ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จ้าวหยางจื่อ นายน้อยตระกูลแม่ทัพแห่งราชวงศ์ถัง

    ลำดับตอนที่ #1 : ความทรงจำหลั่งใหล

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ค. 66


    “ข้าอยู่ที่ไหน?”

    ชายหนุ่มผมยาวหน้าตาคมเข้ม ผิวพรรณเรียบเนียนราวกับได้รับการดูแลมาอย่างดี กล่าวขึ้นอย่างสับสนมึนงง หลังจากสำรวจรอบตัวแล้วพบว่าทุกอย่างแปลกไปจากเดิม

    ชายหนุ่มคนนี้ชื่อจ้าวหยางจื่อ เป็นคนในยุคปัจจุบัน ก่อนหน้านี้มีอาชีพเป็นทหารในศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์

    แต่เขาก็ทำบางเรื่องผิดพลาด จนทำให้คนใหญ่คนโตไม่พอใจ และถูกไล่ออกในเวลาต่อมา หลังจากนั้นชีวิตของเขาก็ร่อนเร่ไปทั่วประเทศ

    ก่อนที่จะมาที่นี่ เขาจำได้อย่างชัดเจนว่ากำลังเดินทางไปทำงานตามปกติในตอนเช้า

    แล้วเหตุไฉนตอนนี้ถึงมาอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าได้!

    ตึกสูงระฟ้าล่ะ? ถนนที่เต็มไปด้วยรถยนต์ล่ะ?

    แล้วที่นี่มันที่ไหน? เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

    ภายในหัวของเขาเต็มไปด้วยคำถามที่ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด

    “โอ๊ย!”

    พอคิดถึงครุ่นคิดสาเหตุที่เขามาอยู่ที่นี่ ทันใดนั้นจ้าวหยางจื่อก็ปวดศีรษะขึ้นอย่างฉับพลัน

    มันปวดอย่างหนักรอบศีรษะยิ่งกว่าตอนที่เป็นไมเกรนถึงสิบเท่า ทั้งปวดทั้งทรมาน

    เวลานี้จ้าวหยางจื่อทำได้เพียงใช้มือกุมศีรษะของตนเอง พร้อมกับดิ้นทุรนทุรายบนพื้นหญ้าอย่างน่าเวทนา

    แต่ก็น่าแปลก? ทุ่งหญ้าแห่งนี้ช่างนุ่มละมุน ที่สำคัญไม่มีความระคายผิวหนังแม้แต่น้อย!

    อย่างไรก็ตามอาการปวดหัวของจ้าวหยางจื่อยังไม่หายไป

    “อ้า!!!!”

    เวลาผ่านไปสามลมหายใจ อาการปวดยิ่งไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาลง หนำซ้ำยิ่งปวดเพิ่มมากขึ้น

    จ้าวหยางจื่อเจ็บปวดเหลือแสน เขากุมศีรษะแน่น แล้วกลิ้งไปกับพื้น หวังว่าอาการปวดจะทุเลาลง

    ท่ามกลางสายลมอ่อน แว่วเสียงผู้คนก็ดังขึ้นข้างหูของจ้าวหยางจื่อไม่หยุด 

    มีเสียงของเด็กบ้าง คนแก่บ้างสับเปลี่ยนกันไป ขณะเดียวกันก็มีความทรงจำมากมายวิ่งเข้ามาในสมองราวกับภาพถ่าย

    ยิ่งเวลานานเข้า ภาพเหล่านั้นก็วิ่งเข้ามาในสมองของเขาอย่างว่องไวกว่าเดิม

    ธูปเผาไหม้เพียงครึ่งก้านพายุความทรงจำก็สงบลง

    แต่ถึงอย่างนั้นจ้าวหยางจื่อก็ยังไม่หายปวดศีรษะอยู่ดี คล้ายกับเครื่องยนต์หลังทำงานมาอย่างหนัก ถึงจะดับเครื่องยนต์ไปมันก็ยังไม่หายร้อนในทันที

    จ้าวหยางจื่อใช้เวลาพักฟื้นท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจีสักพัก ก่อนที่จะคิดในใจอีกรอบ

    ‘ความทรงจำเหล่านี้เป็นของข้างั้นรึ? แล้วไฉนถึงมีแต่..’

    จ้าวหยางจื่อคิดยังไม่เสร็จดีก็พลันร้องโอดโอยออกมาอีกครั้ง พลางใช้สองมือกุมศีรษะอย่างเจ็บปวด

    “โอ๊ย!”

    ราวกับว่ายิ่งคิดถึงความทรงจำใหม่มากเท่าไหร่ จ้าวหยางจื่อก็ยิ่งปวดศีรษะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

    บางทีอาจต้องรอเวลาสักเล็กน้อย เพื่อให้ศีรษะหายปวดเสียก่อน ถึงจะคิดถึงความทรงจำที่เพิ่มเข้ามาใหม่ได้

    ‘เอาเถอะ! เมื่อดีขึ้นแล้วข้าค่อยครุ่นคิดอีกครา..แล้วตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหน?’ จ้าวหยางจื่อคิดอย่างฉงนอีกครั้ง พลางเหลือบสายตามองไปรอบๆ

    ก่อนหน้านี้เขายังไม่ได้คำตอบ พายุความทรงจำเข้ามาขัดขวางเสียก่อน พลางสำรวจรอบตัวอย่างละเอียดในเวลาต่อมา

    ภาพทุ่งหญ้าโล่งเตียนก็ปรากฏในครรลองสายตาของจ้าวหยางจื่อ บนท้องฟ้าไม่มีดวงอาทิตย์แต่กลับมีแสงสว่างอย่างน่าประหลาด 

    อีกทั้งยังมีน้ำพุกระจ่างใสตรงใจกลาง กำลังมีน้ำผุดขึ้นมาตลอดเวลา ทว่าระดับน้ำในสระก็ไม่เพิ่มขึ้นเลย ราวกับเป็นกระบวนการหมุนวน 

    น้ำพุดังกล่าวกินพื้นที่เพียงหนึ่งจั้ง(3.33เมตร)จากพื้นที่ทั้งหมดหนึ่งหมู่ ไหลซึมออกมาจากพื้นดิน ราวกับทำหน้าที่คอยหล่อเลี้ยงพื้นที่แห่งนี้เอาไว้

    หลังจากสำรวจรอบตัวเสร็จแล้ว จ้าวหยางจื่อก็วิเคราะห์ในใจ

    ‘พื้นที่แห่งนี้ราวๆ หนึ่งหมู่(666.67ตารางเมตร)ได้..ทว่าสิ่งนั้นคืออะไรกัน!?’

    ระหว่างสำรวจรอบๆ ทันใดนั้นจ้าวหยางจื่อก็สังเกตเห็นหนังสือเล่มเก่าสีน้ำตาลวางอยู่บนแผ่นหินริมบ่อน้ำพุ

    หนังสือเก่าเล่มนั้นสังเกตเห็นได้ยากนักเพราะหญ้าเหล่านั้นขึ้นบดบังเกือบมิด

    ด้วยความสงสัยจ้าวหยางจื่อตรงเข้าไปหาหนังสือเล่มนั้นในทันที

    เดินมาถึงจ้าวหยางจื่อพลันหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านอย่างไม่คิดให้ละเอียดถี่ถ้วน ราวกับว่าเขาไม่เกรงกลัวสิ่งลี้ลับ หรืออาจเป็นเพราะเขาไม่คิดถึงมันก็เป็นได้

    ก็อย่างว่าเขาเป็นคนสมัยใหม่ที่ไม่เคยพบสิ่งลี้ลับมาก่อน จึงไม่รู้สึกเกรงกลัวต่อสิ่งที่มองไม่เห็น ก่อนจะเปิดปากอ่านตัวอักษรบนปกหนังสือขึ้นว่า

    “วิชาฝึกปราณปฐมบท”

    คำนี้เขียนเด่นอยู่ตรงหน้าปกหนังสือ ย่อมเป็นชื่อของหนังสืออย่างไม่ต้องสงสัย

    ฝึกปราณงั้นหรือ? ฮ่าฮ่าฮ่า ตลกน่า! เรื่องในตำนานพรรค์นี้มีอยู่จริงเสียที่ไหน!

    เรื่องนี้จ้าวหยางจื่อเต็มไปด้วยความมั่นใจ คนสมัยใหม่อย่างเขาไม่เชื่อเรื่องอะไรพวกนี้อยู่แล้ว เพราะมันเป็นเรื่องเพ้อฝันปรัมปราในสมัยโบราณเท่านั้น

    แต่ทว่ายิ่งจ้าวหยางจื่อใช้แรงเปิดหนังสือเท่าไหร่ก็ยิ่งเปิดไม่ออก ราวกับมีผนึกที่มองไม่เห็นขัดขวางจ้าวหยางจื่อเอาไว้ ทั้งที่ความจริงเป็นเพียงแค่กระดาษบางๆ เพียงเท่านั้น

    ในเวลาต่อจ้าวหยางจื่อเริ่มวิตกกังวล ความเชื่อเรื่องลี้ลับเริ่มสั่นคลอน

    ‘ข้าพบเจอเรื่องมหัศจรรย์เข้าแล้วสิ! แต่เดี๋ยวก่อน? ที่ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ก็อัศจรรย์ไม่แพ้กันนี่!!..’

    จ้าวหยางจื่อตื่นตกใจอย่างยิ่งยวด ว่าเขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร

    การที่เขามาอยู่ที่นี่มันย่อมไม่เป็นวิทยาศาสตร์แล้ว! ประกอบกับความทรงจำเหล่านั้นอีก..ยิ่งคิดจ้าวหยางจื่อยิ่งวิตกกังวลมากขึ้นไปอีก!

    จ้าวหยางจื่อวางหนังสือเล่มนั้นลง ตั้งสติแล้วนั่งทำใจยอมรับความจริงอยู่นาน ก่อนที่เขาจะพยายามเปิดหนังสือเล่มเก่าต่อ 

    มันเป็นความหวังเดียวของเขา

    อย่างไรก็ตามจ้าวหยางจื่อก็ต้องยอมแพ้ในการเปิดหนังสือ เพราะเขาไม่มีแรงเหลือเพื่อเปิดมันแล้ว เปิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออก 

    ขณะที่เขากำลังนั่งพัก ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ผิดธรรมชาติบนก้อนหิน 

    พอสังเกตอย่างละเอียด เขาก็รู้ว่ามีอักษรจีนสลักไว้ห้าถึงหกบรรทัดด้วยกัน แถมยังเรียงรายเป็นระเบียบ ราวกับถูกสลักอย่างบรรจง

    จ้าวหยางจื่อที่หมดความสนใจหนังสือเก่าวิชาฝึกปราณปฐมบทนั่น เขาโยนมันทิ้งไปข้างๆ อย่างไม่ไยดี แล้วรีบอ่านข้อความบนแผ่นหินในเวลาต่อมา

    [ข้อกำหนดของมิติเอกเทศ

    1. 1.เวลาในที่แห่งนี้เท่ากับโลกจริง

    2. 2.เข้ามาที่แห่งนี้ได้ไม่เกินวันละสองครั้ง แต่ละครั้งต้องไม่เกินหนึ่งชั่วยาม

    3. 3.ที่แห่งนี้มีแสงอาทิตย์ตลอดเวลา ไม่มียามค่ำคืน

    4. 4.สามารถนำทุกสิ่งเข้ามาได้ แต่ต้องไม่เกินพื้นที่ของสถานที่แห่งนี้

    5. 5.ถ้าอยู่ครบเวลาที่กำหนดจะบังคับให้ออกไปทันที]  

    พออ่านข้อกำหนดที่เขียนเอาไว้บนแผ่นหินจบ จ้าวหยางจื่อก็คิดกับตนเอง

    ‘งั้นที่นี่ก็คือมิติเอกเทศ ถึงว่าข้าไม่สามารถมองทะลุกำแพงโปร่งใสพวกนั้นได้’

    ‘..แล้วข้าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร?’

    จ้าวหยางจื่อสำรวจแผ่นหินก้อนนั้นอีกรอบ เผื่อว่าจะสลักวิธีเข้าออกเอาไว้

    และก็มีสลักไว้เช่นนั้นจริงๆ

    ‘แค่คิดในใจว่าออกมิติย่อย..’

    เพียงแค่จ้าวหยางจื่อคิด ภาพเบื้องหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที!

    ..

    ก่อนหน้าที่จ้าวหยางจื่อจะพบหนังสือฝึกปราณปฐมบทเล็กน้อย

    โลกภายนอก มีเด็กวัยสิบขวบสองคนกำลังตามหาเขาให้วุ่นอย่างร้อนใจ ซึ่งหน้าตาของเด็กทั้งสองคนนั้น เหมือนกับทุกระเบียบนิ้ว จะต่างกันก็แค่เพศภาพเท่านั้น

    “พี่ใหญ่! พี่ใหญ่อยู่ที่ไหนเจ้าคะ ถ้าอยู่ในบ้านก็ส่งเสียงตอบรับน้องด้วยเจ้าค่ะ!!” เสียงหวานใสปนความกังวลใจของดรุณีน้อยวัยสิบขวบดังออกมาจากตัวเรือนอันแสนซอมซ่อ

    พอไม่มีเสียงตอบรับ ใบหน้าของเด็กสาวผู้น่ารักก็เริ่มหมองลง ก่อนจะพูดผ่านหน้าต่างห้องครัวขึ้นอีกครั้ง

    “ซีห่าว ด้านนอกพบพี่ใหญ่หรือไม่?”

    “ไม่พบเลยขอรับท่านพี่ ข้าค้นหาจนทั่วแล้ว” เด็กชายก็แสดงความกังวลผ่านทางสีหน้าไม่ต่างกับเด็กสาว เรื่องที่พี่ใหญ่ของพวกเขาออกไปไม่บอกกล่าว แล้วทำให้พวกเขาเป็นห่วงเช่นนี้

    ดรุณีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มพึมพำด้วยความกังวลอีกครั้งว่า

    “พี่ใหญ่อยู่ที่ใดกันแน่? ได้เวลาอาหารค่ำแล้วยังออกไปข้างนอกอีก..”

    ทันใดนั้นเองจ้าวหยางจื่อก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เหนือหลังคาบ้านอย่างฉับพลัน!

    “โอ๊ย!! ร่วงแล้ว! ร่วงแล้ว!!!!!”

     

     

     

     

     

     

     

    สามารถกดหัวใจ ส่งของขวัญ เป็นกำลังใจให้นักเขียน หรือคอมเมนต์พูดคุยกันได้นะครับ

    ช่วยกดติดตาม กดแชร์ให้เพื่อนๆ อ่าน จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งของคนเขียนครับ

    หรือติดตามได้ที่ Tiktok: @denwriternovel

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×