คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : จดหมายถึงเพื่อนรักฉบับสุดท้าย
จดหมายถึงเพื่อนรักฉบับสุดท้าย
ธีรวุฒิทำงานเป็นนักเขียนนวนิยายและเรื่องสั้นมานานหลายปีแล้ว ส่วนใหญ่ในวันๆหนึ่งเขาจะไม่สุงสิงกับใครและขลุกตัวอยู่ในห้องนอนเพื่อคิดโครงเรื่องของนวนิยายเรื่องใหม่ มีเพียงบางวันเท่านั้นที่เขาจะออกไปข้างนอกเพื่อหาซื้อหนังสือมาอ่านหาแนวทางใหม่ๆในการสร้างสรรค์งานเขียนของเขา พฤติกรรมดังกล่าวของเขาทำให้เขาไม่ค่อยมีเพื่อนที่คบหามากนักและเขาก็พอใจในความสันโดษไร้ความวุ่นวายจากผู้คนนั้นเช่นกัน!.. แต่เขาก็ยังมีเพื่อนที่สนิทมากสองสามคน และอนันต์ก็เป็นเพื่อนที่เขาสนิทมากที่สุดในจำนวนนั้น เขาชอบนิสัยของอนันต์ เขาเป็นคนร่าเริงแจ่มใสและไม่เคยขาดที่คอยแวะมาเยี่ยมเยียนเขาเสมอ พอๆกับชอบเจ้ากี้เจ้าการหาผู้หญิงหน้าตาดีมากมายมาแนะนำให้เขาโดยหวังว่าเขาจะถูกใจแล้วได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาซะทีอนันต์จะได้ขอเป็นพ่อทูนหัวลูกคนแรกของเขา...... เขาหมั่นเขียนจดหมายโต้ตอบอยู่กับอนันต์เป็นประจำ และวันนี้ก็เช่นกัน...!!
เขานั่งอยู่บนโต๊ะทำงานในห้องนอนของเขา ในมือข้างหนึ่งกำลังพับจดหมายจากอนันต์ที่ได้รับมาเมื่อหลายวันก่อนลงในซอง หลายวันมานี้เขาหยิบจดหมายของอนันต์ขึ้นมาอ่านซ้ำหลายครั้งหลายคราจนสามารถจดจำเนื้อหาได้อย่างขึ้นใจ หากเป็นยามปกติแล้ว เขาคงไม่รอช้าที่จะส่งจดหมายตอบกลับไปทันทีในวันเดียวกับที่ได้รับจดหมายฉบับนี้ แต่ไม่ใช่เขาไม่ตอบจนปล่อยให้เวลาล่วงมาหลายวัน... แต่เขาไม่รู้ว่าจะเขียนเนื้อความจดหมายตอบว่าอย่างไรดี?
เนื้อหาของในจดหมายของอนันต์นั้นเป็นเพียงการถามสารทุกข์ ดินฟ้าอากาศ และเรื่องส่วนตัวที่แฝงด้วยการล้อเลียนกระเซ้าเย้าแหย่อันเป็นลักษณะนิสัยของอนันต์เท่านั้นเขากลับไม่รู้จะเขียนตอบอย่างไรดี ทั้งๆที่ถ้าเป็นปกติแล้วเขาคงจะตอบเนื้อความไปเรียบๆเหมือนดั่งที่เคย แต่เฉพาะจดหมายฉบับนี้เท่านั้นที่เขาไม่อาจที่จะเขียนตอบอย่างปกติได้............ เฉพาะฉบับนี้เท่านั้น!!
เวลาผ่านไปค่อนคืนจนนาฬิกาตีบอกเวลาหกทุ่ม...! เขาจึงตัดสินใจจับปากกาขึ้นมาจ่อที่กระดาษแล้วมองดูซองจดหมายสีขาวจากอนันต์ที่ถูกผนึกกลับไว้อย่างดีด้วยแน่วแน่... ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาต้องเขียนจดหมายให้เสร็จในวันนี้แล้วต้องรีบนำไปส่งในย่ำรุ่งพรุ่งนี้..! เมื่อเขาตัดสินใจได้ก็ลงมือลากตัวหนังสือลงในกระดาษด้วยสำนวนที่เรียบๆ และอ่านได้ง่ายว่า.....
“อนันต์เพื่อนรัก”
“ถึงอนันต์เพื่อนอันเป็นที่รักยิ่ง.... ฉันสบายดีเหมือนเช่นทุกวันและหวังว่านายเองคงสบายดีเช่นเดียวกัน.. อนันต์เพื่อนรัก ก่อนอื่นฉันอยากจะกล่าวขอโทษที่ได้ตอบจดหมายของนายฉบับนี้ด้วยความชักช้าอย่างยิ่ง เนื่องจากตอนนี้มีเรืองบางอย่างได้เข้ามารบกวนโสตประสาทฉันให้ด้านชาไม่ปกติดังเดิม ทำให้ฉันไม่สามารถเรียงร้อยถ้อยคำให้ได้ดีดังเดิมได้นัก ฉันจึงได้ตัดสินใจที่จะจัดลำดับกับความคิดของตังเองใหม่ให้เรียบร้อย และกว่าที่ความคิดจะกลับมาเป็นดังเดิมฉันก็เสียเวลาไปมากโขในการตอบจดหมายของเธอในฉบับนี้ ซึ่งฉันหวังเป็นอย่างมากว่านายจะไม่ขุ่นเคืองกับความล่าช้าของจดหมายฉบับนี้...!!”
“อนันต์เพื่อนรัก...! นายจำชัยชาญได้ไหม? เพื่อนของเขาเราที่อวบอ้วนและมีร่างกายที่ใหญ่โตหน้าตาดุดันอันเป็นที่เกรงกลัวของคนทั้งมหาวิทยาลัยทั้งๆที่เขาเป็นคนใจดีคนนั้น.. ตอนนี้เขาได้แต่งงานไปแล้วกับครูสาวคนหนึ่งที่รักและเข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น แต่สิ่งที่น่าเสียดายในครั้งนั้นก็เห็นจะเป็นการที่นายซึ่งป่วยอยู่ไม่ได้มาร่วมในงานแต่งงานคราวนั้น เพราะหากนายได้มาด้วยนายคงจะต้องหัวเราะกลิ้ง! ในอาการเขินอายของชัยชาญที่เหมือนลูกบอลลูนยักษ์ที่เขินอายจนมีสีแดงทั้งตัว...”
เขาหัวเราะเบาๆไปกับสำนวนของตนเอง และภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏในสมอง ก่อนที่จะลงมือเขียนต่อไป
“อนันต์เพื่อนรัก..! ฉันหวังว่าทางบ้านของนายคงจะฝนตกไม่ชุกเหมือนกับทางนี้ ตอนนี้ทางนี้ฝนได้ตกติดต่อกันมาหลายวันแล้ว จนอากาศที่หนาวเย็นของไอฝนมันทำให้คุณแม่ท่านไม่ค่อยสบาย และมีอาการไอตลอดเวลา แต่ถึงท่านจะไม่สบายก็ยังไม่วายที่จะถามหานายว่าช่วงนี้นายงานยุ่งหรือ จึงไม่ได้มาได้แวะมาเยี่ยมที่บ้านเช่นดั่งที่เคย?....ท่านบอกว่าพอนายไม่แวะมามันเลยทำให้ที่บ้านพลอยเงียบเหงาไปด้วย...”
ฝนตกหนักข้างนอกสาดเอาน้ำฝนมาโดนแขนของเขาจนหนาวสะท้าน เขามองออกไปนอกหน้าต่างเห็นสายฝนที่ยังคงตกหนักข้างนอกและภาวนาให้รุ่งเช้าอากาศแจ่มใสด้วยเถอะ..! ผ้าม่านสีขาวพลิ้วไหวขึ้นลงไปตามแรงลมที่พัดแรงทำให้เขาหนาวสั่น เขาลุกขึ้นเอื้อมมือออกไปข้างนอกหมายจะดึงบานหน้าต่างกลับมาเป็นโล่ป้องกันเขาจากไอฝน...
“เปรี้ยง..........ครืน...น.!!” กัมปนาทคำรามก้องส่งแรงอำนาจลงบนพื้น ณ จุดใดจุดหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลส่งแสงวูบวาบแวบหนึ่งฉายภาพต้นไม้ที่หนาทึบและบ้านเรือนที่เรียงรายให้เห็นชัดเจนในชั่วพริบตาหนึ่ง...!!
เขาเห็นร่างของใครคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ของอีกฟากของถนนจ้องมองมาทางเขา...!!
เขาขยี้ตาแล้วมองใหม่!.. พอดีกับที่สายฟ้าที่กำลังแลบลิ้นเลียเมฆอย่างคึกคะนองได้ฟาดลงบนพื้นโลกอีกคราส่งแสงวาบเหมือนไฟแฟลสกล้อวูบหนึ่ง.... ปรากฏว่าร่างๆนั้นได้หายไปแล้ว!! เขาสะบัดหัวไล่ความมึนงงจากภาพลวงตา แล้วสรุปเอาเองว่าตัวเองตาฝาดก่อนที่จะหุนตัวกลับมานั่งยังโต๊ะตัวเก่งเพื่อตั้งตนเขียนจดหมายต่อไป...!!
“อนันต์เพื่อนรัก! ณ ตอนนี้สายฝนก็ยังคงโปรยปราย สายลมก็ยังคงกรีดร้อง แต่อย่าห่วงไปเลยว่าฉันจะอ่อนไหวไปตามบรรยากาศ เพราะฉันรู้ว่านายจะคอยอยู่ข้างๆฉันเสมอ ถึงแม้ว่าตัวของเราจะอยู่ห่างกันในความเป็นจริงแต่มิตรภาพของเราทั้งสองนั้นคือตัวแทนของกันและกันแม้ว่าห่างไกลแค่ไหนได้เสมอ....”
“นายยังจำที่ครอบครัวเราทั้งสองครอบครัวได้ไปเที่ยวทะเลด้วยกันเมื่อไม่กี่เดือนก่อนได้หรือเปล่า? เมื่อเร็วๆนี้ฉันพึ่งได้มีโอกาสแวะไปที่นั้นมา ภาพของนายที่นอนหัวเราะร่าอยู่บนเก้าอีใต้ร่มกันแดดข้างๆภรรยาของนายที่กำลังเตรียมอาหารให้ทุกคนฉันยังจำได้ดี จำได้แม้กระทั่งลูกสาวคนเล็กของนายที่กำลังวิ่งตามพี่ชายคนโตที่แย่งลูกบอลชายหาดวิ่งหนีไปฉันก็จำได้ เชื่อฉันเถอะนะเพื่อน!... รับรองว่าลูกสาวนายโตขึ้นจะต้องเป็นคนสวยมากคนหนึ่งแน่นนอน และลูกชายของนายคงจะได้เป็นใหญ่เป็นโตเพราะฉันเห็นแววตาแบบนั้นจากผู้คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมานักต่อนักแล้ว...เพราะอย่างนั้นนายอย่าเป็นห่วงอนาคตของเขาทั้งสองเลย!! อีกอย่างหนึ่งนะ!..ฉันชอบทะเลเหมือนกับนาย แต่เราพียงแค่แตกต่างกันในเหตุผลที่ชอบ นายชอบทะเลเพราะมันสวยงามแต่ฉันชอบทะเลเพราะมันทำให้ใจสงบราวกับได้ปลดเปลื้องความทุกข์ในใจทั้งหมดทิ้งไปกับทะเล...”
“อนันต์...! ฉันมีเรื่องบางอย่างที่จำเป็นต้องบอกกับเธอ มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากและอาจจะกระทบความรู้สึกของนาย แต่ฉันก็จำเป็นต้องบอก...”
เขาหยุดปากกานิดหนึ่งเพราะได้ยินเสียงนกร้อง พอสายตามองไปที่นาฬิกาบนโต๊ะ!... มันบอกเวลา 5 นาฬิกา 38 นาทีใกล้เช้าเต็มทีแล้ว เขาต้องรีบเขียนจดหมายฉบับนี้ให้เสร็จโดยเร็ว!!
“อนันต์..! นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน และฉันไม่อยากที่จะแก้ตัวเช่นนี้ แต่ตอนนี้ฉันอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจสามารถที่จะทำการติดต่อทางจดหมายกับนายได้อีกต่อไปแล้ว..!”
“ฉันเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่จำเป็นต้องบอกว่า นี่จะเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่ฉันสามารถจะส่งถึงนายได้ แต่ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในอนาคตอันใกล้นี้เราคงจะมีโอกาสได้พบและสื่อสารกันอีกครั้งไม่ว่าจะในทางใดก็ทางหนึ่ง...”
“รักเป็นอย่างยิ่ง......ธีรวุฒิ”
เขาเขียนประโยคลงท้ายเสร็จในขณะที่แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาตามรอยแยกของหน้าต่างพอดี เขาจัดการพับจดหมายที่เสร็จทันแบบเฉียดฉิวใส่ซองสีฟ้าอ่อนอย่างบรรจงแล้วรีบวิ่งลงไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว ไม่นานเขาก็ปรากฏตัวขึ้นในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสแล๊กสีดำรองเท้าหนังหุ้มข้อ ก่อนที่จะบึ่งรถออกไปยังถนนที่เงียบโล่งเงียบยามเช้าของชนบทอย่างรวดเร็ว..!!
กว่าเขาจะมาถึงบริเวณวัดที่เต็มไปด้วยผู้คนที่สวมชุดสุภาพสีดำและขาวมากมาย เวลาก็ล่วงเข้าไปกว่า 9 โมงเช้าแล้ว เมื่อเขาหาที่จอดรถได้ก็รีบก้าวลงตรงไปยังศาลากลางของวัดทันที... แต่เขามาช้าไปหน่อยเพราะพระสวดเช้าจบไปแล้วทำให้บนศาลามีเพียงญาติของผู้ตายเพียงเล็กน้อยนั่งจับกลุ่มกันอยู่บนศาลาเพื่อรอเวลาที่จะทำพิธีทางศาสนาทางอื่นต่อไป เขาถอดรองเท้าไว้ข้างบันไดแล้วมาหยุดยืนที่หน้าประตูศาลาสอดส่องมองหาใครบางคน...
“ธีรวุฒิ...มาแล้วหรือลูก เข้ามาก่อนสิ” หญิงวัยร่วงเลยกลางคนเอ่ยขึ้นทันทีด้วยแววตาที่บวมแดงเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาในบริเวณศาลา
“ครับ..คุณป้า” เขาตอบรับแล้วคุกเข่าคลานผ่านหลังของญาติชั้นผู้ใหญ่หลายคนที่นั่งคุยกันอยู่อย่างเงียบๆ พอมานั่งข้างๆเธอเขาก็สังเกตเห็นเบ้าตาที่คลำเขียวจากการอดนอน และตาที่แดงเพราะการร้องไห้อย่างหนักได้ถนัดจนเขารู้สึกสงสารขึ้นมาอย่างจับใจ...!!
“พิธีเผาจะเริ่มในอีกไม่นานนี้ล่ะ.... เขาคงจะดีใจที่พ่อธีรวุฒิมา” เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง... ชายหนุ่มจับไหล่เธอเบาๆเป็นการปลอบใจ
“แล้วทานอะไรมารึยังล่ะพ่อธีรวุฒิ....?” ถึงแม้เธอกำลังเสียใจที่พึ่งสูญเสียคนที่สำคัญมากกว่าในชีวิตตนเองไป เธอก็ยังสามารถจะวางตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีในการต้อนรับแขกได้..
“ทานมาแล้วครับ” เขาพยายามข่มท้องที่เริ่มร้องไว้ เขายังไม่ได้ทานอะไรเพราะความเร่งรีบ แต่เขาก็ไม่อยากให้หญิงชราที่กำลังเศร้าหมองลุกขึ้นไปหยิบจับโน้นนี่ที่อาจจะกระตุ้นความทรงจำที่อาจจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้น.. เขามองไปทางแท่นตั้งศพที่ตอนนี้กำลังมีชายสี่ห้าคนกำลังช่วยกันยกโลงศพออกจากแท่น แล้วค่อยๆเดินหามอย่างระมัดระวังออกไปทางประตูศาลาอย่างเงียบเชียบ ในขณะที่หญิงชราที่กำลังพยายามจะเดินตามไปต้องเดินอย่าโซเซเหมือนคนหมดแรงจนเขาต้องลนลานลุกขึ้นไปประคองสีข้างแล้วเดินตามโลงศพเบื้องหน้าเคียงคู่กันไปยังเมรุเผาศพที่ตั้งตระหง่านนอยู่เบื้องหน้านั้น... ท่ามกลางเสียงพระสวดมนต์ที่ดังแว่วมาตามลม..
พิธีล้างหน้าศพเป็นไปอย่างเชื่องช้าและซึมเศร้า ญาติคนแล้วคนเล่าสับเปลี่ยนกันมาบอกลากับชายที่นอนสงบนิ่งอยู่ในโลงอย่างมากมาย ดอกไม้จันทน์จำนวนมากมายถูกสุมเข้าไปอยู่ใต้ร่างนั้นจนไม่อาจนับได้.. ธีรวุฒิเป็นคนสุดท้ายที่ได้เข้าไปบอกลาศพ เขาเห็นชัยชาญยืนเด่นสูงโผล่ออกมาจากกลุ่มคนที่มาร่วมพิธีที่ยืนอยู่ ใบหน้าของเขาอมทุกข์และกำลังร้องไห้สั่งน้ำมูกใส่ผ้าเช็ดหน้าผืนโต โดยมีภรรยายืนปลอบใจอยู่ที่มุมของเมรุเผาศพด้านหนึ่ง เขาพยักหน้าให้ชัยชาญและเห็นชัยชาญฝืนยิ้มตอบมาแวบหนึ่ง...
เขาเดินเข้าไปยืนเคียงข้างโลงใส่ศพ ก้มมองดูเพื่อนรักของเขาที่กำลังนอนอยู่นิ่งอยู่ด้วยใบหน้าที่ขาวซีดปราศจากเลือดฝาดด้วยอาการสงบ นี่หากไม่ใช่เพราะเพื่อนรักของเขาป่วยเป็นเนื้อร้ายเรื้อรังที่กว่าจะรู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้วสำหรับการรักษา เขาเชื่อว่าสถาณภาพของเขาทั้งสองในตอนนี้คงกลับกัน เพราะเขาเชื่อว่าเพื่อนรักของเขาคงจะอายุยืนและเขาควรจะเป็นคนที่แก่ชราจนตายไปก่อนอย่างแน่นอน........ ตอนนี้ใจหนึ่งของเขาอยากที่จะร้องไห้ฟูมฟายให้กับการจากไปไม่มีวันกลับของเพื่อนรัก แต่อีกใจหนึ่งก็บอกให้เขานิ่งเสีย เพื่อนรักของเขาไปอย่างสงบแล้วและเขาควรจะให้เกียรตินั้นส่งเขาไปด้วยอาการสงบเช่นเดียวกัน....!!
“อนันต์เพื่อนรัก...! นี่คือจดหมายฉบับสุดท้ายที่ฉันจะสามารถเขียนส่งให้นายได้” เขาวางจดหมายลงบนหน้าอกของศพ ในขณะที่แม่ของอนันต์เริ่มที่จะร้องไห้อีกครา...
“ถ้าหากนายได้อ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว.. ขอให้จดจำถ้อยคำในจดหมายให้ดี เพราะทุกคำพูดข้างนั้นฉันหมายความดั่งที่พูดถึงทุกประการ...” เขาหยิบเอาน้ำมะพร้าวมาราดเบาๆลงบ้หน้าศพ..
“ลาก่อนอนันต์..... ลาก่อนเพื่อนที่ฉันรัก และเพื่อนที่สุดของฉัน” อยู่ๆเขารู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาแต่ต้องฝืนทนไว้....... ขณะที่เขาก้มลงไปมองศพเป็นครั้งสุดท้ายขณะที่สัปเหร่อกำลังจะปิดฝาโลงศพลงไปแล้ว เขาก็รู้สึกเหมือนเห็นศพของอนันต์นั้นยิ้มที่มุมปากแวบหนึ่งให้เขา..!!!
เสียงพระยังคงสวดต่อไปเป็นจังหวะในขณะที่ควันไฟสีดำพวยพุ่งออกจากปลายปล่องไฟเหนือเมรุแห่งนั้น ธีรวุฒิถอยออกมามองกลุ่มควันไฟสีดำที่กำลังลอยสูงขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ด้านบนอย่างช้าๆ พร้อมกับขบคิดด้วยความหวังว่าอนันต์จะมีโอกาสอ่านจดหมายฉบับสุดท้ายที่เขาเขียนให้ซักครั้ง เขายังคงยืนอยู่อย่างนั้นจนเปลวควันขาดห้วงและเปลวไฟดับมอดลงจึงได้ขับรถกลับบ้าน.. ในขณะที่น้ำตาหยาดลงอาบทั้งสองแก้มโดยไม่รู้สึกตัว.........!!
หลายวันต่อมาเขาก็ได้รับกระดูกชิ้นหนึ่งของอนันต์ที่อัดกรอบเล็กๆจากแม่ของเพื่อนรักของเขา เขานำมันขึ้นไปวางไว้บนหิ้งในห้องนอนและรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาดเหมือนอนันต์ยังคงอยู่ใกล้ๆตัวเขา จนหลายเดือนผ่านไปความเศร้าจากงานศพของอนันต์ได้คลายลง ชีวิตของเขากลับสู่สภาวะปกติคือการทำงานในห้องนอนอย่างเช่นที่เคย.......
กลางดึกคืนหนึ่งในขณะที่เขาใช้อินเตอร์เน็ทในการส่งงานเขียนไปยังสำนักพิมพ์นั่นเอง.. โปรแกรม MSN ที่ใช้สำหรับสนทนาทางอินเตอร์เน็ทที่เขาเปิดค้างไว้ก็ส่งเสียงเตือนและกระพริบถี่ๆเป็นสัณญาณบอกว่ามีคูสนทนากำลังต้องการคุยกับเขาอยู่...
เขาเริ่มแปลกใจ!! เพราะไม่มีใครรู้จักอีเมล์ของเขานอกจากกองบรรณาธิการ และโปรแกรมนี้เข้าก็เพียงใช้ในการคุยกับกองบรรณาธิการในหารแก้งานเขียนเท่านั้นหาใช้ใช้คุยเรื่อยเปื่อยแบบที่พวกวัยรุ่นชอบทำกันไม่....!!
เขาเลื่อนเม้าไปชี้ที่แถบที่กำลังกระพริบ... ไม่มีทั้งชื่ออีเมล์และชื่อผู้พูด.. เขาเริ่มงง ไม่มีชื่อผู้พูดนี้พอทำเนาแต่ถ้าไม่มีชื่ออีเมล์นี่จะสามารถล๊อกอินเข้ามาใช้บริการ MSN ได้อย่างไร?
ด้วยความสงสัย...! เขาคลิกแถบคอเซอร์นั้นทันที มันดีดตัวขึ้นมาเป็นกลายหน้าต่างสนทนาส่วนตัวโดยมีข้อความสั้นๆอยู่ เป็นคำกล่าวครั้งแรกของฝ่ายตรงข้าม แต่พอเขาอ่านข้อความนั้นจบ เจ้าข้อความสั้นๆที่พิมพ์อยู่บนหน้าจอสนทนานั้นทำให้เขาต้องตกตะลึงสุดขีด...............!! เพราะมันเขียนไว้สั้นๆ แต่ได้ใจความว่า...!
“ถึงธีรวุฒิเพื่อนรัก..... จากอนันต์เพื่อนที่รักยิ่งของนาย...!!
ไม่ทันที่เขาจะได้พิมพ์ตอบกลับไปฝ่ายตรงกันข้ามก็พิมพ์ข้อความในบรรทัดที่สองต่อมาทันที เหมือนจะรู้ว่าเขาได้อ่านบรรทัดแรกจบไปแล้ว....!
“ขอบคุณสำหรับจดหมายฉบับที่แล้ว ฉันไม่ว่าอะไรหรอกที่นายตอบช้า แต่ฉันเสียดายจริงๆเหมือนกันนะที่ไม่ได้ไปร่วมงานแต่งงานของชัยชาญเขา....!!”
เขาหน้าซีด.....!! ไม่มีทางแน่ที่ใครจะรู้ข้อความในจดหมายของเขาฉบับนั้น เพราะเขาเป็นคนใส่ลงไปในโลงศพเองกับมือก่อนหน้าที่โลงศพจะถูกตอกตะปูปิดฝาส่งเขาเตาเผาในเวลาไม่กี่วินาที.....!
“ฉันอยู่ทางนี้สบายดีนายไม่ต้องเป็นห่วง.. ตอนนี้ฉันมีเพื่อนใหม่มากมายเลย แถมทุกคนแต่งตัวแปลกๆอีกต่างหากแน่ะดูไม่คุ้นตาพิลึก..??” ข้อความยังคงปรากฏขึ้นต่อไปเขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น....!!
ธีรวุฒถอยห่างออกมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์ทีละก้าวๆ.... แต่แล้วกรอบพลาสติกที่ใส่กระดูกของอนันต์อยู่ๆก็กลิ้งตกลงมาจากหิ้งตกลงบนพื้นข้างหน้าเขาส่งเสียงดังเรียกร้องความสนใจ เหมือนจะบอกว่านี่เป็นเครื่องการันตีว่าเขาที่กำลังคุยผ่านอินเตอร์เน็ทอยู่นี้เป็นตัวจริง ธีรวุฒิหันไปมองกรอบพลาสติกที่ใส่กระดูกนั้นด้วยเหงื่อชุ่มโชก...แล้วกลืนน้ำลายขับไล่รสขมๆที่อยู่ในปากก่อนที่จะฝืนมองมอนิเตอร์จากยากเย็น...
อนันต์ได้ตอบจดหมายกลับฉบับสุดท้ายกลับมาแล้ว............................!!
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ความคิดเห็น