คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : แบบทดสอบของผู้สร้าง
แบบทดสอบของผู้สร้าง
สวัสดีสหายผู้มาเยือน...! ขอบคุณสำหรับการที่ท่านแบ่งปันเวลาอันมีอยู่น้อยนิดมาเยี่ยมเยียน และสนทนากับข้า ณ ตอนนี้.... ท่านคงจะไม่รู้ตัวหรอกว่าข้าดีใจซักเพียงไหนที่มีท่านมาเป็นคู่สนทนารายแรกในรอบหลายพันล้านปี ซึ่งหากท่านต้องการที่จะจากไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ข้าก็คงไม่อาจฉุดรั้งท่านไว้ได้ แต่ได้โปรดเถอะ...! ข้าหวังว่าเพียงว่าท่านจะสนใจข้าบ้าง และอยู่สนทนาเป็นเพื่อนข้า พร้อมกับเฝ้ามองบางสิ่งบางอย่างอันน่าสนใจที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งข้าจะให้ท่านลองชมมันดู...!!
ช่างนานเหลือเกิน...! นานมากแล้ว มันนานเสียจนข้าลืมสิ่งที่ถูกเรียกว่ากาลเวลาไปเสียแล้ว เมื่อข้ารู้ตัวแล้วลืมตาขึ้นในวันหนึ่งข้าก็ได้หยุดยืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้แล้ว... ข้าเองยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าตัวเองเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมีความต้องการในเรื่องใด?... หรือใครเป็นคนสร้างข้าขึ้นมาเพราะสาเหตุอะไร? คำถามพวกนี้ไม่เคยได้คำตอบที่ชัดเจนเลยซักครั้ง เพราะสหายคนอื่นๆที่อยู่รอบกายข้าต่างเกิดมาทีหลังข้าเสียทั้งนั้น!!
ข้าได้ทำสิ่งเดียวที่ทำได้นั่นคือการเฝ้ามองดูสิ่งว่างเปล่าที่มืดดำ และกว้างใหญ่ไพศาลจนแม้แต่ตัวข้าเองที่มีเวลายาวนานอย่างเหลือเฟือก็ไม่อาจที่จะมองตรวจดูได้หมดทุกซอกทุกมุม มันนับเป็นงานที่น่าเบื่อและซ้ำซาก แต่มันก็เป็นเพียงเรื่องเดียวที่ข้ามีความสามารถพอทีจะทำได้ นานๆครั้งเท่านั้นล่ะที่ข้าจะได้ค้นเจอสิ่งมีชีวิตบางพวกที่น่าสนใจพอที่จะใช้แก้เบื่อได้บ้างโดยการเฝ้ามองการกระทำของพวกมัน แต่เมื่อไม่มีสิ่งใดให้สนใจนานๆเข้า ข้าก็จะปิดตาลงหลับพักผ่อนเสียซักพักก่อนที่จะกลับมาเฝ้ามองหาสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่น่าจะใช้แก้เบื่อได้ จากอาณาจักรอันกว้างใหญ่ที่น่าเบื่อแห่งนี้!!
“มันเป็นหน้าที่ของเจ้าในฐานะของผู้สร้าง ที่ต้องเฝ้ามองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นต่อไป” สหายคนหนึ่งของข้าเคยกล่าวเช่นนี้ก่อนที่เขาจะหมดอายุขัยและดับสูญไป... มันก็แปลกดีนะ? ทำไมข้าจำเป็นต้องมาทำหน้าที่นี้ด้วยทั้งๆที่ข้าไม่ได้รักที่จะทำมัน แต่ที่ข้าต้องทำเพียงเพราะว่าจำเป็นต้องมีผู้ที่ต้องทำหน้าที่นี้ มิฉะนั้น!.. จะไม่อาจเหลือสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรอันดำมืดแห่งนี้อีกเลย.......!!
ประเดี๋ยวก่อน!!... ข้าว่าข้าพบสิ่งที่น่าสนใจเข้าเสียแล้ว ถึงตอนนี้มันจะยังมีขนาดที่เล็กมากจนแม้แต่ตัวข้าเองก็เกือบที่จะมองข้ามมันไป แต่ยังไงเสียข้าก็มั่นใจว่ามันต้องเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างแน่นอน.... ข้าเริ่มรู้สึกสนใจในตัวของพวกมันที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่ใต้ผืนน้ำสีฟ้าอย่างประหลาด และข้าก็ตัดสินใจที่จะลองติดตามดูการดำรงชีวิตของพวกมันซักพักหนึ่ง ข้าคิดว่ามันคงจะช่วยให้ข้าหายเบื่อไปได้นานทีเดียว!
สหายคนหนึ่งที่มีแสงสว่างห่อหุ้มรอบตัวเป็นทางยาวสีขาวกำลังเดินทางผ่านมาทางนี้ เขาหยุดการเดินทางอันยาวไกล และเข้ามาทักทายข้าด้วยไมตรี... ข้าชอบสหายคนนี้มาก เพราะเขามักจะมีเรื่องราวสนุกๆจากการเดินทางไปรอบๆอาณาจักรตลอด 76 ปีมาเล่าให้ข้าฟังเสมอๆ... ข้าฟังเรื่องราวเหล่านั้นอย่างเพลิดเพลิน และรู้สึกเสียดายทุกครั้งที่เขาอำลาพร้อมทั้งเดินทางจากไป
เมื่อสหายคนนั้นเดินทางจากไปแล้ว ข้าจึงบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยล้า ก่อนที่จะกลับมาเฝ้ามองเจ้าสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจเหล่านั้นต่อไป...!!
สิ่งแรกที่ข้าประหลาดใจที่สุดหลังกลับมาจากการสนทนา...!! คือ การที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นมากทีเดียว และรู้สึกว่าพวกมันจะพัฒนารูปแบบของตนเองให้แตกต่างกันออกไปอย่างมากมาย... บางตัวมีปีกงอกออกมาและกำลังบินร่อนอยู่บนฟ้า บางตัวก็มีเกล็ดหนาพร้อมดำผุดดำว่ายอยู่ ณ แผ่นน้ำสีฟ้ากว้างใหญ่... และบางตัวก็เดินไปมาอย่างเชื่องช้าเข้าออกจากโพรงตามชะง่อนหินทุกย่ำเช้า...!!
“ดินแดนที่ทอแสงสีน้ำเงินเป็นประกายอยู่ข้างเจ้าเรียกว่าอะไรรึ?” ข้าตะโกนถามสหายตัวเล็กที่ทอแสงสีทองรอบตัวเอง ข้าสังเกตเห็นเขาเดินวนเวียนไปมารอบดินแดนสีน้ำเงินนั้นอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เขาน่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับดินแดนแห่งนั้นดีที่สุด...!
“พวกเขาเรียกแทนดินแดนของตนว่าโลกจ๊ะ” สหายตัวน้อยตะโกนตอบมาเสียงใสทันที แต่เนื่องจากเราทั้งสองมีระยะทางที่ห่างกันจนเกินไป กว่าคำสนทนาจะมาถึงกันก็นานเสียจนข้าขี้เกียจคอยเสียหลายครั้ง
“แล้ว... โลกที่เขียวขจี และมีสีฟ้าสดใสนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?”
“ก็เกิดขึ้นมาพร้อมๆกับการปรากฏตัวของท่านไงจ๊ะ... ถ้าไม่มีท่าน ก็จะไม่มีทั้งพวกฉันและทั้งโลก และถ้าไม่มีท่านพวกฉันก็ไม่สามารถที่จะอาศัยอยู่ในอาณาจักรที่มืดทึบนี้ได้” สหายตัวเล็กหัวเราะเสียงใสอย่างร่าเริงตอบกลับมา
ข้าเก็บเอาคำพูดของสหายตัวเล็กมาเฝ้าครุ่นคิด! มันอาจจะเป็นจริงอย่างที่เธอกล่าวก็เป็นได้ เพราะข้าเองก็เคยสังเกตว่า เมื่อข้าจ้องเคลื่อนตัวไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่งด้วยความจำเป็นที่เกี่ยวเนื่องกับช่วงเวลา ทางด้านที่ข้าไม่ได้เคลื่อนไปถึง สิ่งมีชีวิตในดินแดนนั้นก็ต้องเร่งร้อนกลับเข้าไปอยู่ในสิ่งก่อสร้างที่พวกมันทำขึ้นมาแทนโพรงหิน และซุกตัวอยู่ใต้ผ้าผืนหนารอคอยเวลาให้ข้าเคลื่อนตัวกลับมายังทางพวกมันอีกคราหนึ่ง... เวลาที่ข้าอยู่ด้านของมัน ด้านนั้นก็จะพากันทยอยออกจากสิ่งก่อสร้างเหล่านั้น ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปทำสิ่งซ้ำซากอยู่ทุกๆครา!!
เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า... พวกมันก็เริ่มที่จะพัฒนาตนเองอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดพวกมันก็ได้บัญญัติสรรพนามเรียกแทนตนเองขึ้นมาว่า “มนุษย์” และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นสัตว์ประเสริฐเหนือเลิศกว่าสิ่งมีชีวิตชนิดไหนๆ พวกมันเริ่มทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าอย่างบ้าคลั่ง ไม่เว้นแม้แต่พื้นที่สีเขียวขจีที่นับวันจะยิ่งหดหายไปอย่างที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งพวกมันได้ แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่พวกมันเคยเกื้อหนุนกันมา พวกมันก็สามารถฆ่าทิ้งได้อย่างไร้ความปราณี... อย่างเลือดเย็น!!
เมื่อไม่มีสิ่งมีชีวิตได้ขัดขวางพวกมันได้ มันก็สร้างขยายอาณานิคมอย่างรวดเร็ว สีขาวในรูปแบบแท่งสี่เหลี่ยมเสียดฟ้าได้เข้าไปแทนสีเขียวขจีอย่างรวดเร็ว... ข้าเฝ้ามองดูพฤติกรรมของพวกมันมานานติดต่อกันเกือบร้อยล้านปีแล้วจนรู้สึกเมื่อยล้า ข้าคงต้องขอตัวไปพักสายตาซักครู่หนึ่งก่อนที่จะกลับมาเฝ้ามองพวกมันต่อไป...!!
เวลาผ่านไปราวสามร้อยปี.....!!
ข้ารู้สึกมึนงงเล็กน้อยจากการพึ่งตื่นจากนอนหลับ ดูท่าทางข้าคงจะพักผ่อนนานไปนิดหนึ่งนะ? แต่เอาเถอะอย่าพึ่งสนใจในเรื่องนั้นเลย ข้าว่าเรากลับไปเฝ้ามองดูพวกมันต่อกันเสียดีกว่า!
ข้ารู้สึกตื่นเต้นกับวิทยาการที่ยิ่งใหญ่ของพวกมัน!! ตอนนี้พวกมันสามารถทำได้แม้แต่ออกมาจากอาณาเขตดินแดนสีน้ำเงินของตนเองมายืนตัวอยู่เจ้าสหายตัวเล็กที่เคลื่อนที่วนไปรอบๆดินแดนของพวกมันได้แล้ว หลายครั้งที่ข้าเห็นเจ้าสหายตัวเล็กหัวเราะ และสะบัดตัวไปมาเพราะรู้สึกจั๊กจี้ที่มีคนมาเดินไปมาอยู่บนตัวเธอ.... ข้าภาวนาในใจว่าอย่าให้พวกนั้นก้าวหน้าถึงขนาดมายืนอยู่บนตัวข้าด้วยอีกคนในอนาคตอันใกล้นี้เลย!!
ยิ่งนานความตื่นเต้นในวิทยาการของพวกมันสำหรับข้านั้น มันก็กลายเป็นความวิตกกังวลในใจข้า เพราะข้าเห็นพวกมันเริ่มที่จะขัดแย้งกันเอง และแบ่งแยกกันออกเป็นพรรคเป็นพวก กลายเป็นชนชั้น เผ่าพันธุ์ และเชื้อชาติ แถมเริ่มที่จะไม่ไว้ใจแม้กระทั่งพวกเดียวกันเสียด้วยซ้ำ จนในที่สุดสิ่งที่ข้าหวาดกลัวก็บังเกิดขึ้น...!!
ในที่สุดพวกมันหันมาจับเอาวิทยาการที่ภูมิใจหนักหนา มาแปรเปลี่ยนเป็นอาวุธประหัตประหารเข่นฆ่ากันเองเพียงเพื่อค่านิยมในหมู่พวกมันที่ถูกเรียกว่า......อำนาจ!!
หลังการต่อสู้! ซากไร้ชีวิตของพวกมันก็ถูกทิ้งไว้กลาดเกลื่อนตามถนนหนทาง ทุกแห่งหนต่างเต็มไปด้วยซากศพที่หากเอามาสุมทับกันแล้วจุดไฟเผา คงจะไหม้กลายเป็นเชื้อไฟสว่างไสวไปได้นานหลายปีทีเดียว
เอ... ข้าคิดว่าข้าเคยเห็นภาพแห่งความวิบัติเช่นนี้มาก่อน มันเหมือนภาพที่ซ้ำซากหลายครั้งหลายคราเหมือนข้ากำลังนั่งดูวิดิโอม้วนเดิมซ้ำไปมา มันอาจจะแตกต่างกันเพียงตัวเอกในการแสดงนำเท่านั้น แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเหมือนกันหมด..... สิ่งมีชีวิตที่เจริญแล้วในอาณาจักรแห่งนี้มันช่างโง่เง่าเสียจริงๆ ที่รู้จักแต่การตัดสินปัญหาอย่างซ้ำซากเสียยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่ไม่มีรูปร่างที่แน่นอน แถมไร้สมองไว้ตั้งบนหัวเสียอีก...!! ถึงข้าอยากจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้พวกมันเพียงใด ข้าก็ไม่อาจทำได้ สิ่งที่ข้าทำได้ดีที่สุดคือการเฝ้าภาวนาให้สิ่งมีชีวิตพวกนั้นสามารถหาทางออกที่ดีได้ด้วยตนเองเท่านั้น.
สหายคนสุดท้ายที่เคยมาถึงก่อนหน้าท่านเพียงเล็กน้อย เดินทางมาจากอีกฟากหนึ่งที่ไกลโพ้นของอาณาจักรแห่งนี้ เมื่อเขามาถึงจุด ณ ที่ข้าอยู่ เขาก็ยืนนิ่งและมองทอดไปยังดินแดนที่กำลังเกิดกลียุคนั้นอย่างทอดอาลัย.... เมื่อข้าสังเกตดูก็พบว่า เขามีสีดำทมิฬกลืนกับสีรัตติกาล และมีขนาดใหญ่ถึงหนึ่งในสิบของข้าทีเดียว
“สวัสดี... สหายผู้มาเยือน ท่านมีธุระอันใดหรือจึงได้เดินทางผ่านเวลาอันแสนนานมาถึงที่นี่?” ข้าร้องถามเขา เมื่อเห็นเขายังนิ่งสนิทและมีสีตาเศร้าสร้อย
“สวัสดี.. มหาดาราผู้จรัสแสง ที่ข้าเดินทางมา ณ ที่แห่งนี้เป็นเพราะภารกิจที่จำเป็นต้องกระทำให้เสร็จสิ้น” เขาตอบกลับมาอย่างนอบน้อม
“ภารกิจอะไรหรือ?” ข้าคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินคำตอบแบบนี้มาก่อน แถมหลายครั้งเสียด้วย แต่ด้วยสมองที่เก็บความทรงจำไว้มากเกินไปของข้าทำให้นึกไม่ออกว่าภารกิจของพวกเขานั้นคืออะไร?
“การดับสูญสิ่งที่โง่เขลาในดินแดนนี้ให้หมดไป” เขาพูดเรียบๆราวกับเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับข้าแล้วกลับรู้สึกใจไม่ดี การลบสิ่งมีชีวิตหนึ่งเผ่าพันธุ์ออกไปจากอาณาจักรแห่งนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับข้าที่มีหน้าที่เฝ้ามอง!!
ข้ากับสหายสีดำทมิฬ เฝ้ายืนมองสิ่งที่ครั้งหนึ่งถูกเรียกว่าโลก! สีของมันเริ่มเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่ปี ตั้งแต่สีดังเดิมที่เป็นสีน้ำเงิน กลับกลายเป็นสีเหลืองหม่น และในที่สุดมันก็กลายเป็นสีเขียวแก่คล้ำอมดำจนน่าสะพรึงกลัวราวกับเป็นดินแดนแห่งความตาย...!
“ลาก่อน... ถึงเวลาของข้าแล้ว!” สหายสีดำทมิฬกล่าวคำอำลากับข้า หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆเคลื่อนที่เข้าไปใกล้ดินแดนแห่งมนุษย์ชาติอย่างช้าๆ โดยที่ข้าไม่อาจสรรหาคำห้ามใดที่มีเหตุผลพอมาปรามเขาไม่ให้ทำตามภารกิจนั้นได้..!!
พริบตาต่อมา!! อดีตดินแดนสีน้ำเงินก็ลุกไหม้กลายเป็นสีแดงเพลิง สิ่งมีชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนิดสูญสลายไปอย่างไม่เหลือแม้แต่ซากให้พอเป็นหลักฐานว่าครั้งหนึ่งเคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บนดินแดนนี้.... มันลุกไหม้จนข้าแสบตาด้วยน้ำมือการเข้ากระแทกของสหายสีดำทมิฬที่ในขณะเดียวกันเขาก็สาบสูญไปพร้อมกับดินแดนนั้น...... ข้ามองทอดอาลัยให้แก่สหายสีดำทมิฬและอดีตดินแดนสีน้ำเงินที่บัดนี้ปราศจากสิ่งมีชีวิตแม้แต่ตัวเดียว..!!
ข้าเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้วนเวียนอยู่ซ้ำซาก ณ ตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้างจากทุกส่วนของอาณาจักรแห่งนี้ มันเกิดขึ้นมากมายจนข้าขี้เกียจที่จะนับแล้วว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไร? ข้ารู้เพียงแต่ว่าตราบใดที่ข้ายังคงส่องแสงสว่างอยู่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรเช่นนี้ ซักวันหนึ่งก็ต้องมีสิ่งมีชีวิตที่โง่เขลาเช่นนี้เกิดขึ้นมาอีกในดินแดนไม่แห่งใดก็แห่งหนึ่งที่กระจัดกระจายกันอยู่ ในอาณาจักรที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตานี้...!!
เอาล่ะ... ข้าคงต้องมองหาสิ่งอื่นมาทำฆ่าเวลาต่อไปแล้ว ข้าสนุกมากที่ข้าได้เล่าเรื่องราวประสบการณ์ที่ข้าได้พบเห็นมาให้ท่านฟัง ข้าหวังว่าซักวันหนึ่งเราคงได้พบกันอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นข้าหวังว่าคงจะได้รับฟังประสบการณ์ที่ผ่านชีวิตมายาวนานไม่มากก็น้อยของท่านบ้าง... แต่ตอนนี้ข้าเห็นว่าอดีตดินแดนสีน้ำเงินนั้นกำลังมีฝนตกลงมาสู่ผืนดินที่แตกร้าว และมีสีเขียวเกิดขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว อีกซักครู่ข้าคงจะมีอย่างอื่นให้เฝ้ามองจนไม่อาจสนทนากับท่านได้อีก....เพื่อเป็นการตัดปัญหาตอนนี้ข้าคงต้องกล่าวคำว่า....
“ลาก่อนสหายผู้มาเยือน... เมื่อมีสิ่งมีชีวิตที่โง่เขลาเกิดขึ้นมาอีกครา ข้าหวังว่าเราคงได้กลับมาพบกันอีก...... !!”
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ความคิดเห็น