ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ระยะห่างเพียงฟากฟ้า

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 5 : การพบกันอีกครั้ง

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.ค. 52


    -5-

     

              ทันทีที่เสียงออดบอกเวลาเลิกเรียนครั้งสุดท้ายส่งเสียงสิ้นสุดลงในตอนเย็นของวันถัดมา ผมก็ถูกอาจารย์วิเชียร กับอาจารย์ฝ่ายปกครองอีกสองสามคนมายืนรอดักตะครุบตัวเอาไว้ที่หน้าห้องเรียน โดยไม่เปิดช่องว่างให้ผมได้มีโอกาสหลบเลี่ยงได้เลยแม้แต่น้อย

               ทิวทัศน์เบื้องนอกที่ผมเห็นผ่านกระจกรถยนต์ของอาจารย์วิเชียรค่อยๆเปลี่ยนไปอย่างช้าๆตามระยะทางที่มันเคลื่อนตัวไป ถึงอย่างนั้นภาพที่ผมเห็นตลอดทั้งสองข้างทาง มันก็มีเพียงตึกสูงตระหง่านนของอาคารสำนักงาน สลับไปกับร้านค้า และบ้านเรือนของชาวบ้านที่ผมเคยเห็นมาตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กจนชินตา ถึงแม้ว่าในเขตตัวอำเภอเมือง ของจังหวัดของผม มันจะไม่เจริญ และมีตึกสูงเสียดฟ้าท้าลมหนาวที่พัดวนอยู่เบื้องบนเหมือนกับกรุงเทพฯที่ผมเคยเห็น แต่ที่นี่ก็ยังนับว่าเป็นหัวเมืองใหญ่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากของภาคอีสาน

                แม้ว่าจะอยู่บนเบาะหลังของรถยนต์ที่กำลังเคลื่อนที่ ซึ่งมันได้แปรเปลี่ยนกลายสภาพจากยานพาหนะกลายเป็นคุกคุมขังที่ไร้ทางหนี แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังถูกอาจารย์ฝ่ายปกครองอีกสองคนนั่งชิดขนาบซ้ายขวาราวกับผู้คุมจนผมรู้สึกอึดอัดพิกล การที่พวกเขาทำแบบนั้น มันยิ่งผล็อยทำให้ผมรู้สึกว่า ตัวเองเหมือนกับกำลังกลายเป็นนักโทษที่กำลังเดินทางไปยังเรือนจำเข้าไปใหญ่

                อาจารย์วิเชียรยังคงขับรถต่อไปเรื่อยๆโดยไม่ได้กล่าวอะไรเลยแม้แต่น้อย มันยิ่งทำให้บรรยากาศภายในรถผล็อยทวีความตึงเครียดมากขึ้นไปอีก จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เจ้าม้าเหล็กที่ยอมให้พวกผมนั่งโดยสารมาตลอดทางมันยอมเข้าชิดซ้ายที่มุมถนน พร้อมกับค่อยๆหยุดการเคลื่อนไหวของตัวเองจนนิ่งสนิท

                “เอาล่ะ.. ถึงแล้ว” หลังจากที่เงียบมานาน ในที่สุดอาจารย์วิเชียรก็กล่าวขึ้น พร้อมกับชี้มือไปยังสถานที่ด้านข้าง ผมมองตามไป และเมื่อเห็นว่าที่นั่นมีอะไรตั้งอยู่ ผมก็ต้องขมวดคิ้วทันที

                ณ ด้านข้างทาง สถานที่ที่ตั้งอยู่จนแทบจะชิดกับรถยนต์ที่พวกผมกำลังนั่งอยู่นั้น คือ สนามกีฬากลางที่ผมพึ่งจะมาเยือนเมื่อวาน พร้อมกับได้รอยแผลจากน้ำมือของบรรดาเหล่าอริกลับไปเป็นของฝากปรากฏอยู่

              ผมเผลอกำหมัดทั้งคู่แน่น ด้วยความคับแค้นใจที่ถูกเล่นงานเอาเพียงแค่ฝ่ายเดียว

                ทันทีที่ผมคิดได้เช่นนั้น สายตาของผมมันก็พลันเหลือบมองไปมาตามทางเดินเท้า เผื่อว่าจะได้พบกับบรรดาเหล่านักเรียน จากโรงเรียนคู่อริบ้างด้วยความเคยชิน

                แต่.. ถึงแม้ผมจะทำแบบนั้นอยู่นานสักเท่าไหร่ ก็ราวกับสวรรค์กำลังต้องการกลั่นแกล้งในความต้องการของผม ทั้งท้องถนน และบนทางเท้าทั้งสองฟากฝั่งเองกลับว่างเปล่าปราศจากเงาของเด็กนักเรียนในเครื่องแบบของโรงเรียนอื่น แต่กลับกลายเป็นมีเด็กนักเรียนในชุดพละของโรงเรียนผม ที่กำลังพากันออกมาซื้อหาของกินตามร้านค้ารถเข็นริมทางข้างประตูรั้วของสนามกีฬากลางกันอย่างคึกคัก

                อาจารย์วิเชียรเดินนำลงจากรถเข้าไปภายในสนามกลางกีฬากลาง ส่วนตัวผมเองเมื่อถูกอาจารย์อีกสองท่านเดินคุมตามมาข้างหลัง จึงไม่มีทางเลือกนอกเสียจากเดินตามหัวหน้าฝ่ายปกครองผู้กำลังกุมสถานภาพนักเรียนของผมอย่างเงียบๆ

                ตามปกติแล้ว ถ้าหากนักเรียนชายคนไหนเดินมากับอาจารย์ฝ่ายปกครอง พร้อมกับทำหน้าบอกบุญไม่รับแบบตัวผมไม่ตอนนี้ ไม่ว่าใครที่ได้เห็นร้อยทั้งร้อยก็ต้องพากันปักใจเชื่อโดยทันทีว่า พวกเขาเหล่านั้นต้องพึ่งไปทำในบางสิ่งที่ขัดกับกฎเกณฑ์ของทางโรงเรียนอย่างแน่นอน

    ยิ่ง ณ เวลานี้ รูปแบบการเดินแบบถูกขนาบหน้า และหลังเอาไว้อย่างแน่นหนาราวกับขบวนขนส่งนักโทษไปยังแดนประหารที่ดำเนินอยู่ มันยิ่งทำให้ผมกลายเป็นจุดสนใจ ระคนกับการเป็นเป้าซุบซิบนินทาของบรรดาเหล่านักเรียนที่ได้เห็นมากยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่า

    มันก็ไม่น่าแปลกที่พวกเขาจะคิดเช่นนั้น เพราะการที่นักเรียนชายเพียงหนึ่งคน ถูกอาจารย์ฝ่ายปกครองคุมตัวมาอย่างระแวดระวังขนาดนี้ มันอาจจะเป็นเรื่องหาดูที่ไหนไม่ได้ง่ายๆอีกแล้ว

    เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ อาจารย์วิเชียรจึงหยุดลง พร้อมกับชี้เข้าไปยังสถานที่ที่เป็นจุดหมายปลายทาง ผมมองตามไปอย่างช้าๆ โดยไม่ได้ใส่ใจนัก แต่พอผมเห็นเต็มตาเป็นครั้งแรกว่าตรงที่กำลังถูกอาจารย์ชี้บอกนั้นมันคือที่ไหน ผมถึงกับต้องหน้าตื่นเป็นครั้งแรก

    สภาพของสนามหญ้า และลู่วิ่งดินที่เต็มไปด้วยบรรดาเหล่านักกรีฑาทั้งชายหญิงจำนวนมากไม่ผิดอะไรกับเมื่อวานปรากฏชัดขึ้นมาเบื้องหน้าของผม มันเป็นภาพที่ผมไม่เคยสังเกต หรือเคยใส่ใจมันเลยแม้แต่น้อยจวบจนกระทั่งถึงเมื่อวาน แต่เพียงแค่ข้ามคืนเดียว สิ่งที่ผมกำลังมองเห็นอยู่นี้ มันกลับทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

    “เธอต้องทำกิจกรรมอยู่กับชมรมนี้ อย่างน้อยก็จนกว่ากีฬาสีจะจบ” อาจารย์วิเชียรไม่พูดเปล่า แต่กลับออกแรงดึงแขนของผมให้เดินตามเข้าไปกลางสนามฟุตบอลที่มีอัฒจันทร์สำหรับเชียร์กีฬาหันหน้าล้อมเข้าหาเป็นรูปวงกลมทุกด้าน การกระทำเช่นนั้นของอาจารย์ทำให้ผมชักรู้สึกเอะใจกับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึง

    ในที่สุด เรื่องที่ผมกลัวมันก็ได้เกิดขึ้นจนได้ เมื่ออาจารย์พาผมไปหยุดลงตรงหน้ากลุ่มเด็กวัยรุ่นชายสองสามคนในชุดเครื่องแบบพละสีม่วงที่ผมเคยเห็นมาเมื่อวานนี้ ท่ามกลางบรรดาสมาชิกชมรมคนอื่นๆที่ต่างพากันหยุดการทำกิจกรรมต่างๆของตัวเอง แล้วเริ่มเดินเข้ามาจับกลุ่มรายล้อมการมาเยือนของอาจารย์อย่างกะทันหันด้วยความสนใจ

    ตอนนั้น.. ผมรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าตนเองกำลังกลายเป็นตัวประหลาดที่มีไว้โชว์ตามงานวัด!

    ผมรู้สึกได้ถึงสายตาจากทุกสารทิศที่จ้องมองมาด้วยความแปลกประหลาดใจ ผสมปนเปไปกับเสียงซุบซิบกระซิบกระซาบพูดถึงตัวผมอย่างแผ่วเบา ผมไม่ชอบลักษณะการแสดงออกอย่างลับๆล่อๆเหมือนกับพวกสัตว์กินพืชชั้นต่ำที่ขี้ขลาดของพวกเขาเหล่านั้นเลยสักนิด เพราะผมมักจะยึดหลักคติประจำใจว่าคนจริงไม่จำเป็นต้องนินทาลับหลัง

    ทุกครั้งที่ผมกวาดสายตาที่แสดงความไม่เป็นมิตรอย่างเด่นชัดมองไปยังทิศใด เสียงนินทาจากทางนั้นก็จะพลันเงียบหายตามไปด้วย..

    “รัชพล.. เด็กคนนี้ล่ะที่ครูพูดถึงอยู่บ่อยๆ ครูอยากจะให้เธอช่วยดูแลเสียหน่อย” อาจารย์วิเชียรพูดฝากฝังกับชายหนุ่มสูงโปร่งหน้าตาจัดว่าดีในชุดเครื่องแบบพละสีม่วง พร้อมกับตบบ่าเขาเบาๆอย่างรักใคร่

    ผมมองตามการกระทำของอาจารย์แล้วก็อดเสียมิได้ที่จะยิ้มเยาะออกมา นี่ถ้าหากคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของอาจารย์ในตอนนี้ไม่ใช่เด็กหนุ่มคนนั้น หากแต่เป็นตัวผมแล้วล่ะก็ อาจารย์คงจะไม่มีทางตบบ่าอย่างเป็นกันเองแบบนั้นเป็นแน่

    แต่.. สิ่งที่ผมได้รับ มันคงจะเป็นไม่ไม้หวายชุบน้ำเกลือที่ต้นขา ไม่ก็สันแฟ้มหนาที่กลางหน้าผากแทน

    “เชื่อใจผมได้เลยครับอาจารย์” เขายิ้มตอบ

    หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มพูดอะไรบางอย่างที่ผมจับใจความไม่ได้สองสามคำ ก่อนที่จะเดินกลับมายังตัวผมที่ยังคงพยายามใช้สายตาขมขู่กวาดเก็บเหล่าบรรดาลูกช่างนินทาที่อยู่รายล้อมไปมาโดยไม่หยุดหย่อน การที่ผมทำแบบนั้น มันเป็นเพราะผมรำคาญกับพฤติกรรมของพวกนั้น

    แต่บางทีภายในใจลึกๆของผม อาจเพียงแค่ต้องการมองตามหาใครสักคน ที่มองตอบกลับผมมาพร้อมกับรอยยิ้มเท่านั้นก็ได้

    “พิริยะ หวังว่าครูคงจะได้มีโอกาสเห็นเหรียญทองจากกีฬาประเภทนี้ ด้วยฝีมือของเธอนะ” อาจารย์วิเชียรสำทับเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินหายลับไปพร้อมกับเสียงหัวเราะราวกับผู้ที่สามารถกำชัยชนะเอาไว้ในมือได้อย่างเด็ดขาดที่ยังคงก้องอยู่ภายในโสตประสาทของอย่างไม่ยอมจางหายไปอ่างง่ายๆ

    เมื่อผมถูกทิ้งเอาไว้เพียงลำพังท่ามกลางการรายล้อมของเหล่าสมาชิกชมรมคณะสีม่วง ผู้ไม่คุ้นหน้าแม้แต่น้อยนับหลายสิบชีวิต ผมจึงอดไม่ได้ที่จะทำสีหน้าบึ้งตึงราวกับยักษ์มารที่กำลังต้องการจะกินเลือดกินเนื้อใครสักคน พร้อมกับส่งจิตคุกคามแสดงความไม่เป็นมิตรออกไปข่มขู่อีกฝ่ายอยู่เป็นระยะ การแสดงออกแบบนั้นของผม เล่นเอาทุกครั้งที่ผมขยับตัว ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีมากกว่าผมนับสิบเท่าก็ต่างต้องพากันสะดุ้งเฮือกจนต้องเผลอก้าวถอยหลังเหมือนกับต้องการหลบอยู่ให้ไกลจากระยะของผมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

    ข้างตัวผมในตอนนี้ เด็กหนุ่มที่ชื่อรัชพล ที่ท่าทางจะเป็นหัวหน้าของชมรมกำลังพยายามแนะนำตัวผมให้กับบรรดาเพื่อนสมาชิกฟัง ถึงแม้ว่าเขากำลังพูดถึงตัวผม แต่ผมกลับไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขากำลังพูดเลยแม้แต่น้อย สายตาของผมกลับไปจับจ้องให้ความสนใจกับนกสองสามตัวที่กำลังพากันบินจากลูกกรงเหล็กข้างสนาม ไปเกาะพักแหย่เย้ากันอยู่บนกรงรั้วอีกด้านหนึ่ง

    ถึงผมจะพยายามเพ่งความสนใจไปยังสิ่งอื่นแบบนั้น แต่ราวกับโคชะตากลั่นแกล้ง เมื่อสายตาเจ้ากรรมของผม มันดันเผลอเหลือบไปพบเข้ากับร่างเล็กบางของใครบางคนที่กำลังเดินมาจากหลังรั้วเหล็กแห่งนั้น

    ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทันตั้งตัว เมื่อเจ้าของร่างนั้นแลหันมาพบกับผมเข้า หญิงสาวคนนั้นก็ส่งรอยยิ้มใสๆ พร้อมกับโบกมือทักทายมายังตัวผมอย่างร่าเริงทันที

                ภาพนั้น.. มันถึงกับทำให้ผมใจหายวาบ เพราะแม้ว่าระยะห่างระหว่างเราสองคนจะถือว่าไกลพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับสามรถรู้สึกได้ว่า หญิงสาวคนที่กำลังพยายามเรียกร้องความสนใจจากตัวผมในตอนนี้ จะต้องเป็นคนเดียวกับคนเมื่อวานอย่างไม่ต้องสงสัย

                แม้ว่าผมจะไม่มีหลักฐานใดๆมาร่วมสนับสนุนความคิดแบบนั้น แต่ผมก็ยังแน่ใจว่าตัวเองกำลังเข้าใจไม่ผิดอย่างแน่นอน

              ผมเบนสายตาของตัวเองจากร่างของเธอลงไปมองที่พื้นดินทันที มันเป็นการทำเพื่อหลบเลี่ยงความรู้สึกอันน่าแปลกประหลาด ที่กำลังวิ่งพลุ่งพล่านไปมาอยู่ภายในอกของผมโดยไม่มีเหตุผลในตอนนี้

     

              หลังจากสิ้นสุดการแนะนำเกี่ยวกับตัวผมอย่างยืดยาว ผมก็เดินแยกตัวจากบรรดาเหล่านักกิจกรรมเหล่านั้นมานั่งเอนหลังพิงลูกรงเหล็กหลบอยู่ริมรั้วมุมหนึ่งของสนามที่ไม่มีค่อยมีคนเดินผ่านไปสักเท่าใดนัก พร้อมกับมองภาพของนักกรีฑาเหล่านั้นพากันวิ่งซ้อมรอบสนามอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยความเบื่อหน่ายอย่างสุดที่จะบรรยาย

                 ในช่วงเวลาสองสัปดาห์ก่อนการแข่งขันกีฬาสี ทางโรงเรียนของผมจะมีการเรียนกาสอนเพียงแค่ครึ่งวันแรกเท่านั้น และทันทีที่กระดิ่งบอกเวลาพักเที่ยงดังขึ้น เวลาที่เหลือของวันนั้นก็จะกลายไปเป็นชั่วโมงของบรรดาเหล่านักงานกิจกรรมที่สุดแล้วแต่จะไปเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ หรือพารุ่นน้องออกจากโรงเรียนไปหาสถานที่ซ้อมกีฬากัน เป็นเช่นนี้อยู่ทุกปีจนมันกลายเป็นประเพณีที่ต้องทำตามไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ แต่ที่ตลกที่สุด คือหลังจากที่เวลาล่วงเข้าสู่อาทิตย์สุดท้ายก่อนกีฬาสีจะถูกจัด นักเรียนทุกระดับ ทุกชั้นปีก็ต่างจะพากันหยุดเรียน และหันไปทุ่มเทให้กับงานกีฬาสีอย่างเต็มที่ โดยไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าทางโรงเรียนจะยินยอมหรือไม่

                ผมรู้สึกเหมือนกับว่า นักเรียนในโรงเรียนของผม กำลังสนองตอบต่อกฎหมู่ มากกว่ากฎข้อบังคับ และเต็มใจพร้อมที่จะทำโดยไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด

              สำหรับการแข่งขันกีฬาในโรงเรียนของผม มันก็มีรูปแบบการแข่งขัน และชนิดกีฬาที่ไม่ได้แปลกแตกต่างไปจากโรงเรียนอื่นๆอย่างใด แต่ดูเหมือนว่ากีฬาประเภท “กรีฑา” กลับถูกจัดให้เป็นหัวใจสำคัญในการแข่งขันกีฬาสี ด้วยเหตุผลที่ว่ารูปแบบการแข่งขันมีหลากหลาย จึงทำให้ปริมาณเหรียญทองที่ถูกนำมานับเป็นแต้มรวมสำคัญอันเป็นกุญแจสู่ชัยชนะของคณะสีต่างๆ มีจำนวนมากตามไปด้วย และที่สำคัญผมเคยได้ยินมาว่าทางคณะสีมีเงินอัดฉีดให้เหล่านักกีฬาที่สามารถคว้าเหรียญทองมาให้คณะได้ ด้วยของรางวัลราคามิใช่น้อยทีเดียว

                ด้วยเหตุผลดั่งกล่าว ถ้าหากมันเป็นเรื่องจรอง จึงไม่น่าแปลกใจที่ผมจะได้เห็นพวกเขาเหล่านี้ กำลังพากันซ้อมด้วยความทุมเท่อย่างเอาเป็นเอาตาย

             

    แสงแดดยามบ่ายเริ่มเบาแสงลง ตามเวลาที่ดวงอาทิตย์คล้อยตกไปยังทางทิศตะวันตกมากยิ่งขึ้น ประกอบกับเมฆที่เริ่มจับตัวกันหนาขึ้นบดบังท้องฟ้าสีครามให้กลายเป็นสีหม่นหมอง ยิ่งทำให้อากาศเย็นสบายมากยิ่งขึ้นไปอีก มันเป็นบรรยากาศที่สบายน่าหลับใหล เสียจนผมถึงกับอ้าปากหาวหลายต่อหลายครั้ง

    ในสนาม เหล่านักวิ่งกำลังเริ่มออกวิ่งรอบสนามอย่างช้าๆโดยพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง พวกเขาสลับเท้าซ้ายขวาย่ำลงเป็นจังหวะพร้อมกับเสียงนกหวีดที่พี่รัชพลหัวหน้าชมรมเป็นคนเป่า ในขณะที่วิ่งนำหน้าคนอื่นๆอยู่สองถึงสามก้าว

    ผมกึ่งนอนกึ่งนั่งมองการกระทำของพวกเขาด้วยสายตาที่เหม่อลอยจนชักเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมา และเมื่ออาการมันหนักเข้า ผมก็รู้สึกยิ่งเบลอหนัก จนเคลิ้มทำท่าจะหลับเสียให้ได้ แต่ผมก็ยังฝืนดื้อดึงพยายามสะบัดหน้าของตัวเองไปมาอย่างรวดเร็วหลายต่อหลายครั้งเพื่อเรียกสติให้คืนกลับมา แต่มันก็ไม่สำเร็จ ความง่วงงุนงงเข้ามาครอบงำร่างกาย และสติของตัวผมเอาไว้จนเกือบจะหมดสิ้นแล้ว

    วิธีการต่อสู้กับอาการเหล่านั้น สำหรับผมแล้ว มันเหลือเพียงวิธีเดียวเท่านั้น

    ผมล้วงเอาบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า พร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งบังสายลมที่พัดมาจากสถานที่อันห่างไกลเอาไว้ขณะจุดบุหรี่ที่คาบเอาไว้ในปาก ผมหวังว่าสารนิโคตินจากบุหรี่จะช่วยบรรเทาอาการง่วงซึมของตัวผมไปได้บ้างไม่มากก็น้อย

    ควันบุหรี่ลอยตามกระแสลมที่เปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหัน หอบเอากลิ่นเหม็นฉุนกระจายไปแตะจมูกของบรรดาสมาชิกชมรมกรีฑาที่ไม่ได้ซ้อมวิ่งหลายต่อหลายคนที่อยู่ใต้ลม และทันทีที่พวกเขาได้รับรู้ถึงกลิ่นแปลกประหลาดที่ลอยมากับอากาศ พวกเขาจึงพากันหันมามองที่ผมเป็นตาเดียวกัน

    แต่.. ผมกลับไม่ได้สนใจสายตาของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ควันบุหรี่สีขาวที่ถูกส่งเข้าไปทำลายปอดของผม ยังถูกพ่นออกมาสู่อากาศข้างนอกอยู่เป็นระยะ

    การซ้อมวิ่งแบบแถวตอนหน้าตัดของสมาชิกส่วนใหญ่ยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ได้อัดควันบุหรี่เข้าปอด และหายจากอาการง่วงแล้ว ผมจึงเริ่มจินตนาการแปลกๆถึงแถวการวิ่งที่เห็นกับตัวเอง ผมคิดว่าถ้าหากพวกเขาพากันวิ่งสลับเท้ากันอย่างรวดเร็วมากกว่านี้ แถวการวิ่งนั้น มันตงจะดูเหมือนกับกิ้งกือตัวยักษ์ร้อยขาที่กำลังคลานอย่างรวดเร็วไปรอบๆสนาม

    ผมหัวเราะ กับจินตนาการของตัวเองด้วยความขบขัน

    ครั้งแถววิ่งนั้นวนกลับมาถึงจุดที่ผมกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่นั้น ผมเห็นใครบางคนกำลังวิ่งแตกออกมาจากแถว พร้อมกับตรงมา ณ ที่ที่ผมนั่งอยู่ด้วยความรวดเร็ว

    “นายมามัวนั่งหลบอยู่ตรงนี้คนเดียวทำไมกัน ออกมาวิ่งด้วยกันพร้อมกับทุกคนกันเถอะ?” เสียงใสๆที่ดังเหมือนแก้วดังทักขึ้นทันทีเมื่อมายืนอยู่ต่อหน้าของผม เสียงที่เป็นเอกลักษณ์แบบนั้นต่อให้ผมไม่ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่าย ก็สามารถเดาผู้พูดได้โดยไม่ยากว่าเป็นใคร

    ออยกำลังใช้ร่างที่เล็กบางกว่าผมมากนัก พยายามดึงผมให้ลุกขึ้นยืนโดยไม่ได้เกรงกลัวต่อใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ยินดียินร้ายของตัวผมในตอนนั้นแม้แต่น้อย

    “ไม่ล่ะ ขี้เกียจ” ผมตอบกลับแบบขอไปที

    “แปลกนะ! ถ้านายขี้เกียจวิ่ง แล้วทำไมนายถึงมาเข้าชมรมกรีฑากันล่ะ?” คำถามของเธอเล่นเอาผมถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง

    “แล้วก็อีกเรื่องหนึ่งนะ” เธอกล่าวพลางก้มตัวใกล้ลงมาที่ตัวผมเรื่อยๆ จนกระทั่งใบหน้าของเราทั้งคู่อยู่ในระยะที่ห่างกันเพียงไม่ถึงไม้บรรทัด เธอจึงได้หยุด

    การกระทำของเธอทำเอาผมรู้สึกร้อนๆหนาวๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังพยายามกลบเกลื่อนซ่อนสีหน้าตื่นตระหนกของตัวเองเอาไว้ภายใต้หน้ากากที่แสนจะเย็นชา ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำเช่นไรดีในสถานการณ์แบบนั้น เพราะผมไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน

    หลังจากที่เธอปล่อยให้ตัวผม วุ่นวายอยู่กับตัวเองภายในใจอยู่ครู่หนึ่ง อยู่ๆเธอก็ยิ้มออกมา

    “รู้ไหมว่าการสูบหรี่เป็นการทำลายสุขภาพ และทำให้เหนื่อยง่ายด้วย มันจึงเป็นสิ่งที่ต้องห้ามสำหรับนักกรีฑา” เธอกล่าว พร้อมกับชิงดึงบุหรี่ออกจากปากของผมไปถือไว้ในมือ และเริ่มเทศนาผมขึ้นมาเสียดื้อๆ

    บรรดานักกรีฑาคนอื่นที่ได้เห็นการกระทำแบบไม่กลัวฟ้าเกรงดินของเธอในวินาทีนั้น ถึงกับพากันส่งเสียงฮือฮาออกมากันอย่างชัดเจน ผมคิดว่าการที่พวกเขาเหล่านั้นต่างส่งเสียงด้วยความตะลึงงันเช่นนั้น คงเป็นเพราะส่วนใหญ่ต่างรู้จักตัวผมดี ในฐานะ “ตำนานมีชีวิต” ของโรงเรียน

    ตำนานมีชีวิต

    ถึงมันจะฟังดูดี แต่ในความนัยที่แฝงเอาไว้แล้วนั้น มันกลับเป็นฉายาที่นักเรียนส่วนใหญ่ใช้เรียกแทนตัวผมด้วยความหวาดหวั่น พวกเขาเกรงกลัวตัวผม เกรงกลัวในหมาบ้าผู้เดียวดาย ผู้พร้อมจะกระโจนไปกัดสะบั้นคอหอยของผู้ที่กล้าไปริลองมีเรื่องกับตัวผมโดยไม่ประมานตนเองโดยไร้ความปราณีได้ทุกเมื่อ หลังจากที่ผมรู้สึกตัวว่าตัวเองได้รับการเรียกขานแบบนั้น ผมก็แทบจะไม่เหลือเพื่อนพ้อง และอยู่อย่างเดียวดายไปเสียแล้ว

    ผมกำหมัดแน่นทันทีเมื่อถูกหญิงสาวตัวเล็กๆลูบคมเข้า แต่ผมก็ต้องพยายามข่มกลั้นโทสะของตัวเองแทบตาย เมื่อคิดได้ว่าต่อให้คนอย่างผมถูกขนานนามว่าเป็นนักเลงอันธพาลที่เลวทรามที่สุดในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียนมาสักขนาดไหน ยังไงเสียด้วยพื้นฐานของความเป็นคน ผมก็ไม่สมควรที่จะลงมือต่อผู้หญิงอย่างเด็ดขาด

    ในนาทีนั้น.. ทุกสารพัดวิธีที่สามารถช่วยให้ผมสงบใจลงได้ ถูกผมงัดนำมาใช้ภายในใจจนหมดสิ้น

    “เอาล่ะ! ขอยึดซองบุหรี่ กับไฟแช็คไว้ด้วยนะ” เธอยื่นมือมาข้างหน้าราวกับเด็กที่กำลังทวงลูกอมจากเพื่อนสนิทด้วยใบหน้าที่ใสซื่อ เหมือนกับว่าไม่สามารถสัมผัสได้ถึงจิตคุกคามที่ผมปล่อยออกไปอย่างต่อเนื่องแม้แต่น้อย

    ผมถอนหายใจอย่างจำยอมในความไร้เดียงสาอันสุดจะทานทนของเธอ ก่อนที่จะยอมส่งซองบุหรี่ให้ไปแต่โดยดี

    “ดีมากที่เข้าใจ เอาล่ะที่นี้พวกเราก็ไปวิ่งด้วยกันเถอะ” เธอยิ้มกว้างออกมา จนผมชักเริ่มละอายจนต้องเบนสายตาหลบจากรอยยิ้มนั้น เนื่องจากไม่อาจจะสู้ความสดใสนั้นได้

    “เธอไปเถอะ ปล่อยผมเอาไว้ที่นี่คนเดียวน่ะดีแล้ว อย่ามาสนใจเลย”

    ผมพึมพำตอบไปเบาๆ ตอนนั้นผมไม่ได้มีเจตนาจะไล่เธอไปให้พ้นๆจริงๆหรอก เพียงแต่ผมคิดว่าเธอไม่สมควรจะมามัวเสียเวลาอยู่กับคนที่ไม่มีกะจิตกะใจใจจะไปทำในสิ่งที่เธอหวังก็เท่านั้นเอง

                “บ้า ทำอย่างนั้นได้ที่ไหนกัน ในเมื่อนายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชมรมเราแล้ว ก็ต้องทำกิจกรรมด้วยกันสิ” เธอยังคงดื้อดึงพยายามฉูดให้ผมลุกขึ้นยืนอย่างไม่ยอมแพ้ราวกับเด็กๆ

                ผมถอนหายใจ ด้วยความเหนื่อยใจกับการกระทำของเธอด้วยความเหนื่อยใจออกมาเฮือกใหญ่

                “ผมมันก็แค่คนที่เลือกจะมาอยู่ที่นี่ เพราะอาจารย์วิเชียรให้เลือกว่าจะมาทำกิจกรรมบ้าๆนี่ แทนการถูกพักการเรียนก็เท่านั้น” ผมสารภาพ โดยหวังว่าความจริงที่ออกจากปากไปนั้น จะช่วยทำให้เธอยุติความพยายามที่สูญเปล่าลงเสียที

                แววตาของเธอกระตุกเล็กน้อยด้วยอารมณ์ที่หวั่นไหวในชั่วขณะที่ได้ยินคำพูดของผม หลังจากนั้นเธอก็เงียบเสียงไป พร้อมกับแสดงหน้าครุ่นคิด จนถึงขนาดคิ้วคู่งามที่โค้งงอนแต่ปราศจากการแต่งแต้มตามวัยนั้น พลอยขมวดเข้าหากันด้วยความกังวลอย่างชัดเจน

                “ถ้ามันเป็นอย่างที่ว่ามาจริงๆ ถ้านายไม่ทำกิจกรรมเลย เรื่องมันก็ยิ่งจะไปกันใหญ่นะ?” หลังจากที่เงียบไปครู่ใหญ่ เธอก็ทำหน้ามุ่ย แล้วก้มตัวลงมาใกล้ๆตัวผมที่นั่งอยู่อีกครั้ง พร้อมกับกล่าวออกมาเบาๆ เหมือนกับกลัวว่าจะมีใครมาได้ยินคำสนทนาของเราสองคน

                ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูดเลยสักนิด

              เมื่อเธอเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังพยายามจะบอกมันไม่ประสบผลสำเร็จอย่างที่หวัง เธอจึงพยายามขยับใบหน้าของตัวเองกับแววตาไปยังทางด้านขวาไปมาอยู่สองสามครั้ง ราวกับเป็นสัญญานบอกให้ผมมองตาม และทันทีที่ผมทำตามอย่างเสียมิได้ ภาพที่เห็นมันทำให้ประสาทสัมผัสในตัวผมถึงกับต้องเย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างกะทันหัน

                ทางด้านหลังของเธอมีที่นั่งสำหรับเชียร์กีฬาสูงกว่าสิบชั้นตั้งท้าแดดท้าฝนตระหง่านอยู่ ตอนแรกที่ผมชำเลืองไปมองที่นั่น มันก็เป็นเพียงแค่ที่นั่งเชียร์ธรรมดาอันว่างเปล่า แต่ครั้นพอลองกวาดสายตาไปมาบ่อยครั้งเข้า ในที่สุดสายตาของผมก็ต้องไปสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่ยืนแอบอยู่ข้างๆที่นั่งบริเวณริมสุดของชั้นที่หนึ่ง พร้อมกับส่งสายตาดุจพญาเหยี่ยวที่กำลังเล็งเหยื่อผู้กำลังจะถึงฆาตมาที่ตัวผมอย่างไม่วางตา

                แม้ว่าสายตาของผม มันจะธรรมดาไม่ได้ดีเลิศอะไรนัก แต่หากคาดคะเนจากลักษณะเด่น และความคุ้นเคยแล้ว ผมก็พอที่จะรู้ว่าร่างนั้น จะต้องเป็นอาจารย์วิเชียรแห่งฝ่ายปกครอง ที่กำลังพยายามซ่อนตัวแอบดูพฤติกรรมของตัวผมอยู่อย่างแน่นอน

                ผมหันกลับไปมองหน้าเธอทันที แต่ยังไม่ทันที่จะไดพูดอะไร เธอก็ชิงใช้นิ้วชี้ยกขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเอง เป็นการบอกไม่ให้โวยวายอะไรเสียก่อน

                “ดูท่าทางแล้ว ถึงมันจะไม่ค่อยดีกับอาจารย์นัก แต่นายคงจะต้องมาแกล้งวิ่งกับพวกเราสักพักแล้วล่ะ” เธอยิ้ม พร้อมกับหันไปชำเลืองมองอาจารย์อีกครั้ง

                “อย่างน้อย ก็จนกว่าอาจารย์จะยอมตัดใจเชื่อ ว่านายมาทำกิจกรรมจริงๆนั่นล่ะ” เธอสรุป  ซึ่งสิ่งที่เธอกล่าวมานั้น มันถูกทุกอย่างเสียจนผมไม่อาจจะหาเหตุผลใดๆมาถกเถียงได้อีก

                ในวินาทีนั้นผมฉวยเอาบุหรี่ในมือของเธอกลับคืนมาด้วยความรวดเร็ว จนทำให้เธอแสดงสีหน้าตกใจต่อความกะทันหันนั้น ผมก้มลงมองเจ้าซองสีแดงที่บรรจุแท่งกระดาษพันวัชพืชสีขาวนับสิบมวน ที่เคยใช้เป็นสิ่งบั่นทอนร่างกายของตัวเองมานานนับปีอีกครั้ง ก่อนที่จะตัดสินใจบีบขยำมันเข้าเป็นก้อนกลมๆ และปามันทิ้งข้ามรั้วไปทางด้านหลังอย่างไม่ใยดี

                ทันทีที่ผมทำเช่นนั้น เธอก็แสดงสีหน้าดีใจออกมาทันที

              เมื่อผมทำในสิ่งที่ดูราวกับเป็นการประกาศการตัดสินใจของตัวเองอย่างแน่วแน่เสร็จสิ้น ผมจึงคิดว่าตัวเองควรที่จะจากไปจากสถานที่ที่จมปลักอยู่นานหลายชั่วโมงแห่งนี้เสียที แต่ยังไม่ทันที่ผมจะลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองได้เต็มตัว กลับต้องถูกเธอเกาะเกี่ยววงแขนแขนลากให้รับตามออกไปที่กลางสนามด้วยความร่าเริง ตอนแรกๆผมก็พยายามขัดขืนการกระทำที่น่าขัดเขินของเธออยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นว่ามันไม่ได้ผล ผมจึงยอมให้เธอทำตามใจอย่างเสียไม่ได้

                วันแรกของการเริ่มเข้ามาทำกิจกรรมชมรมของตัวผม นับได้ว่าเลวร้ายสุดๆ

              มันจบลงด้วยอาการปวดกล้ามเนื้ออย่างรุนแรงชนิดที่ว่า ทุกครั้งที่ผมเดินร่างกายมันก็เหมือนพร้อมที่จะหลุดออกจากกันเป็นชิ้นๆได้ทุกเมื่อ แม้แต่เวลานอน ถึงแม้ว่าผมจะใช้ยานวดสำหรับนักกีฬาที่ใช้ลดจากอาการปวดกล้ามเนื้อจากเธอมา มันก็แทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย มันยังคงปวดแปลบปลาบตรงนั้นที ตรงนี้ทีจนผมนอนแทบไม่หลับ

                ตัวผมคงต้องอดทนกับความเจ็บปวดเหล่านี้ต่อไปอีกพักใหญ่ทีเดียว อย่างน้อยที่สุดก็คงจนกว่าอาจารย์วิเชียรจะวางใจว่าผมมาทำกิจกรรมชมรมจริงๆ และเลิกมาแอบจับตามองตัวผมทุกเย็นเหมือนกับตอนนี้

     

    ++++++++++++++

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×