ็บ?”
ทุกคนรู้ว่าประโยคถัดมาคืออะไร ทุกคนยกเว้นหนูน้อยมอร์แกน...
โอ้... สตีฟเกือบจะอ้าปากค้าง เขามองโทนี่คล้ายไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ส่วนพีท กลายเป็นว่าเด็กหนุ่มต้องกลั้นขำและยกมือขึ้นมาปิดปากและทำเป็นไอแทน ดวงตาของปีเตอร์เป็นประกายขำขันอยู่เต็มเปี่ยมกับวิธีหลอกล่อน้องน้อยของเขา
“อะ..อะไรคะ?” เสียงของเด็กหญิงหวาดกลัวและกระซิบพูดคุยกับโทนี่อย่างแผ่วเบา
“ลูกยกโทษให้พีท” โทนี่ทำเหมือนกับว่าสิ่งที่เขาพูดสำคัญมาก “แล้วก็เป็นเด็กดีกับพีทและป๊ะป๋าของลูกจนกว่าพ่อจะกลับบ้านได้”
อย่างน้อยโทนี่ก็เลี้ยงพีทมาแล้วสักพัก(ตอนอีกฝ่ายยังเป็นเด็กอยู่น่ะนะ) เขาอ่านหนังสือมากพอจะรู้ว่าต้องเลี้ยงเด็กอย่างไร และใช้สิ่งที่เรียนรู้มากับปีเตอร์ เขาพอจะเดาได้ว่ามอร์แกนคงเชื่อฟังแต่เขา(เป็นส่วนใหญ่) เพราะเขาเป็นผู้ใหญ่คนเดียวในบ้านเนื่องจากสตีฟคงจะถูกดีพลอยอยู่ตลอด และที่เริ่มดื้อกับพีทอย่างนี้ก็เป็นเพราะเธอเริ่มจะงอแงเพราะคิดถึงเขา แต่ตอนนี้สตีฟกลับบ้านมาแล้ว โทนี่คิดว่าเขาต้องให้สตีฟจัดระเบียบบ้านใหม่ เขาหวังว่า...สวดภาวนาเลยล่ะ กัปตันโรเจอร์สที่คุมทีมกองกำลังพิเศษบุกตะลุยทะเลทราย ปราบผู้ก่อการร้ายและปกป้องประเทศชาติมานับครั้งไม่ถ้วนจะสามารถปราบลูกสาววัย 4 ขวบของเราได้เช่นกัน
ลูกสาวที่พวกเขาทั้งคู่แทบไม่รู้จัก...
“อะ... ก็ได้ค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยพูดเสียงอ่อย หันไปหาพีท “หนูยกโทษให้พี่”
“ดีมาก จากนั้นลูกต้องมอบจูบให้พีทเป็นการขอโทษที่บอกว่าจะไม่มีวันยกโทษให้เขา” โทนี่พูดต่อ “ลูกพูดแบบนั้นทำให้พีทเสียใจรู้ไหม มอกูน่า”
มอร์แกนหันไปหาพี่ชายของเธอด้วยสายตาลูกหมา และปีเตอร์ก็รู้ตัว เขาเดินเข้ามาหาเธอที่เตียงคนป่วย เด็กหญิงตัวเล็กยืนขึ้นเต็มความสูงและยื่นใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอไปจูบแก้มพี่ชายที่รักด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยน่าเอ็นดู
“พีท หนูขอโทษ... หนูไม่ได้อยากทำให้พี่เสียใจ”
“พี่รู้” ปีเตอร์ยิ้มให้น้องน้อย พวกเขากอดกันและพีทก็จูบขมับของเด็กหญิงกลับ “พี่รักมอร์แกนนะ”
“อือ.. หนูรักพีทเหมือนกัน”
ภาพที่สองพี่น้องกอดกันและบอกรักกันมันเกิดขึ้นเพราะเรื่องเล็กน้อยแท้ ๆ แต่มันกำลังทำให้โทนี่รู้สึกอบอุ่นในอก ความร้อนนี้ค่อย ๆ แผ่ซ้านไปทั้งตัวเขา เขารู้สึกผ่อนคลายและสงบเหมือนกับร่างกายถูกคลุมด้วยผ้าห่มผืนหนา
โทนี่อดคิดไม่ได้ว่าถ้าภาพปีเตอร์และมอร์แกนกอดกันแบบนี้ทำให้ตัวเขาที่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับมอร์แกนเลยยังมีความสุขได้ แล้วนับประสาอะไรกับตัวเขาในปัจจุบันที่ผูกพันกับเด็กสองคนนี้ล่ะ โทนี่คนนั้นจะมีความสุขกว่าเขามากขนาดไหน เขาไม่เข้าใจตัวเองอีกคนสักนิด ทำไมต้องลืมด้วย... ไอ้สิ่งที่หลงลืมไปมันคุ้มค่าจริงน่ะเหรอกับความทรงจำ 5 ปีที่มีร่วมกันของครอบครัวของเรา?
มอร์แกนกำลังหลับสนิทอยู่บนตัวของสตีฟ เด็กหญิงตัวน้อยหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ซบใบหน้าของเธอกับซอกคอหนา รอบตัวเธอถูกคลุมด้วยผ้าห่มนุ่มนิ่มสีสันสดใสที่ปีเตอร์เอาติดมาด้วย สตีฟโอบกอดร่างเล็ก ๆ ของยัยหนูอย่างระมัดระวังและปกป้อง
“น้องหลับสนิทเลย...” ปีเตอร์กระซิบ เขาอมยิ้มมองน้องน้อยของเขา ล้วงสตาร์กโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงและถ่ายรูปเธอกับสตีฟเอาไว้ “เพราะวันนี้เล่นกับป้าเมย์ทั้งวันแน่”
โทนี่หัวเราะเบา ๆ เขามองภาพครอบครัวของเขาด้วยสายตาเปี่ยมสุขและอิ่มเอมใจ เขาบอกให้ปีเตอร์ส่งรูปนั้นให้เขาด้วย เขาจะต้องโพสมันลงในทวิตเตอร์ (โทนี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโทรศัพท์เขาอยู่ไหน มันอาจจะพังไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ช่างปะไร เดี๋ยวเขาก็ซื้อเครื่องใหม่และเอาภาพเหล่านั้นกลับคืนมา) ปีเตอร์หัวเราะร่า เด็กชายกดโทรศัพท์ยุกยิกแล้วก็พึมพำว่า ‘ส่งไปแล้วนะฮะ’
“พ่อเจ๋งไปเลยนะฮะ รู้ชื่อเล่นมอร์แกนด้วย ป๋าบอกพ่อใช่ไหมฮะ?”
คำถามของปีเตอร์ทำเอาโทนี่ชะงักไปเล็กน้อย เขาทบทวนความจำตัวเองและก็พบว่าเขาเรียกเด็กหญิงด้วยชื่อเล่น ‘มอกูน่า’
“เปล่า สตีฟไม่ได้บอก”
สตีฟเองก็พยักหน้าสำทับ กัปตันโรเจอร์ในตอนนี้ทำเพียงแค่แสดงสีหน้า ไม่กล้าพูดหรือหายใจแรงด้วยซ้ำ เขากลัวทำมอร์แกนตื่น
“แปลว่าพ่อเริ่มจำได้แล้วเหรอฮะ!” ปีเตอร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่มันเสียงดังไปหน่อย สตีฟหันมาทำเสียง ‘ชู่ววว!’ ใส่เขาพร้อมกับมองลูกชายดุ ๆ มันทำเอาปีเตอร์ก้มหน้างุด ดูคล้ายลูกสุนัขที่ถูกเอ็ดยังไงยังงั้น
“เฮ้แคป คุณอย่าดุลูกผมสิ” มันกลายเป็นว่าตอนนี้โทนี่เป็นแม่ไก่ที่ปกป้องลูกน้อยซะแล้ว “และคำตอบคือไม่เชิง พ่อไม่ได้เริ่มจำได้... พ่อแค่สุ่มตั้งชื่อเล่นให้กับมอร์แกนเท่านั้น ดูเหมือนสมองของพ่อมันจะทำไปเอง เหมือนกับที่ชื่อ ‘อันเดอร์รู’ ของลูกมันออกมาแบบไม่มีที่ไปนั่นแหละ”
“แบบนี้เองเหรอฮะ...” ปีเตอร์มีสีหน้าเศร้าสลด
“ไม่ต้องเศร้าน่า ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้แล้วสักหน่อย อย่างน้อยพ่อก็ยังอยู่ครบสามสิบสอง พ่อยังเป็นคนคนเดิม และมันสมองของพ่อก็ยังปราดเปรื่องอย่างที่มันควรจะเป็น แค่นั้นดีมากแล้ว จริงไหม?”
สำหรับโทนี่ ปีเตอร์ที่อยู่ตรงหน้าโตแล้ว เขาจึงพูดคุยกับลูกชายของเขาแบบที่จะพูดคุยกับผู้ใหญ่สักคน...แบบที่เคลือบฉาบความหวานไปหน่อยน่ะนะ เพราะปีเตอร์ในความทรงจำของเขาเป็นแค่เด็กเกรด 5 ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นอายุ 15-16 ปีแบบนี้
ปีเตอร์มองพ่อของเขา แล้วหันไปมองสตีฟ ก่อนจะหันกลับมามองโทนี่อีกรอบ เขาอ้าปากค้าง เอามือถูแขนตัวเองอย่างกับเป็นสไปเดอร์แมนและสไปเดอร์เซนส์ของเขาทำงานจนขนอ่อนพากันลุกชัน
“พ่อพูดเหมือน..พ่อเลย”
โทนี่ย่นจมูก เขากลอกตาใส่พีทที่แสดงท่าทางเกินจริงนี่ออกมา “เพราะพ่อก็คือเขาไง”
“อ่อ จริงด้วยนะฮะ” เด็กหนุ่มทำหน้านึกขึ้นได้ เขายิ้มแหยให้กับโทนี่และสตีฟ “คืนนี้ป๋าจะกลับบ้านไหมฮะ หรือว่าจะนอนเฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาลกับพ่อ?”
“คุณกลับบ้านไปกับลูกเถอะ” โทนี่ตัดสินใจให้แทน “เด็ก ๆ ต้องการคุณ” เขาเลือกได้อย่างง่ายดาย สตีฟดูจะทำคล้ายไม่แน่ใจแต่พอโทนี่จ้องเขามากขึ้นกัปตันก็ยอมทำตาม
“ตกลง” สตีฟรับปาก มันทำให้ปีเตอร์อมยิ้มดีใจนิด ๆ
ท่าทางของปีเตอร์ไม่หลุดรอดสายตาของโทนี่ เขาอดขยับยิ้มตามท่าทางของลูกชายของเขาไม่ได้ ปีเตอร์เองก็เหมือนกับเด็กทุกคนที่ต้องการความรักความเอาใจใส่ แต่เพราะเขาเอาความต้องการของคนอื่นเหนือตัวเองเสมอ ความรู้สึกของเขาจึงมักถูกละเลย
พวกเขาคุยกันต่ออีกสักพักก็ถึงเวลากลับบ้าน แฮปปี้และเมย์จะไปส่งพวกเขาที่บ้านก่อนที่จะกลับไปนอนพักที่โรงแรม โทนี่ไม่อยากให้พวกเขากลับบ้านดึกนัก สตีฟยังต้องอาบน้ำให้มอร์แกนและพาเด็กหญิงเข้านอน เราล่ำลากัน
“ปีเตอร์ มาหาพ่อมา” โทนี่กล่าว เขาขยับแขนขวาเล็กน้อย “พ่อลุกไปกอดลูกไม่ได้”
นั่นทำให้ปีเตอร์ทำหน้ากึ่งยินดีกึ่งประหลาดใจ แก้มของเด็กชายแดงก่ำขึ้นมาเหมือนกับไฟสัญญาณจราจร เขาขยับตัวเข้าไปกอดร่างกายเปราะบางของพ่อเขา
“ผมรักพ่อนะฮะ”
“พ่อก็รักลูก” โทนี่เอียงใบหน้าเล็กน้อยและจูบที่ขมับปีเตอร์ เด็กหนุ่มส่งเสียงมีความสุขแบบที่ทำให้โทนี่รู้สึกอย่างกับความรู้สึกบางอย่างในใจเขาได้ถูกเติมเต็ม ในอกพองฟูและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ปีเตอร์ผละจากไปแล้วแต่ความรู้สึกนั้นก็ยังคงอยู่
“พรุ่งนี้ผมจะรีบมาแต่เช้า” สตีฟกระซิบบอก
“แน่นอน”
พวกเขามองกันและกันด้วยสายตาห่วงใย
“ผมรักคุณนะโทนี่”
“รักคุณเหมือนกันสตีฟ ไปได้แล้ว”
และนั่นล่ะ สตีฟและปีเตอร์จึงกลับบ้าน โทนี่อมยิ้มไม่หุบ เขาคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนผล็อยหลับไปอีกครั้ง
.
-Steve-
.
กัปตันสตีฟ โรเจอร์ส กรีน เบเร่ต์ หัวหน้าทีมหน่วยรบพิเศษของสหรัฐอเมริกา เขาทำภารกิจเสี่ยงตายมาหลายรูปแบบ ทั้งบุกช่วยเหลือตัวประกัน ป้องกันผู้นำและบุคคลสำคัญระดับชาติ หรือกระทั่งบุกทลายกลุ่มก่อการร้ายในหมู่บ้านห่างไกลในพื้นที่เขตสงคราม เขาเผชิญกับความกดดันและอันตรายหลากหลายรูปแบบจนอารมณ์มั่นคงและยากที่จะทำให้เขาหวั่นไหว
แต่มอร์แกน...
มอร์แกนลูกสาวที่น่ารักของเขากำลังทำให้จิตใจที่เข้มแข็งอย่างกับต้นไม้ใหญ่โค่นล้มลงมาง่าย ๆ
“ไม่เอา! ปะป๊าจะอาบน้ำให้หนูแบบนี้ไม่ได้”
และ
“ฮือ... แสบตา”
หรือ
“น้ำร้อนไป.. แสบผิว..!”
แค่มอร์แกนเบะปาก ไม่ต้องมีน้ำตา ไม่ต้องมีกระทั่งเสียงสะอื้น แค่เบะปากและทำตากลมโตแสนเศร้าเว้าวอน...
“โอเค ๆ... พ่อขอโทษ มอร์แกนของพ่อ เราลองกันใหม่นะ”
สตีฟทำอะไรไม่ถูกแบบทำอะไรไม่ถูกจริง ๆ มอร์แกนในวัย 4 ขวบนั้นดูแลยากยิ่งกว่าอะไร ตอนนั้นที่เด็กสาวเพิ่งคลอดออกมา หรือตอน 2 ขวบที่เขากลับมาบ้านได้สักพัก เธอยังไม่ชวนปวดหัวเท่านี้
ตอนนี้สตีฟเกือบจะอาบน้ำมอร์แกนเสร็จแล้ว เขากำลังถูสบู่ให้เด็กหญิง ขณะนี้เธออารมณ์ดีและยิ้มแย้ม นั่นทำให้สตีฟสบายใจได้หนึ่งอย่างจากเรื่องชวนปวดหัวนับสิบ เช่น ตัวเขาเปียกปอนไปหมด, น้ำเจิ่งนองเต็มพื้นห้องน้ำ และมอร์แกนที่กำลังดีดดิ้นเป็นลูกปลาอยู่แบบนี้ทุกครั้งที่เขาพยายามฟอกสบู่
“มอร์แกน ได้โปรดอยู่นิ่ง ๆ ได้ไหม?”
สตีฟพยายามพูดให้ไพเราะกับลูกสาว เขากลัวว่าถ้าใช้น้ำเสียงออกคำสั่งปกติของตัวเองจะทำให้เด็กสาวจะตกใจกลัวไปซะก่อน สตีฟไม่ต้องการแบบนั้น
“อือ... แต่มันจั๊กจี้นี่นา.. ปะป๊าจั๊กจี้หนู” เด็กหญิงยิ้มหวานและส่งเสียงน่าเอ็นดูเหมือนลูกนก
สตีฟสาบานว่าไม่ได้ทำ แต่เธออาจจะไม่ชินกับมือใหญ่ที่หยาบกระด้างของเขา จนในที่สุดสตีฟก็หาฟองน้ำเจอและนำมันมาถูตัวให้มอร์แกนแทน มอร์แกนอมยิ้มแก้มตุ่ย ปล่อยให้ปะป๊าอาบน้ำให้อย่างสบายอกสบายใจ
หลังจากนั้นสตีฟก็ค่อย ๆ เปิดน้ำอุ่น (เอาเขามืออังที่ท้องแขนของตัวเองก่อนเพื่อวัดอุณหภูมิ) และล้างตัวให้กับเด็กหญิง สตีฟเอาผ้าขนหนูมาเช็ดตัวให้เด็กหญิงจนหมาด จากนั้นเขาจึงเช็ดผมจนเมื่อเธอสะบัดผมแล้วไม่มีน้ำหยดลงมาสักหยด สตีฟปล่อยให้มอร์แกนไปเลือกเสื้อผ้าที่จะสวมเอง ร่างสูงใหญ่ก้าวออกมาจากห้องน้ำก่อนจะหันกลับไปมองสภาพดูไม่จืดของตัวเองในกระจก เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่... ถอดเสื้อยืดสีขาวออกจากตัวและบิดมันให้หมาดก่อนจะโยนมันทิ้งไว้ที่อ่างล้างหน้า หลังจากจัดการกับยัยหนูเสร็จแล้วคงต้องกลับมาจัดการห้องน้ำอีก
มันทำให้สตีฟเข้าใจความจริงหนึ่งข้ออย่างชัดเจน การเลี้ยงลูกไม่ง่ายเลย โทนี่ต่างหาก..ที่ทำให้มันง่าย
“ไหวไหมฮะ ป๋า?” ปีเตอร์โผล่หน้ามามองและถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แต่พอเห็นสภาพป๋ากัปตันของเขาที่ไม่ได้ต่างไปจากเขาเมื่อวานเลยปีเตอร์ก็หลุดเสียงหัวเราะ “ไม่เป็นไรนะฮะ ผมเข้าใจป๋า เมื่อคืนผมเองก็มีสภาพเหมือนกับป๋านี่แหละฮะ”
“ลูกเก่งแล้ว ปีเตอร์” สตีฟเอ่ยชม มือหนาเขายื่นไปบีบไหล่ของปีเตอร์ให้กำลังใจ
“ขอบคุณฮะ...” ปีเตอร์อมยิ้มและทำตัวไม่ถูก เด็กวัยรุ่นกลายเป็นแค่เด็กชายตัวเล็กในวัยประถมเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าพ่อที่เหมือนกับซูเปอร์ฮีโร่ของเขา “ป๋า..เข้าไปดูมอร์แกนก็ได้นะฮะ เดี๋ยวผมจัดการในห้องน้ำให้”
“ไม่เป็นไรหรอกปีเตอร์ เดี๋ยวพ่อทำเอง”
“ผมทำได้ฮะ ยังไงก็ต้องอาบน้ำต่ออยู่ดี นะฮะ พ่อไปดูมอร์แกนเถอะ”
สตีฟรู้ว่าปีเตอร์พยายามช่วยแบ่งเบาภาระและมันทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ก็ได้ ถ้าลูกว่าอย่างนั้น ขอบใจมากนะ ปีเตอร์”
ปีเตอร์พยักหน้ารับ เขาเดินเข้าห้องน้ำและปิดประตู
สตีฟพ่นลมหายใจออกอีกครั้ง เขาเดินกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเข้าไปที่ห้องนอนของมอร์แกน เคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไปเพื่อเห็นว่าเด็กหญิงนั่งอยู่ใต้ผ้าห่มเหมือนกับเต็นท์อินเดียนแดงและเปิดไฟฉายจากข้างใน
“มอร์แกน พ่อเข้าไปข้างในนะ” กัปตันก้าวเข้าไปในห้องของลูกสาว เขานั่งลงบนเตียง ค่อย ๆ ดึงผ้าห่มของเด็กหญิงออก “ลูกทำอะไรอยู่?”
เด็กหญิงตัวน้อยหันหน้ากลับมาหาสตีฟ เธอสวมใส่หน้ากากไอรอนแมนสีแดงและเอาไฟฉายนาบตรงบริเวณหน้าอกเพื่อเลียนแบบอาร์ครีแอคเตอร์บนชุดเกราะของไอรอนแมน ซูเปอร์ฮีโร่คนโปรดของเธอและโทนี่
“นิทานก่อนนอน” เสียงอู้อี้ของเด็กหญิงดังมาจากใต้หน้ากาก บนตักมีหนังสือภาพวางกางอยู่ สตีฟหัวเราะในลำคอ เขาค่อย ๆ ถอดหน้ากากนั้นออกไป ลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มของเด็กหญิงไปข้างหลังและจูบหน้าผากของเธอ
“พ่ออ่านให้ฟังดีไหม?”
เด็กหญิงพยักหน้า เธอกระเถิบไปนั่งกลางเตียงเพื่อให้สตีฟมานั่งอยู่ข้าง ๆ สตีฟโอบกอดร่างเล็กด้วยแขนข้างซ้าย เขาเปิดโคมไฟหัวเตียง ปิดไฟฉายและเอาหนังสือการ์ตูนมาวางไว้บนตักของเราทั้งคู่
มันคือหนังสือ Little Golden Book หนังสือนิทานสำหรับเด็กที่มีภาพประกอบเป็นซูเปอร์ฮีโรี่ของ Mervel ในลายเส้นน่ารัก สตีฟเริ่มต้นอ่านมันและมอร์แกนก็ตั้งใจฟังอย่างมีสมาธิ พวกเขาอ่านหนังสือจบไปสองเล่มครึ่งมอร์แกนก็ผล็อยหลับ...
ปีเตอร์เดินผ่านห้องของน้องสาวที่เปิดประตูทิ้งไว้ มันมีแสงไฟลอดออกมาแต่กลับไม่มีเสียงอะไร เด็กหนุ่มจึงเดินเข้าไปดู เขาเห็นป๋าของเขานอนตะแคงข้างอยู่บนเตียงเล็ก ๆ ของมอร์แกน เด็กหญิงหนุนแขนและดึงเสื้อยืดของป๋าไว้ไม่ยอมปล่อย
เขาเปล่งเสียงหัวเราะเบา มุมปากขยับยิ้มกว้าง มือเอากล้องขึ้นมาถ่ายรูปไว้ก่อนจะเอื้อมไปปิดไฟและเดินออกมา ปีเตอร์งับประตูปิด ก่อนเขาเข้านอนไม่ลืมส่งรูปนี้ให้กับโทนี่
‘พ่อเห็นแล้วจะต้องภูมิใจในตัวป๋ามาก ๆ’
เพราะตอนนี้เขารู้สึกแบบนั้นมากเหลือเกิน...
.
.
.
.
to be continued...
ความคิดเห็น