ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Stony) Captain Husband

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 0 - Lose Me

    • อัปเดตล่าสุด 25 เม.ย. 63


    .

    -Tony-

    .

    รถยนต์ Audi R8 สีเทาเงางามราวกับเหล็กกล้ากำลังวิ่งอยู่บนทางหลวงหมายเลข 40 มันพุ่งตัวออกจากเมืองราลีห์, เมืองหลวงของรัฐนอร์ธแคโรไลน่ามุ่งตรงสู่ฟอร์ตแบรกก์อันเป็นฐานทัพบกของกองทัพอเมริกัน รถสปอร์ตขับปาดซ้ายขวาแซงหน้ารถคันอื่นบนถนนด้วยความเร็ว 112 ไมล์/ชั่วโมง โดยโทนี่ สตาร์กควบคุมรถอยู่หลังพวงมาลัย ใบหน้าถมึงถึงโกรธจัดจนกัดกรามตนเองขณะที่ฟังเสียงสัญญาณโทรศัพท์จากลำโพงบลูธูตในรถยนต์คันหรูเป็นรอบที่สาม

    “เวรเอ๊ย! รับโทรศัพท์สักทีสิ!”

    เขาสบถหงุดหงิด แค่นึกถึงคนปลายสายเขาก็อยากจะต่อยใบหน้าหล่อเหลาสุดเพอร์เฟกต์ให้ฟันร่วง หน้าจอโทรศัพท์ที่วางอยู่บนตักของโทนี่แสดงชื่อที่เขียนสั้น ๆ แค่ ‘แคป’

    แคปคือชายในฝัน ทั้งภายนอกและภายใน เป็นผู้สานฝันอเมริกันชนที่เป็นที่ยกย่องเชิดชู เป็นคนรักชาติ เป็นมิสเตอร์ไนซ์กายมีอุดมการณ์ เป็นคนที่ใครก็บอกว่าเขาคือสามีสุดเพอร์เฟกต์ที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว แคปผู้มีชื่อว่า ‘สตีเฟ่น แกรนท์​ โรเจอร์’ นายทหารกองทัพบกกองกำลังพิเศษหน่วยรบที่ 1 ต่อต้านการก่อการร้าย ติดยศกัปตันพร้อมเหรียญตราและเข็มเกียรติยศอีกมากมาย

    ที่ฟอร์ตแบรกก์มีเจ้าหน้าทหารประจำการอยู่มากกว่า 50,000 นาย และมีทหารในสังกัดทั้งหมดมากกว่า 700,000 ถือเป็นกองบัญชาการที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ หนึ่งในทหารจำนวนหลายแสนนายนั้นคือบุคคลปลายสายที่กำลังทำให้โทนี่ สตาร์กโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ คนที่เขาอยากจะต่อยให้ฟันร่วง คนที่เป็นสามี ไม่สิ ขีดฆ่า! คนที่กำลังจะเป็นอดีตสามีของโทนี่สตาร์กเพราะเขากำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการฟ้องหย่าอีกฝ่ายต่างหาก

    เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังเป็นครั้งที่ห้า และในที่สุดหลังจากที่โทนี่รอมานานด้วยความหงุดหงิดก็มีคนรับโทรศัพท์เขาสักที

    “โทนี่ นี่ไม่ใช่เวลาที่ดีที่จะโทรหาผม”

    เสียงทุ้มต่ำและตำหนิติเตียนเป็นประโยคแรกที่สามีกัปตันเฮงซวยเลือกจะพูดกับเขา มารดาสิ! คิดว่าตอนนี้โทนี่สนหน้าใครที่ไหนงั้นเหรอ?

    “เป็นบ้าอะไรถึงไม่ยอมมาขึ้นศาล! แล้วก็ไม่ต้องมาอ้างว่าคุณมีธุระอย่างอื่น เพราะผมรู้ว่าคุณไม่มี!”

    เขากำมือกับพวงมาลัยแน่นขึ้น แค่ได้ยินเสียงเพอร์เฟกต์ในพิตช์ที่ต่ำและรื่นหูเสมอสำหรับใครต่อใครกลับทำให้โทนี่อารมณ์ขึ้นได้อย่างง่ายดาย เขาขยับพวงมาลัยและแซงซ้ายรถยนต์ฮอนด้าที่ขับอยู่ข้างหน้าเขา สำหรับความเร็วของโทนี่ในตอนนี้ รถคันไหน ๆ ก็ขับช้าเป็นเต่าคลานกันทั้งนั้น

    “คุณดูจะหงุดหงิด สงบสติอารมณ์ก่อนดีไหม โทนี่?”

    “สตีเว่น แกรนท์ โรเจอร์ อย่าได้กล้าวางสายของผมเชียวนะ!”

    “ไว้ผมสะดวกแล้วผมจะติดต่อคุณอีกที”

    “ไม่ต้องมาสั่ง คุณไม่มาขึ้นศาลใช่ไหม งั้นคุณได้เจอผมแน่ รออยู่ที่ฟอร์ตแบรกก์ อย่าไปไหนเชียวนะ”

    “โทนี่ คุณกำลังทำตัวไม่มีเหตุผลเอาซะเลย”

    ปิ๊บ!

    โทนี่กดตัดสาย เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าสตีฟจะคิดยังไง ในเมื่อสตีฟกล้าไม่มานัดที่ศาล นั่นแปลว่าเรื่องของเรามันไม่เคยสำคัญสำหรับสตีฟเลย

    ตอนนั้นเองที่มีโทรกลับมาหาเขาอีกครั้ง โทนี่รับสายโดยไม่มองสักนิด

    “ว้าว เซอร์ไพรส์ชะมัด คราวนี้โทรกลับหาผมเหรอ? ไหนว่าคุยไม่ได้ไงล่ะ” โทนี่ขึ้นเสียงใส่และถากถางกลับ

    “โทนี่ นี่ฉันเอง...”

    น้ำเสียงเป็นห่วงของหญิงสาวดังมาตามสาย มันทำให้โทนี่ตกใจ เขาไม่คิดว่าจะเป็นเพ็พเพอร์ “ว่าไงเพ็พ ขอโทษที ผมไม่ได้ดูว่าใครโทรมา” เขารีบแก้ตัว ถ้าเป็นเพ็พเพอร์เขาจะไม่ขึ้นเสียงแบบนั้น

    “เธอหายไปไหน ฉันเพิ่งมาถึงที่ศาลเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ทนายของเธอบอกว่าเธอขับรถออกไปแล้ว ถ้าให้เดา... ไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ใช่ไหม”

    ชายวัยสี่สิบปลายกลอกตา เพ็พเพอร์ต้องรู้แน่อยู่แล้วจากน้ำเสียงของเขาว่าการนัดเจอกับสตีฟที่ศาลเพื่อฟ้องหย่านั้นไม่เป็นผลเพราะสตีฟไม่ยอมมาฟังข้อกล่าวหาของเขา

    “อืม เขาไม่โผล่หัวมาที่ศาล” โทนี่เอ่ยอย่างมีอารมณ์ ที่ขอให้หญิงสาวที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและ CEO ของเขามาหาถึงนอร์ธแคโรไลน่าก็เป็นเพราะอยากให้เพ็พเพอร์มาเป็นพยานที่ศาลสำหรับเขาในคดีฟ้องหย่า แต่สตีฟกลับไม่ยอมมา อีกฝ่ายไม่มีแม้กระทั่งทนายมาแทน มันแสดงถึงความไม่ใส่ใจและไม่คิดว่านัดมาศาลเพื่อฟ้องหย่าของพวกเขาเป็นเรื่องสำคัญ

    “แล้วเธออยู่ไหน​โทนี่”

    “ผมกำลังไปฟอร์ตแบรกก์ ไปคุยกับสตีฟให้รู้เรื่อง”

    โทนี่ได้ยินเสียงหญิงสาวถอนหายใจกลับมา นึกว่าจะโดนดุแต่เพ็พเพอร์กลับไม่ว่าอะไร

    “โอเค อย่างนั้นฉันไปดูเด็ก ๆ ให้เธอที่บ้านดีไหม?”

    “นั่น..เป็นความคิดที่ไม่เลว ขอบคุณมากนะเพ็พ” รถของเขาแล่นฉิวและตีคู่ขึ้นแซงรถอีกคัน เขาไม่ลังเลสักนิดที่จะพูดประโยคถัดไป “เพ็พ พอเธอถึงบ้านอย่าเพิ่งบอกเรื่องคดีที่ศาลกับเด็ก ๆ ได้ไหม โดยเฉพาะปีเตอร์ ผมไม่อยากให้เขารู้ เขาอ่อนไหวและจะคิดมาก”

    ครอบครัวที่เคยสุขสันต์... อย่างน้อยโทนี่ยังโชคดีที่เขายังมีลูก ๆ

    โทนี่มีลูกกับสตีฟสองคน ปีเตอร์ ในวัย 16 ปี และหนูน้อยมอร์แกน ลูกสาวสุดน่ารักในวัย 4 ขวบ ปีเตอร์เป็นเด็กน่ารัก เข้าอกเข้าใจแต่บางครั้งก็อ่อนไหว ชอบเก็บเอาเรื่องของผู้ใหญ่ไปคิดมาก จนปัจจุบันโทนี่ก็ยังไม่ได้บอกเด็กหนุ่มถึงสาเหตุที่เขาและสตีฟกำลังจะหย่ากัน ปีเตอร์เทิดทูนสตีฟมาก โทนี่ไม่อยากให้ปีเตอร์ผิดหวังที่ป๋าของเขาเป็น ‘คนโกหก’ ส่วนมอร์แกนนั้นแทบไม่เป็นปัญหา เด็กสาวร่าเริงซุกซนและยังเด็กนัก การจะลบภาพของป๋าสตีฟออกไปจากชีวิตยัยหนูจึงไม่ทำให้โทนี่เจ็บปวดหัวใจเท่ากับกรณีของปีเตอร์ และแน่นอน โทนี่จะต้องได้สิทธิ์เลี้ยงดูลูก

    ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนเขาก็เหมาะสมที่จะเป็นผู้ปกครองของเด็ก ๆ มากกว่าสตีฟ เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของสตาร์ก อินดัสทรีที่เพิ่งก้าวเข้าสู่บริษัทเทคโนโลยีอย่างเต็มตัว โทนี่อยู่บ้านไม่ต้องทำอะไรเป็นปีเขาก็มีกินมีใช้สบาย ๆ

    ส่วนสตีฟ สตีฟเป็นนายทหารติดยศกัปตัน รายได้ของเขารวมกับโบนัสยามที่ไปปฏิบัติภารกิจเสี่ยงตายที่ต่างประเทศนั้นสิริรวมแค่ 70,000 เหรียญต่อปี ยังไม่เท่ากับรายได้ของ SI ในหนึ่งเดือนด้วยซำ้ ไหนจะความเสี่ยงทางอาชีพการงานของสตีฟ และการที่เขาไม่สามารถอยู่บ้านและดูแลลูกได้อย่างเต็มที่เพราะเขาต้องดีพลอยหรือถูกเรียกไปประจำการและปฏิบัติภารกิจที่ต่างประเทศ ไปครั้งหนึ่งกินระยะเวลา 3-15 เดือน เมื่อบ้านของสตีฟไม่มีคนอยู่ ใครกันจะดูแลลูก?

    “ได้สิโทนี่ ฉันสัญญาว่าจะไม่บอกอะไรเขา” นั่นทำให้โทนี่สบายใจขึ้นเปลาะหนึ่ง “แต่สักวันปีเตอร์ก็ต้องรู้ความจริงอยู่ดี ถ้ามันไม่ออกมาจากปากเธอหรือจากสตีฟ เขาจะเสียใจมากกว่านะ”

    งั้นก็ปล่อยให้มันเป็นหน้าที่สตีฟ... โทนี่ได้แต่คิด เม้มปากเอาไว้ไม่ให้ความคิดกลายเป็นคำพูด

    “ผมรู้...”

    มากกว่ารู้ดีเชียว

    “รถฉันมาแล้ว ฉันจะไปที่บ้านของเธอ โทรหาฉันบอกว่าเธอถึงฟอร์ตแบรกก์อย่างปลอดภัย?”

    “แน่นอน ขอบใจอีกครั้งนะเพ็พ ถ้าไม่มีเธอ ผม...ไม่สิ เราคงแย่” โทนี่พูดรวมไปถึงเด็ก ๆ

    ช่วงที่ผ่านมาเขารับรู้ได้ว่าเขาทำตัวเป็นพ่อที่ทำหน้าที่ขาดตกบกพร่อง แต่ปีเตอร์ ลูกชายที่น่ารักของเขาไม่เคยบ่นหรือทำตัวมีปัญหาให้หนักใจเลย วันนี้เขาก็ยังขาดสติ ขับรถออกมาเกือบจะครึ่งทางอยู่แล้วโดยที่ไม่โทรบอกปีเตอร์สักคำและทิ้งมอร์แกนไว้กับพี่เลี้ยงเด็กตั้งแต่เช้า ถ้าเด็ก ๆ ได้เห็นคนที่คุ้นหน้าค่าตากันอย่างป้าเพ็พ พวกเขาคงจะรู้สึกดีขึ้น

    “เก็บคำขอบคุณไว้เป็นอย่าดื้อและฟังคำเตือนของฉันบ้างเถอะ”

    โทนี่แค่นหัวเราะ พวกเขาวางสาย นั่นเป็นเวลาเดียวกันกับที่มีโทรศัพท์เข้าอีกสาย วันนี้สายโทรศัพท์ของเขาคงได้ไหม้กันไปข้าง โทนี่มองก่อนว่าใครโทรมา และชื่อที่ปรากฏก็ไม่ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาเลย

    ‘แคป’

    เหอะ!

    “มีอะไรอีก” เสียงของเขาหงุดหงิดและโทนี่ก็ไม่พยายามปกปิดมัน เขาจะใส่อารมณ์ จะระบายความไม่พอใจต่าง ๆ นานาใส่กัปตันคนดี มันก็สาสมแล้วไม่ใช่หรือไงกับสิ่งที่เขาถูกกระทำ.. จากน้ำมือของ ‘คนโกหก’ ที่เขาเคยรักและไว้ใจมากคนนี้น่ะ

    “เก็บคำพูดผมไปคิดได้แล้วรึไงถึงได้สละเวลาอันมีค่าของคุณมาโทรกลับหาผมได้แบบนี้?”

    “ตอนสายบัคกี้ฆ่าตัวตาย”

    “อะไรนะ?” ข่าวใหม่นี่จึงทำให้เขาตกใจพอสมควร โทนี่ยอมรับว่าเขาเกลียดเจมส์ บาร์นส์ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นอยากจะให้ตายตกกันไป ยิ่งสตีฟบอกว่าอีกฝ่ายคิดร้ายแบบนั้น มันยิ่งเป็นเรื่องชวนหดหู่

    “คุณได้ยินผมแล้วโทนี่ ...บัคกี้ ‘พยายาม’ ฆ่าตัวตาย”

    เสียงทุ้มต่ำของสตีฟทั้งเจ็บปวดและเสียใจ เขาใกล้จะสะอื้นออกมา แต่โทนี่รู้ สตีฟจะไม่ปล่อยให้คนอื่นเห็นน้ำตาของเขา จะไม่ให้ใครเห็นกัปตันโรเจอร์อ่อนแอ

    มันเป็นความรู้สึกติดอยู่ในใจ โทนี่รู้สึกเหมือนมีหินมาถ่วงคอเขา เพราะตอนนี้เขาอาจจะเป็นคนเดียวบนโลกที่เคยเห็นสตีฟผู้เข้มแข็งหลั่งน้ำตานับครั้งไม่ถ้วน เวลาที่สตีฟสูญเสียทหารในสังกัด... สูญเสียเพื่อนของเขา... หรือไม่สามารถปกป้องคนบริสุทธิ์ได้ในภาวะสงคราม... เป็นโทนี่ที่คอยปลอบ เป็นโทนี่เสมอ

    “คุณโทรเรียกรถพยาบาลหรือยัง?”

    โทนี่ถาม อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจหาย... เจมส์ บัคกี้ บาร์นส์สำหรับสตีฟ ก็คือ เจมส์ โรดี้ โร้ดของเขา โทนี่เองก็คงตกใจและทำอะไรไม่ถูกเช่นกันถ้าหากรับรู้ว่าเพื่อนรักของเขาพยายามฆ่าตัวตาย

    “ผมโทรแล้ว เราอยู่โรงพยาบาล ตอนนี้เขาอยู่ในอาการโคม่า”

    สตีฟเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นมากกว่าปกติ มันทำให้โทนี่รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังถูกบีบเค้น

    เสี้ยวหนึ่งที่หัวใจของโทนี่รู้สึกเจ็บปวดตามสตีฟไปด้วย สงสารสตีฟจนใจอ่อนยวบ หัวใจใจร้ายของเขาละลายเหมือนช็อกโกแลตถูกลนด้วยไฟ โทนี่อยากจะละทิ้งทิฐิทุกอย่างซะ เข้าไปกอดอีกฝ่ายและจูบซับน้ำตาให้เหมือนกับทุกครั้งที่เราฝ่าฟันปัญหาไปด้วยกัน เหมือนกับตลอด 10 กว่าปีที่แต่งงานกันมา แต่ไม่นานความคิดนั้นก็หายไป

    พวกเขามาไกลเกินกว่าที่จะกลับไปสู่จุดจุดเดิมแล้ว

    “ไปพักผ่อนบ้างเถอะสตีฟ”

    “ทำไม่ได้หรอก ผมคงอยู่ที่โรงพยาล”

    “เขาถึงมือหมอแล้ว แม้แต่คุณก็ช่วยอะไรไม่ได้”

    “ช่วยไม่ได้ก็ช่าง.. แต่ผมจะไม่ไปไหน” สตีฟตอบกลับมาอย่างดื้อดึง มันทำให้โทนี่ถอนหายใจ เขารู้ว่าสตีฟหัวแข็งและไม่ฟังใครได้มากแค่ไหน

    “ก็แล้วแต่คุณ”

    “ผม.. ผมสูญเสียบัคกี้ไปไม่ได้ โทนี่... เขาสำคัญสำหรับผม”

    โทนี่รู้สึกชาเหมือนถูกค้อนทุบ ขนาดได้ยินแค่เสียง คำพูดของสตีฟก็ยังทำให้เขาเจ็บปวดได้เหมือนกับตอนที่แผลยังสดใหม่ เขากลืนก้อนขมลงคอและแค่นเสียงหัวเราะ ตอนนั้นสตีฟก็พูดแบบนี้ เมื่อ 6 เดือนก่อนที่บากรัม

    ‘ผมขอโทษโทนี่ แต่บัคกี้สำคัญสำหรับผม’

    และสตีฟก็เลือกบัคกี้ ไม่ใช่โทนี่ ไม่ใช่แม้กระทั่งปีเตอร์ หรือมอร์แกน...

    แย่กว่าคือพวกเขาเผชิญหน้ากัน และโทนี่ได้เห็นกับตาตัวเองว่าสายตาของสตีฟมุ่งมั่นแค่ไหน ภาพที่สตีฟในตอนนั้นมองเห็นคงไม่มีเขากับลูกอยู่ด้วย

    “คุณคิดถูกแล้วสตีฟ” เกาะติดบาร์นส์ไว้ให้แน่นล่ะ เพราะคุณไม่เหลือใครอีกแล้ว

    “เรื่องหย่าของเรา...”

    “คุณไม่มา เราจึงต้องเลื่อนออกไปก่อน”

    สตีฟถอนหายใจ โทนี่ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอีกฝ่ายหนักใจหรือเหนื่อยหน่ายกับปัญหาคาราคาซังระหว่างพวกเขาสองคน เขาไม่อยากคิด เบื่อกับการใจสลายเพราะสตีฟซ้ำ ๆ ซาก ๆ เต็มที

    “คุณคิดดีแล้วใช่ไหมโทนี่?”

    โทนี่ลังเล เขาพูดอะไรไม่ออกชั่วครู่ มองมือทั้งสองข้างของตัวเองที่ควบคุมพวงมาลัยอยู่ เขาเห็นแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง และเขาก็คิดได้

    “ผมหวังว่าวันนี้คุณจะคืนแหวนแต่งงานให้กับผม”

    แหวนแต่งงานที่สตีฟสวมอยู่มันเคยเป็นของฮาวเวิร์ด เมื่อเขาเลือกที่จะหันหลังให้กับครอบครัว สตีฟ โรเจอร์ก็ไม่สมควรที่จะสวมใส่มันอีกต่อไป

    “ได้สิ...” สตีฟเว้นวรรค “ผมถอดมันแล้ว”

    ง่าย ๆ แบบนี้เลยสินะ

    “ดี เพอร์เฟกต์ ผมจะไปเอาของของผมคืนให้เร็วที่สุด”

    โทนี่กดตัดสาย ความรู้สึกหนักอึ้งและปวดมวนในท้องจนอยากจะอ้วก เขาระบายลมหายใจออกพร้อมกับหลับตาลงชั่วครู่ หลงลืมไปชั่วขณะว่าเขากำลังขับรถอยู่บนทางหลวงด้วยความเร็วมากกว่า 100 ไมล์/ชั่วโมง ร่างกายของเขาสั่นกระตุก ดวงตาสีน้ำตาลเบิกโพลง

    เสียงล้อบดถนนดังลั่นพร้อมกับกลุ่มควันสีเทาที่ลอยขึ้นมาจากแรงเสียดสี

    ชั่ววินาทีที่้โทนี่ละสายตาจากถนนตรงหน้าทำให้โทนี่พุ่งเข้าไปใกล้ท้ายรถคันหน้า หน้ารถเอาดี้ของเขาเกือบจะชนท้ายรถยนต์ซีดานสีน้ำเงิน โทนี่ตกใจและเบิกตากว่าง เท้าเขาถอนคันเร่ง เหยียบเบรคชะลอความเร็วและหักหลบ แรงเหวี่ยงและความเร็วของรถทำให้ยานพาหนะคันงามหมุนติ้วและเหวี่ยงตัดผ่านถนนสองเลนไปยังถนนฝั่งตรงข้ามที่รถวิ่งสวนทางมาอย่างรวดเร็วพอกัน

    รถที่วิ่งมาตามเลนบีบแตรสนั่น โทนี่รู้สึกหูอื้อไปหมด เขาได้ยินเสียงวิ้งในหัว ขณะที่การมองเห็นของเขาพร่ามัว เข็มขัดและถุงลมนิรภัยทำงานช่วยรับแรงกระแทกส่วนหนึ่ง แต่...

    โครมมม!!

    รถอีกคันที่วิ่งมาด้วยความเร็วไม่สามารถเบรกหรือหักหลบได้ทัน มันชนเข้ากับด้านข้างรถจนประตูบุบและเศษเหล็กกระเด็นกระดอน กระจกแตกจากแรงกระแทก ร่างของโทนี่ถูกเหวี่ยงไปชนกับประตู หัวของเขากระแทกเข้ากับกระจกอีกด้านอย่างแรงและรถก็หมุนอีกครั้ง มันเหวี่ยงและพุ่งเข้าชนกับเสาของป้ายบอกทางอย่างแรงจนตัวรถอีกด้านยุบลงไป พาหนะคันหรูที่ตอนนี้บุบบี้กลายเป็นเศษซากหยุดนิ่งในที่สุด

    ควันขาวลอยออกมาจากตัวถัง รถหลายคันที่วิ่งสัญจรไปมาหยุดเพราะอุบัติเหตุ พลเมืองดีหลายคนจอดและลงจากรถ บางคนเข้าไปช่วยคนในรถอีกคันที่พุ่งเข้ามา บางคนเข้าไปดูคนขับรถสปอร์ตที่แหกเลนมายังอีกฟากของถนน

    โทนี่คล้ายได้ยินเสียงคนทุบกระจกรถข้างมาจากที่ไกล ๆ คล้ายกำลังเรียกเขาอยู่ เขาเห็นรถที่บุบบู้บี้และชายแปลกหน้ากำลังอ้าปากคล้ายตะโกนบางอย่างด้วยสายตาตื่นตระหนกสลับกับแสงสีขาวที่ทำให้โทนี่มองอะไรไม่เห็นชั่วแว่บ

    ไม่รู้สึกอะไรเลย... โทนี่คิดในใจ เขาควบคุมร่างกายของตัวเองไม่ได้ ตรงนี้มีแต่เขาเท่านั้น...

    เขาจะตายอย่างโดดเดี่ยวสินะ?

    บางทีจุดจบแบบนี้ก็สมควรแล้วสำหรับคนอย่างเขา

    โทนี่ยอมแพ้ เขาหลับตาลง และปล่อยให้ทุกอย่างกลายเป็นสีดำ

     

    .

    .

    .

    .

    to be continued...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×