ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ระยะห่างเพียงฟากฟ้า

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4 : การตักเตือนครั้งสุดท้าย

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ค. 52


    -4-

     

           “เธอรู้ตัวหรือเปล่าพิริยะ ว่าเพียงแค่เทอมนี้ เธอทะเลาะวิวาทกับนักเรียนโรงเรียนอื่นกี่ครั้งแล้ว?

              เสียงตะโกนด้วยอารมณ์อันมาคุของอาจารย์ ดังสะท้อนก้องกระทบผนังห้องที่ทำการของฝ่ายปกครองไปมาฟังดูราวกับว่ากำลังมีใครอีกหลายคนที่มองไม่เห็น กำลังตะโกนรับกับเสียงที่แสดงความฉุนเฉียวของอาจารย์ท่านนั้น

                อาจารย์วิเชียรอาจารย์ชายวัยกลางคน ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายปกครองที่นักเรียนชายเกือบทั้งโรงเรียนต่างให้ความยำเกรงมาอย่างยาวนานในตำแหน่งนี้มาหลายสิบปี กำลังเดินวนเวียนไปมาอย่างไร้จุดหมายเป็นวงกลมอยู่รอบๆตัวผมที่กำลังยืนนิ่งอยู่กลางห้อง พร้อมกับใช้สองมือไขว้หลังเอาไว้ในรูปแบบการตามระเบียบพักของนักศึกษาวิชาทหาร

    สีหน้าของอาจารย์วิเชียรแสดงความกลัดกลุ้มใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด ศีรษะที่ล้านเลี่ยนเนื่องจากถูกความชราเข้ามารุมเร้าตามอายุที่มากขึ้นเอง ก็ปรากฏน้ำเหงื่อเม็ดขนาดเขื่องขึ้นประปรายเต็มไปหมด ทันยิ่งเป็นการส่งเสริมให้หน้าผากของอาจารย์ที่มันแวววับอันเป็นจุดจดจำของอาจารย์ ยิ่งดูสะท้อนแสงมากขึ้นจนสะดุดตา

    อันที่จริงสิ่งที่กำลังเกิดอยู่เบื้องหน้าของผมในตอนนี้ มันควรที่จะดูน่าขบขันมาก หากบนศีรษะของอาจารย์ไม่มีเส้นเลือดแดงที่ปูดนูนขึ้นมาอันแสดงถึงอารมณ์ที่กักเก็บเอาไว้ ซึ่งพร้อมจะปะทุออกมาได้ทุกเมื่อเหมือนกับภูเขาไฟระเบิด

    “ทำไมถึงไม่ตอบ หรือว่ามันมากเสียจนจำไม่ได้เลยหรือว่า เธอใช้กำปั้นคู่นั้นตะบันปากอีกฝ่ายไปมากเท่าไหร่แล้ว?

    อาจารย์วิเชียรเดินมาหยุดอยู่ต่อหน้าผม พร้อมกับพ่นคำถามเสียงดังเสียจนน้ำลายแตกเป็นฟอง แต่โชคดีหน่อยที่ส่วนสูงระหว่างเราสองคนนั้นแตกต่างกันมากพอสมควร ดังนั้นเศษน้ำที่พวยพุ่งออกมาจากปากของอาจารย์ด้วยอารมณ์นั้น มันจึงเพียงแค่กระเด็นไปติดบนเสื้อผ้าบริเวณแผงอกของตัวผมเท่านั้นs

    อันที่จริงที่สิ่งที่อาจารย์พูดมาเมื่อสักครู่นั้นก็ไม่ถือว่าผิด เพราะการที่ผมยังคงเงียบไม่ตอบคำถามเหล่านั้น สาเหตุหนึ่งก็มาจากการที่ตัวผมจำไม่ได้จริงๆเช่นกันว่า ในเทอมนี้ผมได้ฟาดปากกับชาวบ้านไปกี่ครั้งแล้ว มันมากเสียจนผมขี้เกียจจะจดสถิติไว้จำใส่ใจนานแล้ว

    “ถ้ายังจะเงียบอีก ครูจะเป็นคนบอกให้เองก็ได้” อาจารย์ทำสีหน้าจริงจัง ก่อนที่จะหยิบเอาแฟ้มกระดาษหนาปึกหนึ่งจากบนโต๊ะขึ้นมาเปิดอ่าน ก่อนที่จะโคลงหัวไปมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก

    “แปดครั้งแล้วนะพิริยะ เพียงแค่เทอมนี้เทอมเดียวเธอก็ทะเลาะวิวาทไปมากถึงขนาดนี้แล้ว!!

    สันแฟ้มเก็บเอกสาร ถูกอาจารย์ใช้แทนไม้เรียวเคาะศีรษะของผมด้วยความหงุดหงิด ราวกับต้องการให้ความเจ็บปวด ซึมลึกเข้าไปกระตุ้นสันชาตาญาณในการรับรู้ของตัวผมให้มันตื่นตัวขึ้นบ้าง แต่ตัวผมในตอนนั้น กลับลอบขบขันกับตัวเองอยู่ภายในจิตใจเพียงลำพังเพราะว่า จำนวนที่อาจารย์บอกมาเมื่อสักครู่ กับความเป็นจริงนั้น มันต่างกันชนิดที่ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ด้วยซ้ำ

    “เธอช่วยบอกเหตุผล ที่เธอจำเป็นต้องกระโจนปรี่เข้าไปมีเรื่องแทบจะทุกครั้งที่ได้เห็นนักเรียนอีกโรงเรียนหนึ่งให้ครูฟังสักหน่อยได้ไหม พิริยะ?

    คำถามของอาจารย์วิเชียรนั้น ผมรู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันเป็นคำที่กล่าวออกมาเกินจริงด้วยความรู้สึกฉุนเฉียวเท่านั้น ถึงผมจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทมากสักเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่เคยที่จะเข้าทำร้ายอีกฝ่ายอย่างไม่เลือกหน้า เพราะสำหรับผมแล้วการกระทำแบบนั้น มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับหมาบ้าไร้สติ

    สำหรับเรื่องคราวนี้ก็เช่นกัน ใช่ว่าตัวผมจะเป็นฝ่ายที่เริ่มลงมือก่อนเสียเมื่อไหร่..?

    แต่.. ถึงผมจะพยายามอธิบายยกหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้า หรือแม้จะแต่งสรรเรื่องราวขึ้นมาให้ดูงดงามสักเพียงใด ผมก็คิดว่าในท้ายที่สุด อาจารย์ก็คงจะไม่เชื่อผมเหมือนเช่นทุกครั้ง

    เมื่อคิดได้ดั่งนั้น ผมจึงคิดว่าการหุบปากเอาไว้ และปล่อยให้อาจารย์เป็นฝ่ายสรุปหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองจนหายโกรธ หรือสาแก่ใจแล้ว มันคงจะเป็นความคิดที่ดีกว่า

    “ตอบไม่ได้อย่างนั้นหรือ นั่นสินะครูก็ลืมไปว่าหมาบ้า มันคงจะมีเหตุผลอะไรในการไปเที่ยวกัดคนอื่นด้วยความสาแก่ใจตามสันชาตาญาณของตัวเองเท่านั้น” อาจารย์ตอกย้ำ พร้อมกับเปรียบเทียบพฤติกรรมได้ตรงกับสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่ในหัวได้ตรงกัน ชนิดที่ผมเองก็ยังต้องอึ้ง

    อาจารย์วิเชียร ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยใจกับทีท่าที่ราวกับสำนึก หรือแม้แต่จะยินดียินร้ายกับการกระทำของตัวเองอย่างผมเลยแม้แต่น้อยก่อนที่จะกล่าวบางสิ่งออกมา

    “พวกครูประชุมเรื่องของเธอกันแล้วนะพิริยะ” อาจารย์นั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งหลังโต๊ะตัวใหญ่ที่ขวางกลางระหว่างเราทั้งสองคนเอาไว้ ก่อนที่จะเริ่มพูดสรุป

    “ในที่ประชุมได้ข้อสรุปกันออกมาแล้วว่า ทางโรงเรียนจะให้โอกาสเธออีกเพียงครั้งเดียว เป็นครั้งสุดท้าย”

    ผมเริ่มเกิดความรู้สึกขอบคุณอาจารย์ขึ้นมาทันที แต่เรื่องที่ขอบคุณนั้นหาใช่เรื่องขอโอกาสอะไรที่อาจารย์ได้กล่าวมานั้นไม่ ผมกลับไปรู้สึกโล่งอกที่อาจารย์หยุดพฤติกรรมเดินวนเวียนไปมาเปลี่ยนเป็นการนั่งประจำที่ เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรู้สึกหายปวดหัวกับสเต็ปการเดินของอาจารย์ที่วุ่นวายสับสนไปได้มากทีเดียว

    “แต่ให้จำไว้ด้วยว่า มันเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของเธอแล้วนะ ถ้าหากเธอยังขืนไปก่อเรื่องทะเลาะวิวาทอีกแม้แต่เพียงครั้งเดียว ต่อให้ครูใช้ตำแหน่งค้ำประกันให้ ก็คงไม่สามารถที่จะช่วยคงสภาพนักเรียนของเธอไว้ได้แล้ว” อาจารย์วิเชียรพูดด้วยความเหนื่อยใจ

    แต่.. ทีท่าที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยในอนาคตของของผมเหล่านั้น ผมกลับไม่ได้รู้สึกสนใจมันเลยแม้แต่น้อย

    “อาจารย์ไม่จำเป็นต้องพยายามต่อสู้ หรือสนใจคนอย่างผมหรอกครับ เพราะตัวผมมันก็ไม่ได้เป็นนักเรียนชั้นดีอะไรที่ควรค่าให้อาจารย์ใส่ใจมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว”

    ผมตอบกลับไปจากใจจริง แต่.. มันกลับกลายเป็นการจุดชนวนให้อารมณ์ของอาจารย์วิเชียรยิ่งปะทุหนักมากยิ่งขึ้นด้วยความเดือดดาล

    “เธอไม่ต้องมาทำเป็นตีฝีปากกล้าเลยนะพิริยะ ครูให้โอกาสไปแล้ว แต่มันขึ้นอยู่กับตัวเธอเองว่าจะรับ หรือจะโยนมันทิ้ง”

    อาจารย์วิเชียรลุกขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมกับแผดเสียงอย่างหมดความอดทน ด้วยแววตาที่แสดงความเดือดดาลที่ยากเกินกว่าจะควบคุมไหว อากัปกิริยาของอาจารย์อันน่าพรั่นพรึงในตอนนี้ หากเป็นนักเรียนคนอื่นแล้ว พวกเขาก็คงจะรีบหาหนทางหลบเลี่ยงไปจากระเบิดที่พร้อมจะปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ ลูกนี้ให้ไกลที่สุด แต่ผมกลับรู้สึกเฉยๆกับการแสดงออกของเหล่านั้น

     บางที ความรู้สึกเหล่านั้นของผม มันอาจจะเป็นเพียงความเคยชินก็ได้

    “ถ้าหากเธอขืนฝ่าไปก่อเรื่องทะเลาะวิวาทอีกเพียงแค่ครั้งเดียว ครั้งเดียวเท่านั้นรับรองว่าทางโรงเรียนไม่เลี้ยงเธอเอาไว้ดูเล่นแน่ๆ”

    อาจารย์หอบหายใจถี่แรงขึ้น พร้อมกับหอบจนซี่โครงโยกราวกับเหนื่อยอ่อนต่อการใช้ทั้งแรงกาย และแรงใจในการแสดงอารมณ์ต่อตัวผมมากจนเกินพอดี มาถึงตอนนี้ ผมเองก็เริ่มชักที่จะเป็นห่วงสังขารของอาจารย์ขึ้นมาบ้าง เพราะอาจารย์เองก็ไม่ใช่หนุ่มๆแล้วที่จะมาลงทุนปลุกใจอย่างสิ้นเปลืองพลังงานเช่นนี้

    “แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ด้วยเรื่องในคราวนี้ครูก็ต้องขอพักการเรียนเธอเอาไว้ เพื่อเป็นการลงโทษโดยไม่มีกำหนดเอาไว้ก่อนล่ะ” เสียงของอาจารย์เริ่มอ่อนลง ซึ่งเป็นหลักฐานได้เป็นอย่างดีว่าผู้พูดกำลังเหนื่อยแรงมากขนาดไหน

                แรงกดดันสะสมที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ตอนต้นที่ผมเข้ามาในห้อง เริ่มทำให้บรรยากาศในห้องอึดอัดเสียจนไม่น่าอยู่ ส่วนตัวอาจารย์เองก็ทั้งเหนื่อยกาย และเหนื่อยใจกับการกระทำของผม จนดูเหมือนกับจะพร้อมลมใส่ได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเมื่อผมเห็นอาจารย์โบกมือเหมือนกับเป็นสัญญาณไล่ ผมจึงไม่รอช้าที่จะรีบหันหลังหมุนตัวกลับไปยังประตูทางออกทันที

              “เดี๋ยวก่อน อย่าพึ่งไป!

                 ยังไม่ทันที่ผมจะเดินออไปจากห้องสำเร็จ ผมก็ต้องชะงักเท้าเอาไว้ด้วยเสียงเรียกจากข้างหลัง

              “ถ้าหากว่าไม่อยากถูกพักการเรียน ครูเองก็ยังมีทางเลือกให้เธออีกทางหนึ่ง” อีกฝ่ายไม่รอให้ผมหันกลับไปเผชิญหน้า แต่กลับชิงพูดข้อเสนอขึ้นมาก่อน

                “ทางเลือกอย่างนั้นหรือครับ?” ผมหันเพียงใบหน้ากลับไปมองอีกฝ่าย

                “ใช่.. ครูมีทางเลือกให้เธอสองทาง อย่างแรก คือการพักการเรียนแบบไม่มีกำหนด หรือ..” อาจารย์วิเชียรเริ่มพูดต่อไปพร้อมกับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา ซึ่งนั่นมันกลับเป็นครั้งแรกที่ทำให้ใจของผมเริ่มหวั่นไหวตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้องเมื่อหลายสิบนาทีก่อน

                ต่อให้ลงมือชกต่อย หรือทรมานผมด้วยจิตวิทยาสักเท่าไหร่ แต่ผมก็คิดว่าตัวเองแกร่งพอที่จะรับสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ได้โดยไม่สะทกสะท้าน แต่สำหรับรอยยิ้มที่ดูลึกลับ และเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจผิดกับภาพลักษณ์ที่เดือดดาลเทื่อสักครู่ชนิดฟ้ากับดิน มันกลับทำให้ผมรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาเสียอย่างนั้น

                ถ้าจะให้เปรียบเทียบ.. มันก็คงจะเหมือนกับอาการของกบ ที่ถูกงูยืนจ้องจนตัวแข็งทื่อคงจะเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงมากที่สุด

                “อีกทางเลือกหนึ่ง คือ เธอต้องไปทำกิจกรรมสักชมรมช่วยงานกีฬาสีครั้งนี้จนเสร็จ”

                “กิจกรรมชมรม?” ผมเผลออุทานทวนคำถามออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่รู้ว่าอาจารย์กำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ยื่นข้อเสนอแบบนั้นออกมา

                “ให้คนอย่างผมนี่นะไปทำงายร่วมกับคนอื่น?” ผมยังไม่วายหายสงสัย จึงถามย้ำอีกครั้งเพื่อนความแน่ใจของตนเอง

                ข้อเสนอของอาจารย์ทำเอาผมถึงกับต้องเผลอจินตนาการตามไป ผมจำลองภาพของตัวเองกำลังยืนอยู่ในกลุ่มคนแปลกหน้าจำนวนมาก พร้อมกับนั่งทำงานที่ไก้รับมอบหมายมาอย่างเงียบๆ อย่างเดียวดายตามลำพัง ท่ามกลางสายตาที่บ้างเหยียดหยาม บ้างหวาดกลัว และส่งเสียงซุบซิบนินทาลับหลังว่าทำไมถึงได้มีนักเลงมานั่งทำงานอยู่กับพวกเขาได้ ทั้งที่นักเลง มันก็เป็นเพียงแค่ขยะเหลือเดน ที่สมควรจะไปทำอย่างอื่นที่เหมาะสมตามสถานที่ทิ้งขยะเท่านั้น

                เมื่อคือได้เช่นนั้น.. ผมก็เผลอหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความสมเพศตัวเองอย่างกลั้นไม่อยู่

    ขืนให้ผมไปอยู่กลางบรรยากาศชวนอ้วกแห่งการนินทาแบบนั้น ผมยังสงสัยว่าตัวเองจะมีระดับขันติมากขนาดที่จะทนไม่ตะลุยเข้าไปฟาดปากสั่งสอนพวกนั้นได้จนกระทั่งจบงานกีฬาสีหรือเปล่า

    “คนอย่างเธอนี่ล่ะ ที่มันเหมาะที่สุดแล้วกับการทำงานร่วมกับคนอื่น” อาจารย์วิเชียรตอบย้ำความเป็นจริงอีกครั้ง

    “และครูเองก็หวังอย่างยิ่งด้วยว่า เธอจะไม่มีข้อโต้แย้ง หรือต่อให้มีครูก็ไม่ให้สิทธิ์คัดค้านอยู่แล้ว” พอกล่าวถึงประโยคนี้ อาจารย์ก็เผยรอยยิ้มออกมา ราวกับตนเองกำลังเป็นผู้กำชัยในสงครามน้ำลายครั้งนี้ได้อย่างเด็ดขาด แน่นอนว่ามันก็ควรที่จะจบเพียงเท่านั้น เพราะอย่างไรเสีย ผมมันก็เป็นเพียงแค่นักเรียนธรรมดาที่ไม่ได้มีสิทธิพิเศษอะไร การที่จะไปต่อสู้งัดข้อกับอำนาจทางการปกครองโรงเรียนตรงๆ มันจึงนับเป็นเรื่องที่โง่เขลา และเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

    สิ่งที่ผมทำได้ มีเพียงแค่การก้มหน้ายอมรับชะตากรรมแต่โดยดีเท่านั้น

     

    +++++++++++

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×