ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมเรื่องสั้น

    ลำดับตอนที่ #9 : นางฟ้าปีกหัก กับ ซาตานปีกเดียว

    • อัปเดตล่าสุด 29 ส.ค. 49


    นางฟ้าปีกหัก กับ ซาตานปีกเดียว...

     

     

                    ตั้งแต่ที่โลกนี้ถือกำเนิดขึ้นมาจากเศษซากของธุลีดิน โลกก็ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนคือความมืด และแสงสว่าง ซึ่งทั้งสองต่างก็มีแนวทางเดินที่ตรงข้ามกันสุดขั้วจนไม่อาจที่จะอยู่ร่วมซึ่งกันและกันได้ เฉกเช่นเดียวกับยามเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นยามย่ำรุ่งนั้นความมืดมิดก็จะจางหายไป และเมื่อถึงคราวที่พระจันทร์มาเยือนบนเส้นฟากฟ้าความมืดก็จะมาเยือน.... มันเป็นสองสิ่งที่ตรงข้ามกันแต่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้เฉกเช่นเหรียญเงินตราที่มีด้านหน้าก็ต้องมีด้านหลัง..

                    ณ สถานีรถไฟใต้ดินแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ บริเวณรอยต่อกึ่งกลางของบันไดลงไปสู่สถานีรถไฟใต้ดิน และเป็นกึ่งกลางของทางขึ้นไปสู่ถนนเบื้องบน...

                    เก้าอี้สีแดงถูกวางเรียงกันเป็นทางยาวชิดผนังไว้คอยบริการผู้คนที่ใช้บริการรถไฟใต้ดิน และฝูงชนที่เหนื่อยล้าจากการเดินผ่านไปมาบนถนนเบื้องบนที่เต็มไปด้วยฝุ่นละอองให้พักผ่อนเอนกาย ตรงข้ามกับเก้าอี้นั้นมีเครื่องขายน้ำอัตโนมัติเก่าครำครึไร้การดูแลตั้งตระหง่านราวตึกขนาดย่อมๆ เบื้องหลังของเครื่องขายน้ำนั้นมีนาฬิกาแบบเข็มเรือนใหญ่ส่งเสียงติ๊กๆอย่างแผ่วเบาเป็นระยะๆดึงดูดสายตาผู้คนที่ผ่านไปมา

         เข็มนาฬิกาบนผนังชี้บอกว่าตอนนี้เป็นเวลา 22 นาฬิกา 12 นาที......!!

              หญิงสาวผมสั้นในชุดวันพีชสีขาวกระโปรงยาวปรกเข่านั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวซ้ายมือสุดใกล้กับทางขึ้นจากสถานีแห่งนี้สู่ถนนเบื้องบนที่สุดด้วยสีหน้าไม่สู่ดีนัก เธอมองกาแฟสำเร็จรูปถูกๆในถ้วยกระดาษถูกปล่อยไว้ในมือโดยมิได้แตะต้องจนชืดเย็น เธอนั่งนิ่งๆโดยผ่านให้เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้านาทีแล้วนาทีเล่า.....

                    รถไฟใต้ดินเที่ยวขบวนสุดท้ายของวันส่งเสียงครวญครางเบาๆในขณะที่มันกำลังจอดเทียบสถานีเพื่อปล่อยฝูงชนที่แออัดลงจากท้องขบวนของมัน เมื่อคนสุดท้ายก้าวลงจากรถมันก็ส่งเสียงคำรามเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะวิ่งทะยานหายวับเข้าไปในความมืดมิดของอุโมงค์เบื้องหน้า ฝูงชนที่เพิ่งลงรถต่างส่งเสียงพูดคุยพึมพำและเร่งรีบเดินตบเท้าผ่านหญิงสาวไปทีละคนๆจนหมด เมื่อตอนนั้นล่ะที่สถานีทั้งสถานีได้กลับมาเงียบเหงาอีกครา

                    เฮ้อ........ เธอถอนหายใจ เวลาที่เธอมีเรื่องกลุ่มใจเธอมักจะชอบมานั่งที่ชานชาลาแห่งนี้ ซื้อกาแฟจากเครื่องขายน้ำอัตโนมัติเครื่องนี้ และเฝ้ามองฝูงชนที่ผ่านไปมาด้วยสีหน้าที่หลากหลายอารมณ์เป็นการผ่อนคลาย แต่วันนี้เธอรู้สึกว่ามันไม่ได้ช่วยให้เธอดีขึ้นเลย

                    ทางด้านสถานีรอรถไฟใต้ดินนั้น ณ ตอนนี้แสงไฟค่อยๆหรี่ลงเนื่องมาจากหมดเวลาให้บริการของทางสถานี ความมืดเริ่มเข้ามาครอบคลุมครอบงำความรู้สึกของหญิงสาวให้สั่นสะท้านกับความมืดที่มาเยือน เธอหันมองซ้ายทีขวาทีแล้วก็พบเพียงความเปล่าเปลี่ยวของชานชาลาที่ไร้ผู้คนอันน่าขนลุกก่อนที่จะตัดสินใจลุกขึ้นตั้งท่าจะเดินออกไปจากสานที่แห่งนี้สู่ถนนเบื้องบน.. แต่แล้วอยู่ๆก็มีเสียงฝีเท้าของคนดังสะท้อนไปมาในทางเดินกระเบื้องหินอ่อนทีทั้งแคบ และมืดมิดจากสถานีเบื้องล่าง...

                    หญิงสาวค่อยๆหันไปเหลือบมองด้านหลังของเธอ ซึ่งฉายภาพให้เห็นร่างๆหนึ่งกำลังเดินขึ้นมาตามขั้นบันไดมาขั้นแล้วขั้นเล่า จนในที่สุดก็สามารถเห็นร่างนั้นโผล่พ้นความมืดมาให้เห็นได้อย่างถนัดๆ..

                    แสงไฟชี้ให้เห็นว่าแท้ที่จริงแล้วร่างๆนั้น คือ ชายแปลกหน้าใบหน้าหยาบกร้านสวมชุดสูทสีดำสนิททั้งตัว ประมาณได้ว่าเขาคงมีอายุประมาณวัยกลางคน... เขาเดินมาจนถึงเครื่องขายน้ำอัตโนมัติแล้วหยุดยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงค้นหาเศษสตางค์ไปมาจนได้ยินเสียงเหรียญกระทบกัน ก่อนที่จะกำเอาเหรียญออกมาจำนวนหนึ่งบรรจงหยอดลงไปในตู้ขายน้ำอัตโนมัติทีละเหรียญ..

              ชิบ!” เขาสถบเบาๆเมื่อปรากฏว่าเหรียญมันขาดไปหนึ่งบาทจากราคาที่แปะป้ายไว้ เขาพยายามควานหาเหรียญจากกระเป๋าทุกกระเป๋าในร่างกาย แต่ท่าทางเหรียญทั้งหมดในตัวจะถูกใช้ไปจนหมดเสียแล้ว....... และในขณะที่เขากำลังจะลงมือทุบตู้ด้วยความเดือดดาล เหรียญบาทเหรียญหนึ่งก็ถูกหยอดลงตู้ไปอย่างเบาๆ

                    ชายแปลกหน้าหันหน้าไปมองผู้ที่หยอดเหรียญนั้นให้ตนทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงสาวชักมือกลับแล้วส่งยิ้มให้เขานิดนึง... เขากล่าวขอบคุณเธอเบาๆแล้วหันกลับไปมองตู้ขายน้ำนั้นอีกครา..

                    ปี๊บ...ปี๊บ.. เสียงเครื่องขายน้ำอัตโนมัติกำลังทำหน้าที่ของมัน มันพ่นกาแฟร้อนใส่แก้วกระดาษอย่างแผ่วเบา ละอองน้ำจากความร้อนพุ่งออกมาจากช่องพลาสติกที่ใช้สำหรับรับของเป็นทางยาวก่อนที่จะส่งเสียงเตือนให้รับทราบว่าตอนนี้สินค้าพร้อมที่จะถูกรับแล้ว... เขายื่นมือเข้าไปรับแก้วกระดาษออกมาแล้วเดินผ่านหญิงสาวไปทรุดตัวลงนั่งยังเก้าอี้ตัวขวาสุดติดกับทางลงไปยังสถานีรถไฟใต้ดินที่มืดมิดอย่างช้าๆ

                    กลับดึกจังนะคะ?” หญิงสาวกล่าวพร้อมกับหันหน้ามาทางชายแปลกหน้าที่กำลังยกกาแฟขึ้นจิบอย่างเงียบเชียบ

                    เป็นปรกติครับ..... คุณเองก็ทำงานดึกหรือ?” เขาตอบ

          หญิงสาวก้มหน้าเงียบ มองครีมในถ้วยกาแฟที่กำลังละลายกลายเป็นเส้นยึกยักไปมาในน้ำกาแฟสีน้ำตาล

                    เปล่าค่ะ...วันนี้แค่อยากจะนั่งปล่อยให้เวลามันไหลไปเล่นๆ เธอตอบเบาๆ

         ชายวัยกลางคนยักไหล่เป็นเชิงไม่ใส่ใจในคำพูดนั้น แล้วจึงหันกลับไปซดกาแฟลงคอคำโต... ในขณะที่หญิงสาวเหมือนนึกอะไรที่สำคัญมากออกได้....!!

              นึกออกแล้ว!!!” อยู่ๆเธอก็ตะเบ็งเสียงดัง! จนชายแปลกหน้าสำลักกาแฟที่ซดเข้าไปจนมันหกเลอะเทอะกางเกง

                    ว้าย...ขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆ..ฉันไม่ได้ตั้งใจ เธอตกใจลนลานลุกขึ้นจนถ้วยกาแฟในมือหล่นลงไปบนพื้น น้ำกาแฟสีน้ำตาลแตกกระจายเจิ่งนองไปทั่วบนพื้น!!

                    ตายแล้วแล้ว...แย่จริงๆเลยฉัน ชายแปลกหน้าโบกมือเป็นสัญญาณว่าอย่าใส่ใจ แต่หญิงสาวยังคงพูดตะกุกตะกักด้วยความลนลาน พยายามที่จะเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดรอยเปื้อนของกาแฟบนพื้นสูทสีดำที่เริ่มปรากฏเป็นรอย แต่เช็ดเท่าไหร่ก็เช็ดไม่ออก

                    เอ่อ... รอแปบหนึ่งนะค่ะ พูดจบเธอก็ออกวิ่งเหยาะๆไปยังห้องน้ำหญิงที่อยู่ห่างออกไปทางขวาในระยะไม่ถึง 50 เมตรโดยมีชายแปลกหน้าที่เฝ้ามองด้วยความมึนงง... ซักครู่หนึ่งเธอก็กลับมาด้วยผ้าเช็ดหน้าที่ชุ่มโชกไปด้วยน้ำ..

                    ขอโทษนะค่ะ...เดี๋ยวฉันจะเช็ดให้ เธอกล่วาจบก็ทรุดกายลงเบื้องหน้าเขา พยายามใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดที่รอยเปื้อนนั้น แต่ก็ถูกชายแปลกหน้าจับข้อมือข้างนั้นไว้!!

                    ให้ผมจัดการเองดีกว่า พูดจบเขาก็ล้วงบุหรี่ออกมาจุดสูบ ก่อนที่จะสูดเอาควันบุหรี่ไว้ในปากให้ลึกแล้วพ่นควันอัดใส่ที่รอยเปื้อนนั้นสองสามครั้ง แล้วบิดน้ำจากผ้าเช็ดหน้าหยดลงบนรอยเปื้อนนั้นก่อนใช้มือขยี้เบาๆไปมา... โดยมีหญิงสาวยืนมองอยู่ห่างๆ (เพราะเธอเกลียดควันบุหรี่) ด้วยความทึ่งในความคล่องแคล่วของเขา..

                    จะได้ไม่เป็นรอยด่าง ถ้าพ่นควันบุหรี่เข้าไปในรอยเปื้อนน่ะ!” เขาตอบเมื่อเห็นแววตาที่กำลังสงสัยในการกระทำของเขาจากหญิงสาว

                    เก่งจังนะค่ะ... ทราบด้วยว่าจะต้องทำยังไงบ้างในเวลาแบบนี้ เธอทำหน้าทึ่ง แต่แล้วสีหน้าของเธอก็สลดลง

                    แต่ฉันนี่สิทำอะไรก็ไม่ได้เลย ได้แต่ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน

                    มันเกี่ยวกับงานที่ผมทำน่ะ... เขาเว้นช่วง เหตุการณ์แบบนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้บ่อยๆ เขายังคงลูบรอยเปื้อนของกาแฟที่กำลังจางลงด้วยสีหน้าพอใจ

                    หรือค่ะ... คุณทำงานในร้านกาแฟหรือ?” หญิงสาวถามแล้วเดินมานั่งข้างๆเขา

                    เปล่า เขาส่งผ้าเช็ดหน้าคืนให้หญิงสาว

                    งั้น....?”

                    ผมตอบไม่ได้ว่าผมทำงานอะไร แต่..เชื่อผมเถอะ คุณไม่รู้จะดีกว่า!!” เขาพูดจบก็ตั้งท่าจะควักเอาบุหรี่อีกมวนขึ้นมาจุดสูบ

                    อ้อ..ขอโทษ ผมลืมไป เขาหยิบบุหรี่ออกจากปากแล้วโยนทิ้งลงถังขยะข้างๆ เมื่อเห็นสีหน้าแสดงความรังเกียจต่อบุหรี่มวนนั้น

                    บุหรี่มันไม่ดีต่อสุขภาพนะค่ะอยู่ๆเธอก็เปลี่ยนมาเป็นเสียงเครียด

                    หึๆ...ใจดีจังนะครับ ชายแปลกหน้าหัวเราะในลำคอ

                    ใจดี.....?? เรื่องอะไรค่ะ?” เธองง

                    ที่มาเป็นห่วงคนแปลกหน้าแบบผมน่ะสิครับคุณหนู... ชายแปลกหน้าหันมามองเธอแบบตาต่อตา

                    เอ่อ... เธออึ้ง

                    โดยปรกติแล้ว ไม่มีใครหรอกที่มาเป็นห่วงคนอย่างผม ใครๆเขาก็อยากที่จะอยู่ห่างๆผมกันทั้งนั้นล่ะ!!” เขาก้มหัวแล้วสแยะยิ้มให้หญิงสาว ตอนนี้หญิงสาวเริ่มรู้สึกถึงกลิ่นไออัยตรายมาจากชายแปลกหน้าคนนี้ตะหงิดๆแล้ว แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ตัดสินใจว่าจะทำยังไงต่อไปนั้นเองเสียงๆหนึ่งก็ดังก้องขึ้น...

                    แกร๊กๆๆๆๆๆๆๆ...........!!” ประตูเหล็กที่เป็นทางไปสู่ถนนเบื้องบถูกปิดลงมา หญิงสาวหันไปมองยังทิศที่ประตูเหล็กตั้งอยู่ แล้วทั้งคู่ก็หันมามองหน้ากันก่อนที่จะหันไปมองนาฬิกาบนผนังสถานี.

         มันชี้บอกว่าตอนนี้เป็นเวลา 24 นาฬิกาตรง..........!! ท่าทางพวกเขาจะนั่งเพลินจนลืมเวลาเสียแล้ว

                    เป็นอันว่า...เราสองคนติดอยู่นี้ด้วยกันจนกว่าจะเช้า ชายแปลกหน้ากล่าวแล้วยิ้มให้หญิงสาว ในขณะที่หญิงสาวเริ่มรู้สึกเย็นสันหลังวาบขึ้นมาและกลัวอย่างจับใจจนต้องถอยห่างออกจากชายแปลกหน้ามานั่งอยู่ยังเก้าอี้ตัวซ้ายสุดเหมือนเดิม... จเนเวลาเริ่มไหลผ่านไปอย่างช้าๆและยาวนานที่สุดในความรู้สึกของหญิงสาว....!

         นาฬิกาบนผนังสถานีบอกเวลา 2 นาฬิกา 35 นาที.......!!

                    หญิงสาวเริ่มถูกความง่วงเข้าครอบงำจนครึ่งหลับครึ่งตื่น หัวของเธอเริ่มหนักและหมุนไปมาหลายทิศทางโดยปราศจากการต่อต้านจนทำให้เธอหัวแทบทิ่มลงไปกับพื้นหลายครั้ง แต่เธอก็ต้องพยายามเรียกสติตัวเองไว้ด้วยวิธีการหลายวิธี ทั้งเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้า หรือแม้กระทั่งหยิกตัวเองจนเนื้อเขียวเพราะไม่ไว้ใจในชายแปลกหน้าที่ตอนนี้กำลังนั่งไขว้ห้างอ่านหนังสือพิมพ์อย่างสบายอารมณ์... แต่ยิ่งนานสติของเธอก็ยิ่งเลือนลาง..................ในที่สุดเธอก็วู้บหลับไป!!

         แล้วเธอก็สะดุ้งตื่นเพราะรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมาจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอ.........!!

                    เมื่อเธอลืมตาก็ปรากฏว่าชายแปลกหน้าตอนนี้ได้มายืนอยู่เบื้องหน้าเธอ แล้วโน้มตัวเข้ามาโดยที่แขนทั้งสองข้างอยู่บนไหล่ของหญิงสาว

                    กรี๊ด....................................................................... เธอร้องลั่น แล้วกระโดดเต็มแรงถอยห่างออกมาไกล

                    จะทำอะไรน่ะ?” เธอชี้หน้าไปที่เขาทั้งๆที่ตัวเองยังตัวสั่นเทิ้มและพูดตะกุกตะกักอยู่

                    เปล่า ชายแปลกหน้าเกาหัว

                    โกหก เห็นๆอยู่ว่ากำลังจะทำอะไร?” หญิงสาวเสียงแข็ง

              ก็แค่..... เขาพยายามอธิบาย

              แค่อะไร? ......... แค่จะทำมิดีมิร้ายฉันได้สำเร็จรึไง?” เธอรู้สึกหน้าร้อนผ่าวเหมือนกำลังจะร้องไห้ จนชายแปลกหน้าส่งเสียงอึกอักไม่รู้จะพูดอะไรดี

                    คนสารเลว...... แม้แต่ผู้หญิงหลับยังทำลง เธอซบหน้าลงกับเสื้อนอกส่งเสียงเหมือนจะร้องไห้ แต่แล้วเธอก็คิดอะไรออก......

    เราไม่ได้เอาเสื้อนอกมาด้วยนี่หนา???” เธอคิดในใจแล้วชูเสื้อนอกตัวนั้นขึ้นมาดู....

                    เสื้อสูทสีดำเข้มอยู่ในอ้อมกอดของเธอส่งกลิ่นฉุนของเหงื่อกายอันเป็นเอกลักษณ์ผู้ชายที่ทำงานใต้แสงแดด เธอยืนตะลึงกับสิ่งที่เห็น ก็นี่มันของผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นนี่นาแล้วตอนนี้มาอยู่กับเธอได้อย่างไร...!!

                    คุณ ชายแปลกหน้าร้องเรียก แต่เธอไม่ได้ยิน

                    นี่...คุณ!!” เขากระแทกเสียงจนเธอสะดุ้ง หันกลับมามองเขาแล้วยิ้มอย่างสำนึกผิด

                    ผมก็แค่เอาเสื้อนอกห่มให้เพราะกลัวว่าคุณจะหนาว ก็เสื้อที่คุณใส่อยู่น่ะมันบางจะตายไป เขาพูดจบแล้วไปยืนกอดอกพิงผนังอยู่มุมห้องๆ

                    แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่ทีแรก?” เธอยิ้มจ๋อยๆ

                    ก็แล้วคุณฟังไหมล่ะ?.... เห็นกรี๊ดๆ อย่างเดียวจนผมหูแทบแตก เขาพูดฉุนๆ

                    ขอโทษ หญิงสาวทำหน้ารับผิด

                    คุณไม่ต้องห่วงหรอก ถึงผมมันเลวแค่ไหนก็ไม่ยุ่งกับเด็กหรอก เขาหัวเราะหึๆ ในขณะที่หญิงสาวชักฉุนกับคำพูดนั้น

              ฉันไม่ใช่........เด็ก!!” เธอเน้นคำ เขาโบกมือให้

                    เอาเถอะ.... ก็ไม่แปลกที่คุณจะเข้าใจผิดนี่ ผมมันรับบทให้คนเกลียดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาเดินห่างออกไปอีกไกลโขแค่พอให้ได้ยินเสียงแล้วจุดบุหรี่ขึ้นสูบ ในขณะที่หญิงสาวเดินกลับไปนั่งที่มานั่งตนเองโดยที่ในมือยังคงถือเสื้อนอกไว้แน่น.... เธอตั้งใจจะไม่พูดต่อล้อต่อเถียงอะไรกับเขาอีกแต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเธอก็เลยหันไปถามเข้าอีก..

                    หมายความว่ายังไง ที่คุณบอกว่าคุณรับบทให้คนเกลียด?”

                    ไม่สิ....ไม่ใช่แค่เกลียด ชายแปลกหน้าพ่นควันบุหรี่ออกมาเป็นทางยาว และยืนนิ่งรำลึกความหลัง ถึงแม้จะอยู่ในระยะที่ไม่ได้กลิ่นจากควันบุหรี่หญิงสาวก็ยังคงทำหน้ารังเกียจควันบุหรี่เหล่านั้นอยู่ดี

                    แต่เป็นรังเกียจเลยล่ะ!” พูดจบเข้าก็อัดควันเข้าปอดต่อ

         ความอยากรู้อยากเห็นยิ่งขึ้นยิ่งจุดประกายในใจของหญิงสาว เธอเริ่มอยากรู้ภูมหลังของชายแปลกหน้าที่ดูลึกลับและน่ากลัวคนนี้ขึ้นมาจับใจ แต่จะหาทางอย่างไรให้หลอกล่อให้เขาพูดออกได้กันแน่........เธอกำลังสนุกกับการกระทำที่เหมือนสายลับนี้!!

                    อืม........ แต่ก่อนคุณคงเคยลำบากมามากนะ?” เธอหลอกถาม โดยหวังว่าเขาจะติดกับ

                    หึ..หึ จะหลอกถามกันรึไง........ยาก!!” เขาหัวเราะแบบรู้ทัน หญิงสาวทำหน้าผิดหวังโดยมีชายแปลกหน้าเฝ้ามองสีหน้านั้นด้วยความสนุกสนาน.....!!

                    เอ้า...จะเล่าก็ได้ เข้าแหย่

                    จริงเหรอ?” หญิงสาวทำหน้าใคร่รู้ตาเป็นประกาย ชายแปลกหน้าหัวเราะในลำคอเป็นเชิงรู้แทบทันพฤติกรรมของผู้หญิงที่มียีน ขาเม้าอยู่ในตัวทุกคนที่ชอบรู้เรื่องชาวบ้านเอาไปเม้ากัน ไม่มากก็น้อย...

                    แต่มีข้อแม้.... เขาเสนอข้อต่อรอง

                    ว่า... หญิงสาวยังไม่รู้ว่าตัวเองตกหลุมพราง

                    คุณจะต้องเล่าเรื่องที่ทำให้คุณไม่สบายใจมาก่อน...!!” หญิงสาวทำหน้างง เขารู้ได้อย่างไร....!!

                    ฉันไม่ได้มีเรื่องไม่สบายใจนี่?” เธอกลบเกลื่อนสีหน้าให้เป็นปรกติที่สุด แต่ก็ยากที่จะซ่อนความหวั่นไหวในแววตาไว้ได้

          ชายแปลกหน้าสูดมะเร็งเข้าปอดก่อนที่จะกล่าวตอบไปว่า

              อย่าโกหกเลย...วันนี้ตอนผมเดินขึ้นมาจากสถานี ผมเห็นคุณนั่งทำหน้าทุกข์ใจอยู่เงียบๆคนเดียว เขาพูดแทงใจดำเธอ จริงอยู่ที่วันนี้เธอมาที่นี่เพื่อปรับอารมณ์ในเรื่องทุกข์ใจที่กล่าวถึง แต่เขารู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน........!!

                    ว่ายังไง..... คุณพร้อมจะแลกเปลี่ยนไหม?” เขาพูดจบก็โยนบุหรี่ที่สั้นด้วนถึงก้นกรองลงพื้น แล้วเหยียบมันขยี้ไปมากับพื้นจนไฟสีแดงนั้นมอดสนิท

                    เอ้า..ก็ได้ เธอตอบอย่างรำคาญ

                    งั้นเล่ามา ชายแปลกหน้ายิ้มอย่างมีชัย!

         หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เตรียมเล่าเรื่อง เบื้องหลังของเธอมีนาฬิกาบนพนังมันบอกเวลา 4 นาฬิกาตรง.....!!

                    ก่อนที่ฉันจะเล่า....ให้คิดซะว่าเรื่องนี้เป็นนิทานเรื่องหนึ่งนะ?” เธอกล่าวด้วยสีหน้าจริงๆจัง..

                    ยังไงก็ได้อยู่แล้ว เขาหัวเราะในท่าทีเขินอายของหญิงสาว ที่เริ่มสูดหายใจลึกๆอีกครั้งด้วยความประหม่าเขินอาย

                    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว........ หญิงสาวเริ่มเรื่อง

                    ฮู้ว........นานแค่ไหนล่ะ?” ชายแปลกหน้าแกล้งหยอก

                    อย่าขัด!!” หญิงสาวตาเขียวใส่

                    ครับๆ กลัวแล้วครับไม่ขัดแล้วครับ เขาพูดในขณะที่กำลังกลั้นหัวเราะอยู่ แล้วหญิงสาวก็กลับไปเริ่มเรื่องของเธอต่อ

                    บนสวรรค์อันไกลลิบลับจากโลกมนุษย์ได้มีนางฟ้าองค์หนึ่งที่มีจิตใจเมตตาอารียิ่ง

                    เธอจะคอยปฏิบัติอะไรก็ตามที่เทพและเทวดาทั้งปวงขอร้อง และปฏิบัติเรื่องๆนั้นอย่างดีที่สุดจนสำเร็จลุล่วง จนเธอคิดว่าเทพและเทวดาทั้งมวลต่างชื่นชอบและชื่นชมที่ตนเองเป็นเช่นนั้น และยินดียิ่งที่จะได้รับคำขอบคุณและเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของทุกคนที่เธอได้ช่วยเหลือ เธอคิดว่าสิ่งเหล่านั้นคือความสุขที่สุดของเธอ

              เมื่อมีกรณีพิพาทระหว่างเทพและเทวดาคราวใด เธอก็จะเป็นผู้ที่เข้าไปไกล่เกลี่ย เมื่อเทวดาองค์ใดทำความผิด เธอก็จะออกหน้าขอร้องอ้อนวอนต่อพระเจ้าให้ทรงประทานอภัยโทษให้ หรือแม้เธอจะอดอาหารเลิศรสเพียงใด ก็ขอแค่เพียงให้เหล่านกน้อยที่บินขึ้นมาถึงบนสรวงสวรรค์ได้กินอิ่มก็เพียงพอ

                    เธอเว้นนิดหนึ่งเพื่อหายใจ.....!!

                    แต่แล้ววันหนึ่ง เป็นวันที่มีงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยจัดขึ้นในสรวงสวรรค์อันมีเทวดา เทพยาดา และเทพเจ้าจากทุกแห่งในโลกรวมทั้งสรรพสัตว์ทั้งมวลมาร่วมชุมนุมกันนั้นเอง....

                    ในขณะที่นางฟ้าองค์น้อยเร่งรีบไปยังงานฉลอง เธอก็ได้พบกับหมาจิ้งจอกที่นอนบาดเจ็บอยู่ ด้วยใจที่มีเมตตาเธอจึงได้บินลงไปหาจิ้งจอกที่เสียเลือดมากและกำลังที่จะตาย เธอเห็นเช่นนั้นจึงกรีดแขนตนเองแล้วให้จิ้งจอกกินเลือดของเธอเพื่อรักษาชีวิตจิ้งจอกไว้ จนเธอหมดเรี่ยวแรงที่จะบินกลับไปบนฟากฟ้าสู่งานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่นั้นได้

              ในขณะที่หมาจิ้งจอกที่หายดีกระโดดโลดเต้น แล้วมองดูนางฟ้าอย่างเย็นชาก่อนที่จะวิ่งทะยานขึ้นไปยังทางสู่ฟากฟ้าโดยไม่ใยดีต่อผู้ที่ช่วยชีวิตตนเอง

                    ปรากฏว่าเมื่อจิ้งจอกไปถึงงานฉลองสายทำให้องค์พระเจ้าพิโรธยิ่ง จิ้งจอกสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว แต่แล้วความคิดอันชั่วร้ายก็ได้ฉายวับเข้ามาในสมองของจิ้งจอกผู้ชั่วช้าทันที

                    จิ้งจอกทูลต่อพระเจ้าว่าสาเหตุที่ตนมาสายนั้น มาจากการที่นางฟ้าผู้ใจดีพยายามทำร้ายตนจนบาดเจ็บและชี้ให้เห็นบาดแผลตามตัวที่ยังไม่หายดีเป็นหลักฐาน ทำให้ทวยเทพต่างเซ็งแซ่ต่อๆกันไปอย่างรวดเร็ว

                    จากหนึ่งไปสอง จากสองไปสี่ ไม่ช้าคำพูดถึงในเรื่องนี้ก็กลายเป็นรู้กันทั้งสวรรค์ อีกทั้งจากการเล่าแบบปากต่อปากก็ทำให้ข้อมูลบิดเบือนจนกลายเป็นว่ากันว่านางฟ้านั้นเป็นคนที่เคยกระทำริยำเลวมาเสียมากมายจนไม่อาจอภัยให้ได้หญิงสาวน้ำตาซึม

                    พอเวลาผ่านไปจนนางฟ้ามีเรี่ยวแรงที่จะโผบินอย่างโซซัดโซเซกลับไปยังสวรรค์แล้วนั้น ปรากฏว่าเมื่อบินผ่านดอกไม้ที่เคยยิ้มให้กันดอกไม้กลับเมินหน้าหนี เมื่อผ่านฝูงนกที่เคยร้องเรียนเล่าประสานนกน้อยก็ยังบินหลีกหนีไกลสร้างความมึนงงให้แก่นางฟ้าองค์น้อย

                    และเมื่อจะถึงประตูเข้าสวรรค์นั้นเอง นางฟ้าก็กำลังจะหมดแรงและกำลังจะตกลงไปสู่พื้นเบื้องล่าง พลันสายตาที่เหนื่อยอ่อนของนางฟ้าก็เห็นเหล่าเทวดาทั้งมวลมายืนที่ขอบประตูสวรรค์

                    นางฟ้าดีใจยิ่งนักที่เห็นทุกคนที่เธอเคยช่วยเหลือมา มาคอยช่วยเหลือต้อนรับกันอย่างคับคั่งเธอจึงยืนมือที่สั่นสะท้านออกไปหมายเกาะกุมเทวดาองค์ที่ใกล้ที่สุดไว้เพื่อยึดกายไม่ให้ตกลงไปเบื้องล่าง

                    แต่แล้วเทวดาองค์นั้นก็กลับปัดมือเธออย่างแรง พร้อมกับตะโกนใส่เธอพร้อมกับเทวดาทุกองค์ว่า คนขี้โกหกเอาหน้า.........!! ดังสะท้านไปทั้งสวรรค์ท่ามกลางความมึนงงของนางฟ้าที่ค่อยๆร่วงหล่นจากฟากฟ้า ลงไปกระแทกกับพื้นดินจนปีกทั้งสองข้างหักยับจนไม่อาจจะบินขึ้นไปเบื้องบนเพื่อที่จะแก้ความเข้าใจผิดได้อีก

                    แล้วนางฟ้าที่ต้องร้องไห้เพราะความใจดีของตนเองก็ลากกายที่อ่อนล้า และใจที่เจ็บช้ำลงมาอาศัยอยู่ในถ้ำที่อยู่กึ่งกลางระหว่างโลกมนุษย์และสรวงสวรรค์ตลอดมา................!!” เมื่อเล่าจบ หญิงสาวก็แทบร้องไห้ เธอทรุดกายลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง... และรู้สึกอ่อนล้าขึ้นมาอย่างจับใจ

                    สรุปว่า..... ตายเพราะความใจดีของตังเองสินะ?” ชายแปลกหน้าพูด หน้าของเขาส่วนบนตั้งแต่อกขึ้นไปซ่อนอยู่ในเงามืดของแสงไฟทำให้ไม่สามารถบอกได้ว่า อารมณ์ทางสีหน้าของเขาในตอนนี้เป็นเช่นไร

                    มนุษย์เราก็อย่างนี้...ต้องเห็นแก่ตัวเองไว้ก่อน คนที่ดีเกินไปจนถูกรังเกียจ ในยุคนี้ไม่ค่อยจะอยู่รอดหรอก เขากล่าวจบแล้วนิ่งเงียบ ปล่อยเวลาให้หญิงสาวทำใจในเรื่องที่ผ่านมา...

         หลอดไฟหลอดหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปท่าทางไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มันติดๆดับๆส่งแสงกระพริบสว่างตัดความมืดเป็นระยะๆ ... ชายแปลกหน้าหันไปมองแสงไฟที่ติดๆดับๆนั้นวินาทีแล้ววินาทีเล่าเป็นการเร่งเตือนให้เขาเร่งขุดคุ้ยอดีตออกมาจากเศษเสี้ยวของความทรงจำให้ได้มากที่สุด...

                    ตานายแล้ว หญิงสาวพูดพลางปาดน้ำตาออกจากใบหน้า และตาที่บวมแดง ชายแปลกหน้าเริ่มนับถือหญิงสาวที่ร้องไห้ได้โดยไม่ออกเสียงที่แสดงถึงความอ่อนแอออกมาแม้แต่คำเดียว...        งั้นก็เอาเป็นนิทานแบบของคุณก็แล้วกัน?” เขาเดินออกมาจากเงามืดแล้วนั่งลงข้างๆหญิงสาว

                    อือ หญิงสาวรับคำ แล้วจ้องมองเขาแบบไม่วางตาเหมือนกลัวว่าเขาจะตะบัดสัตย์แล้วแกล้งวิ่งหนีจากไป....

              งั้นเริ่มเลยนะ?” ชายแปลกเอียงคอหันไปมองหญิงสาว ในขณะที่หญิงสาวก็พยักหน้าเป็นเชิงยอมรับที่จะฟังนิทานที่เป็นตำนานบทหนึ่งอันมาจากชีวิตจริงที่ถูกกลั่นกรองมา.. เขาหลับตาลงแล้วจินตนาการภาพต่างๆในหัวก่อนที่เริ่มเรียงร้อยมันเป็นคำพูดที่จะกลายมาเป็นนิทานเรื่องหนึ่ง

                    ณ ดินแดนทางเหนือสุดของทวีป เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยภูเขา ต้นไม้ และลำธารได้มีเมืองๆหนึ่งที่ตั้งอยู่เชิงภูเขาสูง และเบื้องหน้าเต็มไปด้วยพื้นที่เพาะปลูกอันอุดมสมบูรณ์.... ที่ดินแดนแห่งนั้นมีราชาที่ใจดียิ่งเป็นผู้ปกครอง และผู้คนก็อยู่อย่างมีความสุข

                    ในดินแดนแห่งความสงบไร้สงครามนี้ยังมีเด็กหนุ่มจนๆคนหนึ่งที่ขยันทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อแลกข้าวและน้ำกินอยู่ทุกวัน จนเขากลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนแห่งนั้น แต่เขาก็หาได้ที่จะแสดงตัวว่าตัวเองแข็งแกร่งไม่ เขายังคงก้มหน้าก้มตาทำงานของเข้าไปเรื่อยๆ

                    แต่อยู่มาวันหนึ่งฝูงซาตานที่เล็งเห็นความอุดมสมบูรณ์ของดินแดนแห่งนี้เป็นเป้าหมายก็ได้ยกกองทัพมาค่อยๆคืบคลานแผดเผาแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้เสียสิ้น กองทัพของมันค่อยๆลุกคืบมาอย่างช้าๆโดยปราศจากการต่อสู้ของมวลมนุษย์ที่อยู่อย่างสงบมานานจนลืมเลือนซึ่งการใช้ดาบและคมหอก เมื่อกองทัพซาตานยกมาโอบล้อมเมืองได้สำเร็จแล้วนั้นใครเล่าจะคาดคิดว่าราชาผู้ใจดีจะแปลเปลี่ยนกลายเป็นหมาจนตรอกที่ชั่วร้ายไปได้เล่า ราชาต่อรองกับซาตานจะส่งมอบอาหารและผู้คนให้ซาตานจนกว่าพวกมันจะพอใจเพื่อแลกกับชีวิตของตน

         ชายแปลกหน้า ยืนนิ่งครู่หนึ่งเหมือนกำลังนึกความทรงจำที่ขาดหายไป ไม่นานเขาก็เริ่มคิดออกและเงยหน้าขึ้นเล่าต่อ....

              ชาวเมืองที่หมดศรัทธาในพระราชาของตนต่างก้มลงอ้อนวอนขอความเมตตาต่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างโง่เขลา แต่มีเพียงเด็กหนุ่มเท่านั้นที่จับขวานสำหรับใช้ผ่าฟืนเก่าๆครำครึไว้แน่นหมายสู้ตายกับกองทัพซาตาน

                    มีคนมาเข้าร่วมกับกองทัพชายหนุ่มมากมาย และอีกนับไม่ถ้วนที่ส่งเสียงเชียร์ดังกึกก้องสรรเสริญความกล้าหาญให้ชายหนุ่มราวกับเขาเป็นวีรบุรุษชนะศึกก็ไม่ปาน พวกเขานัดแนะตกลงกันว่าจะให้ชายหนุ่มออกไปเชิญหน้ากับกองทัพซาตานเพียงคนเดียวก่อนเพื่อล่อให้กองทัพซาตานประมาท แล้วที่เหลือจะฉวยโอกาสนั้นตามออกไปสมทบขยี้ทัพซาตานให้สิ้นซาก

              ตะวันย่ำรุ่งเด็กหนุ่มฉวยขวานศึกคู่กายเดินดุ่มๆเข้าไปตะโกนท้ากองทัพซาตานลำพังด้วยใจที่ฮึกเหิมและเชื่อมั่นว่าพวกพ้องจะตามมา เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้นกลับปรากฏว่า ไม่มีใครตามมาช่วยชายหนุ่มเลยแม้แต่คนเดียว ทุกคนหวาดกลัวและหลบซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงปราสาทที่หนาและใหญ่นั้นโดยไม่แม้แต่จะโผล่หน้าออกมามองชายหนุ่มที่ถูกจับเป็นเชลย

                    ชายหนุ่มตะโกนสาปแช่งผู้คนหลังปราสาทที่ขลาดเขลา และหลั่งน้ำตาแห่งความคั่งแค้นให้แก่แผ่นดินที่ยศตน แต่การกระทำนั้นกลับเป็นที่ถูกอกถูกใจเหล่าซาตานเป็นอย่างยิ่ง พวกมันมอบเกราะสีดำ และดาบที่ชื่อความเกลียดชังพร้อมประดับปีกแห่งความชั่วร้านอันเป็นสัญลักษณ์ของซาตานให้เขากลับไปล้างแค้นประเทศเกิด.............เด็กหนุ่มที่ใจกำลังแตกสลายก็ตอบตกลงโดยไม่ต้องคิดเลยที่จะรับมาซึ่งอำนาจเหล่านั้น!!”

              เขาฆ่า คนแล้วคนเล่า ทำลายและแผดเผาตึกแล้วตึกเล่าอย่างบ้าคลั่งและไร้ความปราณี ไม่ว่าจะเป็นเด็ก คนแก่ คนท้อง หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงซักตัวเขาก็ยังไม่เว้น ทุกสิ่งทุกอย่างถูกทำลายจนสิ้นซากไม่เหลือแม้แต่เสาตนเดียวที่ยังมีสภาพคงเดิม.... จากวันนั้นเขาก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพซาตานที่เรียงไกร

              เขาเข้าร่วมบุกแย่งชิง ทำลายประเทศแล้วประเทศเล่า....เหยียบย่ำความฝันของคนอื่นคนแล้วคนเล่า และแย่งชิงของอนาคตคนหลายหมื่นหลายแสนคนมาด้วยกำลัง ตอนนี้เริ่มตระหนักแล้วว่ากำลังคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสัจจะธรรมแท้จริงในโลก.... เมื่อเขาเข้าใจในสิ่งนี้แล้วเขาก็ใช้สิ่งที่ตนมีนี้แย่งชิงของมีค่าที่ไม่ว่าจะเป็น เงิน ทอง เกียรติยศ แม้แต่ชีวิดจากผู้อื่นเรื่อยมา... จนเมื่อไม่มีผู้ให้แย่งชิงแล้วเขาก็หันกลับมาแย่งชิงสิ่งเหล่านั้นจากพวกพ้องซาตานของเขาเองชายแปลกหน้าหยิบเสื้อนอกขึ้นมาสวม แต่ปากของเขาก็ยังคงเล่าต่อไปเรื่อยๆ.......

                    เขามีอำนาจมากขึ้น ผู้คนกลัวเขาและกราบไหว้เขามากขึ้น และซาตานก็ยำเกรงเขามากขึ้นแต่คนที่เลวอย่างโดดเด่นก็มักจะเป็นที่ถูกเกียจชัง

                    จนวันหนึ่งที่ซาตานได้หาญกล้าท้าสู้กับกองทัพแห่งพระเจ้าก็มาถึง ทั้งสองฝ่ายต่างสู้รบขับเคี่ยวกันอย่างสูสี แต่เขาผู้ที่สังหารเทวดาไปเป็นจำนวนมากมายจนสามารถเอาศพมาถมท่วมมหาสมุทรได้นั้นกลับพลาดท่า และถูกจับกุมเป็นเชลย

              เมื่อการรบสิ้นสุดลงด้วยความแพ้พ่ายของฝูงซาตาน พระเจ้าก็เอ่ยถามว่ามันผู้ใดเป็นตัวการในการหาญกล้าบุกสวรรค์ในครั้งนี้ ปรากฏว่าซาตานทุกตัวต่างโยนบาปของตนไปไว้ที่เขาว่าเป็นต้นคิดแต่เพียงผู้เดียวเพื่อเอาตัวรอดด้วยสีหน้าประจบประแจง แววตาของชายแปลกหน้าปรากฏแววคั่งแค้นสะท้อนแสงไฟวาบ จนหญิงสาวรู้สึกขนลุก..................

                    เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้นก็หมดศรัทธาในฝูงซาตาน และลุกขึ้นใช้ปากกัดปีกของตัวเองข้างหนึ่งเต็มแรงแล้วบิดกระชากดึงเอาปีกข้างนั้นขาดออกจากร่างเป็นสัญลักษณ์ของการถอนตัวจากการเป็นพวกพ้องของซาตาน พระเจ้าและทหารแห่งสวรรค์ทั้งปวงเห็นภาพนั้นก็พากันตกตะลึงจนลืมที่จะควบคุมเหล่ากองทัพซาตานที่ยังหลงเหลือที่กำลังย่องหนีไปอย่างสบาย และหันมายิ้มอย่างสะใจและมีชัยเหนือเด็กหนุ่ม................................

                    พระเจ้าทรงเห็นใจที่เขาถูกเพื่อนๆทรยศและตระหนักในความตั้งใจจริง จึงเพียงแค่เนรเทศเขาลงไปจากดินแดนแห่งนี้ ไปยังกรงขังกลมๆสีฟ้าที่เรียกว่าโลกและลงโทษให้เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นั้นตลอดกาล.......................!!”

         ชายหนุ่มเล่าจบด้วยสายตาที่เหม่อลอยไปไกลที่ได้ลำลึกถึงความหลังอันแสนนาน.... เขาคงจะยังนั่งอยู่ในภวังค์นั้นถ้าหญิงสาวข้างๆเขาไม่ชิงร้องไห้ออกมาเสียก่อน..

              แล้วนี่คุณร้องไห้ทำไม........????” เขางงกับอาการของหญิงสาวเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่เขาเกิดมาไม่เคยเห็นใครบ่อน้ำตาตื้นเท่าหญิงสาวคนนี้

                    กะ....ก็มันน่าสงสารออก.... ถูกคนที่ไว้ใจหักหลังตั้งสองครั้งสองครา...ฮึกๆ หญิงสาวยังคงสะอื้น ชายแปลกหน้ายื่นผ้าเช็ดหน้าให้......

                    ใจดีจริงนะ.... คนที่ร้องไห้น่าจะเป็นผมมากกว่า เขายิ้มให้หญิงสาวอย่างจริงใจเป็นครั้ง แต่เสียดายที่หญิงสาวมัวแต่ก้มหน้าเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้มจึงไม่ได้เห็นภาพรอยยิ้มภาพนั้น...

                    คนเลวอย่างโดดเด่น ก็มักจะกลายเป็น คนที่เลวเกินไปจนถูกรังเกียจ เช่นนี้ล่ะ มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกอยู่แล้ว ชายหนุ่มนั่งหลังพิงเบาะกล่าวต่อไป

              มันก็ถือเป็นจุดร่วมอย่างหนึ่งล่ะนะของคนที่ดีกับคนที่เลว เหมือนกับจุดร่วมของแสงสว่างกับความมืดนั้นล่ะ เขาหลับตาพริ้ม

                    ถ้าคนเราทำอะไรซักอย่างเกินไป ไม่ว่าดีหรือเลวก็มักที่จะถูกมองว่าแปลกแยกและถูกรังเกียจเสมองั้นหรอกหรือ?” หญิงสาวถามทั้งๆที่เสียงสั่นไหวด้วยอารมณ์..

                    ถูกต้อง....!! แต่สิ่งที่คุณเรียกว่า ทำจนเกินไปนั่นล่ะ คือสิ่งเดียวที่เป็นจุดร่วมของความมืดและแสงสว่าง ความดีและความเลวที่จะถูกปฏิกิริยาสะท้อนกลับมาในรูปแบบเดียวกันเสมอชายแปลกหน้ายันกายลุกขึ้นบิดขี้เกียจและหาวอย่างไม่เกรงใจใคร...

                    สิ่งนั้นมันคือความเกลียดชังในความไม่พอดี.......!!” หญิงสาวลุกขึ้นยืนและบิดขี้เกียจตามชายแปลกหน้า ณ ตอนนี้เธอเข้าใจชายแปลกหน้าคนนี้ได้ดีขึ้นมากแล้ว และเธอก็รู้สึกว่าตอนนี้เธอสามารถค้นหาคำตอบในชีวิตที่ประสบปัญหาของเธอเจอแล้วเช่นกัน.....

         นาฬิกาบนผนังบ่งบอกวาขณะนี้เป็นเวลา 6นาฬิกา 15 นาที..............!!

                    แกร๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ........!!” เสียงประตูเหล็กทางขึ้นจากสถานีถูกเปิดออกอย่างตรงเลาทำการของสถานีพอดิบพอดี ทั้งสองคนมองขึ้นไปยังประตูที่เปิดอ้าออกอันมีแสงแดดยามเช้าส่องเข้ามาเป็นประกาย ได้ยินเสียงนกร้องยามเช้า และเสียงรถยนต์ที่วิ่งเร่งรีบแข่งขันไปทำงานในแต่ละวัน............. ก่อนที่ทั้งสองจะหันมามองหน้ากัน....!!

              เราออกไปหาอะไรทานกันข้างนอกกันไหมค่ะ.. นั่งคุยกันทั้งคืนคุณคงจะหิวแล้ว?” หญิงสาวเป็นฝ่ายออกปากเชิญชวน แต่ชายแปลกหน้ากลับยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่าขอปฎิเสธอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวเขา..

                    ไม่ล่ะครับ...ขอบคุณ หญิงสาวทำหน้างอ

                    ผมไม่ถูกกับแสงตะวัน หากเป็นช่วงตะวันตกดินไปแล้วผมก็ตกลงครับ เขายิ้มกว้างแสดงความจริงใจจนหญิงสาวอดยิ้มตามไม่ได้

                    ค่ะ..... หญิงสาวหัวเราะคิกคัก แล้วทั้งสองก็ทำท่าเหมือนจะเดินจากกันไปแล้วแต่แล้วหญิงสาวก็หันกลับมา..

                    คุณราตรีค่ะ?” หญิงสาวพูดด้วยเสียงอันค่อนข้างดัง

              ครับ..??” ชายแปลกหน้าเผลอตอบรับไป แต่เขาก็ยังงงว่าทำไมหญิงสาวเรียกเขาว่าราตรี

                    เรียกตามสีเสื้อคุณน่ะค่ะ หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ความสดใสของวัยเยาว์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างชัดเจน

                    อ้อ........งั้นคุณคงเป็น ตะวัน สินะ?” ชายแปลกหน้ายิ้มตอบ... เขาเริ่มเข้าใจมุขของหญิงสาวแล้ว หญิงสาวใสชุดสีขาวจึงเรียกตัวเองว่าตะวัน ส่วนเขาใส่ชุดสีดำจึงถูกเรียกว่าราตรี..

                    ค่ะ หญิงสาวรับคำ แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆก่อนจะตะโกนว่า

                    แม้ว่าตะวัน กับ ราตรี ไม่สามารถพบกันได้...... แต่ในจุดกึ่งกลางของทั้งสองสิ่งแล้ว เราสามารถพบกันได้เมื่อถึงเวลาที่เราสวนกันเพื่อเปลี่ยนเวรในการทำหน้าที่ของตน

         หญิงสาวเว้นวรรค.........

                    เพราะฉะนั้นแล้ว..... เราสองคนแม้จะยืนอยู่ในจุดที่ต่างกัน ก็ยังอาศัยจุดเชื่อมต่อของทางขึ้นสู่เบื้องบนและลงสู่เบื้องล่างเป็นที่พบกันอีกได้.............ใช่ไหมค่ะ.........!!” เธอตะโกนจนสุดเสียง..

                   ชายแปลกหน้ายิ้มกับคำพูดที่เหมือนเข้าใจความคิดของตนเป็นอย่างดีนั้น แล้วตอบกลับไปเบาๆ

                    ครับ........ ด้วยความยินดี

               เมื่อเขากล่าวคำนั้นจบทั้งคู่ก็ยืนยิ้มให้กันครู่หนึ่งอย่างอิ่มอกอิ่มใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะหมุนตัวกลับหันหลังให้แก่กัน....... โดยที่หญิงสาวก้าวกระโดดขึ้นบันได้ไปทีละสองขั้นอย่างร่าเริงขึ้นจากสถานีรถไฟใต้ดินสู่เบื้องบนที่พระอาทิตย์สาดแสงส่องลงมาเบื้องบน และชายแปลกหน้าที่ค่อยเดินฮัมเพลงลงไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่มืดชื้นเพื่อรอรถไฟใต้ดินขบวนแรกอย่างสบายอารมณ์ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม............

                    ณ ตอนนี้ทั้งคู่ต่างเดินหันหลังให้กัน เพื่อเดินไปสู่วิถีชีวิตแห่งความมืดและแสงสว่างที่แตกต่างกัน ไม่มีสิ่งได้บ่งบอกเป็นหลักฐานว่าเมื่อคืนนี้ขั้วอำนาจทั้งสองได้มาพบกันยังสถานีรถไฟใต้ดินแห่งนี้ หรือจะมีก็คงเพียงแค่ภาพความทรงจำในหัวของคนทั้งคู่..........และคราบของกาแฟที่หกเลอะเต็มพื้นด้วยน้ำมือของหญิงสาวตั้งแต่เมื่อวาน........................................!!

                   

                   

    /////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                   

                   

                   

                   

     

        

        

                   

     

                   

     

                   

                   

     

                                   

     

                   

                   

                   

                   

                   

     

     

     

     

                   

     

     

     

     

                   

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×