คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : คำสัญญาในฤดูร้อน
คำสัญญาในฤดูร้อน
เมื่อคิดถึงเรื่องที่ได้จับมือกับฟ้าคราวใด เด็กผู้ชายดิบๆอย่างผมก็รู้สึกแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...!!
วันหนึ่งในเดือนเมษายนที่มีลมพัดเย็นสบาย ครอบครัวของผมก็มีโอกาสได้ไปเยี่ยมครอบครัวของ “ลุงเบิ้ม” เพื่อนสนิทของพ่อที่หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มันเหมือนกับเป็นธรรมเนียมที่ในปีหนึ่งครอบครัวของผมจะไปเยี่ยมลุงเบิ้มในตอนต้นปี และครอบครัวของลุงเบิ้มก็จะมาเยี่ยมเยียนเราถึงบ้านในตอนปลายปี... สรุปแล้วปีหนึ่งผมจะได้เจอครอบครัวลุงเบิ้มสองครั้ง แต่ที่จริงผมไม่ได้เจอครอบครัวลุงเบิ้มเลยเกือบ 2 ปีแล้ว เพราะตอนนั้นผมมัวแต่ยุ่งๆอยู่กับการสอบเอนทรานซ์และการใช้ชีวิตง่วนอยู่กับกิจกรรมในมหาวิทยาลัย...
ครอบครัวของลุงเบิ้มเป็นครอบครัวขนาดกลาง และมีอาชีพเป็นเจ้าของรีสอร์ทติดทะเล แกเป็นคนที่ตัวใหญ่มากยังกับหมีดำตัวใหญ่ แต่แกกลับรักเด็กมากพอๆกับขนาดตัวของแกได้ ทำให้ทุกครั้งที่ผมเจอแก ผมกับน้องสาวก็มักจะถูกจับโยนขึ้นไปบนอากาศเหมือนลูกบอลเบาๆเสมอๆ ในขณะที่พ่อกับแม่ของผมก็ได้แต่ยืนหัวเราะดูผมที่ตาเหลือกเพราะความกลัวนั้นอย่างเพลิดเพลิน..
ลุงเบิ้มมีลูกเป็นผู้หญิงทั้งหมดถึงสามคน คนโตแก่กว่าผมหนึ่งปีชื่อ “สา” คนกลางชื่อ “ฟ้า” อายุเท่ากับผมพอดี และคนสุดท้ายชื่อ “หวาน” อ่อนกว่ากว่าผมหลายปีแต่รุ่นเดียวกับน้องสาวของผม.... ผมยังแปลกใจอยู่เลยเรื่องที่ลุงเบิ้มแกมีแต่ลูกสาวและชอบไปถามแกบ่อยๆ
“ทำไมลูกของลุงเบิ้มมีแต่ผู้หญิง.. ไม่อยากได้ผู้ชายบ้างเหรอ?” แกก็มักจะตอบว่า
“ ก็มันออกมาเป็นผู้หญิงหมดอย่างนี้ก็ต้องทำใจ ที่จริงลุงเองก็อยากจะได้ลูกผู้ชายซักโหลจะได้ตั้งทีมฟุตบอลไปแข่งให้มันรู้แล้วรู้รอดเหมือนกัน” แล้วแกก็จะหัวเราะเสียงดัง เวลาแกหัวเราะที่ไรผมก็มักจะเห็นภาพหลอนเห็นแกเป็นคิงคองตัวใหญ่กำลังทุบอกตัวเองและโห่ร้องอย่างยินดีทุกที...
ปีนนี้ผมเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ชั้นปีที่ 3 ถึงจะไปเยี่ยมลุงเบิ้มที่บ้าน ผมก็คงจะแก่เกินไปที่จะไปวิ่งเล่นแหกปากที่ริมทะเลเหมือนกับเมื่อก่อน แต่ยังไงเสียช่วงนี้ก็ปิดเทอมอยู่ และต้องยอมรับว่าผมว่างมากจนยอมรับความรบเร้าจากที่บ้านให้มาเยี่ยมลุงเบิ้มด้วยกัน ในขณะที่น้องสาวตัวดีของผมต้องทนอยู่เฝ้าบ้านด้วยความคร่ำเครียดจากการเตรียมสอบเอนทรานซ์ อย่างน้อยผมก็ยังมองโลกในแง่ดีว่ามากับพ่อแม่ในงวดนี้ยังดีกว่าทนแรงกดดันจากน้องสาวที่บ้านที่ นับวันจะยิ่งมีรัศมีสังหารออกมาจากความเครียดเมื่อใกล้วันสอบนั้น
ทันทีที่ลงจากรถ.. ลมทะเลที่พัดเอื่อยๆเอากลิ่นเกลือมากระทบจมูก ผมมองดูรีสอร์ทของลุงเบิ้มเบื้องหน้า มันดูยิ่งใหญ่กว่าที่เคยเห็นเมื่อหลายปีก่อนแถมยังดูทันสมัยอีกต่างหาก มีทั้งสนามสนามเทนนิส บาร์เบียร์ หรือแม้แต่เจ็ทสกีให้เช่าที่ดึงดูดให้คนเข้ามาใช้บริการกันอย่างคับคั่งตั้งแต่ยังไม่ทันจะค่ำ ผมเริ่มแอบชื่นชมลุงเบิ้มในใจที่สามารถบริหารรีสอร์ทให้เจริญก้าวหน้าได้ขนาดนี้
ผมหอบกระเป๋าเดินทางวิ่งเหยาะๆตามพ่อกับแม่ขึ้นตามบันไดหินที่สูงชันเลียบขึ้นไปกับริมตลิ่ง เบื้องหน้ามีเรือนหลังหนึ่งที่ปูพื้นด้วยกระเบื้องหินอ่อนสีเขียวตั้งตระหง่านอยู่ ไม่รู่ผมคิดไปเองหรือเปล่าก็ไม่ทราบผมว่าบ้านหลังนี้มันใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเยอะ
หน้าบ้านมีลุงเบิ้มที่ท่าทางอิดโรยดูไม่ค่อยแข็งแรงนักยืนอยู่กับหญิงสาวในชุดนักศึกษา... พ่อเดินตรงเข้าไปโอบกอดรอบคอของลุงเบิ้มอย่างรักใคร่ ในขณะที่ลุงเบิ้มก็หัวเราะและยกมือขึ้นปรามพ่อผมเบาๆ เพราะแกโดนน้ำหนักตัวของพ่อผมกดจนจะเสียหลักหงายล้มอยู่มะรอมมะล่อ เมื่อผู้ใหญ่ทักทายกันเสร็จแล้วผมจึงเดินตามเข้าไป
“สวัสดีครับลุงเบิ้ม” ผมยกมือไหว้ ลุงเบิ้มโน้มตัวลงมามองผมที่เตี้ยกว่าด้วยสายตาที่ตื่นเต้น
“โอ้...... ว่าไงพัชระหลานรัก ไม่เจอกันไม่กี่ปีกลายเป็นหนุ่มไปเสียแล้ว” ลุงเบิ้มกอดผม cและพยายามออกแรงยก
“อืม... แย่ๆ ยังงี้สงสัยลุงจะจับเราโยนไม่ไหวแล้วนะนี่ ... แล้วตอนนี้เราเรียนอะไรอยู่ชั้นไหนแล้วล่ะ?” ลุงเบิ้มยังคงพยายามจะยกผมขึ้น แต่ยกยังไงก็ยกไม่ขึ้นมันกลับกลายเป็นทำให้ตัวเองเหนื่อยหอบแทน
“ปี 3 แล้วครับลุง.. ตอนนี้กำลังเรียนนิติศาสตร์อยู่ครับ” ผมพูดจบ ตาก็เหลือบไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยความสงสัย ลุงสังเกตเห็นและยิ้ม
“อ้อ... ลืมบอกไป ไม่เจอกันมาหลายปีคงจะจำกันไม่ได้ นี่ยัยฟ้าลูกสาวคนรองของลุงไง.. ตอนนี้ก็เรียนอยู่ปีเดียวกับหลานนั่นล่ะ ผิดกันอย่างเดียวที่คนนี้เขาเรียนการท่องเที่ยวและการโรงแรมน่ะ” หญิงสาวยิ้มให้ผม แต่พยายามหลบเลี่ยงที่จะสบตาด้วย..
“คุณป้าล่ะครับ?” ผมแกล้งเปลี่ยนเรื่อง
“แม่อีหนูน่ะรึ?.... คงอยู่ในครัวแน่ะ พอรู้ว่าพวกหลานจะมารก็เห็นเดินยิ้มกรุมกริ่มเข้าครัวตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว สงสัยวันนี้จะเจอกับข้าวชุดใหญ่แบบท้องไม่แตกตายคงไม่ได้เลิกแล้วล่ะแกเอ๋ย!!” ลุงเบิ้มหัวเราะเสียงดัง
ผมดีใจที่ที่เห็นลุงเบิ้มยังคงหัวเราะเสียงใสได้เหมือนครั้งก่อนๆในอดีต มันบ่งบอกให้รู้ว่าลุงเบิ้มยังคงแข็งแรงดีอยู่ แต่หางตาขี้สงสัยของผมก็ยังไม่วายเหลือบมองหญิงสาวที่ยิ้มร่าในชุดนักศึกษาหญิงที่ขาวหมดจดเหมือนนางฟ้านั้นอยู่ไม่วาย .... นี่คงเป็นอีกครั้งที่ผมมีโอกาสได้พบเธอ!!
“เออ... แกน่ะ ช่วงนี้ธุรกิจกำลังไปได้สวยดีนี่?” พ่อผมถามลุงเบิ้ม หลังจากที่เห็นความเจริญผิดหูผิดตาของรีสอร์ทแห่งนี้
“โอ๊ย... ไม่ไหวแล้วข้าน่ะ.... นี่มันฝีมือยายสามัน ไม่รู้เข้าคิดโครงการนำทงนำเที่ยวอะไรขึ้นมานี่ล่ะ เผลอแปปๆคนก็มาเดินอยู่แถวนี้กันให้ว่อนยังกับงานบุญตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้!” ลุงเบิ้มยิ้มอย่างภูมิใจในบุตรสาวคนโตของตนเอง
“ยายสาเรียนจบแล้วรึ?” พ่อผมถาม
“ก็พึ่งเรียนจบได้ไม่ถึงปีดีเลย เรียนจบปุ๊ปเค้าก็กลับมาช่วยงานที่บ้านนี่ล่ะ...!! เอ้า.. เข้าบ้านก่อนดีกว่าเดี๋ยวแม่อีหนูจะรอนานจนบ่นอีก” ลุงเบิ้มพูดจบก็เดินนำเข้าบ้าน พ่อกับแม่ของผมก็เดินตามแกเข้าไป แต่พอผมจะเดินตามพวกท่านเข้าไปผมก็กลับถูกดึงมือข้างหนึ่งไว้จากข้างหลัง...
ผมหันกลับไปมองก็เจอฟ้ายืนยิ้มให้ ผมยาวๆของเธอถูกลมทะเลพัดเบาๆจนพริ้วไหวไปตามลม ดูเหมือนภาพวาดหญิงสาวริมทะเลภาพหนึ่งก็ไม่ปาน...... ใจผมเต้นสะดุดครั้งนึง!!
“ไม่เจอกันนานนะ.. หายไปไหนมาเสียนาน?” เธอถามแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือ
“ก็ยุ่งๆอยู่กับการเรียนน่ะ... แล้วฟ้าเป็นไงมั่งสบายดีไหม?” ในบรรดาพี่น้องสามสาวแล้ว ฟ้าเป็นคนที่ผมสนิทมากที่สุด แต่พอมาเจอกันตอนโตเป็นสาวขนาดนี้ (และสวยด้วย) ผมเองก็ชักรู้สึกหวั่นๆ ว่าความรู้สึกแบบพี่น้องที่เคยมีมาจะเลือนหายกลายเป็นอย่างอื่นเหมือนกัน....!
“ก็เรื่อยๆ!” แต่พอเธอเห็นผมที่ยังคงจ้องที่ข้อมือ เธอจึงพึ่งรู้ตัวและปล่อยมืออย่างอายๆ
“หนุ่มๆ มาจีบเยอะเลยล่ะสิที่มหาวิทยาลัย?” ผมยังคงจ้องตามท่าทางของเธอทีเอียงอาย
“บ้า....! ไปเรียนย่ะ ไม่ได้ไปหาแฟน” พูดจบเธอก็วิ่งเข้าบ้านไป แต่ผมยังคงยืนยิ้ม! .... ถ้าหากผู้หญิงลองพูดอย่างนี้แสดงว่ายังไม่มีแฟนแน่นอน
คืนนั้นบ้านของลุงเบิ้มเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ยิ่งในช่วงทานอาหารเย็นยิ่งเป็นไปด้วยความเป็นกันเองเหมือนครอบครัวเราทั้งสองเป็นครอบครัวเดียวกัน พวกเราออกมาตั้งโต๊ะทานอาหารกันที่ริมหาดท่ามกลางลมทะเลที่พัดเอื่อยๆ กลิ่นของเกลืออ่อนๆมันยิ่งทำให้ความอยากในอาหารเพิ่มขึ้นผมจึงสามารถทานได้มากเป็นพิเศษ.... ลูกสาวทั้งสามของลุงเบิ้มนั่งอยู่ตรงข้ามโต๊ะกับผมอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา น่าอิจฉาแกนักที่มีลูกสาวที่รักบ้านเกิดและคอยเอาใจใส่แกขนาดนี้.. ลูกสาวแกก็ยังไม่วายรุมตำหนิผมที่ไม่ได้พาน้องสาวมาด้วย แถมยังโดนงอนหน้าหงิกที่ผมไม่ยอมโผล่หน้ามาเยี่ยมเสียหลายปีจนเกือบลืมหน้ากัน...
“โอ๊ย... เดี๋ยวเจ้าพัชระมันก็มาที่นี่บ่อยๆแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก!” ลุงเบิ้มพูดไปหัวเราะไป ผมงงในคำพูดนั้นและมองดูพ่อที่กำลังหัวเราะตามลุงเบิ้มอย่างมีเลศนัย.... ผมมองแม่เป็นเชิงขอคำตอบข้อสงสัย แม่เพียงแต่ยิ้มตอบแต่ไม่ได้พูดอะไรเลย!!
หลังอาหารค่ำ ผมก็นอนไม่หลับตามนิสัยของนักศึกษาเมืองหลวงที่นอนดึก ผมเดินเล่นไปเรื่อยๆตามชายหาดยามดึก ปรากฏว่าลมทะเลยามกลางดึกมันช่างรุนแรงแต่สดชื่นดีเสียจริงๆ มองไปทางไหนก็เห็นแต่น้ำทะเลสีดำสนิทที่มีระดับสูงขึ้นจนเกือบกลืนสันทรายบนเชิงหาด.... เกลียวคลื่นสูงลิ่วตามแรงลมที่พัดกระทบเข้าหาผมละลอกแล้วละลอกเล่า มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดจนผมเผลอยืนจ้องมองมนต์เสนห่แห่งท้องทะเลนั้นอย่างเนิ่นนานแบบไม่รู้ตัว....
“ยุงไม่กัดรึไงน่ะ... ยืนนิ่งเป็นตอไม้แบบนั้น?” มีคนมาพูดเบาๆอยู่ข้างหลังผมจึงพึ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
“รึถูกแบบที่เขาว่า ยุงมันจะไม่กัดคนโง่?” ตามมาด้วยเสียงหัวเราะใสๆที่ผมจำได้ดี พอหันหลังกลับไปก็พบกับฟ้าที่กำลังหัวเราะตามคาด
ฟ้าสวมชุดนอนสีฟ้าอ่อนที่เบาบางโปร่งลมทั้งตัว บนไหล่ทั้งสองข้างมีผ้าคลุมไหล่คลุมทับชุดนอนไว้อีกชั้น เธอยืนหันหลังให้แสงไฟที่ส่องออกมาจากบ้านพักทำให้ใบหน้าของเธอมืดสลัวกลืนไปกับความมืด แต่หาได้กลบแววตาที่เปล่งประกายสวยงามนั้นไม่!!....... ภาพที่เห็นนั้นมันทำให้ผมใจเต้นอยู่วูบหนึ่ง!!
“คงงั้นมั้ง” ผมตอบแบบไม่ค่อยใส่ใจในคำถามนัก
“รู้สึกเธอจะพูดน้อยลงมากกว่าแต่ก่อนนะ?” เธอเดินเขามายืนข้างๆ
“หึ... ก็โตจนจะเป็นควายแล้วนี่ครับท่าน หรือจะให้วิ่งรอบหาดแถวๆนี้แล้วแหกปากตะโกนเหมือนกับแต่ก่อนดีล่ะ?” ผมลองพูดแหย่ดู
“อืม.. นั่นก็ไม่เลวนะ จะลองทำดูอีกเลยไหมล่ะ?” เธอหัวเราะ ผมแทบไม่เชื่อว่าเธอจะยอมขำกับไอ้มุขฝืดๆที่ไม่เคยทำให้ใครหัวเราะได้เลยซักครั้งของผม
“ไม่ดีกว่า... ขอบคุณ” ตอนนี้ผมเลยพลอยหัวเราะไปกับความงี่เง่าของตัวเองพร้อมๆกับเธอไปด้วย ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าถึงเวลามันจะผ่านมาหลายปี แต่สำหรับฟ้าแล้วเธอก็ยังคงเป็นฟ้าคนเดิม เป็นฟ้าคนที่ชอบเย้าแหย่และไม่ถือตัว..... ไม่ยักกับเหมือนสาพี่สาวของเธอซักนิด ที่เวลาเจอผมที่ไรก็ชอบเดินหลบหน้า หรือยายหวานที่ติดนิสัยชอบแกล้งคนแบบเจ็บๆซึ่งเหยื่อส่วนมากก็คือผมเอง...
“จำแนวหินตรงริมหาดด้านโน้นได้ไหม?” เธอชี้มือฝ่าความมืดไปยังชะง่อนหินที่วางตัวเป็นแนวยาวไกลลิบลับจากจุดที่เรายืนอยู่ ผมพยายามมองฝ่าความมืดตามไปแต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดของท้องทะเลที่มืดมิด
“ตรงนั้นทำไมรึ?” ผมไม่ยักจะจำได้ว่าตรงนั้นมันมีอะไรเป็นพิเศษ นอกจากหิน หิน และหิน.... เธอหน้ามุ่ยทันที!!
“แล้วจำคำสัญญาตอนนั้นได้ไหมล่ะ?” เธอหันมาหาผม.... คำถามนั้นทำเอาผมต้องพยายามรีดสมองคำตอบออกมา แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก
“จำไม่ได้แฮะ.... มันมีเรื่องอะไรรึ?” ผมยอมรับตรงๆแบบเด็กๆ.... ตอนแรกผมเตรียมตัวจะวิ่งหนีเพราะกลัวเธอว้ากใส่ แต่เธอกับนั่งนิ่งไปซักพักก่อนทำให้ผมรู้สึกใจไม่ดี... ก่อนที่เธอจะหันมายิ้มให้..
“ช่างเถอะ... ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตรึสำคัญอะไรขนาดนั้นหรอก ดึกแล้วชั้นไปนอนก่อนนะ แล้วเจอกัน!” เธอตัดบทแล้วเดินจากผมไปอย่างดื้อๆ.... ปล่อยให้ผมมองตามหลังของเธอที่ค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆด้วยความรู้สึกผิดที่เอ่อล้นออกมาจากหัวใจ!!
เช้าแล้วผมก็ยังคงนั่งนึกถึงอึคำสัญญาคำนั้น แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก.... ยิ่งตอนอาหารเช้าผมยิ่งรู้สึกว่าคำสัญญานั้นมันสำคัญสำหรับฟ้ามาก ถึงขนาดที่ฟ้าพยายามหลบหน้าผมทีเดียว... ในที่สุดผมก็นึกหาทางออกพบ ก็ในเมื่อเราฟื้นความทรงจำไม่ได้ก็ต้องหาคนอื่นมาช่วยขุดคุ้ยมันขึ้นมา
ผมยิ้มกริ่มและรีบไปชวนลุงเบิ้มคุยเรื่องสัมเพเหระ ก่อนที่จะหลอกถามลุงเบิ้มแบบอ้อมๆ...ไม่ถามตรงๆ
“ตรงแนวหินตรงฟากโน้น มันมีอะไรหรือครับลุง?” ผมพยายามหลอกล่อ
“ไม่มีอะไรหรอก นอกจากก้อนกินทั้งนั้น กับน้ำทะเลที่มันลึกผิดปกติไปหน่อย” ลุงเบิ้มตอบตามปกติ แต่ผมกลับรู้สึกผิดหวังที่ข้อมูลที่ได้ไม่ช่วยให้ความคิดในหัวมันปะติดปะต่อกันเลย... แต่แล้วอยู่ๆลุงเบิ้มก็ยกมือขึ้นเกาคางท่าทางครุ่นคิด ก่อนที่จะพูดต่อว่า
“เออ... นึกออกเรื่องหนึ่ง ตรงนั้นมันเคยเกิดเรื่องกับยายฟ้าและแกนี่นา!... ไม่อยากเชื่อว่าแกจะลืม”
“เรื่องอะไรหรือครับ?” ผมรีบร้อนถามจนลุงเบิ้มรู้สึกสงสัย
“เรื่องมันก็นานมาแล้วน่ะนะ ตั้งแต่พวกหลานยังตัวเล็กๆอยู่เลย.... ตรงนั้นน้ำมันค่อนข้างลึกผิดปกติ ตอนนั้นลุงนั่งอ่านหนังสืออยู่ดีๆ ยายสาก็วิ่งแจ้นร้องไห้มาบอกว่ายายฟ้าตกน้ำ” ผมตั้งใจฟังเก็บข้อมูลด้วยใจลุ้นระทึก
“พอลุงไปถึงก็เจอเรากำลังพยายามคว้ากอดยายสารที่ป๋อมแป๋มอยู่ในน้ำเหมือนลูกหมาตกน้ำ แต่น้ำทะเลตรงนั้นงี้แดงแจ๋เพราะเลือดที่ไหล่ออกจากแผลที่แขนของเราน่ะ”
“มารู้ทีหลังว่ายายสากับฟ้ามันทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไรซักอย่างนี่ล่ะ พอดีดันวิ่งเล่นกันอยู่แถวนั้นพอดี..... พอเราจะเข้าไปห้ามเลยโดนสามันผลักไปกระแทกโดนฟ้ามันตกน้ำ....” ผมเริ่มคลับคล้ายคลับคลาจะจำได้
“น้ำมันก็ไม่ได้ลึกมาก แต่ฟ้ามันว่ายน้ำไม่แข็งเราก็เลยกระโดดลงไปช่วย แล้วตอนที่โดนลงไปน่ะดันโดดไม่พ้นเหลี่ยมหิน มันก็เลยบาดเอา!!” ผมยกแขนข้างซ้ายขึ้นมองดูแผลเป็นที่เป็นทางยาว ตอนนี้ผมรู้แล้ว่าแผลเป็นอันนี้ได้มาตั้งแต่เมื่อไหร่
“แต่ถึงเจ็บยังไมก็ไม่ยอมร้องซักคำ แถมกอดยายฟ้าแน่นไม่ยอมปล่อย.... เรานี่ใจเด็ดสมเป็นลูกผู้ชายตั้งแต่ยังเด็กเลย” ลุงเบิ้มพูดอย่างชื่นชม..... ซักพักผมก็หาเรื่องเลี่ยงการสนทนาจากลุงเบิ้มออกมาเพราะได้ข้อมูลเพียงพอแล้ว แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าวันนั้นฟ้ากับสาทะเลาะเรื่องอะไรกัน?
ผมคิดว่าจะลองไปถามฟ้าดูแต่ก็คงจะไม่ยอมบอกแถมเผลอๆจะงอนหนักกว่าเดิม หรือจะไปถามพี่สา! แต่สงสัยรายนั้นจะไม่ยอมพูดกับผมเป็นการส่วนตัวเช่นเคย คิดไปคิดมาก็เหลือแต่ยายหวานนี่ล่ะที่จะพอหลอกถามได้ง่ายที่สุดแล้ว...
ผมเดินตามหาหวานไปทั่วทั้งหาดและบ้านพัก กว่าจะเจอตัวเข้าเวลาก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงวันแล้ว คุณเธอเล่นมาแอบนอนอ่านหนังสืออยู่เงียบๆบนดาดฟ้าของเรือยนต์ลำใหญ่ใครมันจะไปหาเจอเข้าได้ง่ายๆ
“อ้าว... มาทำอะไรตรงนี้น่ะหวาน?” ผมแกล้งฟอร์มทำเป็นเหมือนบังเอิญเดินมาเจอ
“อ้อ..พี่พัชระ ก็หนูจะสอบเอ็นฯแล้วนี่ก็ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบสิ” ผมสะอึกไปเล็กน้อย ลืมไปว่าหวานกับน้องสาวผมรุ่นเดียวกัน
“อ่านตรงนี้ไม่ร้อนเรอะ?” ผมมมองดูดวงอาทิตย์ที่สาดแสงจ้า ปากก็ถามเรื่อยเปื่อย
“โธ่พี่.... ตรงนี้มันร้อนก็จริงแต่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมากวนบ่อยๆนะ!!” เธอเริ่มเสียงขุ่นจากความรำคาญ ผมไหวตัวทันและต้องรีบหาทางดึงประเด็นไปเรื่องอื่นให้เร็วที่สุด
“ทางแนวหินตรงฟากโน้นเป็นไง.... ท่าทางมีลมพัดเย็นสบายดีด้วยนะ?”
“ไม่ไหวหรอกพี่ตรงนั้นน่ะ..! หนูไม่อยากเห็นเลือดอีกแล้วน่ะ!!” เธอเสียงอ่อยลง
“เลือด..!!” ผมแกล้งไก๋ต่อ ท่าทางตอนนี้ยายหวานกำลังถูกดึงมาที่ประเด็นผมเต็มที่แล้ว
“เลือดพี่นั่นล่ะ จำไม่ได้รึไง?” ผมส่ายหัวรับว่าไม่รู้ตรงๆ แต่ในใจกำลังยิ้มร่าเพราะดูเหมือนผมใกล้จะได้คำตอบแล้ว
“ก็วันนั้นพวกเราไปเล่นกันตรงแนวหินฟากโน้นกันหมดทั้งสี่คน แล้วอยู่พี่สากับพี่ฟ้าก็ทะเลาะกัน......”
“ทะเลาะกันเรื่อง?” ผมรีบถามต่อ แต่ท่าทางเธอยังอ้ำอึ้งเหมือนหลุดปากเรื่องสำคัญที่ไม่สมควรที่จะพูด
“เรื่องอะไรหวาน?” ผมรีบกดดันต่อ
“ก็เรื่องที่ทั้งสองคนแย่งกันว่า ตอนโตขึ้นใครจะได้เป็นเจ้าสาวของพี่ไงล่ะ..!!” หวานพูดอย่างหนักแน่น......... แต่ผมร้องอ๋อ เหมือนเมฆที่บดบังในความทรงจำมันมลายหายไปเยอะทีเดียว
“สองคนนั้นเลยทะเลาะกัน... ไปๆมาๆพี่ฟ้าก็พลัดตกน้ำ แล้วพี่ก็โดดตามลงไปช่วยเลยได้แผลเบ้อเริ่มจนทะเลเงี๊ยแดงแจ๋... ยี๋ซ์!! แค่คิดก็สยองแล้วไม่ขอเล่าต่อได้ไหมน่ะ?” หวานหลับตาลงแล้วตัวสั่นท่าทางหวาดกลัวจริงๆ.... เอาเถอะ! ถึงหวานจะไม่เล่าต่อผมก็พอที่จะปะติดปะต่อเรื่องเองได้แล้ว
ผมลาหวานอย่างเงียบๆแล้วเดินจากมา แต่ในหัวยังคงคิดทบทวนไอ้คำสัญญาที่ฟ้าเคยพูดไว้ต่อไปแต่ก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดี... สงสัยคงต้องเดินไปดูที่เกิดเหตุฟากโน้นให้บรรยากาศมันช่วยฟื้นความทรงจำเอาเองเลยคงจะง่ายกว่ากระมัง....!
แนวโขดหินตรงนั้นยังคงเงียบเหงา และห่างไกลจากผู้คนเหมือนเดิม.. ตรงนั้นมันไม่มีอะไรเลย นอกจากหิน เศษหิน และก้อนหินเยอะแยะเต็มไปหมด ผมเลือกนั่งลงบนก้อนหินที่ซ้อนทับกันขึ้นมา ณ จุดสูงที่สุด สายตาเหม่อมองไปยังท้องทะเลกว้างเบื้องหน้า และคลื่นที่ซัดเข้ามากระทบก้อนหินที่ระเกะระกะพวกนั้น....... ยิ่งนานไปก้อนหินมากมายนั้นก็ยิ่งทำให้ผมตาลายเข้าไปอีก แบบนี้อย่าว่าแต่คำสัญญาเลยขนาดก้อนหินก้อนที่บาดผมเป็นก้อนไหนผมยังจำไม่ได้ว่ามันเป็นก้อนไหน... เอาเถอะ! ค่อยไปขอโทษฟ้าเอาก็ได้ ก็พยายามนึกแล้วแต่มันคิดไม่ออกจริงๆนี่นา!
พอนานเข้าก็กลายเป็นว่าผมไม่ได้คิดอะไรนอกจากการนั่งรับลมเล่นๆ ตาก็มองดูไปนั่นไปนี่เพลินๆ จนพระอาทิตย์ทอแสงสีส้มจับขอบฟ้าบ่งบอกเวลาว่าใกล้จะย่ำค่ำผมก็เห็นร่างใครบางคนลิบๆตรงแนวหินไกลๆที่ค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ.... พอลองเพ่งดูถึงรู้ว่านั่นเป็นหญิงสาวในชุดทำงานที่มีท่าทางทะมัดทะแมง
“ไงเจ๊!.. มาทำอะไรแถวนี้?” ผมถามตามความเคยชิน แต่ตอนนี้เราอยู่ห่างกันแค่เพียงช่วงแขนกั้น.... พอผมพูดจบแล้วในใจก็ยังลุ้นๆอยู่ว่าเธอจะหลบหน้าผมเหมือนเดิมหรือเปล่า
“มาระลึกถึงความทรงจำบางเรื่อง” พี่สาวกล่าวเรียบๆ แต่ก็ยังไม่ยอมสบตากับผมเหมือนเคย
“อ้อ......” ผมเออออ ยังสงสัยอยู่ว่าความทรงจำในเรื่องไหน?
“เธอจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงนี้ได้รึเปล่า?” เธอชี้มือไปยังริมโขดหินที่ตัวเองยืนอยู่ให้ดูขอบของหินที่แหลมคมจนน่าเสียวไส้ ผมมองตามและพอรู้แล้วว่ามันเป็นเหตุการณ์ในอดีตเรื่องไหน..... ผมพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ
“แล้วจำคำสัญญาได้ไหม?” เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมเป็นครั้งแรกเผยให้เห็นใบหน้าที่แดงเรื่อขึ้นด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้ผมเองใจก็เริ่มเต้นแรงด้วยคำทวงถามถึงสัญญาที่ตามมาอีกคนอย่างเป็นระเบิดลูกโซ่...
“อืม.... จำได้!!” ผมแกล้งทำเป็นจำได้ตามน้ำไปก่อน เธอยิ้มแก้มแทบปริเผยให้เห็นลักยิ้มที่มุมปากทั้งสองข้าง.... มันเป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นมาหลายปีแล้ว!!
“สัญญากันแล้วนะว่า...........” เธอเว้นวรรค ผมเองก็กำลังลุ้นระทึกกับคำพูดที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากของเธอ
“พออยู่มหาวิทยาลัยแล้ว จะกลับมาบอกว่าจะเลือกรับใครเป็นเจ้าสาว... ฉันหรือฟ้า?” พูดจบเธอก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย... ผมตกตะลึงอยู่กับคำพูดนั้น!! นี่ผมในสมัยเป็นเด็กกล้าไปสัญญาอะไรแบบนั้นไว้ได้ยังไงกันเนี่ย............................!! เธอยังคงยืนนิ่งรอคอยคำตอบ.... ผมกลั้นใจตอบไปตามเท่าทีคิดได้ไปก่อน
“อืม..... แต่สำหรับตอนนี้ผมคิดว่าผมยังไม่พร้อม” ผมหวังตอบแค่เอาตัวรอด แต่คำตอบนั้นกลับทำให้ตาเธอแดงเรื่อขึ้น และเดินจากไปเงียบๆด้วยความผิดหวัง..... ปล่อยให้ผมถูกความรู้สึกผิดเข้าครอบงำในจิตใจอีกครั้ง
อาหารค่ำคืนนั้นไม่อร่อยเลย...! ทั้งๆที่มันก็เป็นอาหารทะเลเลิศรสที่ผมชอบหนักหนา แต่ตอนนี้ผมกลับทานมันอย่างไร้รสชาติ พ่อสังเกตเห็นในท่าทีของผมจนนึกว่าผมไม่สบาย ผมได้แต่ยิ้มจืดๆให้พ่อและเลี่ยงออกมาจากกลุ่มหลังอาหารค่ำ......... ผมเดินหลบมาอยู่ ณ ส่วนที่เงามืดจากแสงไฟสาดส่องมาไม่ถึงบริเวณหลังบ้าน ไม่ใช่ผมไม่อยากรวมวงสนทนากับพวกผู้ใหญ่หรอก แต่ผมกลัวที่ต้องผเชิญหน้ากับพี่น้องสองสาวนั้นมากกว่า...
สำหรับผมแล้ว สามคนกับสองคำสัญญามันไม่ง่ายเลยที่จะทำ เพราะถ้ารักษาสัญญาที่ให้ไว้กับใครแล้ว อีกคนหนึ่งก็ต้องเจ็บปวด.... ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว หรือจะคว่ำโต๊ะไม่รักษาสัญญากับใครเลยให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวไปดี...!!
“ชอบจริงนะที่หลบมานั่งทำหน้าหงิกคนเดียว?” ฟ้าโผล่มาข้างหลังผมแบบไม่ให้รู้ตัวอีกแล้ว หรือลูกสาวบ้านนี้เป็นผีกันหรือยังไง? ไม่ว่าผมจะแอบไปนั่งอยู่ตรงไหนก็สามารถตามมาเจอได้ตลอด!!
“กำลังคิดอยู่ว่ามนุษย์มาจากที่ไหน และกำลังจะไปยังที่ใด?” ถึงผมจะรู้สึกหงุดหงิด แต่ก็ไม่วายที่จะห่าเรื่องแหย่ตามนิสัย
“ตลกล่ะ..!!” เธอหัวเราะ ก่อนที่จะทรุดกายนั่งลงข้างๆผม... แต่แววตากลับส่อการคาดคั้นความจริง!
“ก็ได้ๆ.... ยอมก็ได้ ตอนนี้กำลังคิดถึงเรื่องคำสัญญาอยู่” ผมสารภาพอย่างเหนื่อยใจ.. เธอยิ้มอย่างพอใจในคำตอบนั้น
“จำได้แล้วหรือ?” ผมพยักหน้า
“แล้วจะตอบได้รึยัง?” เธอเล่นถามแบบต้อนทางหนีของผมเข้าไปทุกขณะ
“ขอเวลาอีกหน่อย...!!” ผมพูดจบ แล้วรีบลุกหนีทันที
“ห้ามหนี.... ตอบมาก่อน?” เธอส่งเสียงดุคาดคั้นตามมา ผมเสียวสันหลังวาบเมื่อรู้สึกว่าถูกดึงมือไว้จากข้างหลัง
ความอบอุ่นจากฝ่ามือเล็กๆ อันบอบบางที่เกาะกุมมือของผมจากข้างหลังถ่ายทอดผ่านมือที่หยาบกร้านและเย็นชื่ดด้วยความหนาวเย็นแห่งไอทะเลของผม... ยิ่งการเกาะกุมนั้นนานเท่าใด เหงื่อที่ฝ่ามือของผมก็ยิ่งผุดออกมาจากความตื่นเต้นในจิตใจมากเท่านั้น....!!
เวลาผ่านไปนาน ความกดดันก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วยจนผมรู้สึกอยากจะสะบัดมือนั้นแล้ววิ่งหนี... แต่สงสัยจะทำไม่ได้เพราะผมรู้สึกว่าตอนนี้มือเรียวๆข้างนั้นกลายเป็นโซ่เหล็กที่เกาะกุมผมไว้
“ถามจริงๆว่าจำได้แล้วจริงๆนะ?” เธอถามตอกย้ำ ผมเกาหัวแกรกๆ
“จำได้แล้วจริงๆ!!.... แต่เรื่องแบบนี้มันตอบยากนะ ขอเวลาหน่อยได้ไหม?”
“ก็ได้!” เธอปล่อยมือโดยที่ยังทำหน้าผิดหวัง.... มันทำให้ผมรู้สึกผิดเหมือนกัน
“แต่พรุ่งนี้เธอจะกลับแล้วนี่?” เธอพูดเศร้าๆ แล้วเดินจากไป.........
คำพูดของฟ้าทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันครบกำหนดกลับของผมแล้ว ถึงว่าสินี้เองเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่น้องสองสาวพลัดกันมาทวงถามคำสัญญากับผมในวันนี้เสียเหลือเกิน.... แล้วผมจะทำอย่าไรดีล่ะนี่??
รุ่งเช้าแล้วผมก็ยังนอนไม่หลับ พอเคลิ้มๆจะหลับทีไรก็เห็นภาพฟ้ากับสาพลัดกันมาวนเวียนอยู่ในความฝันอยู่ตลอด....... ผมไม่กล้าแม้แต่จะมาทายอาหารเช้าร่วมกับพวกลุงเบิ้มด้วยความรู้สึกผิด จนพ่อบีบแตรรถเรียกนั่นล่ะผมจึงเดินลงมาจากห้องนอน
ผมเดินมาถึงก็เห็นพ่อกับลุงเบิ้มยืนกระซิบกระซาบอะไรกันอยู่สองคนอยู่ก่อนแล้ว ผมไม่ได้สนใจนักพอยกมือไหว้ลุงเบิ้มกับป้าเสร็จผมก็หลบหน้าลูกๆของลุงเบิ้มเข้าไปนั่งเอนกายอยู่ที่เบาะหลังทันทีด้วยความรู้สึกละอาย
“ให้เวลาถึงฤดูร้อนหน้านะ...!!” มีเสียงพูดและลมหายใจมาเป่าที่ข้างหูเบาๆ มันทำให้ผมถึงกับสะดุ้ง พอหันไปมองก็เห็นพี่สากับฟ้ามายืนเกาะกระจกรถอยู่ข้างๆแล้ว
“เราสองคนตกลงกันแล้ว ว่าจะให้เวลาถึงถึงฤดูร้อนหน้า.... สำหรับการรักษาคำสัญญา” พี่สายืนยิ้มให้อยู่เบื้องหลังของฟ้าที่เกาะกระจกรถอยู่
“ปีหน้าอย่าลืมมาล่ะ?” ฟ้าพูด
“สัญญานะ?” พี่สากล่าวย้ำ... แล้วทั้งสองสาวก็ยิ้มให้
“สัญญาครับ...!” ผมพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม ความหนักใจของผมถูกคำต่อเวลาช่วยให้โล่งใจไปได้บ้าง อย่างน้อยตอนนี้ผมก็ยังเหลือเวลาให้ค่อยๆคิดเรื่องการทำตามสัญญาอีกกว่าหนึ่งปี
รถยนต์ประจำบ้านของผมแล่นออกไปตามถนน ทิ้งภาพของครอบครัวลุงเบิ้มที่มารวมกันยืนโบกมืออวยพรการจากลาไว้เบื้องหลัง... ผมเริ่มผ่อนคลายหลังรอดจากวิกฤตมาได้ ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจพี่น้องสองสาวนั้นหรอก เพราะดูยังไงพี่สาก็สวยมากส่วนฟ้าก็น่ารักสดใส... จนผมรู้สึกว่าทั้งสองดีเกินไปสำหรับตัวผมด้วยซ้ำ แต่เมื่อผมได้สัญญาไว้ว่าปีหน้าจะมาตอบคำถามของพวกเธออีกครั้งหนึ่งผมก็ต้องมา และคราวนี้ล่ะที่ถึงคราวของผมที่จะต้องรักษาสัญญาบ้างแล้ว เหมือนกับที่พวกเธอยังคงรักษาสัญญาในวัยเด็กไว้โดยไม่ลืม...!!
พอใจเริ่มหัวมันก็เริ่มหมุนติ้วด้วยความง่วงก็เข้าครอบคลุม แต่พอเคลิ้มจะหลับก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นอีกเพราะถูกพ่อเอื้อมมือมาสะกิดปลุก
“หลับรึยังลูก?” ผมงัวเงียลุกขึ้นมานั่งตัวตรง
“ยังครับ.. มีอะไรครับพ่อ?” ผมเห็นพ่อยิ้ม
“จำได้ไหมที่ลุงเบิ้มแกเคยบอกว่าอยากได้ลูกชาย?”
“ครับ.. จำได้ ทำไมหรือครับ?” ผมจำคำพูดที่ว่าแกยากได้ลูกชายซักโหลได้อย่างแม่นยำเพราะแกพูดออกบ่อยๆ... แปลก! พ่อมาถามอะไรเอาป่านนี้?
“เดี๋ยวเราเตรียมมาเป็นลูกชายลุงเบิ้มได้เลย”
“อะไรนะครับ?” ผมงงกับคำพูดของพ่อ
“เดี๋ยวปีหน้าเราเรียนจบแล้วน่ะ เตรียมตัวมาทำงานอยู่กับลุงเบิ้มได้เลย!” พ่อหัวเราะ ผมหันหน้าไปหาแม่เพื่อขอคำยืนยันความจริงก็เห็นแม่ยิ้ม
“นี่หมายความว่า?” ผมเริ่มรู้แล้วว่าทำไมปีนี้แม่ถึงคาดคั้นให้ผมมาด้วยนักหนา นี่แสดงว่าที่พาผมมาด้วยเพราะจะให้ผมดูสถานที่ฝึกงานด้วยนี่เอง
“เออ.. ลุงเบิ้มฝากบอกอะไรมาด้วย” รอยยิ้มของพ่อกลายเป็นรอยยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ ผมชักรู้สึกไม่ดี
“แกบอกว่าเราน่ะมาเป็นลูกชายบ้านนี้ได้แล้ว... แกรอมานานหลายปีละ”
“หมายความว่ายังไงครับ?” ยิ่งพ่อพูดผมก็ยิ่งงง
“ก็หมายความว่าเราเรียนจบเมื่อไหร่ ก็เลือกรับลูกสาวแกไปเป็นเจ้าสาวซักคนสิ แกจะได้มีลูกชายซักที!” ผมกุมขมับ...... พึ่งรู้สึกตัวว่าไอ้คำสัญญาในวัยเด็กนั้น สงสัยมันเกิดขึ้นเพราะลูกๆของแกถูกปลูกฝังเรื่องแบบนี้ไว้ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กแล้วกระมัง...... แล้วมันคงจะเป็นฝีมือของใครไปไม่ได้นอกจาก... ลุงเบิ้ม!!
“เผลอๆ.. พ่อจะได้หลานชายด้วยไง” พ่อผมพูดจบก็หัวเราะอย่างร่าเริง... ในขณะที่ผมเริ่มปวดขึ้นมาอีกรอบ นี่ฤดูร้อนคราวหน้าผมต้องกลับมาทำตามสัญญาของตัวเอง แถมทุกฤดูต่อๆไปผมก็ต้องกลับไปเจอหน้าพี่น้องสองสาวนั้นในฐานะเพื่อนรวมงานทุกวันๆในอนาคตหรือนี่....!!
ตอนนี้ผมไม่อาจฝืนต่อต้านความง่วงที่เข้ามาเกาะกุมโสตประสาทไว้ได้แล้ว ผมเริ่มเคลิ้มตาปรือแต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ดังชัดเจนก้องอยู่ในหัวเหมือนคนเป็นโรคประสาทหลอน มันเป็นเสียงดีใจของลุงเบิ้มที่ดีใจในความประสบผลสำเร็จของแผนการอย่างงดงามแว่วมาแต่ไกลว่า....
“ยังไงก็หนีไม่รอดหรอกหลานชาย.............!!” แล้วผมก็เผลอหลับไป
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ความคิดเห็น