คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 3 - Dream Alone
(คำเตือน: mild description of violence)
.
-Peter-
.
“ป๋ากลับมาเหรอฮะป้าเพ็พ...ฮะ... เข้าใจฮะ...ขอบคุณมากเลยนะฮะ เรื่องมอร์แกนรบกวนแฮปปี้ด้วยฮะ...สวัสดีฮะ”
ปีเตอร์โทรคุยกับป้าเพ็พสั้น ๆ ตอนพักกลางวัน ป้าเพ็พวางสายไปแล้วแต่เด็กหนุ่มยังไม่เก็บมันไปสักที เขาเท้าแขนทั้งสองข้างกับราวบันได มองไปยังวิวสนามด้านหลังกระจกบานใหญ่ตรงหน้า ความรู้สึกหนักอึ้งในอกยิ่งมากขึ้นหลายเท่าทวีคูณและปีเตอร์ไม่สามารถปล่อยวางได้
ตอนเช้าเพ็พเพอร์โทรมาหาเขา บอกข่าวร้ายว่าโทนี่สูญเสียความทรงจำ 5 ปีที่ผ่านมาทั้งหมด สิ่งแรกที่โผล่เข้ามาในหัวและทำให้ปีเตอร์เสียใจก็คือ
พ่อจำมอร์แกนไม่ได้
เพ็พเพอร์อธิบายต่อว่าหัวสมองของโทนี่ไม่ได้รับการกระทบกระเทือนมากขนาดที่จะสูญเสียความทรงจำ โทนี่ไม่มีอาการคลื่นไส้วิงเวียน หรืออาการใด ๆ ที่แสดงออกเลย ดังนั้นมันจึงน่าจะมาจาก ‘ปัจจัยภายใน’ มากกว่า ปีเตอร์ไม่แปลกใจ เขาไม่แปลกใจเลยสักนิด
เขาไม่รู้ว่าพ่อทนอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้กับป๋าได้ยังไง ความสัมพันธ์ที่มีแต่ความหวาดกลัวและหวาดระแวงตลอดเวลา
ทุกครั้งที่ป๋าออกไปปฏิบัติภารกิจ ป๋าอาจจะไม่กลับบ้าน
ความเสี่ยงนี้มันมากจนปีเตอร์ที่โตมากพอจะเข้าใจโลกและความสัมพันธ์ของคนรักยังรู้สึกว่ามันทรมาน ป๋าไม่ได้อยู่ในทุกช่วงเวลาในชีวิตของปีเตอร์เหมือนกับพ่อคนอื่น เราติดต่อกันผ่านอีเมล ผ่านรูปถ่าย ผ่านเสียงโทรศัพท์ และจาก vdo call ถ้าพวกเขาโชคดี ในหนึ่งปีป๋าจะได้กลับมาหาเขา มาอยู่กับเขาและอยู่กับพ่อราว 3-4 สัปดาห์ แล้วก็ถูกดีพลอยต่อ บางปีป๋าก็ไม่ได้กลับมาเลย และที่ยาวนานที่สุดคงจะเป็นช่วงสงครามอิรัก หลังจากเรามีมอร์แกน
พ่อเล่าว่าเขาเคยไปเยี่ยมป๋าที่ค่ายในตะวันออกกลาง ตอนนั้นยังไม่มีปีเตอร์ ต้องการเซอร์ไพรส์ แต่กลับโดนโกรธ ป๋าโกรธพ่อเป็นฟืนเป็นไฟ
‘ป๋าของลูกถามพ่อว่าพ่อคิดว่าสงครามเป็นเรื่องตลกใช่ไหม คิดว่าฐานทัพของเขาเป็นเหมือนกับที่ท่องเที่ยวที่นึกอยากจะมาก็มาได้หรือไง?’ โทนี่บอกกับปีเตอร์ ปีเตอร์ในวัย 11 ขวบที่ถามกับเขาว่าในเมื่อป๋าไปอยู่ที่ไกล ๆ ทำไมเราไปเยี่ยมเขาไม่ได้ ‘แต่จริง ๆ มันก็คงน่าหงุดหงิด ฮะ ๆ เพราะพ่อก็ไปที่นั่นเหมือนมันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวจริง ๆ ในเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวของพ่อมีเสาอยู่ตรงกลางและไฟดิสโก้ พ่อจ้างแอร์โฮสเตสให้เต้นระบำเปลื้องผ้าให้เราดูบนเครื่องบิน ลุงโรดี้ของลูกก็อยู่ แน่นอนเขาเองก็ไม่ชอบ แต่พ่อก็แค่คิดว่ามันคงตลกดี แต่ป๋าลูกไม่คิดงั้น เขาทำหน้าดุและส่ายหน้า...ลูกก็รู้ หน้าไม่เห็นด้วยของเขาน่ะ’
แต่สุดท้ายพ่อกับป๋าก็คืนดีกัน พ่อขอโทษป๋าที่ทำเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องตลก แต่มันเป็นนิสัยที่แก้ไม่หายของพ่อ ส่วนป๋าเองก็ขอโทษพ่อ ขอโทษที่เขาจริงจังกับทุกอย่างมากเกินไปจนเผลอทำร้ายความรู้สึก ทั้งที่การที่พ่อใช้เส้นสายและดั้นด้นไปหาเขาถึงอัฟกานิสถานนั้นเป็นเพราะทนคิดถึงป๋าไม่ไหวเท่านั้น
‘พ่อกับป๋าลูก เรารักกัน เราโกรธกัน เสียใจ เสียน้ำตา แล้วเราก็ตระหนักว่าเรารักกันและกันมากแค่ไหน สุดท้ายเราก็รักกันมากขึ้น’
ความรักต้องให้อภัยกันใช่ไหมล่ะ แต่ความรัก ความสัมพันธ์ที่ดีก็ต้องไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียใจซ้ำ ๆ เหมือนกัน
ปีเตอร์ไม่แน่ใจว่ามันเริ่มขึ้นตอนไหน อาจจะเป็นช่วงก่อนมอร์แกนเกิดด้วยซ้ำที่เขาคิดว่าป๋าละเลยเรา ปีเตอร์คิดว่าเขาคิดมากไปเอง เขาเป็นแค่เด็กขี้เหงาและเข้าสังคมไม่เก่งคนหนึ่ง เพราะป๋าบอกรักเราทุกครั้งที่ได้คุยกัน แต่เมื่อเขาโตมากพอที่จะเข้าใจอะไรอะไรและมองย้อนกลับไป เขาก็เห็นเพียงแต่ป๋าที่ทุ่มเทให้กับงาน ให้กับกองทัพ ให้กับประเทศชาติ แต่กลับปล่อยปละละเลยครอบครัว
จะว่าไปมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พ่อเริ่มต้นลืมทุกอย่าง
ปีเตอร์มองโทรศัพท์ในมือของเขาอีกครั้ง เข้าไปที่กล่องข้อความและกดส่งข้อความไปที่เบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่ง ข้อความเขาถูกตอบกลับมาภายในเวลาไม่นาน เด็กหนุ่มอ่านมันเร็ว ๆ เขากดข้อความตอบ อีกฝ่ายส่งข้อความกลับมา มันทำให้ปีเตอร์เม้มริมฝีปากตัวเอง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงด้านหลัง และเริ่มออกวิ่ง ปีเตอร์วิ่งไปที่รถของเขา
‘ผมไปหาป๋าที่ฐานทัพตอนนี้ได้ไหมฮะ?’
‘ตอนนี้? ลูกไม่ได้อยู่ที่โรงเรียนเหรอ’
‘อยู่ฮะ แต่ผมกำลังจะโดดเรียน’
‘อืม ตกลง มาสิ’
เด็กหนุ่มโยนกระเป๋าเป้ใส่เบาะข้างคนขับ เขามุดลงไปนั่งในรถ Tesla Roadster สีแดงทับทิมของเขาที่เขาได้เป็นของรับขวัญจากพ่อหลังจากที่เขาได้ใบขับขี่และก็ขับออกไป มุ่งหน้าตรงสู่ฟอร์ตแบรกก์
สำหรับรถยนต์ Tesla คันนี้ แน่นอนว่าปีเตอร์มีปัญหาและมีประวัติศาสตร์ร่วมกับมัน เขาจะต้องแอบขึ้นลงรถเสมอ เขาไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของรถยนต์สปอร์ตคันสวย ไม่อยากให้ใครรู้ว่าพ่อเขาเป็นอภิมหาเศรษฐีและเป็นเซเลบริตี้ที่ใครก็รู้จัก ปีเตอร์ไม่ชอบสปอตไลต์ และเขาคิดว่าเขาคุยกับพ่อดีแล้วว่ารถของเขาจะต้องไม่ใช่รถยุโรป
‘โอเค สรุปว่าลูกไม่เอารถยุโรป’
ปีเตอร์ในตอนนั้นพยักหน้า ‘ฮะ โดยเฉพาะเอาดี้, เมอร์ซีดีส หรือ BMW’
‘โอเค พ่อเก็ตแล้ว ลูกไม่ชอบรถยนต์ของพวกนาซี’ พ่อพูดอย่างเสียดสีและติดตลก มันทำให้ปีเตอร์พ่นลมออกจมูก เขาไม่คิดว่าพ่อจริงจังกับการพยายามตามใจเขาในเรื่องการเลือกซื้อรถยนต์ด้วยซ้ำ เขาค่อนข้างมั่นใจว่าสุดท้ายรถคันนั้นจะต้องกรีดร้องว่า ‘รถคันนี้โทนี่ สตาร์กเป็นคนขับ’ แต่ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่ปีเตอร์จะพยายาม
‘รถฝรั่งเศส หรืออังกฤษก็ไม่เอาฮะ!’ เขาดักทางอีก ไม่ต้องการทั้ง Bugatti หรือ Aston Martin หรือ McLaren
‘งั้นรถยนต์สัญชาติอเมริกัน?’
‘ถ้าเป็นไปได้นั่นเยี่ยมไปเลย’ ปีเตอร์กำลังคิดถึงฟอร์ดหรือเชฟวี่ รถยนต์ธรรมดาที่คนทั่วไปขับขี่กัน
‘ลูกจะทำให้สตีฟภูมิใจเพราะความรักชาติของลูก’ พ่อคอมเมนต์ สีหน้าเขาภาคภูมิใจและดราม่าเกินจริง
แต่ปีเตอร์ไม่ขำไปด้วย เขารู้สึกกระอักกระอ่วนและไม่สบายใจอย่างไรบอกไม่ถูก ลึก ๆ เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถเปลี่ยนใจพ่อได้ ‘ไม่เอารถยนต์สปอร์ตราคาแพงเด็ดขาดเลยนะฮะ!’ เขาย้ำเสียงจริงจัง แต่อย่างน้อยเขาก็ได้พยายาม
และในที่สุด เย็นวันถัดมาที่เขากลับมาบ้าน รถที่จอดอยู่ตรงนั้นก็ทำให้เขาแทบจะล้มทั้งยืน
‘ทาดา!’ พ่อในชุดสูทยิ้มกว้าง ผายมือทั้งสองข้างในระดับไหล่ รอยยิ้มพาซื่อของพ่อมันทำให้ปีเตอร์รู้สึกเหมือนถูกชกท้อง ‘รถยนต์สัญชาติอเมริกัน รักษ์โลกด้วยพลังงานไฟฟ้า แถมยังไม่แพง...แบบว่าไม่แพงขนาดนั้นน่ะ’
เสี้ยวหนึ่งของปีเตอร์คิดว่าพ่อกำลังเผชิญกับ midlife crisis รู้สึกท้อแท้และถลุงเงินไปกับสิ่งของที่ไม่จำเป็นอย่างรถสปอร์ตคันหรู แต่คิดไปคิดมา สำหรับพ่อที่เป็นอภิมหาเศรษฐีแล้ว พ่อใช้ชีวิตแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ถ้าพ่อจะเผชิญกับวิกฤติ เขาก็คงเผชิญกับมันมานานมากแล้ว
และเมื่อปีเตอร์เอาแต่นิ่งและอึ้งอยู่ พ่อก็เดินเข้ามาหาปีเตอร์ โอบบ่าลูกชายของเขาและทำหน้าซึมกึ่งเง้างอน ‘ลูกไม่ชอบของที่พ่อซื้อให้เหรอ?’
ปีเตอร์เงียบ เขายังพูดอะไรไม่ออก ริมฝีปากอ้าและหุบอยู่อย่างนั้น
‘ลูกเป็นแบบนี้ไปอีกคนแล้ว ตกลงไม่มีใครชอบของขวัญที่พ่อซื้อให้นอกจากมอกูน่าเลยสินะ’
อยากจะเถียงว่าน้องอายุแค่ 4 ขวบ น้องชอบทุกอย่างที่ใครก็ตามมอบให้ แม้แต่ห่วงอะลูมิเนียมจากการเปิดกระป๋องน้ำอัดลมน้องก็ชอบ (มอร์แกนเลียมันและจะเอาเข้าปาก แต่ปีเตอร์มาเห็นเข้าซะก่อน เขารีบแย่งชิงมันมาและเอาไปทิ้ง มอร์แกนเบะปากและต่อสู้กับเขา ต่อว่าเขาด้วยว่า ‘แบดปีเตอร์!’ พูดอย่างนั้นแล้วก็สะอึกสะอื้นไปพร้อมกัน) แต่นั่นแหละ มันนั่นจึงทำให้ปีเตอร์รีบโอบกอดพ่อของเขา กอดรัดอีกฝ่ายจนแน่น
‘ผมรักพ่อ ขอบคุณสำหรับของขวัญนะฮะ’
ป๋าอาจจะเป็นคนเดียวที่เข้าใจปีเตอร์เวลาที่ได้รับของขวัญหรูหราราคาแพงมากเกินจินตนาการจากพ่อ แต่ปีเตอร์ในวัย 16 ปีรู้ดีว่าสำหรับพวกเรา ป๋าอาจจะไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไปแล้ว
ฐานทัพฟอร์ตแบรกก์เป็นสถานที่ที่ปีเตอร์คุ้นเคย ปีเตอร์มาที่นี่ครั้งแรกตอนอายุ 7 ขวบ โทนี่พาเขานั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวจากนิวยอร์กไปยังนอร์ธแคโรไลน่า (ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าตอนนี้ถึงจะคิดว่าเครื่องบินเจ็ตของพ่อเขานั่นเจ๋งแค่ไหน เด็กหนุ่มก็ยังไม่ชินอยู่ดี เขาชอบความสมถะและสามัญธรรมดามากกว่า) เพื่อมารับสตีฟที่บินกลับบ้านหลังจากภารกิจ เครื่องบินลงจอด และหลังจากนั้นสักพักนายทหารในชุดเครื่องแบบลายพรางก็ทยอยเดินออกมาจากเกต ตอนนั้นพ่ออุ้มเขาเอาไว้ในอ้อมแขนเพื่อให้ปีเตอร์ตัวจิ๋วเห็นสตีฟได้ก่อนใครในระดับสายตา
‘โอ้ พีที่พาย ดูสิใครมา?’ พ่อกระเซ้ากับตัวเขาในอ้อมแขน ปีเตอร์ขบริมฝีปากเล็ก ๆ ของตัวเอง
‘นั่นป๋ารึเปล่าฮะ’
คำถามของเขาทำให้พ่อหัวเราะ พ่อจูบกระหม่อมและย่อตัววางเขาลงกับพื้น
‘ไปดูสิ’ พ่อกระเซ้า มันทำให้ปีเตอร์พยักหน้า เด็กชายก็เดินไปทางสตีฟ อีกฝ่ายยืนนิ่ง เขาเอามือปิดปากตัวเองเหมือนไม่อยากเชื่อสักครู่ ดวงตาสีฟ้าจ้องเขาก่อนจะปลดกระเป๋าเป้เดินทางที่ทั้งใหญ่และหนักลงจากบ่าลงพื้นดังตุ้บ! เขาย่อตัวลงเพื่อรับกอดจากปีเตอร์ในวัย 7 ขวบ
‘ยินดีต้อนรับกลับบ้านฮะป๋า’ ปีเตอร์กระซิบ โอบแขนเล็ก ๆ ของเขาคอบลำคอหนาของป๋า เขารู้สึกว่าถูกป๋ากอดกลับซะแน่น ตัวของเขาเล็กแค่ซีกหนึ่งของขาหนึ่งข้างของป๋าเท่านั้น
‘คิดถึงลูก’
สตีฟตอบกลับ มันทำให้ปีเตอร์ยิ่งซุกหน้ากับไหล่กว้างตรงหน้า เขากำเสื้อทหารลายพรางของป๋าด้วยความรู้สึกยึดติดและอยากจะอยู่ใกล้คนคนนี้ ไม่นานตัวก็ลอยขึ้นไปในอากาศ ป๋าอุ้มเด็กชายด้วยแขนเพียงข้างเดียว อีกมือคว้าเป้ใบใหญ่ขึ้นมาสะพายและเดินไปหาพ่อที่กำลังถือโทรศัพท์แบล็กเบอรี่ คาดว่ากำลังถ่ายรูปหรืออัดวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่
‘คิดถึงคุณด้วย เก็บโทรศัพท์แล้วมานี่เลย’ ป๋าบอกกับพ่อ และพวกเขาก็จูบกัน เด็กชายปีเตอร์ไม่กล้ามองเขาจึงยกมือขึ้นปิดตา ภาพเป็นสีดำ... และปีเตอร์ก็เลิกคิดถึงความทรงจำวัยเด็ก เขาก้าวลงจากรถ เดินไปยังสถานที่ที่ป๋านัดมาเจอกัน
ป๋าชวนเขามาเจอกันที่ร้านอาหารร้านหนึ่ง ธรรมดา ไม่หรูหรา มีบูทนั่งเป็นโซฟาหนังสีน้ำตาลและมีสาวเสิร์ฟเป็นผู้หญิงคนขาวอายุสี่สิบปีที่สวมผ้ากันเปื้อนไม่ใช่เด็กนักเรียนที่มาทำพาร์ทไทม์เหมือนกับร้านในนิวยอร์ก บ่งบอกว่าร้านนี้เป็นร้านดั้งเดิมของชุมชนและเป็นมิตรกับคนทุกวัย
“สวัสดีตอนบ่ายค่ะกัปตัน ทานอะไรดี” หล่อนเอ่ยทักทาย สำเนียงนอร์ธแคโรไลน่าเข้มข้น ที่นี่มีแต่ทหารและทหารผ่านศึก มองปราดเดียวก็รู้ว่าป๋าของเขาติดยศอะไรจากเครื่องแบบที่สวมอยู่และป้ายชื่อบนอกขวา
“คิวบันแซนด์วิชไซส์ใหญ่ โค้กหนึ่งแก้ว ลูกล่ะ?”
“ไม่เป็นไรฮะ ผมกินข้าวที่โรงเรียนมาแล้ว”
แต่สาวเสิร์ฟไม่ยอมไปไหน เธอจ้องที่ปีเตอร์ เด็กหนุ่มรู้ตัว เขาพลิกเมนูดูอีกครั้ง
“คิดดูอีกที เอามิล์กเชคหนึ่งแก้วก็ได้ครับ”
เขาหันไปสั่งกับหล่อน นั่นจึงทำให้สาวเสิร์ฟเดินจากไป ทิ้งทั้งโต๊ะไว้กับความเงียบ สตีฟวางมือประสานกันบนโต๊ะและโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าเมื่อต้องแสงอาทิตย์ตอนกลางวันอย่างนี้ดูสว่างจ้า สตีฟอยากจะสื่อสารกับปีเตอร์ แต่เด็กหนุ่มกลับไม่มั่นใจ ปีเตอร์นั่งเกร็ง หลังของเขาพิงกับโซฟาและนิ้วมือจับชายเสื้อฮู้ดดี้ของเขาอย่างคนไม่รู้จะทำอะไร
“ลูกเป็นยังไงบ้าง” สตีฟเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ เสียงทุ้มต่ำของเขาแหบหายไปในลำคอ เขากระแอมไอหนึ่งครั้ง จ้องตาปีเตอร์และพูดต่อ “สบายดีหรือเปล่า?”
ปีเตอร์กลืนน้ำลาย ดวงตาสีน้ำตาลของเขาแฝงความประหม่าและตื่นกลัว มันเกือบจะดูกระอักกระอ่วน เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากและพยักหน้าเล็กน้อย
“ฮะ ผมสบายดี”
เขาติดต่อกับป๋าบ้าง บางครั้งสตีฟส่งข่าวมาโดยตรงที่สไกป์ของปีเตอร์ บางครั้งพ่อเป็นคนเล่าให้ฟัง แต่ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา vdo call ระหว่างพ่อ เขา และมอร์แกนกับป๋าเริ่มน้อยลงและห่างออกไปเรื่อย ๆ ปีเตอร์ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่เขาพยายามคุยกับป๋าเขาให้มากขึ้น คอยสไกป์หาอีกฝ่าย อย่างน้อยเดือนละครั้ง แต่เป็นทางนั้นต่างหาก...ที่ติดภารกิจในหมู่บ้านห่างไกล ป๋าชอบเขียนอีเมลมากกว่าแชต และทุกครั้งเขาจะลงท้ายด้วยประโยคแบบนี้
‘พ่อภูมิใจในตัวลูก
รักลูกเสมอ,
ป๋า’
ทั้งที่เป็นอย่างนั้น ทั้งที่ป๋าไม่ลืมที่จะบอกรักเขาเสมอในอีเมลทุก ๆ ฉบับ แต่บทสทนาของพ่อลูกมันไม่ควรจะอึดอัดเช่นนี้ ปีเตอร์ทำตัวไม่ถูก เขาคิดหลายประโยคในหัว และในทีุ่ดก็เลือกแสดงความเสียใจเรื่องลุงบัคกี้ก่อน
“เรื่องลุงบัคกี้ที่สูญเสียแขนซ้าย... ผมเสียใจด้วยนะฮะ”
สีหน้าของสตีฟเปลี่ยนไป
“อืม” ป๋าพูดสั้น ๆ “ขอบใจนะ ปีเตอร์”
“ฮะ ตอนนี้มันมีแขนกลออกมาหลายแบบ และบริษัทของพ่อก็ลงทุนในธุรกิจนี้ ผมคิดว่าเราจะต้องผลิตแขนกลออกมาสำหรับทหารผ่านศึกในราคาที่เป็นธรรมแน่นอนฮะ” เรื่องนี้เขาก็รู้มาจากพ่อ พ่อบอกปีเตอร์ประมาณครึ่งปีก่อน เขายังไปเยี่ยมลุงบัคกี้ที่ปลดประจำการแล้วอยู่เลย “ตอนที่ลุงบัคกี้เพิ่งกลับมา พ่อไปถามเขาด้วยฮะว่าอยากจะเข้าโครงการวิจัยแขนกลกับบริษัทเอกชนในเครือที่ SI กำลังลงทุนอยู่รึเปล่า แต่ผมไม่ค่อยรู้รายละเอียดหรอกฮะ ผมไม่ได้อยู่ตอนพวกเขาคุยกัน”
“งั้นเหรอ”
ป๋าดูประหลาดใจ แววตาสีฟ้านั้นจู่ ๆ ก็หม่นเศร้า ใบหน้าที่มีไรเคราดกครึ้มหม่นหมองราวกับเมฆฝนตั้งเค้า ตาขาวของป๋าดูจะเป็นสีแดงมากกว่าเมื่อครู่ ปีเตอร์ไม่แน่ใจว่าเขาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า เขาเปลี่ยนเรื่อง
“ป๋ากลับมาจากอัฟกานิสถานเมื่อไหร่ฮะ?”
“หนึ่งอาทิตย์ได้แล้ว”
เด็กหนุ่มพยักหน้า เงียบไปเล็กน้อยเพื่อขบคิดบางอย่าง ปีเตอร์อยากถามว่าถ้ากลับมาตั้งหนึ่งอาทิตย์แล้วทำไมจึงยังไม่กลับบ้าน แต่เขาคิดว่าเขารู้คำตอบ
“พ่อไม่ให้ป๋ากลับเข้าบ้าน...ใช่ไหมฮะ”
ปีเตอร์รู้ว่าพ่อมึนตึงกับป๋า สองสามครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาได้ยินพ่อตะโกนเถียงกับป๋าในโทรศัพท์ เขาไม่กล้าแอบฟัง ไม่กล้าถาม แต่ขณะเดียวกันก็อดเป็นห่วงทั้งพ่อและป๋าไม่ได้
สตีฟเอามือลูบริมฝีปากตัวเอง เขาหลับตาและผ่อนลมหายใจเสียงดัง สีหน้าที่อ่านไม่ออกของสตีฟกำลังทำให้ปีเตอร์เป็นกังวล จนกระทั่ง
“ใช่” เขายอมรับ
ใบหน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นดีใจ ปีเตอร์รู้สึกโล่งอกมากขึ้น อย่างน้อยป๋าก็ซื่อสัตย์กับคำตอบที่มีให้
“ป้าเพ็พเล่าให้ผมฟังแล้วนะฮะทั้งเรื่องพ่อ แล้วก็เรื่องเมื่อเช้า” ปีเตอร์เว้นวรรคเล็กน้อย “ป๋ากับพ่อจะหย่ากันไหมฮะ?”
“ไม่ ปีเตอร์ พ่อกับโทนี่คุยกันแล้ว เราจะไม่หย่ากัน”
“จริงนะฮะ?”
สตีฟพยักหน้าหนักแน่น
“วันนี้พ่อตั้งใจจะกลับบ้าน จะอยู่กับลูก, โทนี่ และมอร์แกน ดูแลครอบครัวของเราทุกวันจนกว่าพ่อจะต้องไปปฏิบัติภารกิจครั้งต่อไป”
ในอกของปีเตอร์รู้สึกคันยุบยิบ เขารู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
“ปีเตอร์ ไหน ๆ ลูกก็โดดเรียนมาแล้ว อยู่ด้วยกันที่นี่จนพ่อเลิกงานได้ไหม? พ่ออาจจะต้องการคนไปส่งที่ราลีห์”
ปีเตอร์ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เด็กหนุ่มเงยหน้ามองป๋าของเขา ป๋ามีท่าทางจริงจัง แต่มุมปากนั่น มุมปากใต้ไรเคราดกครึ้มกลับขยับยิ้ม เป็นรอยยิ้มปีเตอร์ไม่เห็นมานานแล้ว และเขาอยากจะเห็นมันบ่อย ๆ ในอนาคตอันใกล้
“ได้ฮะ แต่ป๋าต้องสัญญานะว่าจะไม่บ่นเรื่องการขับรถของผม”
สตีฟหัวเราะออกมา มันเป็นเสียงหัวเราะที่ออกมาจากท้องและทำให้คนฟังอย่างเขาผ่อนคลาย ป๋าเอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อย ตอนนั้นเองที่พนักงานเสิร์ฟเอาอาหารและเครื่องดื่มของเรามาให้พอดี
“พ่อสัญญา”
เขาตอบและเริ่มกินแซนด์วิชชิ้นใหญ่ ปีเตอร์มองดูอาหารของป๋าเขา ประมาณมันดูเหมือนจะมากกว่าที่เขาหรือพ่อกินสองเท่าได้ แต่พ่อตัวใหญ่ซะขนาดนี้ แถมยังออกกำลังกายเป็นประจำอีกต่างหาก มันทำให้พ่อเขายิ่งดูเหมือนซูเปอร์ฮีโร่มากขึ้นไปอีก
“หือ” สตีฟเคี้ยวและกลืนอาหารก่อนถาม “ลูกยิ้มทำไม?”
“ผมแค่ดีใจฮะ”
“งั้นเหรอ”
“จำได้ไหมฮะ ทุกครั้งที่เราคุยกันเวลาป๋าอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจ ป๋าจะบอกรักพ่อ บอกรักผม และบอกรักมอร์แกน”
สตีฟยิ้ม ใช่ ป๋าเขาทำแบบนั้นเสมอ ไม่ลืมที่จะบอกรักเรา และบอกกับพวกเราว่าเขาคิดถึงและอยากกลับบ้านมากอดพวกเรามากแค่ไหน
“ผมคิดว่าผมชินแล้วกับการคุยกับป๋า โต้ตอบกับป๋าผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ผ่านสไกป์ เราฉลองคริสมาสต์ ฉลองวันเกิดผม วันเกิดพ่อ วันเกิดมอร์แกนผ่าน vdo call ผมดีใจนะฮะที่ป๋าไม่ลืมเราและพยายามไม่พลาดวันสำคัญเหล่านั้น แต่ถ้ามีป๋าอยู่ด้วยในทุก ๆ ช่วงชีวิตของเรา มันจะดีกว่ามาก ๆ เลย”
.
-Steve-
.
ก่อนจะกลับราลีห์กับปีเตอร์ สตีฟไปที่โรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อดูให้แน่ใจว่าบัคกี้จะไม่เป็นอะไร จนถึงตอนนี้บัคกี้ก็ยังอยู่ในห้อง ICU เขาย้ำกับเจ้าหน้าที่ให้แจ้งเขาทันทีเมื่อบัคกี้ฟื้นจนแซมต้องพูดย้ำถึงสองครั้งว่าเขาจะเป็นคนดูแลบัคกี้ให้เอง
“ใจเย็นแคป” แซม วิลสันจับบ่าสตีฟเอาไว้ เขาออกแรงบีบและจ้องตาสีฟ้าของอีกฝ่ายด้วยสายตามั่นคงแน่วแน่ “ฉันเอาอยู่ ที่ที่นายควรอยู่คือข้าง ๆ สามีนาย ไม่ใช่ตรงนี้”
สตีฟสูดลมหายใจเข้าลึกยาวก่อนจะผ่อนออก แซมบีบบ่าของเขาอีกครั้ง รอให้สตีฟตั้งใจฟัง
“ฟังนะ บัคกี้ก็เป็นเพื่อนฉันเหมือนกัน ตรงนี้ฉันจัดการเอง”
ทั้งคู่จ้องตากันเกือบสามวินาทีก่อนที่สตีฟจะยอมฟังที่แซมพูด “โอเค.. ตกลง” เขาเว้นวรรค “ขอบใจมากนะแซม”
“ชัวร์ สบายใจได้น่า”
แซมตบไหล่สตีฟ พวกเขาแยกกัน ร่างสูงของกัปตันเดินจากมาหาปีเตอร์ที่นั่งก้มหน้ารออยู่ตรงเก้าอี้นั่งรอ เมื่อเขาเห็นขาและรองเท้าบูทคอมแบตเด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นและก้าวขาตามป๋าของเขาไป
“เสร็จธุระแล้วเหรอฮะป๋า?”
“อืม เสร็จแล้ว”
สตีฟพยักหน้าให้กับปีเตอร์ พวกเขาทั้งคู่ขึ้นรถอีกครั้งและปีเตอร์ก็เป็นคนขับรถพาเราทั้งคู่กลับไปยังราลีห์ ระหว่างทางบนถนนสตีฟสังเกตุว่าปีเตอร์แอบมองเขา สีหน้าสงสัยและอยากจะถามอะไรบางอย่างเต็มที่แต่ไม่กล้าพูดออกมา
“ลูกคิดอะไรอยู่ปีเตอร์” กัปตันพูดทำลายความเงียบ “มีอะไรอยากถามพ่อใช่ไหม?”
หลังจากทำหน้าประหลาดและอ้ำอึ้งอยู่ราวครึ่งวินาทีปีเตอร์ก็พยักหน้า “ในโรงพยาบาลนั่น... พ่อไปเยี่ยมใครเหรอฮะ? เอ้อ! แต่ว่าพ่อจะไม่บอกก็ได้นะฮะถ้ามันเป็นความลับระดับชาติหรืออะไรแบบนั้น ผมเห็นทั้งพ่อทั้งอาแซมดูเครียด...ผมก็..”
“บัคกี้” สตีฟพูดขึ้นก่อนที่ปีเตอร์จะเอ่ยประโยคของเขาจบด้วยซ้ำ
ปีเตอร์อ้าปากค้าง “อะไรนะฮะ?” แน่นอนคำตอบชวนคาดไม่ถึงนั่นมันทำให้คนฟังตกใจจนเผลอปล่อยมือจากพวงมาลัย สตีฟรีบยื่นมือซ้ายเขาไปควบคุม ประคองพวงมาลัยแทบไม่ทัน
“เฮ้!” สตีฟดุเสียงเข้ม เผลอใช้เสียงที่ใช้กับทหารใต้บังคับบัญชากับปีเตอร์ “มีสติหน่อยปีเตอร์ ไม่งั้นพ่อจะเป็นคนขับเองนะ”
มันทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้ง เขาเม้มริมฝีปาก อดตกใจไม่ได้ “ดะ..ได้ฮะ” ปีเตอร์ส่ายหน้าเพื่อเรียกสติ เขากลับไปมองถนนและตั้งใจขับรถต่อ “ขะ..ขอโทษฮะป๋า ผมตกใจไปหน่อย”
สตีฟพ่นลมหายใจออกจมูก เขาปล่อยมือจากพวงมาลัยและให้ปีเตอร์ควบคุมรถยนต์ของเขา
“ลุงบัคกี้ของลูกที่อยู่ที่โรงพยาบาล เมื่อวาน...เขาปาดคอตัวเองด้วยใบมีดโกนหนวด”
น้ำเสียงของสตีฟนิ่งกว่าที่เขาคิดไว้มาก คงเป็นเพราะเขาทำแบบนี้บ่อย ‘ทำใจกับการสูญเสียให้เร็วที่สุดและเดินหน้าทำภารกิจของพวกเราต่อ’ ในสนามรบมันเป็นเรื่องปกติ มันเป็นสิ่งที่สมควรทำ และมันจำเป็น อารมณ์ต่าง ๆ และการยึดติดรั้งแต่จะทำให้ไม่มีสมาธิและทำให้ทุก ๆ อย่างมันแย่ลงไป
เพียงแต่ที่นี่ไม่ใช่สนามรบ เขาเสียใจได้ เขาโกรธได้ เขาโมโหได้ ทำได้แม้กระทั่งพังข้าวของเพื่อระบายอารมณ์ออกมา ทว่าสิ่งที่สตีฟแสดงออกกลับเป็นการเก็บอารมณ์และความรู้สึกกลับเข้าไปและรับมือกับมันคนเดียว
มันทำให้สตีฟอดคิดไม่ได้ว่าสงครามได้เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นคนคนหนึ่งที่ข้างในบิดเบี้ยวและเน่าเฟะไปแล้ว
เพราะอย่างนี้หรือเปล่าเขาถึงไม่รู้ว่าตัวเองกำลังละเลยครอบครัว เรื่องนี้หรือเปล่าที่ทำให้โทนี่อยากจะหย่า? สตีฟไม่รู้... เขาไม่มีทางรู้ การพยายามเดาสิ่งที่อยู่ในหัวสมองปราดเปรื่องของโทนี่เป็นเรื่องยากพอ ๆ กับการหาทางออกจากบ้านในภาพ Relativity ของ Escher มันยากลำบาก, สลับซับซ้อน และเซอร์เรียล
“ว้าว.. เอ่อ...” ปีเตอร์พูดไม่ออก สตีฟยื่นมือมาบีบบ่าลูกชายตัวเอง เขารู้ว่าข่าวร้ายนี่มันทำให้ใครก็ตามรู้สึกตกใจและเศร้าสลดได้มากแค่ไหน “ผมไม่รู้มาก่อน...ว่าลุงบัคกี้..มีปัญหา”
“เขาเป็นแบบนี้มาสักพักแล้วล่ะ ตั้งแต่ครึ่งปีก่อน”
“เพราะแบบนี้ลุงบัคกี้ถึงไม่อยากเข้าโปรแกรมวิจัยแขนกลเหรอฮะ”
“ไม่รู้สิ” สตีฟรู้แค่ว่าเขาต้องทำบางอย่าง ทำบางอย่างเพื่อชดเชยให้บัคกี้ เพราะผลของความโง่เง่าของเขาทำให้เขารักษาคนสำคัญเอาไว้ไม่ได้ ทั้งบัคกี้ โทนี่ หรือครอบครัว... “พ่อไม่ระวังเอง ตอนนี้พ่อกำลังแก้ไขมันอยู่”
“แต่ว่า...ป๋าแก้ไขทุกเรื่องไม่ได”
“พ่อพยายามได้”
ร่างหนาเอนตัวพิงเบาะ เขาลูบเคราตัวเองและมองออกไปยังวิวถนนข้างทาง ดวงตาสีฟ้าหม่นหมองและเหนื่อยล้า เขาปิดเปลือกตา ตั้งใจจะพักสายตาแค่ชั่วครู่ แต่ความเหนื่อยล้าและภาวะความเครียดสะสมทำให้เขาเผลอหลับไป
สตีฟถูกปีเตอร์ปลุก และเมื่อเขาลืมตามองรอบ ๆ เขาก็เห็นว่าเราจอดรถอยู่ที่หน้าบ้านริมทะเลสาบหลังเดิม มันอบอุ่น เงียบสงบ และทำให้รู้สึกปลอดภัย
ครั้งล่าสุดที่เขากลับมาเหยียบบ้านหลังนี้คือเดือนมกราคม ปี 2018 นานเหลือเกินที่เขาไม่ได้มาที่นี่ สตีฟรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
“ผมคิดว่าเราน่าจะมารับมอร์แกนที่บ้านก่อน แล้วค่อยพาเธอไปโรงพยาบาลไปเยี่ยมพ่อด้วยกัน” ปีเตอร์อธิบายเพราะพ่อเขาดูจะทำหน้างุนงง “แฮปปี้ดูแลมอร์แกนมาทั้งวันแล้ว ผมเกรงใจน่ะฮะ อีกอย่างป๋าจะได้อาบน้ำและเปลี่ยนชุดด้วย” เด็กหนุ่มบุ้ยปากไปที่ชุดยูนิฟอร์มทหารของสตีฟ
“ลูกพูดถูก” สตีฟยิ้มเล็กน้อย ยูนิฟอร์มนี่เขาใส่เป็นประจำจนชินเสียแล้ว “ขอบใจ ปีเตอร์”
เขารู้สึกภูมิใจและดีใจเหลือเกินที่โทนี่เลี้ยงให้ปีเตอร์กลายเป็นเด็กที่น่ารักและใส่ใจคนอื่นได้มากมายขนาดนี้ พอถึงตอนนี้แล้วไอ้ความรู้สึกเดิมก็กลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกที่ว่าเขาเสียเวลาไปกับสงครามโดยที่ไม่ได้เฝ้ามองการเติบโตของลูก ๆ เขาอย่างใกล้ชิด
9 ปีสำหรับปีเตอร์ 4 ปีของมอร์แกน...
สิ่งที่สูญเสียไปมันคุ้มใช่ไหมกับสิ่งที่ได้มา?
สตีฟและปีเตอร์ก้าวลงจากรถ พวกเขาเดินไปหน้าประตูบ้าน ยิ่งใกล้มากขึ้นเท่าไหร่ สตีฟยิ่งรู้สึกเหมือนอวัยวะในช่องท้องของเขาถูกบิดเป็นเกลียว มันทรมานจนชาไปหมด ปีเตอร์ไขประตูบ้าน และสตีฟก็ได้ยินเสียงร่าเริงของเด็กผู้หญิงกระทบโสตประสาทของเขาเป็นอย่างแรก
มอร์แกน...
กระบอกตาของสตีฟร้อนผ่าว
“มอร์แกน แฮปปี้ฮะ ผมกลับมาแล้ว” ปีเตอร์ตะโกนบอกคนในบ้านและเดินไปทางโซฟาที่เป็นที่มาของเสียง ตรงนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ เมื่อเธอหันมายิ้มให้เขา เด็กหนุ่มก็ยิ้มและก้าวเดินอย่างรวดเร็วไปทางนั้นทันที “ป้าเมย์!”
ปีเตอร์พุ่งกอดป้าเมย์ เขาซุกใบหน้ากับไหล่ของหญิงสาวที่สวยสะพรั่งแม้ในวัยห้าสิบ สตีฟมองดูเด็กชายและป้าของเขากอดกัน ตอนนั้นเองที่ศีรษะกลม ๆ โผล่พ้นพนักพิงโซฟาขึ้นมา
“พีท!” เจ้าของเสียงเล็ก ๆ เหมือนลูกนกร้อง ปีเตอร์หัวเราะ เขาผละจากกอดของป้าเมย์และก้มหน้าลงไปจูบศรีษะเด็กหญิง กระซิบบอกอะไรสักอย่าง และมันทำให้ศีรษะกลมเล็กนั่นหันมาทางสตีฟ
สตีฟรู้สึกเหมือนตัวเขาเป็นนักฟุตบอลที่ถูกพุ่งชนให้ล้มลงไป ทั้งที่เขายังยื่นอยู่ตรงนี้ ยืนโง่ ๆ ทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงโถงทางเข้ากลางบ้าน
เด็กหญิงตัวน้อยเกาะขอบโซฟาโผล่หน้ามามองเขาแค่ระดับสายตา สตีฟเห็นดวงตากลมโตสีน้ำตาลของมอร์แกน อึดใจต่อมาเธอก็ค่อย ๆ เบิกตากว้างขึ้น ร่างเล็กปีนขึ้นไปเหยียบพนักพิงโซฟาและกระโดดลงมา เธอวิ่งตรงมาหาร่างสูงของกัปตันตัวโตที่ยืนนิ่ง ทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงโถงทางเข้ากลางบ้าน
ภาพเหตุการณ์ในอัฟกานิสถานไหล่บ่ากลับเข้ามาในหัวสตีฟ ร่างเล็ก ๆ ของมอร์แกนที่วิ่งเข้ามาพร้อมกับระเบิด ลูกกระสุนนัดนั้น... และร่างของเด็กสาวที่ล้มลงไป...
หัวใจของเขาเต้นแรงจนจะทะลุออกมา สตีฟหลับตา พยายามสลัดภาพนั้นออกไป ควบคุมตัวสติของตัวเองอีกครั้ง ร่างเล็กตรงหน้า มอร์แกน เจ้าหญิงน้อยของเขาปลอดภัยอยู่ที่บ้าน มันไม่เคยมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับมอร์แกน ไม่เคยมี
เมื่อเขาลืมตาอีกครั้ง มอร์แกนก็ยืนอยู่ตรงหน้า เธอแหงนคอเงยหน้ามองป๋าร่างยักษ์ของเธอจนสุดด้วยดวงตาสีน้ำตาลกลมโตที่บริสุทธิ์ไม่มีอะไรแปดเปื้อนเหมือนกับดวงตาลูกกวางน้อย และมันว่างเปล่า เหมือนกับมองคนแปลกหน้า
“พีทบอกว่าคุณคือปะป๊า”
เขาพยักหน้าหนึ่งครั้ง
“ลูกคิดว่ายังไง?”
มอร์แกนเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ใบหน้าน่ารักขบคิดอย่างจริงจัง “คุณไม่เหมือนเขา... ตรงนี้” เธอแตะคางของตัวเองตรงที่คงจะเป็นเคราของเขา วิดีโอคอลล์ระหว่างเขาและครอบครัวครั้งล่าสุด หรืออาจจะเป็นรูปถ่ายที่ส่งไปมันคงเป็นตอนที่เคราของเขายังไม่ยาวขนาดนี้ เมื่อไหร่กันนะ? สตีฟพ่นเสียงหัวเราะ เขาจำไม่ได้ ลึก ๆ เขารู้สึกขมขื่น
“งั้นเหรอ”
“แต่พีทไม่โกหกหนู” เด็กหญิงเอามือไพล่หลัง เธอเชิดหน้าเล็กน้อยด้วยท่าทางอย่างกับกำลังเลียนแบบโทนี่ มอร์แกนเหมือนโทนี่มากจนเขาปวดใจ
“พ่อ...กอดลูกได้ไหม?”
“พีทบอกว่าป๊ะป๋าจะตีก้นหนู เพราะหนูเป็นมอร์แกนที่นิสัยไม่ดี คุณจะไม่ทำใช่ไหมคะ?”
สตีฟกัดริมฝีปากกลั้นรอยยิ้ม คำพูดน่ารักของมอร์แกนทำให้เขารู้สึกอบอุ่นในอก “ไม่” สตีฟส่ายหน้า “พ่อจะไม่ทำร้ายลูก ไม่ทำให้ลูกเจ็บตัวเด็ดขาด”
“งั้นก็ได้ค่ะ”
ทั้งคู่จ้องตากันอยู่เกือบวินาทีก่อนที่กัปตันทหารตัวโตอย่างสตีฟจะทิ้งตัวคุกเข่าลงและกอดร่างเล็ก ๆ ของมอร์แกนไว้ในอ้อมแขน
“พ่อขอโทษ พ่อคิดถึงลูก เบบี้เกิร์ล”
มอร์แกนลูกน้อยของเขา...
“ไม่เป็นไรนะคะป๊ะป๋า” เสียงใสเหมือนกับนกน้อยไนติงเกลกระซิบปลอบสตีฟ “ไม่ต้องร้องไห้”
สตีฟหักห้ามตัวเองไม่ให้สะอื้นหนักไปกว่านี้ แต่ความขมขื่นในใจมันกลับยิ่งลุกลามไปทั่วและทำให้เขารู้สึกดำดิ่งเหมือนร่างกายของเขากำลังจมลงในสระน้ำลึกที่ไร้ก้น
สตีฟอาบน้ำอยู่ในห้องนอนของเขาและโทนี่ ปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวชำระล้างคราบไคลและความสกปรกไม่สบายใจออกไป สายน้ำยังไหลอย่างต่อเนื่องลงสู่รูท่อระบายน้ำ แว่บหนึ่งที่สตีฟเห็นสีน้ำกลายเป็นสีสนิม สตีฟหลับตาลง เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง...น้ำกลายเป็นสีใสเช่นเดิม มือหนาเอื้อมออกไปเพื่อคว้าสบู่ก้อนแข็งราคาถูกตามความเคยชิน แต่เขากลับได้ครีมอาบน้ำกลิ่นหอมสะอาดและมีเนื้อสัมผัสที่นุ่มลื่นกลับมา กดสบู่มาสองสามปั๊มและฟอกมันไปตามตัว
ร่างสูงผ่อนลมหายใจออกกับกลิ่นหอมชวนผ่อนคลายกับสัมผัสนุ่มนวลของฟองสบู่ที่อยู่บนตัว สตีฟรู้สึกว่าเขาไม่ได้อาบน้ำและรู้สึกผ่อนคลายแบบนี้มานานมากแล้ว มันทำให้เขาคิดถึงโทนี่ คิดถึงร่างสมส่วนสีน้ำผึ้งของอีกฝ่าย... สวยงามและเปล่าเปลือย
ครั้งล่าสุดที่เรามีอะไรกันคือต้นปี 2018 ตอนที่เขากลับมาหลังจบสงครามอิรัก บ้านของเราอุ่นไปทั้งหลังด้วยเครื่องทำความร้อน ปีเตอร์กำลังนอนอ่านหนังสืออยู่ข้าง ๆ มอร์แกนที่นอนกลางวัน เด็กทั้งสองอยู่ในห้องรับแขก ส่วนผู้ใหญ่สองคนอยู่ในห้องนอน
มือหนาลูบหยดน้ำออกจากใบหน้าตัวเอง และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมา ตาขาวกลับแดงก่ำ
“โทนี่.. เบบี้ ผมขอโทษ...” สตีฟสะอื้น ก้อนความรู้สึกบางอย่างมาจุกอยู่ที่คอหอย เขากลืนมันกลับลงไปด้วยความกล้ำกลืนฝืนทน “คุณพูดถูก... มันเป็นเพราะ..เพราะผมเอง...”
เขานึกย้อนไปถึงบทสทนาของเราเมื่อ 6 เดือนก่อน... หลังจากบัคกี้ถูกส่งกลับบ้าน โทนี่ไม่เข้าใจว่าทำไมสตีฟจึงไม่กลับมา แทนที่จะรอเขา โทนี่บินมาหาที่ฐาน มาพร้อมกับพันเอกเจมส์ โร้ดส์
สตีฟและโทนี่เถียงกันอยู่ในห้องบังคับบัญชาของเขา ในห้องไม่ใหญ่มาก มีแค่แผนที่บนผนัง โต๊ะทำงาน หนังสือ คอมพิวเตอร์และเอกสารสำคัญสำหรับทำรายงานส่งให้กับผู้บังคับบัญชาของสตีฟอีกที
‘ถ้าคุณเลือกบาร์นส์ เลือกแก้แค้นให้เขา คุณก็ไม่ต้องกลับไปที่บ้าน คุณไม่มีสิทธิ์เจอปีเตอร์ ไม่มีสิทธิ์เจอมอร์แกน!’ โทนี่กำลังโกรธจนตัวสั่น เอ่ยคำพูดยโสใจร้าย และไม่สนใจใครหน้าไหน
‘โทนี่ ผมขอร้อง อย่าทำแบบนี้’
สตีฟเองก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมมันจึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้
‘ผมควรทำแบบนี้ตั้งนานแล้วต่างหาก!’
แต่สตีฟตัดสินใจแล้ว และเขาจะไม่เปลี่ยนใจ
‘ผมขอโทษโทนี่ แต่บัคกี้สำคัญสำหรับผม’
‘ผมควรจะต่อยคุณให้ฟันร่วง แต่มันคงไม่มีประโยชน์’
ชั่วขณะหนึ่งที่แววตาของโทนี่วูบไหว ความเจ็บปวดรวดร้าวมันสื่อออกมาทั้งหมดจนแม้แต่สตีฟเองก็ชะงักไป
‘…คุณเลือกข้างแล้วนะสตีฟ’
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่โทนี่พูดกับเขาก่อนที่จะกระชากประตูเปิดและเดินปึงปังออกไปจากห้อง สตีฟจำแผ่นหลังตั้งตรงของโทนี่ได้แม่น เพราะสามีของเขาไม่เหลียวหลังกลับมาอีกเลย...
.
.
.
.
to be continued...
นิยายเรื่องนี้ลงในrawด้วย ชื่อเรื่องเดียวกันแต่คนละนามปากกา (และคนละrate) ติดตามตรงนู้นได้เช่นกัน ใน 1 แชปเตอร์ของเด็กดี = 2 ตอนของ raw ดังนั้นถ้าจะเริ่มอ่านต่อ ให้อ่านต่อตอนที่ 7 ในอีกเว็บได้เลยค่ะ
ความคิดเห็น