คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 6 : ฝันร้าย
-6-
ความฝันในค่ำคืนนั้น มันช่างแปลกประหลาดเสียจนน่าใจหาย
ผมฝันว่าตัวเองได้กลายเป็นสายลม เป็นลมที่พัดผ่านอย่างช้าๆ และแผ่วเบาผ่านท้องทุ่งหญ้าเขียวขจีที่ทอดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ผมพัดผ่านทุกสรรพสิ่งเบื้องล่างไปอย่างอิสรเสรี พร้อมกับสามารถลอยสูงขึ้นไปจนถึงเมฆสีขาวบนท้องฟ้าที่อ่อนนุ่มราวกับปุยไหมได้ตามใจต้องการทุกเมื่อ
บนทุ่งหญ้าอันเขียวขจีเบื้องล่างของตัวผมนั้น ปรากฏร่างของฝูงม้าหลายสิบตัวกำลังวิ่งโลดโจนทะยานรวมกลุ่มกันไปข้างหน้าอย่างร่าเริง สำหรับตัวผมผู้หยาบกร้าน และไม่เคยให้ความสนใจในความเป็นไปของโลกแล้ว พวกมันก็เป็นเพียงฝูงสัตว์เดรัจฉานที่พากันวิ่งวนไปมาอย่างไม่มีจุดหมายเท่านั้น
ถึงผมจะเป็นแบบนั้น ผมก็กลับไปสะดุดใจเข้ากับม้าสีขาวนวลตัวหนึ่งที่กำลังพยายามวิ่งแซงม้าตัวอื่นๆ ถึงแม้ว่าหลายครั้งมันจะสะดุดล้มลงจนร่างกายเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลนบ้าง แต่มันก็ยังคงลุกขึ้นพร้อมกับพยายามวิ่งต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ จนกระทั่งในที่สุด มันก็สามารถขึ้นมาวิ่งขึ้นนำอยู่เบื้องหน้าของฝูงได้สำเร็จ
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ผมมองดูมันด้วยความสนใจ พร้อมกับเผลอส่งเสียงเชียร์ให้มันลุกขึ้นวิ่งให้เร็ว ให้เหนือกว่าตัวอื่นๆ
บางทีการที่ผมถึงกับผลอใจส่งแรงเชียร์ให้กับมัน อาจจะเป็นเพราะผมชอบทุกสิ่งที่เป็นตัวมันก็เป็นได้ ทุกครั้งที่มันออกวิ่ง มันมักจะวิ่งด้วยอาการก้าวกระโดดราวกับกำลังดีใจที่ได้วิ่งอยู่บนท้องทุ่งที่ไกลจนสุดเส้นขอบฟ้าแห่งนั้น
ในวินาทีนั้น
พริบตาที่ผมก้มลงไปมองโดยหวังว่าจะได้เห็นม้าตัวนั้นเต็มสองตาเป็นครั้งแรก ม้าตัวนั้นมันมันก็เงยหน้าขึ้นฟ้ามองตรงมาที่ตัวผม พร้อมกับฉีกยิ้มให้อย่างร่าเริง
ทันทีที่ผมได้เห็นภาพอันสุดจะเหลือเชื่อนั้น อยู่ๆสายลมเบื้องหลังก็เริ่มส่อเค้ารุนแรงพัดมาจากทางด้านหลัง มันเริ่มจากเพียงการพัดโบกอย่างช้าๆ ค่อยๆแรงขึ้นทีละน้อย ในเวลาเพียงไม่นานนัก มันก็กลายเป็นสายลมกรรโชกอย่างรุนแรงเหมือนพายุที่หอบเอาสายลมเอื่อยๆที่ไร้แรงต้านอย่างตัวผมไปด้วย
ผมพยายามฝืนหันกลับไปมองหาที่มาของลมพายุนั้น ว่ามันมาจากที่ไหนกันแน่
!
เมื่อผมสามารถหมุนกายต่อต้านแรงลมอันบ้าคลั่งกลับไปได้เป็นผลสำเร็จ สิ่งที่ผมเห็น คือ กลุ่มพายุลูกใหญ่ภายใต้ภายใต้ท้องฟ้าสีดำหม่นหมอง พร้อมกับสายกัมปนาทที่ลามเลียละเลียดตามเมฆดำแปลบปลาบอยูเป็นระยะอย่างน่าพรั่นพรึง มันคืบคลานข้ามามาหาตัวผมอย่างรวดเร็วจนเกินกว่าที่ผมจะตั้งตัวติด พร้อมกับส่งเสียงคำรามก้องจาดสายฟ้าที่ผ่าฟาดลงบนพื้นดินเป็นระยะราวกับต้องการข่มขู่สายลมที่อ่อนแออย่างตัวผม
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันช่างรวดเร็วเสียจนแม้แต่จะคิดหนี ผมก็ไม่อาจจะทำมันได้..!
เมื่อพายุเมฆดำเข้ามาถึงระยะที่จะสามารถกลืนเอาสายลมเล็กๆอย่างผมได้อย่าง่ายดาย พลัน! พวกมันกลับหยุดชะงักพร้อมกับเริ่มแปรเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นหน้าของอาจารย์วิเชียรจอมโหดของฝ่ายปกครองแทน
“วิริยะ
. เธอถูกไล่ออกกกกกกกกกกกก
!!!”
เสียงกู่ร้องของเมฆทมิฬรูปหน้าอาจารย์ ผู้ที่ผมไม่ถูกชะตามากที่สุดนับตั้งแต่เกิดมาดังสนั่นก้องทุ่งหญ้าเสียจนผมคิดว่าแก้วหูของตัวเองมันคงจะทะลุพังไป เพราะไม่อาจรับความรุนแรงไปในพริบตานั้นเสียแล้ว ผมรีบยกมือขึ้นปิดหูตามสันชาตาญาณ ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้อย่างชัดเจนนักหรอกว่าสายลมอย่างที่ผมกำลังเป็นอยู่มันจะมีมือ หรือหูให้ใช้ปิดหรือเปล่า
ผมหลบสายตาจากอาจารย์ผู้กำลังร้องก้องโลกลงไปยังฝูงม้าที่อยู่ ณ เบื้องล่าง แต่พวกมันเองก็ต่างพากันวิ่งหนีกระจัดกระจายเนื่องจากตกใจในเสียงอันดังนั้นไปคนละทิศละทาง เหลือเพียงม้าสีขาวนวลตัวที่ผมให้ความสนใจยืนนิ่งอยู่บนทุ่งกว้างนั้นเพียงลำพังราวกับไม่ได้หวาดเกรงในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
มันเงยหน้าขึ้นสบตากับผมอีกครั้ง พร้อมกับค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างไปกลายเป็นหญิงสาวที่ผมพึ่งจะรู้จักได้ไม่นาน เธอยิ้มให้กับผมเหมือนกับที่เคยทำ ก่อนที่จะชี้นิ้วไปยังทางด้านหลังของผม เหมือนกับต้องการที่จะให้หันกลับไปมอง
ทันทีที่ผมหันกลับไปมอง ผมพึ่งรู้สึกตัวว่า มันเป็นจังหวะเดียวกับที่กลุ่มเมฆรูปอาจารย์วิเชียรเกือบจะเข้ามาถึงตัวผมแล้ว
!!
ปี๊บ
! ปี๊บ
! ปี๊บ
!
เสียงร้องเตือนสายเข้า จากโทรศัพท์มือถือที่ผมทิ้งเอาไว้บนหัวเตียงช่วยฉุดตัวผมให้ฟื้นกลับมาจากโลกแห่งความฝันสู่โลกแห่งความเป็นจริง ถึงแม้ผมจะรู้ทั้งรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อสักครู่มันหาใช่ความจริง แต่ภาพของความฝันอันน่าแปลกประหลาดเสียจนน่าขนหัวลุก มันก็ถึงกับทำให้ร่างของผมชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อไคลจนเสื้อผ้าเปียกชุ่มไปหมด
ผมยังคงนอนลืมตาโพลงมองฝ้าเพดาห้องนอนอันคุ้นเคยของตัวเอง พร้อมกับพยายามระงับลมหายใจเข้าออกที่แรงเร็วไม่แพ้จังหวะหัวใจที่กำลังเต้นถี่ยิบราวกับกลองชุดอยู่อย่างเนิ่นนาน และเมื่อผมเริ่มสงบใจของตัวเองลงได้ ความง่วงซึมมันจึงเริ่มกลับมาครอบงำร่างกายของผม พร้อมกับเรียกร้องให้หลับตาจมกลับสู่ห้วงนิทราอีกครั้งหนึ่ง
โทรศัพท์มือถือของผม มันยังคงส่งเสียงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ตัวผมกลับทำเป็นหัวทวนลมไม่ใส่ใจกับเสียงของมัน ผมคิดเข้าข้างตัวเองด้วยความขี้เกียจเอาว่า หากผมไม่สนใจกับมัน ไม่นานนักผู้ที่กำลังโทรศัพท์มาก็คงจะยอมแพ้ไปเสียเอง
แต่.. ผมกลับคาดผิด!
เสียงเรียกเข้ายังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้เสียงรอสายจะหลุดจากสัญญาณไปแล้ว อีกฝ่ายก็ยังคงดื้อดึงโทรมาอีกอย่างซ้ำๆ จนผมเริ่มเกิดความสงสัยว่าต้นสายที่กำลังพยายามปลุกให้ผมลุกไปโทรศัพท์นั้น ทำไปเพราะต้องการแกล้ง หรือว่างมากเสียเต็มประดากันแน่
ผมหยิบเอาหมอนใบใหญ่ที่ใช้หนุนนอนมาคลุมปิดศีรษะเอาไว้จนมิด โดยหวังว่ามันจะช่วยลดทอนเสียงที่ได้ยินลงบ้าง แต่ผมกลับคิดผิด เพราะมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดผมก็ทนรับมลภาวะทางเสียงที่กำลังเกิดขึ้นไม่ไหว หลังจากที่สัญญาณเรียกเขาดังขึ้นอีกสองถึงสามครั้ง ผมจึงควานหาโทรศัพท์เจ้ากรรมที่วางทิ้งไว้บนหัวเตียงภายใต้ความมืดทั้งที่ยังไม่ลืมตา
“อื้อ
. ฮัลโหล!” ผมกรอกเสียงอ้อแอ้ตอบรับอีกฝ่ายทันทีที่นำโทรศัพท์มาแนบหูได้เป็นผลสำเร็จ
“สวัสดีค่ะ ที่กำลังพูดสายอยู่ใช่คุณแวนหรือเปล่าค่ะ?” เสียงหวานๆอย่างมีมารยาทของหญิงสาวดังตอบรับมาจากทางต้นสาย เสียงนั้นมันยิ่งทำให้ตัวผมที่กำลังอยู่ในสภาพเบลอจากกการพึ่งตื่นนอน ยิ่งรู้สึกงวยงงหนักมากยิ่งขึ้นไปอีก เท่าที่ผมจำได้ ตัวผมไม่เคยให้เบอร์โทรศัพท์มือถือกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน แต่จะว่าอีกฝ่ายโทรมาผิดก็คงจะไม่ใช่ เพราะเมื่อสักครู่อีกฝ่ายพึ่งจะเรียกชื่อเล่นของผมออกมาอย่างชัดเจน
“ครับ” เมื่อผมยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ผมจึงตอบรับแบบสุภาพเอาไว้ก่อน
“แวนเหรอ!? นี่เราออยนะ” เมื่อผมยืนยันตัวเองออกไป เสียงหวานๆนั้น ก็พลันเปลี่ยนโทนกลายเป็นเสียงใสๆที่ผมเริ่มจะคุ้นเคยอย่างร่าเริงทันที
ทันทีที่ผมรู้ชัดแล้วว่าคู่สนทนาคือใคร แทนที่ผมจะรู้สึกโล่งใจ แต่ความแปลกใจกลับยิ่งก่อเค้ามากขึ้นภายในใจของผมยิ่งขึ้นไปอีก
ผมใช้หลังมือขยี้ตา พร้อมกับควานหานาฬิกาปลุกแบบตั้งโต๊ะที่ผมวางเอาไว้ที่หัวเตียงโดยอาศัยเพียงแสงสลัวจากเสาไฟฟ้าที่หัวมุมถนนเป็นเครื่องนำทาง แต่กว่าที่ผมจะพบมันเข้า ตัวผมที่เอื้อมมือ และยืดตัวมากจนเกินความจำเป็น ในตอนที่ควานหาอย่างสะเปะสะปะนั้น มันก็ทำให้ร่างของผมเสียการทรงตัวจนเกือบจะเสียหลักตกลงจากเตียงลงไปจูบพื้นห้องหลายต่อหลายครั้ง
มันคงไม่ดีแน่ ถ้าหากผมทำอะไรเสียงดังแบบนั้นลงไป ซึ่งอาจจะเป็นชนวนก่อเหตุปลุกให้พ่อ กับแม่ของผมที่กำลังนอนหลับอยู่ข้างล่างลุกตื่นขึ้นมาในตอนนี้
แสงไฟสีเขียวอ่อนจากนาฬิกาในมือของผม มันช่วยบ่งบอกว่า ณ ตอนนี้เป็นเวลา 04.30 น.
ทันทีที่ผมเห็นเวลาในมือ มันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ซึ่งบางทีสาเหตุมันคงจะเป็นเพราะผมไม่เคยถูกปลุกให้ตื่นตั่งแต่ตอนเกือบเช้าเช่นนี้
“มีธุระอะไรถึงได้โทรศัพท์มาดึกดื่นขนาดนี้?” ผมถามกลับไปอย่างหัวเสีย โดยไม่ยอมรับความจริงที่ว่าเวลาตอนนี้ มันใกล้เช้ามากกว่ากลางดึกมากนัก
“ดึกอย่างนั้นหรือ นี่นายจะบ้าหรือยังไงกัน!? ตอนนี้มันใกล้จะเช้าแล้วนะ ควรที่จะตื่นได้แล้ว” น้ำเสียงของเธอแสดงความตกใจ แต่เธอไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวผมนั้น ตกใจมากเสียยิ่งกว่าเธออีก เพราะอยู่ดีๆกลับมีคนโทรมาปลุกให้ตื่นเสียตั้งแต่ไก่ยังไม่ขันอย่างตอนนี้
“จะให้รีบตื่นไปทำซากอะไรตั้งแต่ตอนนี้?” ผมเผลอลุกขึ้นยืน ในขณะที่เกือบจะเผลอตัวกรอกเสียงตะคอกลงไปในโทรศัพท์ด้วยความไม่พอใจ แต่ผมกลับลืมไปเสียสนิทว่าอาการปวดกล้ามเนื้อตั้งแต่เมื่อวาน มันยังคงส่งผลอยู่ ความเจ็บปวดเหล่านั้นยังคงหลอกหลอนแลบเลียให้ร่างกายของผมรู้สึกปวดแปลบปลาบเหมือนกับถูกกระแสไฟฟ้าจี้ไปทั้งตัว
การที่ผมฝืนตัวเองลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหันเช่นนั้น แน่นอนว่าผลตอบแทนที่ตามมา เล่นเอาตัวผมถึงกับต้องทรุดกายลงไปนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ด้วยอาการปวดกล้ามเนื้อเสียจนร่างกายสั่นระริก..
“ล้างหน้าล้างตา แล้วออกมาซ้อมวิ่งตอนเช้าได้แล้ว” ยิ่งเธอพยายามยกเอาเหตุผลขึ้นมาอธิบาย ผมกลับยิ่งรู้สึกสังเวชตัวเองมากยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งที่ผมกำลังปวดกล้ามเนื้อจนรู้สึกราวกับความตายมันมาวนเวียนอยู่ตรงหน้า แต่เธอกลับต้องการให้ผมออกไปยืดเส้นสายออกกำลังให้อาการผมมันทรุดหนักลงไปอีกเช่นนั้นหรือ?
ผู้หญิงคนนี้ เธอเป็นปีศาจชัดๆ..
ในขณะที่เธอกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับผมนั้น ผมได้ยินเสียงเครื่องจากรถยนต์คันหนึ่งแทรกผ่านออกมา ถ้าหากผมฟังไม่ผิดแล้วล่ะก็ ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเสียงของรถยนต์คันนั้นมันฟังดูคุ้นหู เหมือนกับเสียงของรถคันที่พึ่งจะวิ่งผ่านหน้าบ้านของผมไปเมื่อสักครู่นี้แทบไม่ผิดเพี้ยน
ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง เนื่องจากรู้สึกเอะใจในบางสิ่ง
“ตอนนี้เธออยู่ข้างนอกอย่างนั้นหรือ?” ผมแกล้งถามออกไปทันทีด้วยความสงสัย ถึงแม้ว่าผมจะมีข้อสันนิฐานเกี่ยวกับเธออยู่ภายในหัว แต่ผมก็ไม่อยากที่จะสนับสนุนความหมกมุ่นของตัวเองโดยไม่มีสาเหตุ
“อืม.. ตอนเรายืนอยู่ที่หน้าบ้านของนายน่ะ”
คำตอบของเธอเล่นเอาผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ก่อนที่จะรีบหันกลับไปรูดผ้าม่านบังแดดสีน้ำเงินเข้มที่หน้าต่างมองลงไปยังถนนคอนกรีตที่ตัดผ่านหน้าบ้านด้วยความรวดเร็ว และมันเป็นความจริงอย่างที่เธอบอกมาทุกประการ เพราะที่หน้าบ้านของผมนั้น ผมเห็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนเอาหูแนบโทรศัพท์ พร้อมกับมองขึ้นมายังหน้าต่างห้องนอนของผม
ทันทีที่เธอเห็นตัวผมที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาอยู่ภายใต้ความมืด เธอกลับโบกมือไปมาอยู่เหนือหัวเป็นเชิงรับรู้
“เราให้เวลานายล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อยภายในสิบนาทีนะ แล้วพบกันข้างล่าง”
กล่าวจบเธอเป็นฝ่ายวางสายไป โดยไม่เปิดโอกาสให้ตัวผมได้ปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้ว่าผมจะรีบร้อน และพยายามแต่งตัวอย่างรวดเร็ว โดยสวมเพียงชุดวอร์มระดับมัธยมปลายทางโรงเรียนที่เก็บซุกเอาไว้ภายในตู้ซึ่งไม่เคยได้ใช้เลยสักครั้ง นำมาสวมทับชุดนอนเอาไว้ ก่อนจะรีบร้อนลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็วแล้วก็ตาม แต่มันก็ดูเหมือนจะไม่ยังไม่ทันใจเธออยู่ดี
“มาสายไปสามนาทีนะ!” คำทักทายแรกที่ออกมาจากปากของเธอทันทีที่ได้เห็นใบหน้าสุดโทรมหลังจากที่พึ่งตื่นนอนของผม หากฟังเพียงผิวเผินแล้ว มันดูเหมือนกับเป็นการประชด แต่หากพินิจจากรอยยิ้มที่แสดงถึงอารมณ์ที่แจ่มใสของเธอแล้ว ถึงผมจะเป็นคนจริงจังอยู่ตลอดเวลาก็พอจะรู้ว่า มันเป็นเพียงคำทักทายติดตลกอย่างคนอารมณ์ดีเท่านั้น
ออย
ยังคงรวบผมไว้เป็นทรงหางม้าอย่างเรียบร้อย และอยู่ในชุดวอร์มของทางคณะสีเหมือนเดิมทุกประการ เท่าที่ผมจำได้ ทุกครั้งที่ได้พบกับเธอ เธอก็มักที่จะอยู่ในชุดลุยสำหรับนักกรีฑาเช่นนี้เสมอ จนตัวผมเริ่มจะไม่แน่ใจแล้วว่า หากได้พบเธอในชุดอื่นจะสามารถจดจำเธอได้หรือเปล่า?
“อืม.. นายแต่งตัวอย่างนี้ ค่อยเหมือนกับที่เป็นนักกรีฑาหน่อย” เธอเดินเวียนไปมารอบกายผมทั้งหน้าหลัง พลางจ้องมองการแต่งกายอย่างละเอียดจนแม้แต่ตัวผมยังพลอยรู้สึกขัดเขินตามไปด้วย ก่อนที่เธอจะหัวเราะออกมาเบาๆ
“มีอะไรน่าขำนักรึยังไง?” ผมโพลงออกไปด้วยความสงสัย เมื่อเห็นว่าเธอยังมีทีท่าหัวเราะไม่หยุด หลังจากที่ได้เห็นสภาพแบบนั้นของผม
ถึงผมจะพยายามทำเสียงดุ เพื่อปกปิดความหวั่นไหวจากอารมณ์ของเธอผู้กำลังมองผมประดุจตัวตลกที่น่าขบขันก็ตาม แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย เธอยังคงขบขันต่อไปอยู่อย่างนั้นอีกครู่ใหญ่ จนตัวชักจะเริ่มชินชากับเสียงหัวเราะของเธอขึ้นมาบ้าง
“ก็นะ.. สภาพของนายมันดูไม่ได้เลยนี่นา” เธอพยายามกลั้นหัวเราะ พร้อมกับชี้ไปยังสภาพเส้นผมบนหัวของผมที่มันราวกับพร้อมใจกันชี้โดเด่ท้าลมแดดลมฝนอันเนื่องมาจากการเพิ่งตื่นนอน และชี้ไล่ลงไปยังการแต่งกายของผม ที่สวมชุดเสื้อวอร์มทับด้านบน แต่ท่อนล่างกลับสวมกางเกงนักเรียนขาสั้นสีน้ำตาลที่ผมใส่นอนหลับ เนื่องจากลืมเปลี่ยนด้วยความเมื่อยล้าหลังจากการซ้อมวิ่งที่แสนทรมานของเมื่อวาน
“อืม.. ดูท่าทางของนายตอนนี้ เหมือนกับจะยังไม่ทันได้อาบน้ำเลยด้วยมั้งนี่?”
เธอยังคงออกปากหาเรื่องแซวผมอย่างไม่เลิก เหมือนกับกำลังล้อเลียนเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานานหลายปี ถึงสิ่งที่เธอกล่าวออกมานั้น มันจะเป็นเพียงสิ่งที่เธอจินตนาการขึ้นมาเล่นๆ แต่มันก็เป็นความจริงทุกประการจนผมรู้สึกแปลกๆถ้าหากจะเถียงออกไป
ผมยังคงยืนเบลอนิ่งเงียบอยู่ที่เดิม โดยปล่อยให้หญิงสาวผู้มีพละกำลังล้นเหลือเบื้องหน้ายังคงสนุกสนานต่อการเล่นสนุกกับสภาพของตัวผมในตอนนี้ต่อไป ตั้งแต่ที่ผมได้ลืมตาขึ้นมามองโลกกลมๆที่โหดร้ายใบนี้ ผมยังไม่เคยตื่นตั้งแต่เช้าขนาดที่ว่าแม้แต่ไก่ยังไม่เริ่มขันเช่นในเวลานี้เลยสักครั้ง หากเป็นยามปกติเฉกเช่นทุกวัน ผมก็คงจะยังซุกกายอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงนอนจนตะวันขึ้นสูงจวนเจียนจะไปเรียนสายเต็มทนผมจึงจะสามารถตื่นขึ้นมาได้ หรือไม่หากความเกียจคร้านมันมีมากกว่า ผมก็มักที่จะไม่ตื่นมันไปเรียนเสียเลย
“เอ้า.. ตื่นได้แล้ว อย่ามัวแต่ทำตัวง่วงหนาวหาวซึมแบบนี้สิ” ผมถึงกับสะดุ้งเฮือก เมื่อเธอปรบมือรัวเสียงดังเพื่อเป็นการเรียกสติหลายต่อหลายครั้งที่ข้างหู
“ตามมาเร็วเข้า ถ้าหากพวกเรายังขืนชักช้า มีหวังพระอาทิตย์จะขึ้นสูงจนแดดร้อนมากกว่านี้นะ”
เธอกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ พร้อมกับเริ่มออกวิ่งนำไปด้านหน้าอย่างช้าๆ
++++++++++++++++++
ความคิดเห็น