คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เรื่องจริงในเรื่องจริงลวง!
ความจริงในเรื่องจริงลวง!
“กรี๊ด...............................!!” เสียงกรีดร้องของผู้หญิงสองคนที่กำลังขับเคี่ยวต่อสู้กันดุจนักรบในลานประลองดังก้องสะท้านดึงดูดสายตาของคนทุกผู้ที่ได้ยินด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรกันขึ้น... ทุกส่วนในร่างกายของทั้งคู่ที่พอจะเป็นอาวุธทำร้ายฝ่ายตรงข้ามได้ทุกงัดออกมาใช้ซึ่งกันและกัน โดยมีฝูงชนมากมายมามุงดูและส่งเสียงเชียร์ทุกครั้งที่ฝ่ามือ หรือเข่าถูกยิงเข้าเป้าบนร่างกายอย่างแม่นยำด้วยความเมามันในอารมณ์เป็นอย่างที่สุด ยิ่งพอทั้งสองฝ่ายงัดยุทธวิธีการกัด,หยิก,และการทึ้งผมออกมาใช้แล้ว เสียงเชียร์เหล่านั้นก็ยิ่งทวีความกระหึ่มยิ่งขึ้น เหมือน ณ สนามเวทีมวยที่ราชดำเนินก็ไม่ปาน! (และหนึ่งในคนที่ตะโกนว่า “ฆ่ามันๆ”... “เข่าสิเข่า” ก็มีผู้เขียนที่ถูกเสียงระงมนี้ชักจูงมารวมอยู่ด้วย.......แหมสนุกจริงๆ!)
ยิ่งนานเสียงเชียร์ให้ทั้งสองฝ่ายงัดเอาทั้งเข่าทั้งศอกมาใช้ก็ดังระงมไปทั่ว (ผู้เขียนคิดว่าถ้ายิ่งถ้ามีการเตะก้านคอโชว์ด้วยจะถูกใจฝูงชนมากกว่านี้...) ทั้งสองรบรากันจนหน้าตาที่สวยงามตามวัยนั้นปูดบวมคล้ำเขียวไปด้วยฤทธาแห่งหมัดมวยและริ้วรอยช้ำเลือดจากเล็บที่ยาวตามแบบฉบับการต่อสู้ของหญิงสาวอันเป็นมาตรฐาน.................หญิงสาวคนผมสั้นกำลังเหนื่อยและเพลี่ยงพล้ำให้หญิงสาวผมยาวมีโอกาสขึ้นคร่อมตบได้ถนัดๆ.. แต่แล้วเสียงเชียร์ยุให้ทั้งสองสู้กันก็ต้องพลันเงียบลงเพราะการปรากฏตัวของวัยกลางคนท่าทางเคร่งเครียดสามคน ที่กำลังแหวกฝ่าฝูงนักเรียนมาด้วยความรุนแรง..
“หยุด!” หนึ่งในสามร่างนั้นตะโกนกลบเสียงต่อสู้ที่ยังดำเนินอยู่ด้วยเสียงอันดัง ทำให้ทั้งสองคนที่ตอนนี้สภาพมอมแมมเสื้อผ้านักเรียนหลุกลุ่ยที่กำลังนอนกอดปล้ำกันคลุกฝุ่นอยู่นั้นตกใจจนต้องหันไปมองที่มาของเสียงเป็นตาเดียวกันด้วยความตื่นตะลึง..
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ชายวัยกลางคนคนเดิมตะเบ็งเสียงที่ทรงอำนาจจนทั้งคู่ตกใจกระโดดถอยออกจากกันไปยืนอยู่คนละด้าน และเป็นการสลายฝูงนักเรียนที่มามุงดูแตกกระจายกันไปคนละทิศละทางเพราะกลัวว่าตนเองจะโดนลูกหลงไปด้วย จนในที่สุดก็ไปร่วมกลุ่มกระจุกกันอยู่ด้านต่างๆใกล้กับบริเวณที่เกิดเรื่อง... (ซึ่งหนึ่งในนั้นมีผู้เขียนที่กำลังพยายามเขย่งเท้ามองดูเหตุการณ์ข้ามหัวฝูงนักเรียนคนอื่นๆอยู่ด้วย... ก็ใครมันจะกล้าเสี่ยงอยู่ใกล้อาจารย์ฝ่ายปกครองจอมโหดกันเล่า?)
“ถามว่านี่มันเรื่องอะไรกัน?” ชายคนเดิมในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าผูกเนคไทยังคงตะคอกถามเมื่อเห็นหญิงสาวทั้งสองคนยังคงนิ่งเงียบ...!
อยู่ๆผู้หญิงผมยาวก็ชี้ไปทางผู้หญิงผมสั้นที่กำลังใช้หลังมือเช็ดเลือดที่เกรอะกรังอยู่มุมปากด้วยสายตาที่เคืองแค้น แล้วตะโกนลั่นว่า!!
“ก็อีนังนี่น่ะ...........มันแย่งผัวหนู!!!” พอเสียงตะเงียบลงฝ่ายปกครองถึงกับอึ้ง แต่ฝ่านักเรียนมุงกลับโห่ฮาด้วยความสะใจยิ่ง........ (แต่ผู้เขียนไม่ได้เฮไปกับเขาด้วย เพราะมัวแต่พยายามแหวกเจ้าหมูตอนตัวหนึ่งที่ขวางทางเข้าไปข้างหน้าอยู่)
“เงียบ........!” อาจารย์ฝ่ายปกครองที่อาวุโสที่สุดและน่าหวาดหวั่นที่สุดตะโกนด้วยเสียงอันน่าเกรงขาม ก่อนที่จะส่งสายตาอาฆาตมาทางฝูงนักเรียนที่โห่ฮาเป็นทำนองว่า ฉันจำหน้าพวกแกได้หมดทุกคนนะ........เดี๋ยวสวย! เล่นเอาฝูงชนขยาดจนต้องวิ่งหนีไปจากสายตานั้นเหมือนผึ้งแตกรัง.... (ผู้เขียนไม่ทันได้วิ่งกับเขาเพราะตอนนั้นกำลังเบียดเจ้าหมูตอนอยู่ แต่พอมันออกวิ่งเลยทำให้ผู้เขียนเสียหลักลงไปหัวทิ่มกับพื้น....... และถ้าจำไม่ผิดผู้เขียนว่าได้เห็นอาจารย์ฝ่ายปกครองทั้งสามคนส่งยิ้มหวานมาให้ผู้เขียนด้วย แต่แววตาน่ากลัวพิลึก!!)
“ผัวที่ว่านี่..ใคร?” อาจารย์ยังคงถามต่อไป (ผู้เขียนพยายามจะลุกหนี แต่โดนอาจารย์คนหนึ่งเดินมาเอามือกดบ่าไว้.... ผู้เขียนเริ่มคิดในใจว่า ซวยแล้ว!!)
หญิงสาวทั้งสองคนชำเลืองหันตาอันเต็มไปด้วยความแค้นไปมองอีกฝ่าย พยักหน้าน้อยๆแล้วเบือนหน้าหนีเป็นเชิงเข้าใจกัน (ถึงชั้นจะเกลียดแกยังไงแต่ต้องสงบศึกมาร่วมมือกันปกป้องชายอันเป็นที่รักร่วมกันก่อน-------ผู้เขียนพากย์เสียดายไม่มีใครได้ยิน)
“ไม่ทราบค่ะ!” อาจารย์อึ้งอีกรอบ
“ไม่ทราบ!........ แล้วจะตบกันได้ยังไง? อย่ามาปกป้องนักเรียนชายคนนั้นหน่อยเลย หรืออยากโดนภาคทัณฑ์หนักกว่านี้หรือไง......หา?” อาจารย์ลองใช้ไม้แข็งขมขู่ดู ไม้หวายขนาดเท่านิ้วก้อยถูกกวัดแกว่งไปมาในอากาศทำให้นักเรียนหญิงทั้งสองคนนั้นกลืนน้ำลายคำโต... (แต่ผู้เขียนว่าเห็นอาจารย์ยิ้มแบบคนโรคจิตแวบหนึ่ง ขณะที่กำลังรำดาบหวายไปมาในอากาศ)
ทั้งสองมีสีหน้าประหม่า.... ไม้หวายขนาดนั้นถ้าโดนเข้าที่ก้นซักครึ่งโหล ก็มากพอที่จะที่จะทำให้สาหัสไปอีกนาน แต่พอมองไปยังอีกฟากหนึ่งของสนามฟุตบอลที่อยู่ไม่ไกลนักก็เห็นชายหนุ่มในชุดนักเรียนหน้าตาหล่อเหลายืนเกาะลูกกรงรั้วมองเหตุการณ์นั้นด้วยสายตาเป็นห่วง ทำให้สองสาวถึงกับใจสะท้านในแววตานั้น......
“ไม่ทราบค่ะ!” ทั้งสองยังคงยืนกรานคำเดิม (ผู้เขียนแทบอยากลุกขึ้นตบมือให้เกียรติในความกล้าหาญของหญิงสาวทั้งสอง แต่ขืนยืนขึ้นตบมือในขณะที่มีอาจารย์ฝ่ายปกครองยืนจับไหล่อยู่เหนือหัวอย่างนี้...เรื่องมันคงจะจบไม่สวยเท่าไหร่!) อาจารย์รู้สึกเหมือนพลาดลูกโทษ!!
“ดี.. งั้นต้องโดนให้หนัก ตามมา” อาจารย์ฝ่ายปกครองสองคนเดินนำหน้า โดยมีหญิงสาวสองคนเดินคอตกตามมาเหมือนนักโทษประหารกำลังจะเดินไปสู่แท่นกิโยติน.... เพื่อไปสู่ห้องที่เราคุ้นเคยแต่รังเกียจมันดีอันถูกขนานนามว่า “ห้องประหาร” ที่พวกเรานักเรียนต่างโจษขวัญกันและไม่อยากเฉียดใกล้ที่สุด (ห้องประหารนี้ เป็นชื่อเล่นของห้องปกครอง โดยที่ผู้รู้ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า เป็นห้องที่นักเรียนจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าไปแล้วแล้วไม่ได้ออกมาด้วยการก้าวเดินแบบปรกติ...ซึ่งผู้เขียนคิดว่ามันคงจะหมายถึงว่านักเรียนที่ทำผิด หรือบางคนก็ไม่ผิดเดินออกมาโดยการกุมก้นเพราะทธิของไม้หวายที่แสบร้อนนั่นเอง..) อาจารย์ที่เดินนำหน้าหันหน้ามาส่งสัญญาณให้อาจารย์ที่ยืนคุมเข้มอยู่เบื้องหลังผู้เขียนก่อนจะเดินต่อไป..
“เราด้วย!” อาจารย์กระชากคอเสื้อผู้เขียนลากไปอย่างดุดัน.... (อ้าว......แล้วผู้เขียนเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย ผมแค่นักเรียนมุงธรรมดานะคร้าบอาจารย์!)
ฝูงนักเรียนมุงแตกฮือแหวกกันออกเป็นทางทันทีที่อาจารย์ฝ่ายปกครองก้าวเข้าไปใกล้ตัวเอง ปล่อยตรงกลางให้เป็นทางโล่งให้เหล่าอาจารย์และนักโทษอีกสองคนผ่านไป (ซึ่งถ้ารวมผู้เขียนด้วยก็จะเป็นสามพอดี) ทุกคนมองตามร่างทั้งห้า (บวกหนึ่ง)ที่กำลังเดินไปยังห้องประหารด้วยสายตาที่ใคร่รู้ และเตรียมพร้อมที่จะหาข้อมูลที่จะมาซุบซิบนินทาในเรื่องนี้ต่อไป... (โชคดีที่ผู้เขียนโดนหิ้วไปด้วยเลยมีโอกาสจะได้ข้อมูลมากขึ้น แต่ก็โชคร้ายที่โดนหิ้วไปเพราะไม่รู้จะโดนห้างเลขเมื่อไหร่?)
ในห้องปกครองดำเนินการสอบสวนไปอย่างเผ็ดร้อน.....!! (ที่มันร้อนเพราะไม่ยอมเปิดแอร์ต่างหาก..!) อาจารย์ฝ่ายปกครองล้อมวงกันเป็นวงกลมสอบปากคำนักเรียนหญิงทีละคนยังกับพวกเธอเป็นผู้ต้องหา.... (ผู้เขียนคิดว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว อาจารย์ก็น่าจะหาโคมไฟมาส่องหน้านักเรียนหญิงทั้งสองคนนั้นด้วยเลยจะได้เข้ากับบรรยากาศ) เหงื่อของทั้งสองคนหลั่งไหล.... (รวมทั้งผู้เขียนด้วย) จนชื้นซึมออกมาจากซับใน ทำให้เสื้อนักเรียนที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนั้นแนบชิดกับผิวกายจนเห็นสีของเนื้อหนังใต้ร่มผ้าชัดเจน พอๆกับน้ำลายของอาจารย์ฝ่ายปกครองจองโหดที่พยายามเค้นน้ำลายออกมาขู่ฟ่อๆยังกับงูจงอาง..........( แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าผู้เขียนกำลังแอบขโมยเปิดตู้เย็นในห้องปกครอง แล้วขโมยกินน้ำอัดลมที่ถูกแช่ไว้จนเย็นช่ำ....... แม๋!เป็นคนที่ถูกลืมนี่มันดีจริงๆ!!)
เวลาผ่านไปนานแต่หญิงสาวทั้งสองก็ยังปากแข้งไม่ยอมปริปาก อาจารย์ฝ่ายปกครองเองก็เหนื่อยจนอยากที่จะปล่อยคนทั้งสอง (บวกหนึ่ง)ไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่คงด้วยสปิริตของหน้าที่การงาน... (ซึ่งผู้เขียนคิดว่ามันคงจะหมดไปนานแล้วตามจำนวนเส้นผมของอาจารย์ที่หล่นร่วงโรยไป)อาจารย์จึงงัดเทคนิคการต่อรองทางจิตวิทยาอันสุดท้ายเข้ามาช่วยอย่างเลี่ยงไม่ได้..............!!
“เอาล่ะ!.....ครูจะถามอีกครั้ง บอกมาสิว่าสาเหตุในการทะเลาะวิวาทนี้เป็นใคร แล้วครูจะไม่เอาเรื่องเธอทั้งสองคน?” พูดจบอาจารย์ก็เดินหันไปหยิบน้ำอัดลมที่เย็นฉ่ำ (แต่โดนผู้เขียนแอบซดไปเสียหลายอึ้กแล้ว) ในตู้เย็นมาใส่แก้วสองใบ ยื่นไปวางไว้หน้าหญิงสาวทั้งสองคนคนละใบ.!
ทั้งสองกลืนน้ำลายด้วยความกระหาย เพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวจนเหงื่อหยดติ๋งๆ ทำให้ความกระหายเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ จนทำให้น้ำอัดลมธรรมดาๆสองแก้วกลายเป็นน้ำทิพย์ในตาของสองสาว (แต่ผู้เขียนคิดว่าตาแก่นี่ เอ๊ย#....อาจารย์คนนี้ร้ายเป็นบ้า พอเล่นด้วยไม้แข็งไม่ได้ก็สามารถเปลี่ยนอารมณ์ให้กลายเป็นลูบหัวไม้แข็งได้ทันทีเทคนิคยอดเยี่ยม แต่เอ๊ะ!...ไอ้ไม้ที่ว่านี่ไม่ว่าอ่อนหรือแข็งถ้าโดนหวดก้นมันเจ็บอยู่ดีนี่หว่า?)
หญิงสาวทั้งสองมองตากันอีกครั้ง.. (สองคนนี้มันเป็นปลากัดรึไง แค่มองตาก็รู้ใจแถมยังมองกันบ่อยอีกแน่ะ!) แล้วพยักหน้าให้กันเบาๆ อาจารย์ฝ่ายปกครองเห็นปากที่กำลังจะเผยคำพูดออกมานั้นด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงชัยชนะ... (ไม่เคยมีใครบอกอาจารย์รึไง! ว่ารอยยิ้มของอาจารย์นี่มันดูทุเรศลูกกะตาที่สุดเท่าที่ผู้เขียนเคยเห็นมา)
“อาจารย์สัญญาได้ไหมค่ะ ว่าจะไม่เอาผิดเขา.......คนที่อาจารย์บอกว่าเป็นสาเหตุน่ะค่ะ?” หญิงสาวผมยาวกล่าว
“สัญญาด้วยเกียรติ” อาจารย์ยังคงยิ้ม (ผู้เขียนอยากให้รางวัลตุ๊กตาทองอาจารย์ท่านนี้จริงๆ เพราะเล่นละครหลอกเด็กได้เนียนมาก)
“อะ...อาจารย์แน่ใจนะค่ะ วะ...ว่าอยากรู้?” หญิงสาวผมสั้นกล่าวอย่างลำบากยากเย็น (เธอคงพูดกับกินข้าวลำบากหน่อยล่ะ เพราะปากเธอมันบวมเจิ่งเป็นปากครุฑแบบนั้นน่ะ..)
“แน่นอน!!” อีกอึดใจเดียวอาจารย์ก็จะได้รู้ชื่อของตัวตนตอเจ้าปัญหาซะที
“แน่ใจนะค่ะ.... ว่าจะไม่เอาเรื่องพวกเราและไม่ฟ้องผู้ปกครอง?” หญิงสาวผมยาวที่ตาข้างขวาปูดเขียวปิดตายังกับลูกมะนาวลูกโตแย้มถามสัญญาเป็นครั้งสุดท้าย...
“คำไหนคำนั้น!” อาจารย์ยังคงใช้วิธีลูบหลังต่อไป... บรรยากาศทั้งห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศลุ้นระทึกกับคำตอบของหญิงสาวทั้งสอง( มีพวกนักเรียนมุงสองสามคน พยายามที่จะมองลอดเข้ามาดูสถาณการณ์ข้างในห้องจากรอยแตกของไม้และใช้หูแนบกับฟังเหตุการณ์กับพื้นผนังข้างนอกส่งเสียงดังกุกกักๆน่ารำคาญ ผู้เขียนเลยเอาด้ามไม้กวาดกระทุ้งผ่านรอยแตกเข้าเบ้าตาของเจ้าคนที่แอบมองจากรอยแตกของไม้ไปที มันร้องลั่น!....แล้ววิ่งหนีไป เอ่อ...แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ เพราะผู้เขียนเพียงแค่กระทุ้งเบาๆดังนั้นตาของมันคงไม่ถึงกับบอดหรอก.......มั้ง!!)
ทุกคนในห้องหันไปมองหน้าผู้เขียนที่กำลังฉีกยิ้มอย่างโรคจิตอย่างสะใจในการกระทำของตนเองด้วยสายตาที่เย็นชา (ก่อนที่ผู้เขียนจะแกล้งทำเป็นผิวปากไม่รู้ไม่ชี้ได้ทัน) เมื่อสถานการณ์ข้าสู่ปกติอาจารย์จึงถามซ้ำครั้งสุดท้าย...
“สรุปว่าเป็นใคร?” อาจารย์ตั้งหน้าตั้งตารอคำตอบนั้นอย่างตื่นเต้น ราวกับนักฟุตบอลที่กำลังจะยิงจุดโทษในการแข่งขันนัดสำคัญ.... หญิงสาวผมยาวจึงกล่าวว่า!!
“ลูกชายของอาจารย์นั้นล่ะค่ะ.... เราตบกันแย่งลูกชายของอาจารย์!!”
“โครม..!!” อาจารย์ท่านั้นหงายหลังตกจากเก้าอี้ ความรู้สึกเหมือนพึ่งยิงลูกโทษพลาด...!! (ผู้เขียนจุ๊ปากอย่าเสียดาย...อย่างน้อยตอนล้มหงายหลังลงไป ก็น่าจะหัวฟาดขอบโต๊ะบ้างนี่ดันพลาดไปได้ตั้งเป็นวา) พอได้ยินสารภาพนั้นถนัดๆเจ้าพวกที่แอบฟังอยู่ก็ตะโกนบอกต่อๆกันไปยังฝูงนักเรียนที่มายืนออฟังผลอยู่ด้วยเสียงอันดังว่า..
“ตบกันแย่งลูกอาจารย์ว่ะเฮ้ยๆ............” ดังไปทั่วทั้งโรงเรียน จนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ได้ยินเสียงตะโกนคนนั้นตกใจวิ่งฝ่าแหวกฝูงชนได้ราวกับกำลังว่ายน้ำ.....เหมือนกับพลังฮึกตอนไฟไฟไหม้!!
“แจ็ค!!” หญิงสาวทั้งสองลุกพรวดขึ้นทันทีเมื่อเห็นสาเหตุของเหตุการณ์เขามาปรากฏตัวในห้อง และใส่จริตหญิงกันทันทีทั้งๆที่หน้าตายังคงบวมบึ่งจากการกระทำของอีกฝ่าย เมื่อเห็นอีกฝ่ายเรียกชื่อของชายหนุ่มที่ตนหมายปองอย่างสนิทสนมก็ตั้งท่าที่จะลุยกันอีกครั้ง............!!
“พ่อ....” ชายหนุ่มวิ่งเข้าไปปะคองพ่อตนเองที่ยังหงายหลังขาชี้ฟ้าอยู่ท่ามกลางอาจารย์ที่โกลาหลวิ่งไปมาพยายามช่วยอาจารย์ผู้อาวุโสแห่งฝ่ายปกครองให้ลุกขึ้นมานั่ง เขากวาดสายตาที่เคืองแค้นไปมาผ่านหญิงสาวที่กำลังเข้าสู้โหมดแม่ไม้มวยไทยอีกรอบ.. มองซ้ายมองขวาหาร่างๆหนึ่งที่สมควรจะอยู่ในห้องนี้ด้วย แต่ไม่มีมีวี่แววของใครคนนั้นที่ตอนนั้นใช้ความสามารถเฉพาะตัวหายแว้บไปจากห้องนั้นโดยง่ายในขณะที่กำลังชุลมุน..
ฝูงนักเรียนมุงพยายามเบียดเสียดกันเสนอหน้ามุดกันเข้ามาในดูเหตุการณ์ในห้องปกครองแน่นอย่างแออัดจนแทบจะเหยียบกันตาย ในขณะชายหนุ่มร้องตะโกนชื่อใครคนหนึ่งออกมาด้วยความเคืองแค้นดังแว่วออกมา....!!
“สงสัยมากันหมดทั้งโรงเรียนเลยมั้งเนี๊ยะ!” ผู้เขียนที่แอบถอยฉากออกมาจากห้องปกครองแล้วปีนขึ้นมานั่งมองเหตุการณ์บนชั้นสองของตึกตรงกันข้าม บ่นพึมพำด้วยความพอใจในขณะที่กำลังแกะห่อมันฝรั่งทอดกรอบที่แอบจิ๊กเอามาจากห้องปกครอง แล้วส่งมันเข้าปากเคี้ยวแก้มตุ่ย... แววตาแสดงความพอใจในฝูงชนที่กำลังโห่ฮาอย่างบ้าคลั่งเบื้องล่าง...
เสียงดังอย่าเคืองแค้นชายหนุ่มดังมาอีกครา.......ฝูงชนก็ยิ่งโห่ร้องสนุกสนามกับความทุกข์ของคนอื่น แหม....! มนุษย์นี่มันชอบเรื่องแบบนี้กันเสียจริงๆ รวมทั้งผู้เขียนที่กำลังมองจากมุมสูงแบบนี้ด้วยมันสุดยอดจริงๆ!!
แต่....มันก็ลำบากไม่น้อยนะนี่กว่าจะทำให้มันออกมาในรูปแบบนี้ได้ ก็ใครล่ะเป็นคนยุยงแนะนำหญิงสาวทั้งสองคนให้ชายหนุ่มพร้อมกัน....!(ก็ผู้เขียนเอง) ก็จะเป็นใครอีกที่ยุยงให้ชายหนุ่มคบหญิงสาวเป็นแฟนทีเดียวมันสองคนไปเลย....!(ก็ผู้เขียนอีกนั่นล่ะ) ก็เป็นใครกันหนอที่จัดฉากให้หญิงสาวทั้งสองมาเจอกันจนต้องวางมวย...!(ก็ฝีมือผู้เขียนอยู่ดี) แต่เรื่องของเรื่องที่ใครกันน้า......!! ที่ไปสืบจนรู้ว่าลูกชายสุดที่รักหัวแก้วหัวแหวนของอาจารย์ฝ่ายปกครองจอมโหดเรียนอยู่ที่นี่ (ก็จะใครอีกล่ะ..คงไม่ต้องเดา!!!)..
ผู้เขียนยิ้มกริ่มกับกับผลงานของตัวเองในวันนี้ที่ไม่เลวนัก.... ถึงผลที่ได้มันจะเป็นแค่การทำลายชีวิตของนักเรียนหญิงสองคนที่ตอนนี้กำลังซัดกันต่อด้วยแม่ไม้มวยไทย ได้ชายหนุ่มที่หัวเสียที่กำลังตะโกนด่าผู้เขียนอย่างเคืองแค้นและนึกเสียใจที่ทำให้พ่อเสียใจ กับอาจารย์จอมโหดที่ยังคงเป็นลมไม่ได้สติที่ฟื้นขึ้นมาเห็นลูกชายคงเป็นลมต่ออีกรอบ แถมท้ายด้วยความวุ่นวายในโรงเรียนนิดหน่อยพอทำให้โรงเรียนที่น่าเบื่อนี้ครึกครื้นขึ้นมาได้บ้าง...... แต่ผลที่ได้มันก็ไม่เลวแก้เบื่อได้ถือว่าหยวนๆ.............!!
ผู้เขียนกระโดลงจากชั้นสองของตึกเรียน แล้วโยนห่อใส่มันฝรั่งทอดกรอบที่ว่างเปล่าลงในถังขยะก่อนที่จะใช้แรงแขนส่งตัวเองขึ้นไปยืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่บนกำแพงโรงเรียนอย่าง สง่างาม.... ก่อนที่จะหันไปมองทิศทางที่มีเสียงฝูงชนโห่ร้องอย่างและยิ้มมีชัย.. พอแล้วสำหรับวันนี้!!
“ขอกลับไปหามุขแกล้งคนมุขใหม่ก่อน....พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน!!” ผู้เขียนกล่าวจบก็หันหน้าขึ้นมามองยังผู้อ่านแล้วโบกมือให้พร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่จะใช้แรงขาดีดกายกระโดดลงไปยังอีกฟากของกำแพงโรงเรียนแล้วหายวับไปกับฝูงชนที่เดินอยู่บนถนนข้างนอก...........
“ไอ้เลว............................................................!!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด้วยความคับแค้นใจอย่างยิ่งของชายหนุ่ม ที่ถูกผันแปรให้กลายเป็นเสียงหัวเราะสะใจของผู้เขียนอีกครา.........!!
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ความคิดเห็น