ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Stony) Captain Husband

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2 - A Second Chance

    • อัปเดตล่าสุด 25 เม.ย. 63


    (คำเตือน: suicide, war, graphic description of violence)

    .

    -Steve-

    .

    สตีฟสัปหงกและสะดุ้งตัวตื่น เขาเบิกตาโพล่งและมองรอบกายเป็นอย่างแรกเพื่อหาทิศทางของศัตรู เมื่อเขาเห็นว่าทุกอย่างปลอดภัยและเขายังอยู่ที่เก้าอี้นั่งพักใกล้กับห้อง ICU ในศูนย์การแพทย์ทางทหารวอร์แม็คภายในฐานทัพสตีฟก็ผ่อนลมหายใจออก สัญชาตญาณที่ถูกฝึกให้เฉียบคมกับสภาวะที่อยู่ในสถานการณ์อันตรายตลอดเวลาทำให้สตีฟเป็นคนตื่นง่าย และบางครั้งเขาก็ลืมตัวคิดว่าตัวเองยังอยู่ในสนามรบ เพราะเจอกับความเครียดและความกดดันเช่นนี้บ่อย ๆ มันจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมทหารจึงมีอาการ PTSD มากเป็นอันดับต้น ๆ นัก

    ชายหนุ่มเอียงคอจนมั่นลั่นกร็อบและขยับตัวเพื่อขับไล่ความเมื่อล้า มือหยาบกร้านลูบไปตามลำคอ ใบหน้าและหนวดเคราดกหนาของตัวเอง ร่างสูงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก้าวเท้าพาตัวเองในชุดเครื่องแบบลายพรางและรองเท้าคอมแบตไปซื้อเครื่องดื่มชูกำลังจากตู้ขายน้ำอัตโนมัติในโรงพยาบาล สตีฟนิ่วหน้าเล็กน้อย เขาล้วงเอาเหรียญออกมาจากกระเป๋าเงินและหยอดมันลงไป เครื่องใช้เวลาไม่ขนาดกระป๋องมอนสเตอร์ดริงค์สีดำก็ร่วงลงมา หยิบมันขึ้นมาเพื่อเปิดดื่มตรงนั้นให้หมดก่อนจะเดินกลับไปนั่งปักหลักอยู่ที่เดิม เก้าอี้นั่งรอหน้าห้อง ICU ตรงกับประตูทางเข้า

    หกโมงเช้า... นาฬิกาบนผนังนั่นบอกเวลา

    เขาซบหน้ากับฝ่ามือตนเอง ใช้อุ้งมือนวดกระบอกตาเมื่อยล้าพร้อมกับสูดลมหายใจลึกยาว จนถึงตอนนี้สตีฟก็ยังสลัดภาพของบัคกี้ออกไปจากหัวไม่ได้

    ภาพที่บัคกี้มีเลือดไหลท่วมคอ ร่างกายชักกระตุกและมีเสียงลมหวีดหวิวจากรอยแผล

    ไอ้หมอนั่นปาดคอตัวเองด้วยมีดโกน... ใบมีดโกนโง่ ๆ เพียงใบเดียวเท่านั้น

    สตีฟน่าจะรู้... เขาเก็บปืน เก็บเชือก เก็บมีด ของมีคม และของแข็งทุกอย่างที่เขาพอจะนึกออกว่าใครคนหนึ่งจะใช้มันเพื่อฆ่าตัวตายได้ออกไปจากห้องอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ของบัคกี้ แต่เขากลับไม่ได้ค้นดูในห้องน้ำอีกรอบ บัคกี้ซ่อนใบมีดโกนเอาไว้ในกล่องยาสีฟัน

    มันใช้เวลาไม่นานที่บัคกี้ ทหารหน่วยรบพิเศษเช่นเดียวกับเขาจะใช้ใบมีดโกนนั่นเพื่อปาดคอและพยายามปลิดชีวิตตนเอง ถ้าสตีฟเข้ามาไม่ทัน บัคกี้อาจจะต้องเสียเลือดและได้ตายไปให้สมใจจริง ๆ

    บัคกี้เริ่มมีอาการ PTSD หลังจากเขาปลดประจำการเพราะสูญเสียแขนซ้าย เขาเอาตัวบังระเบิดแทนสตีฟในอัฟกานิสถาน แขนของเขาติดเชื้อในกระแสเลือด ที่นั่นบัคกี้ไม่มีทางเลือก แพทย์ในสนามรบก็ตัดสินใจให้แทน

    ตัดอวัยวะนั้นทิ้ง

    มันหายไปเลย...

    แขนซ้ายของเพื่อนรักเขา

    สตีฟโทษตัวเอง เขารู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดเขา มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เพราะในภาวะสงคราม ไม่ว่าเด็ก ผู้หญิง คนแก่ คนท้องหรือกระทั่งทารกต่างก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือ พวกเขาถูกล้างสมองให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จิตใจที่ดีงามของสตีฟถูกสั่งให้มองคนในแง่ดีที่สุดเสมอ ถึงเขาจะทำใจและเอาฟิลเตอร์สีลูกกวาดนั่นออกไปได้เมื่อต้องปฏิบัติภารกิจ มือของสตีฟไม่ได้สะอาดหมดจด เขาฆ่าคน และก็คุ้นชินกับการถูกคนหมายจะเอาชีวิต แต่เด็กผู้หญิงคนนั้น เด็กผู้หญิงที่อายุไม่มากไม่น้อยไปกว่ามอร์แกน เขาปล่อยให้ลูกสาวที่เขารักมีอิทธิพลเหนือทุกอย่างชั่วขณะ มันทำให้เขาหละหลวม ตัดสินใจไม่เด็ดขาดรอบคอบ ไม่รวดเร็วพอ และนำมาซึ่งความสูญเสียในสนามรบ

    และตั้งแต่วันนั้น... ภาพเด็กหญิงอัฟกันที่เป็นระเบิดพลีชีพคนนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยเด็กหญิงมอร์แกน มอร์แกนที่ถูกเขายิงแสกหน้าลูกกระสุนทะลุหน้าผากจนล้มหงายหลัง เพราะร่างกายเล็ก ๆ นั่นผูกด้วยระเบิด มันไม่มีเป้าอื่นที่สตีฟจะยิงได้อีกแล้ว

    เขาไม่ได้บอกใคร ไม่กล้าบอกใคร...

    โดยเฉพาะโทนี่ สิ่งที่เขาเห็นคงจะทำให้โทนี่ใจสลาย นั่นเป็นสิ่งที่สตีฟกลัวที่สุด

    เขารักโทนี่

    รักมากจนไม่รู้จะบรรยายเป็นคำพูดออกมาอย่างไร จนถึงตอนนี้ ในวันที่โทนี่อยากจะแยกทางกับเขาเขาก็ยังรักอีกฝ่ายอยู่เต็มหัวใจ

    เรื่องหย่าของเราสองคนมันสามารถตกลงกันได้ง่าย ๆ แท้ ๆ หากเขาไม่ดื้อดึงและพยายามจะยื้อเวลาออกไปให้นานที่สุดจนสุดท้ายโทนี่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวและต้องการฟ้องหย่า เมื่อวานสตีฟต้องไปขึ้นศาลเพื่อฟังสำนวนฟ้องหย่าและตกลงกัน เขาไม่ได้ไป สตีฟรู้ว่ามันเป็นข้ออ้างที่แย่ บัคกี้ถึงมือหมอแล้วและเขาจะปลอดภัย สตีฟมีเวลามากพอที่จะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเปลี่ยนชุดก่อนจะไปขึ้นศาล แต่เขาไม่อยากทำ เขายังทำใจเผชิญหน้ากับโทนี่ไม่ได้

    โทนี่โทรมาต่อว่าเขาในตอนบ่ายเมื่อวานหลังจากเขาไปขึ้นศาลเพียงคนเดียว สตีฟรู้ว่าโทนี่กำลังหัวเสียมากแค่ไหน นึกออกแม้กระทั่งภาพกล้ามเนื้อบนใบหน้าทุกเส้นกำลังกระตุกหรือขยับไปทิศทางใด เขารู้ว่าโทนี่จะต้องกัดกราม เม้มริมฝีปาก และดวงตาสีน้ำตาลใต้ขนตายาวนั่นจะมีเปลวไฟแห่งความโกรธลุกโชน พระเจ้า... เขาคิดถึงโทนี่ คิดถึงแม้กระทั่งยามที่เราทะเลาะกัน บางครั้งต่างคนต่างเสียน้ำตา และสุดท้ายเราก็คืนดีกันด้วยเซ็กซ์วาบหวามทีหลัง

    แต่ตอนนี้เขาทำผิดต่อโทนี่มากมายเหลือเกิน

    สตีฟรู้ และเขารู้ดีว่าตนไม่สามารถใช้เหตุผลกับโทนี่ที่กำลังโมโหเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ เขารอให้โทนี่สงบสติอารมณ์สักนิดแล้วจึงค่อยโทรกลับไป เขาบอกเรื่องบัคกี้กับโทนี่เป็นประโยคแรก นั่นทำให้โทนี่ชะงักงัน สตีฟเดาว่าอารมณ์คุกกรุ่นของโทนี่คงจะถูกดับลงอย่างง่ายดายเพราะข่าวร้ายนี้ โทนี่อ่อนไหวและใจดี แม้กระทั่งในเวลาแบบนี้

    ‘คุณโทรเรียกรถพยาบาลหรือยัง?’

    ‘ผมโทรแล้ว เราอยู่โรงพยาบาล ตอนนี้เขาอยู่ในอาการโคม่า’

    ‘ไปพักผ่อนบ้างเถอะสตีฟ’

    ‘ทำไม่ได้หรอก ผมคงอยู่ที่โรงพยาล’

    ‘เขาถึงมือหมอแล้ว แม้แต่คุณก็ช่วยอะไรไม่ได้’

    เสียงของโทนี่สั่นและแหบแห้ง มันบาดลึกในจิตใจของสตีฟจนเขากำมือถือในมือแน่น ก้อนจุกจ่ออยู่ที่คอหอย ยิ่งโทนี่บอกว่าเขาช่วยอะไรบัคกี้ไม่ได้เขายิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาช่วยเด็กหญิงอัฟกันที่อายุพอ ๆ กับมอร์แกนไม่ได้ เขาช่วยบัคกี้ไม่ได้ เขาช่วยไม่ได้กระทั่งการประคับประคองชีวิตแต่งงานของเราสองคน

    พูดอะไรไม่ออกสักครู่กว่าจะยอมตอบกลับไป

    ‘ช่วยไม่ได้ก็ช่าง..’ สตีฟเอ่ยออกไปอย่างเจ็บช้ำในที่สุด ‘แต่ผมจะไม่ไปไหน’ เขายืนยันที่จะทำแบบนี้

    ‘ก็แล้วแต่คุณ’

    ‘ผม.. ผมสูญเสียบัคกี้ไปไม่ได้ โทนี่... เขาสำคัญสำหรับผม’ อย่างน้อยตอนนี้บัคกี้ก็อยู่ตรงหน้า สตีฟคงจะตายเข้าจริง ๆ ถ้าช่วยบัคกี้เอาไว้ไม่ได้ และโทนี่ก็พูดบางอย่าง มันเบามากจนสตีฟฟังไม่ได้ศัพท์ เขาถามโทนี่ต่อ ‘เรื่องหย่าของเรา...’

    ‘คุณไม่มา เราจึงต้องเลื่อนออกไปก่อน’

    สตีฟถอนหายใจ เขาโล่งอก เขาไม่รู้ว่ากระบวนการฟ้องหย่าของเราจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ แต่ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากให้มันนานเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างน้อยก็ให้โอกาสเขาได้แก้ตัว

    ‘คุณคิดดีแล้วใช่ไหมโทนี่?’

    ถามย้ำอีกครั้ง แต่โทนี่กลับตอบกลับมาอย่างใจร้าย

    ‘ผมหวังว่าวันนี้คุณจะคืนแหวนแต่งงานให้กับผม’

    สตีฟกลืนก้อนความรู้สึกบางอย่างลงคอ เขารู้สึกเหมือนถูกควักหัวใจออกมาและทิ้งให้กลางอกของเขาเป็นรูโบ๋ว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น มองแหวนบนนิ้วนางของเขาสักครู่ก่อนจะจะตัดสินใจบางอย่างออกไป

    ‘ได้สิ...’ สตีฟบอกกับโทนี่ในที่สุด ค่อย ๆ ถอดมันออกมาจากนิ้วและคลึงแหวนอยู่ในมือขวา ‘ผมถอดมันแล้ว’ มีสิทธิ์อะไรจะสวมต่อในเมื่อโทนี่เป็นเจ้าของจริง ๆ ของมัน โทนี่ให้มันไว้กับเขา หากอีกฝ่ายจะเอาเขาก็ต้องให้คืน สตีฟใส่แหวนไว้ในอกเสื้อข้างซ้าย วางมือนาบตรงนั้นอย่างไม่อยากปล่อยวาง และหลังจากโทนี่พูดบางอย่างเขาก็ตัดสายทิ้ง สตีฟจับใจความไม่ได้ หูของเขาอื้ออึงและไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกต่อไป เขานั่งนิ่ง ๆ อยู่หน้าห้อง ICU อย่างนั้น สัปงกพักสายตา รอบัคกี้จนถึงเช้าอย่างนี้

    “ส..ตฟ.. สตีฟ เฮ้!” น้ำเสียงที่เรียกและแรงเขย่าที่ไหล่ทำให้สตีฟสะดุ้ง เขาเกือบจะสะบัดอีกฝ่ายออกไปและตอบโต้กลับแต่คนตรงหน้าใส่สองมือยึดไหล่เขาไว้พร้อมกับส่งเสียงปลอบ “โว้ว..​ใจเย็นเพื่อนยาก... นี่ฉันเอง แซม”

    เพื่อนทหารผิวสีในหน่วยของเขากำลังมองสตีฟด้วยสีหน้าเป็นห่วง แซมอยู่ในชุดทหารลายพรางเช่นเดียวกับเขา

    “นายโอเคไหมพวก?”

    สตีฟกลืนน้ำลายหนึ่งครั้ง เขาพยักหน้าก่อนจะตะปบมือลงบนมือของแซม วิลสันบนไหล่เขา ตบเบา ๆ ให้อีกฝ่ายมั่นใจ

    “ฉันโอเค” เขาเงยหน้ามองแซม สีหน้าของอีกฝ่ายไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก “มีอะไรรึเปล่า?”

    “ฉันคิดว่าตอนนี้นายไม่ควรอยู่ที่นี่”

    “หมายความว่ายังไง?”

    “นายมีที่อื่นที่ต้องไป เดี๋ยวนี้เลย”

    สตีฟไม่เข้าใจ เขาลุกขึ้นยืนและสบตากับแซม สายตาของเขาทั้งคู่อยู่ในระดับเดียวกัน ดวงตาสีฟ้าของสตีฟคุกกรุ่นขุ่นเคืองด้วยความรู้สึกบางอย่าง

    “ไม่ต้องห่วง ฉันจะกลับไปถึงฐานตอนเก้าโมงตรงแน่นอน” สตีฟปัดมือของแซมออกไป น้ำเสียงของเขาเข้มข้นมากขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเราจะเป็นเพื่อนกันแต่ตามยศแล้วนั้น แซมเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา

    “นั่นน่ะมันแน่อยู่แล้ว แต่ฉันหมายถึงเรื่องอื่น...” แซมเว้นวรรคเล็กน้อย “เมื่อเช้ามิสพอตส์ติดต่อนายไม่ได้ เธอเลยโทรมาหาฉัน เมื่อวานสามีของนายเกิดอุบัติเหตุรถชน และตอนนี้เขาอยู่ที่โรงพยาบาลในราลีห์!”

     

    สตีฟนิ่ง สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกอะไรตลอดทางที่แซมขับรถ Jeep ของเขามาส่งสตีฟที่เมืองราลีห์ เพราะถูกฝึกให้อยู่กับความกดดันและเห็นทั้งนายทหารพวกพ้อง คนบริสุทธิ์ หรือแม้กระทั่งศัตรูล้มตายต่อหน้า สตีฟคิดว่าเขาสามารถมีสติได้ในแรงเสียดทานทุกรูปแบบ

    แต่ไอ้ความรู้สึกที่เขากำลังมีอยู่ตอนนี้มันหนักหนาจนอะไรที่เขาเคยผ่านมามันเทียบไม่ได้สักนิด คนบริสุทธิ์, เพื่อนร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ หรือบัคกี้... เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้คนเหล่านั้นได้กลับบ้าน แต่สำหรับโทนี่... สตีฟอยากจะปลอดภัยกลับบ้านเพื่อมาเจอกับโทนี่ เพื่อให้ได้เห็นหน้าเขา ได้กอดเขา และได้จูบเขาอีกครั้ง

    โทนี่ สตาร์กเป็นเป็นหลักยึดของสตีฟ โรเจอร์ส

    เขาไม่แน่ใจว่าเขาปล่อยให้เหตุการณ์มันลามปามมาจนถึงจุด ๆ นี้ได้อย่างไร จนถึงจุดที่โทนี่กำลังจะฟ้องหย่า มันเหมือนจู่ ๆ เราก็แยกย้ายจากกัน เหมือนเกลียวคลื่นที่กระทบฝั่ง แตกเป็นฝอยน้ำกระเซ็น และม้วนตัวลงกลับไปในทะเล

    ระยะทาง 50 ไมล์บนทางหลวงหมายเลข 40 ที่พาเขามาถึงราลีห์ไม่เคยยาวนานและทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองทรมานได้ขนาดนี้มาก่อน มันเหมือนเขากำลังอยู่บนเส้นด้าย และมีใครบางคนเอากรรไกรมาจ่อเตรียมจะตัดมันทุกเมื่อ

    ในที่สุดแซมก็จอดรถ Jeep หน้าโรงพยาบาล สตีฟกล่าวขอบใจเพื่อนเขาอย่างเร่งรีบก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาลด้วยท่าทางร้อนรน ในหัวของเขาได้ยินแค่คำไม่กี่คำซ้ำไปมา

    โทนี่ ได้รับบาดเจ็บ และอุบัติเหตุ...

    กัปตันเข้าไปที่เคาน์เตอร์พยาบาลเพื่อถามหาแอนโทนี่ สตาร์ก-โรเจอร์ส เจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ดูจะตกใจเล็กน้อย หล่อนชี้บอกทาง และร่างสูงใหญ่ในชุดทหารลายพรางก็แทบจะผ่านเข้าไปเหมือนกับพายุ ตอนนั้นเองที่สตีฟเห็นหญิงสาวร่างโปร่งผมสีสตรอเบอรี่บลอนด์ยืนอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง

    “เพ็พเพอร์”สตีฟเอ่ยชื่อหล่อนก่อนจะถึงตัว เจ้าของชื่อจึงเงยหน้าขึ้นมา แววตาของหญิงสาวไม่เป็นมิตรเลยแม้แต่นิดเดียว “โทนี่เป็นยังไงบ้าง”

    “คุณ! คุณทำอะไรกับเขา!!” เพ็พเพอร์ตะคอก ท่าทางของเธอโกรธจัดจนสั่นไปทั้งตัว

    สตีฟชะงัก เขานิ่งงัน ตั้งรับลูกพายุอารมณ์ของหญิงสาว

    “เขาประสบอุบัติเหตุตอนที่ขับรถไปหาคุณ คุณไม่ยอมไปขึ้นศาล ไม่ยอมกลับไปดูดำดูดีเด็ก ๆ เมื่อคืนตำรวจมาที่บ้าน... มาบอกกับฉันและปีเตอร์ว่าโทนี่ประสบอุบัติเหตุ คุณรู้ไหมว่าปีเตอร์เข้าไปปลุกมอร์แกน อุ้มเธอออกมาจากที่นอน และพาเธอมาที่โรงพยาบาลด้วยกันเพราะที่บ้านเฮงซวยของคุณไม่มีคนอยู่! มอร์แกนนอนหนุนตักปีเตอร์อยู่หน้าห้อง พวกเขานอนอยู่ตรงนั้นจนดึกเพื่อรอให้โทนี่ฟื้น มันดึกมากจนฉันต้องบอกให้ปีเตอร์พาน้องสาวเขากลับบ้าน”

    สิ่งที่เพ็พเพอร์เล่า ทุกประโยคนั้นเสียดแทงความรู้สึกของสตีฟ เขารู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังโดนตุ้ยท้องครั้งแล้วครั้งเล่า

    “ฉันไม่รู้ว่าคุณมีเหตุผลอะไรที่ทำให้ละเลยโทนี่ ละเลยครอบครัวของคุณแบบนี้ ฉันไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น แต่คุณเป็นสามีที่ยอดแย่!” หญิงสาวระบายมันออกมาทั้งหมดในครั้งเดียว หล่อนหายใจแรงจนอกกระเพื่อม พยายามผ่อนลมหายใจและตั้งสติเสียใหม่ “ฉันไม่สนว่าคุณอยากเจอเขาหรือยังเป็นห่วงเขารึเปล่า แต่โทนี่อยากเจอคุณ... เห็นแก่พระเจ้าเถอะสตีฟ ได้โปรดทำหน้าที่สามีที่ดีกับโทนี่อีกสักครั้งเถอะนะ...”

    “ได้โปรดเพ็พเพอร์ ใจเย็น ๆ ก่อน” สตีฟพยายามพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งและนุ่มนวลที่สุด เขาหวังว่ามันจะทำให้หญิงสาวตรงหน้าสงบลง เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขามีสิทธิ์แตะตัวเธอไหม ถ้าทำจะโดนเพ็พเพอร์ตบกลับหรือเปล่า สตีฟคิดว่าเขาไม่อยากเสี่ยง “ผมอยู่ตรงนี้แล้ว และผมสาบานว่าผมเองก็เป็นห่วงโทนี่ไม่น้อยไปกว่าคุณ”

    เพ็พเพอร์พ่นลมหายใจยาว เธอครองสติได้ และกลับมายืนยืดหลังตรงอย่างสง่างามบนรองเท้าส้นสูงอีกครั้ง

    “ก็ได้ แต่ก่อนที่คุณจะเข้าไป... ฉันคิดว่ามีหนึ่งเรื่องที่คุณต้องรู้”

    สตีฟพยักหน้า เขาเหลือบไปมองด้านหลังหญิงสาว ในห้องกระจกนั้นโทนี่นอนอยู่บนเตียง ไม่ขยับไหว แต่ตรงนี้มันไกลเกินกว่าจะมองออก สตีฟเดาไม่ออกเลยว่าอะไรรอเขาอยู่

    “โทนี่สูญเสียความทรงจำ”

    “คุณว่าอะไรนะ?”

    “ใช่ค่ะ ฉันรู้” หญิงสาวพ่นลมหายใจลึกยาว เธอกอดอดและเบนสายตาไปทางอื่นเล็กน้อย ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันสักครู่ ราวกับจะกลั่นกรองคำพูด ในที่สุดเธอก็อธิบายเพิ่มเติม “แต่เขาไม่ได้จำอะไรไม่ได้เลย กลับกันเขาจำเรื่องได้ทั้งหมด จำได้กระทั่งวันที่สำคัญ จำวันเกิดฉัน วันเกิดคุณ วันเกิดปีเตอร์ได้ เขาเล่าถึงวันแต่งงานของพวกคุณได้อย่างกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่เขาแค่ลืม... เขาลืมเรื่องราว 5 ปีที่ผ่านมาทั้งหมด”

    “ผมไม่เข้าใจ”

    “สตีฟ โทนี่ในตอนนี้คือโทนี่เมื่อห้าปีก่อนที่ยังรักคุณ และมีความสุขกับชีวิตครอบครัว เขาคือโทนี่ที่สละตำแหน่ง CEO ของสตาร์ก อินดัสทรีให้ฉัน เพื่อที่เขาจะได้ย้ายมาอยู่นอร์ธแคโรไลน่า พาปีเตอร์มาอยู่ใกล้ชิดคุณ เป็นครอบครัวเดียวกันที่อบอุ่น”

    สตีฟพูดไม่ออก

    “โทนี่คิดว่าปีเตอร์อยู่เกรดห้า เขาไม่รู้จักมอร์แกน และเขาไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังจะหย่ากับคุณ” เพ็พเพอร์ถอนหายใจ ท่าทางเธอดูอึดอัดและกระอักกระอ่วนที่จะพูดต่อ “ฉันบอกโทนี่ไปบ้างแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ยกเว้นแต่เรื่องสุดท้าย ฉันคิดว่าคุณควรจะเป็นคนไปบอกเขาเอง อย่างไรซะมันก็เป็นเรื่องของพวกคุณสองคน ฉันไม่อยากเข้าไปก้าวก่าย แต่ถ้าคุณจะบอกเขา... คุณช่วยใจดีกับเขาทีเถอะ โทนี่คนนี้รักคุณหมดหัวใจ”

     

     

    สตีฟเดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยแค่คนเดียว เพ็พเพอร์รออยู่ข้างนอกเพื่อให้เวลาส่วนตัวแก่เขาและโทนี่ ยิ่งเขาเดินเข้าไปใกล้เตียงมากเท่าไหร่เขายิ่งรู้สึกใจหาย หัวใจของเขาเต้นช้าลงจนเกือบจะหยุดเต้นเมื่อเขาเห็นว่าโทนี่เจ็บแค่ไหน เฝือกที่ขาและแขน เฝือกอ่อนที่ประคองคอของเขาอยู่ รอยช้ำม่วงแดงเขียวบนใบหน้า...

    ถ้าเป็นไปได้ สตีฟก็อยากจะเจ็บแทนทั้งหมด

    “โทนี่...” สตีฟกุมมือขวาที่ไม่ได้บาดเจ็บมากมายของโทนี่เอาไว้ เขาจับมันอย่างระมัดระวัง สอดประสานปลายนิ้วและจูบที่หลังมือของโทนี่ แนบมันกับแก้มของตัวเอง “โทนี่.. เบบี้...​ ผมขอโทษ” เขาเกือบจะกลั้นสะอื้นเอาไว้ไม่อยู่ สตีฟเงยหน้ามองโทนี่อีกครั้ง ดวงตาสีน้ำตาลของอีกคนกำลังมองเขาอยู่ ริมฝีปากสีแดงซีดคู่นั้นยิ้มให้เขา

    “เฮ้... แคป...” น้ำเสียงไพเราะของโทนี่แหบแห้งแต่แววตาอ่อนล้านั้นแฝงแววขี้เล่น “คุณมีเคราแล้วฮ็อทชะมัด...”

    สตีฟหลุดขำ เขายิ้มและอยากจะร้องไห้ไปพร้อมกัน รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างที่หนักอึ้งในอกเขาถูกยกออกไปเพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้ของโทนี่อีกครั้ง เขาจับมือโทนี่ไม่ปล่อยเลย ขณะที่มืออีกข้างลูบเส้นผมปรกใบหน้าไปข้าง ๆ ก้มลงจูบที่หน้าผากโทนี่เนิ่นนานและแสนคิดถึง

    “คุณรู้สึกยังไงบ้าง?” สตีฟกระซิบแนบกระหม่อม ระมัดระวังไม่ให้เผลอไปโดนรอยแผลที่หมอเย็บเอาไว้ เขาลูบโทนี่อีก จูบผมโทนี่ซ้ำ พระเจ้า... เขาไม่ได้สัมผัสโทนี่มานานแค่ไหน สตีฟ โรเจอร์ส นายมันโง่ เคยทนไปได้ยังไง?

    “เจ็บฉิบ” โทนี่บอกตามตรง “สภาพคุณ...ดูไม่จืด เพิ่งกลับ..มาเหรอ?”

    สตีฟพยักหน้า “ผมขอโทษ ต้องให้คุณรอนานขนาดนี้กว่าจะมาหาคุณได้... ทั้งที่ตามจริงแล้วผมควรจะเป็นคนแรกที่รู้เรื่องคุณแท้ ๆ”

    “ไม่..เป็นไร เป็นเรื่องช่วยไม่ได้นี่”

    สตีฟจูบที่มือของโทนี่ ยิ่งโทนี่ไม่โกรธเขายิ่งให้อภัยตัวเองไม่ได้ เขาต้องบอกโทนี่... จะทำเป็นเหมือนปัญหาของเราไม่เคยเกิดขึ้นไม่ได้ สตีฟสูดลมหายใจเข้าลึกและช้า เขาตัดสินใจแล้ว

    “ผมมีเรื่องจะสารภาพกับคุณ”

    ดวงตาสีน้ำตาลของโทนี่มีแววสงสัย มันทำให้สตีฟเห็นแล้วนึกสะท้อนใจ เขาเป็นสามียอดแย่แบบที่เพ็พเพอร์บอก สตีฟอยากแก้ตัว ไม่อยากทำให้ดวงตาคู่นี้ของโทนี่เสียใจอีกแล้ว

    “ผมไม่กล้าขอให้คุณไม่โกรธ แต่อยากให้คุณฟังผมได้ไหม?” โทนี่กะพริบตา สตีฟถือว่ามันเป็นสัญญาณให้เขาพูดได้ “ผมกับคุณ เรากำลังจะหย่ากัน”

    ริมฝีปากสีซีดอ้าออก เบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนกและไม่เชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

    “ผมรู้มันฟังดูบ้ามาก ๆ แต่มันเป็นอย่างนั้น... แต่ถ้าจะให้ถูกต้อง เป็นคุณน่ะที่กำลังฟ้องหย่าผม เพ็พคงเล่าให้ฟังแล้ว ปีนี้เป็นปี 2020 ไม่ใช่ 2015 แต่คุณเชื่อผมเถอะ ถ้าเป็นไปได้ผมเองก็อยากให้มันย้อนเวลากลับไปเหมือนกัน”

    เขาไม่เคยลืม เขาเองก็มีครอบครัวที่อบอุ่น ครอบครัวที่เขาสร้างขึ้นด้วยตัวเอง เขา, โทนี่, ปีเตอร์ และมอร์แกน

    ในตอนนั้นโทนี่สละตำแหน่ง CEO ของสตาร์ก อินดัสทรี เขาดูแล R&D แทน และย้ายแผนกทั้งแผนกมาตั้งแล็บอยู่ที่นอร์ธแคโรไลน่า ทั้งที่ HQ ของสตาร์ก อินดัสทรีคือนิวยอร์กแท้ ๆ

     ‘ประหยัดงบประมาณยังไงล่ะ!’ นั่นเป็นคำอธิบายของโทนี่ ‘ค่าใช้จ่ายที่นอร์ธแคโรไลน่าถูกกว่านิวยอร์กตั้งเยอะ พื้นที่ก็กว้างขวางกว่า ขยับขยายได้ ผมสามารถทำอะไรกับมันได้อีกเยอะแยะ แถมพนักงานก็จะมีความสุขเพราะได้มีที่พักผ่อน ไม่ใช่อุดอู้อยู่แต่ในแล็บเล็ก ๆ ของตัวเอง มองไปทางไหนก็เห็นแต่ผนัง เห็นแต่ตึก ไม่เจริญหูเจริญตาเอาซะเลย’

    โทนี่เคยพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ดวงตาของเขาเป็นประกายใต้แว่นกันแดดสีชาที่เขาสวมใส่ มันเข้ากันเป็นอย่างดีกับสูทสีเทา โทนี่ดูหล่อเหลาในทุกอิริยาบถเสมอ

    ‘แล้วแถมนะ ตึกที่ว่างในนิวยอร์กน่ะผมสามารถเอาไปทำอย่างอื่นได้ ปล่อยเช่ายิ่งดี’ ยิ่งมีโทนี่มาอยู่ใกล้ ๆ ก็ยิ่งเหมือนกับเป็นการปูพรมแดงให้หน้าที่การงานของสตีฟ โทนี่มีเส้นสายในกองทัพ และรู้จักกับนายทหารหลายคนที่ยินดีสนับสนุน กองทัพเคยรักอาวุธของสตาร์ก อินดัสทรีตั้งแต่สมัยฮาวเวิร์ด สตาร์ก พ่อของโทนี่อย่างไร พวกเขาก็รักโทนี่มากไม่ต่างกัน แน่นอนยศกัปตันนี้สตีฟได้มาด้วยตัวเอง แต่ถ้าหากตอนนั้นเขายอมให้โทนี่ช่วย ป่านนี้เขาอาจจะกลายเป็นพันโทหรือพันเอกไปแล้ว

    “ไร้สาระน่า” โทนี่เอ่ยออกมา “ผมเนี่ยนะ...จะขอหย่าคุณ คุณเป็นผู้ชาย...เพอร์เฟกต์..ที่สุดในโลก?”

    สตีฟกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ

    “คงเป็นเพราะที่จริงผมไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่ใคร ๆ คิด”

    เพราะเขาไม่ได้ไร้ที่ติ เขาทำผิดพลาด และหลักฐานชิ้นสำคัญที่สุดที่ราวกับจะมาแปะตราหน้าถึงความล้มเหลวของเขาก็คือ ‘การฟ้องหย่า’ ตราหน้าว่าเขาทำหน้าที่สามีบกพร่อง ทำหน้าที่พ่อที่ไม่ได้เรื่อง

    “คุณอยากไหม?”

    สตีฟมองหน้าโทนี่ เขาอาจจะได้ยินผิดไป โทนี่มองเขา ขบริมฝีปากของตัวเองก่อนจะกล่าวอีกครั้ง

    “สตีฟ.. คุณอยาก..หย่ากับผม..ไหม?”

    มือหยาบกร้านเผลอบีบมือโทนี่แน่น เขาส่ายหน้า จับมือของโทนี่ด้วยสองมือและจูบซ้ำ ๆ สตีฟหลับตา เขาพยายามฝืนให้น้ำตาไหลกลับเข้าไป

    “ไม่...ผมไม่อยากหย่ากับคุณ”

    “งั้นเราก็..ไม่ต้องหย่า” โทนี่ยิ้ม รอยยิ้มที่อ่อนล้าของโทนี่ดูสว่างไสว เหมือนกับนักบุญที่มาช่วยไถ่บาปสตีฟ เป็นครั้งแรกที่รอบหลายปีที่เขารู้สึกโล่งใจมากขนาดนี้ “อย่าร้องสิ..ทำเป็นขี้แย...ไปได้”

    สตีฟส่ายหน้า เขาเอามือข้างหนึ่งถูจมูกและลูบหน้าตัวแรง ๆ งึมงำปากอย่างที่คล้ายกับคำว่า ‘ผมเปล่า’ ซึ่งมันเรียกเสียงหัวเราะเบาที่แสนจะไพเราะของโทนี่ได้อย่างง่ายดาย

    “เล่าหน่อย... มอร์แกน... เธอมา..ได้ยังไง?”

    กัปตันยิ้มจนมุมปากฉีกกว้าง เขาลากเก้าอี้มานั่งลงข้างเตียงโทนี่และไม่ยอมปล่อยมือสามีของเขาแม้แต่วินาทีเดียว

    “มอร์แกนอายุ 4 ขวบ ครึ่งหนึ่งเธอเป็นลูกแท้ ๆ ของคุณ เราใช้สเปิร์มคุณผสมกับไข่จากผู้บริจาค และให้แม่อุ้มช่วยอุ้มท้องเธอออกมา” เขาเริ่มเล่า นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นได้เป็นฉาก ๆ “คุณเลือกแม้กระทั่งผู้บริจาคไข่ คุณบอกว่าคุณไม่อยากให้ยีนฉลาด ๆ ของคุณไปผสมกับไข่ของคนแปลกหน้าที่จะทำให้ลูกของเรามีโอกาส...” สตีฟลังเล เขาพยายามหาคำพูดที่ไม่ตรงจนเกินไปนัก “...ให้ลูกเรามีโอกาส ‘ฉลาดน้อย’ กว่าที่เธอควรจะเป็น”

    โทนี่เบิกตามองสตีฟ “ผมไม่ได้พูดจาเป็นไอ้เวรจอมจองหองแบบนั้น...” แต่สตีฟยิ้ม รอยยิ้มของเขาทำให้โทนี่สีหน้าตื่นตระหนกระคนกระอักกระอ่วนเข้าไปอีก “ผมพูด..? จริงดิ”

    “คุณพูด” กัปตันกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ นึกย้อนไปถึงตอนนั้น ภาพความทรงจำผุดขึ้นมาในหัวเป็นฉาก ๆ “เราถกกันเรื่องนี้ตอนที่ผมอยู่ที่อิรัก มันหลังจากเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นไม่นาน ตอนนั้นปีเตอร์ก็อยู่กับคุณด้วย เขานั่งอยู่บนตักคุณ และคุณก็ปิดหูเขา”

    คนเจ็บปิดตาและนิ่วหน้าเขินอาย “บอกที ผมได้ผู้บริจาคไข่ที่เพอร์เฟกต์มากมา”

    “ใช่ครับ แต่ก่อนหน้านั้นมีเรื่องที่สนุกกว่านั้นอีก” โทนี่ชักจะไม่อยากรู้ “คุณพยายามหว่านล้อมเพ็พเพอร์ให้บริจาคไข่ของเธอให้กับคุณ”

    “ผม..อะไรนะ?” โทนี่เผลอแสดงสีหน้ามากไป เขาเจ็บแผล ใบหนาเหยเก “เพ็พเป็นคนฉลาดมาก.. เธอต้องไม่ยอมแน่ ๆ”

    “ครับ เธอไม่ยอม”

    “โล่งอก”

    “สุดท้ายคุณได้ผู้บริจาคเป็นคนรู้จักห่าง ๆ ของเพื่อนคุณที่คุณเช็กและกรองประวัติของเธอซะละเอียดยิบ คุณให้หมอทำเด็กหลอดแก้วขึ้นมาและฝากอุ้มบุญ โชคดีที่ช่วงที่มอร์แกนคลอดผมสามารถกลับอเมริกาได้พอดี วันนั้นคุณตื่นเต้นอย่างกับคุณเป็นคนคลอดเอง ผมต้องจับมือคุณแบบนี้” สตีฟชูมือที่เราจับกันอยู่ขึ้น หอบหลังมือของโทนี่อีกหนึ่งครั้ง เล่นเอาคนมองอมยิ้มและมองตาหยีมีความสุข “จนเธอคลอดเสร็จเราถึงได้เข้าไปเยี่ยม ผม, คุณ และปีเตอร์ คุณอุ้มมอร์แกนในห่อผ้าขึ้นมา จูบหน้าผากเธอและบอกว่า...”

    “เธอเป็นเจ้าหญิงที่สวยงามที่สุดในโลก”

    กัปตันประหลาดใจ เขาจ้องมองโทนี่ด้วยดวงตาที่เบิกกว้างขึ้น

    “คุณจำได้เหรอ?”

    โทนี่เอียงศีรษะ ถ้าเขาไม่เจ็บคงจะยักไหล่ให้สตีฟแล้ว ชายวัยสี่สิบปลายส่งเสียงบางอย่างในลำคอ

    “ไม่รู้สิ... ผมแค่คิดว่า..ผมน่าจะพูดแบบนั้น...”

    สตีฟพยักหน้า เขาแนบแก้มกับมือของโทนี่ มองใบหน้าซีดขาวบวมช้ำของคนรักที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาจากอุบัติเหตุ เขาโง่มาก โง่จริง ๆ ถ้าเขาสูญเสียโทนี่ไป เขาจะทำยังไง?

    “โทนี่”

    “หืม?”

    “ผมรักคุณ”

    โทนี่เลิกคิ้วขึ้น เขาดูประหลาดใจและตั้งรับไม่ทัน พวกเขาจ้องตากัน โทนี่มองจ้องเข้าไปในดวงตาสีฟ้าของสตีฟ แล้วเขาก็ยิ้ม

    “ผมรักคุณเหมือนกัน”

    “ยังรักคุณเสมอ..”

    “ผมรู้...”

    “ผมกลัวคุณไม่รู้ ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่ฟ้องหย่าผม...”

    คนเจ็บหลุดเสียงหัวเราะ เขาทำหน้าเห็นด้วยและคล้ายจะพยักหน้าออกมา

    “มันคง...มีสาเหตุอย่างอื่นที่ทำให้ผมไม่อยากอยู่กับคุณแล้ว”

    สตีฟเงียบ เขาเม้มริมฝีปาก ในสายตาของโทนี่ นายทหารตัวใหญ่หนวดเคราครึ้มตรงหน้ากำลังทำสายตาน่าสงสารราวกับลูกหมาถูกเตะ มือขวาของเขาบีบมือสตีฟกลับ

    “นั่นในอดีต... ไม่ใช่ผมคนนี้สักหน่อย” โทนี่ปลอบสตีฟ

    มันทำให้สตีฟรู้สึกราวกับมีก้อนความรู้สึกบางอย่างจุกคอ เขารู้ว่าโทนี่ไม่ได้คิดแบบนั้นซะหมด เพราะในที่สุดมันก็คือตัวของโทนี่ที่ตัดสินใจแบบนั้น และคนอย่างโทนี่ สตาร์ก ถึงการกระทำจะดูบ้าบอและไร้สาระแค่ไหน แต่เขาทำอะไรเป็นเหตุเป็นผลเสมอ

    “ระหว่างนี้ให้ผมดูแลคุณได้ไหมโทนี่?”

    “หือ”

    “ผมอยากจะแก้ตัว ให้โอกาสที่สองกับผมได้ไหม และคราวนี้ถ้าหากว่าคุณจำทุกอย่างได้แล้ว และคุณยังจะอยากหย่ากับผมอีก ผมก็จะไม่คัดค้าน”

    โทนี่นิ่ง เขานิ่งไปสักพักทีเดียว สตีฟไม่รู้ว่าในหัวที่ปราดเปรื่องของโทนี่คิดอะไรอยู่ เขาไม่แสดงสีหน้าหรือแววตาอะไรให้สตีฟเดาได้สักนิด “แล้วถ้าในท้ายที่สุดผมจำไม่ได้ล่ะ”

    สตีฟคิดไม่ถึง

    “มันมีโอกาสไม่ใช่เหรอที่ผมจะจำไม่ได้เลยสักอย่าง ถ้าผมจำเวลาห้าปีของเราไม่ได้ คุณจะทำยังไง?”

    ดวงตาของโทนี่วูบไหว แววตาเจือความประหม่าและไม่มั่นใจ โทนี่หลับตาราวกับเขาไม่อยากฟังคำตอบ

    สตีฟพ่นลมหายใจ เขาไม่เข้าใจตัวเอง... ทำไมเขาถึงโง่ครั้งแล้วครั้งเล่า? เขาทำเพื่อประเทศชาติ เขาช่วยพันธมิตรของประเทศกำจัดศัตรู รักษาประเทศจากภัยคุกคามเอาไว้ได้ แต่เขากลับรักษาโทนี่และครอบครัวเขาไม่ได้

    ตอนนี้ สตีฟอยากทำให้ได้ทั้งสองอย่าง...

    จะว่าเขาโลภก็ช่าง เขาตัดสินใจแล้ว

    “อย่างนั้น ผมจะดูแลคุณ จะทำวันนี้ และในอนาคตต่อจากนี้ไปให้ดีที่สุด”

    โทนี่ไม่เคยทำให้ชีวิตครอบครัวของเขาเป็นเรื่องยาก เขาเห็นเพื่อนทหารหลายคนที่ถูกถอนหมั้นระหว่างไปประจำการ เห็นครอบครัวของพวกเขาทุกข์ระทมเพราะทุก ๆ ภารกิจของเราเสี่ยงอันตรายทุกวินาที มานึกย้อนดูแล้ว... โทนี่ต้องเข้มแข็งแค่ไหนถึงจะยอมรับสภาพนี้ได้ สภาพที่แทบไม่ต่างไปจากการเลี้ยงลูกคนเดียวมาโดยตลอด

    “ให้ดีกว่าห้าปีที่คุณหลงลืมมันไป จะทำให้คุณมีความสุขทุกวันในฐานะสามีและพ่อของลูกเรา”

    ถ้าครั้งนี้เขายังรักษาไว้ไม่ได้อีก เขาก็ควรจะปล่อยโทนี่ไปจริง ๆ

    มือเล็กกว่าของคนเจ็บขยับเล็กน้อย อีกฝ่ายย่นจมูกและค่อย ๆ ยิ้มจนตาปิดเห็นริ้วรอยแห่งวัย

    “สตีฟ มานี่ คุณต้องจูบผมเดี๋ยวนี้เลย” น้ำเสียงออกคำสั่งและท่าทางถือดีเกินไปทั้งที่ตัวเองกำลังเจ็บหนักมันทำให้สตีฟขยับยิ้มกว้าง กัปตันทหารก้มลงไปหาโทนี่และจู่โจมประทับจูบที่ริมฝีปากบางสีซีดของอีกฝ่ายทันที สัมผัสแผ่วเบาราวกับจูบของผีเสื้อแตะที่ริมฝีปาก และเมื่อมันขยับปีก ในท้องของสตีฟก็รู้สึกคันยุบยิบเหมือนกับเขากลับไปเป็นเด็กที่เพิ่งหัดจูบคนที่ชอบเป็นครั้งแรก

    “ผมรักคุณ..”

    เขาพึมพำ ไม่สนด้วยซ้ำว่าโทนี่จะได้ยินไหม แต่สตีฟรู้...ว่าถ้าเขาอยากควรค่ากับความรักของโทนี่ เขาต้องพยายามเพื่ออีกคนให้มากกว่านี้

    .

    -Tony-

    .

    สตีฟกลับไปแล้ว เขาเริ่มงานตอนเก้าโมงเช้า จากราลีห์กลับไปฐานสตีฟก็คงไปถึงทันเวลาพอดี สตีฟบอกว่าเขาจะกลับมาหาโทนี่ทันทีหลังเลิกงาน นั่นแปลว่าสตีฟจะกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งไม่เกิน 6 โมงเย็น​ มันทำเอาโทนี่ยิ้มมีความสุขและตั้งตารอเวลานั้นอย่างใจจดใจจ่อ

    โทนี่ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน เขาคิดว่าเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนบ่าย ๆ มีใครคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างเตียงข้าง ๆ เพ็พเพอร์

    “แฮปปี้!”

    โทนี่เบิกตา เขาทั้งประหลาดใจและยินดีที่ได้เจอกับแฮปปี้อีก แฮปปี้ โฮแกนเข้ามากอดเขาอย่างระมัดระวัง และถามไถ่สารทุกข์สุกดิบด้วยความเป็นห่วง จนโทนี่สังเกตเห็นบางอย่าง

    “คุณแต่งงานแล้ว!”

    อดีตคนขับรถและผู้ช่วยของโทนี่เปล่งเสียงหัวเราะ เขารีบพยักหน้าและอธิบายกับโทนี่

    “ใช่ครับบอส ผมแต่งแล้ว สามปีกว่าแล้ว”

    “ใครกันเป็นผู้หญิงคนนั้น แล้วบอกผมที ผมไปงานแต่งคุณใช่ไหม?”

    “ต้องไปสิครับ ถ้าพลาดงานแต่งผม บอสจะโดนคนสำคัญโกรธแน่”

    โทนี่ส่ายหน้า เขาเขม่นตามองแฮปปี้เท่าที่กล้ามเนื้อเจ็บหนักบนหน้าของเขาจะเอื้ออำนวย

    “บอกมาได้แล้วว่าใคร”

    “เมย์ครับ เมย์ ปาร์กเกอร์”

    “พูดเป็นเล่น?!”

    “บอสจำได้ไหมครับ ตอนที่ลุงเบนของปีเตอร์เสีย เราไปงานศพพวกเขาและบอสขอให้ผมช่วยดูแลอำนวยความสะดวกให้เมย์”

    เขาพยักหน้า ตอนนั้นปีเตอร์เพิ่งจะอายุ 9 ขวบ มันเป็นช่วงที่พวกเขากำลังย้ายไปนอร์ธแคโรไลน่าพอดี ปีเตอร์เศร้าไปหลายวัน ถึงจะอยู่กับเมย์ ปาร์กเกอร์และลุงเบนไม่นาน แต่เด็กชายรักสองคนนั้นมาก

    “เราเริ่มต้นจากความเป็นเพื่อน ผมช่วยเหลือเธอ เธอประทับใจผม ผมยังเก็บรูปงานแต่งงานของเราไว้ในมือถือ บอสอยากดูไหม?”

    “ต้องถามด้วยเหรอ” โทนี่พูดด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ มันทำให้แฮปปี้ยิ้มดีใจ ชายร่างท้วมล้วงหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา.. สตาร์กโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด เขาเปิดดูรูปงานแต่งงานของเขาให้โทนี่ได้ดูทีละรูป ทีละรูป โทนี่ยินดีกับชายตรงหน้า กับเพื่อนของเขา เขาคิดว่าเขาสามารถเรียกแฮปปี้ได้อย่างเต็มปากว่าอีกฝ่ายเป็น ‘เพื่อน’

    ตัวเขาในภาพถ่ายนั้นยิ้มอย่างมีความสุข เขาอุ้มเด็กผู้หญิงอายุขวบเศษไว้ในอ้อมแขนข้างซ้าย เธอดูจะตื่นเต้นกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวไปหมด นี่จะต้องเป็นมอร์แกนแน่ ๆ ส่วนมือขวานั้นโอบไหล่ปีเตอร์ในวัย 13 ปี ลูกชายของเขาตัวเล็กเมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน ดวงตาสีน้ำตาลของปีเตอร์เป็นประกาย เขาขยับยิ้มกว้างให้กล้องในทุก ๆ ภาพ ที่อยู่ในอัลบัมรูปวันแต่งงานของแฮปปี้

    และตอนนี้โทนี่ก็สังเกตได้ถึงบางอย่าง...

    ในภาพเหล่านั้นไม่มีสตีฟอยู่เลยสักรูป

    “แฮปปี้”

    “ครับบอส”

    “สตีฟไปไหนเหรอ?” โทนี่ใช้ปากบุ้ยไปที่ภาพ พระเจ้า.. เขาอยากขยับแขนขวาได้อย่างใจนึกชะมัด “ในงานแต่งงานของคุณไม่เห็นมีสตีฟเลย”

    “โอ้..” แฮปปี้ชะงัก และเพ็พเพอร์ก็ยื่นมือมาจับมือโทนี่ ใบหน้าของหญิงสาวหม่นหมองลงเช่นกัน “กัปตันไม่ได้มาครับ ช่วงนั้นกัปตันออกไปรับใช้ชาตินานมาก ๆ เลย”

    “หมายความว่ายังไง?”

    “ช่วงปี 2014-2017 มันเป็นช่วงสงครามกลางเมืองในอิรักใช่ไหมครับ หลังจากกัปตันโรเจอร์สกลับมาหนึ่งเดือนตอนที่หนูมอร์แกนคลอด เขาก็ถูกดีพลอยกลับไปที่อิรัก อยู่ที่นั่นยาวจนสงครามสิ้นสุดเลยล่ะครับ ช่วงนั้นสถานการณ์ตึงเครียดมาก แต่สุดท้ายเราก็ชนะสงครามนะครับ”

    “อา..”

    โทนี่ได้แต่ส่งเสียงนั้นออกไป สงคราม... เขาพอจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ครั้งหนึ่งเมื่อปี 2006 โทนี่เคยไปส่งมอบอาวุธด้วยตัวเองที่ค่ายบากรัม ประเทศอัฟกานิสถาน ไปดูฐานทัพที่ยิ่งใหญ่ของกองทัพสหรัฐในประเทศตะวันออกกลางที่ไร้อารยธรรม เขาได้เชิดหน้าและชื่นชมความต่างชั้นของประเทศเขากับประเทศเล็ก ๆ ขณะที่รถฮัมวี่ของกองทัพพาเขาเข้าไปเยี่ยมชมหมู่บ้านอัฟกันตามคำขอ

    เพราะโทนี่ สตาร์กเป็นบุคคลสำคัญสำหรับกองทัพ เพราะเขาเป็นคนที่ต้องเอาอกเอาใจ... และเพราะเขา...เป็นคนจองหองที่โง่งมจนมองไม่เห็นความจริง

    จนกระทั่งเขารู้สึกเหมือนกับโดนตบหน้าด้วยอุดมการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสุดโต่งของสตีฟ ในตอนนั้นสตีฟ..เป็นอะไรนะ ร้อยโทละมั้ง ร้อยโทที่เพิ่งจบมาจากโรงเรียนนายร้อยเวสต์พ้อยท์ ‘โกลเด้นบอย’ ของกองทัพ ที่หนึ่งในรุ่น อนาคตไกล หล่อเหลาน่ามอง และที่สำคัญที่สุดก็คือหัวใจของเขา หัวใจที่มองหาเศษเสี้ยวของความดีจากสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่ปรากฏตรงหน้า

    “ผมเหนื่อย...” โทนี่ตัดใจ เขาบอกกับแฮปปี้และเพ็พเพอร์ “ขอพัก..หน่อยนะ...”

    “ได้ครับบอส”

    “ขอบคุณนะแฮปปี้.. ขอบคุณเพ็พ... ขอบคุณที่...ยังไม่ทิ้งกัน...”

    โทนี่งึมงำ เขาปิดเปลือกตาลง แค่อยากจะพักสายตา แต่ไม่นานเขาก็เห็นสีดำ

     

    .

    .

    .

    .

    to be continued...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×