ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ระยะห่างเพียงฟากฟ้า

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3 : นางฟ้า กับ นายมาร

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.ค. 52


    -3-

     

           ดวงอาทิตย์ยามเย็นสีแดงก่ำพึ่งจะลาลับฟากฟ้าไปเมื่อสักครู่ แต่ถึงอย่างนั้นผู้เป็นใหญ่เหนือฟากฟ้ายามกลางวันกลับยังคงไว้ลายทิ้งแสงสุดท้ายของวัน ย้อมเส้นขอบฟ้าให้กลายเป็นสีแดงระเรื่อราวกับเป็นสัญญาณต้อนรับราตรีที่กำลังจะมาถึง ความมืดเริ่มเข้ามาครอบคลุมทุกสรรพสิ่งอย่างช้าๆโดยไม่รีบร้อน ในขณะที่หลอดไฟจากเสาไฟฟ้าริมถนนทั้งข้างใน และข้างนอกของสนามกีฬากลางเอง พวกมันก็ราวกับพากันพร้อมใจกันส่องแสงสว่างขึ้นทีละดวง ทีละดวงขึ้นติดต่อเนื่องกันไปตามท้องถนนที่ทอดยาวออกไปจนเกือบสุดสายตา

                ในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปเช่นนั้น แต่ระหว่างเราทั้งสองคนกลับไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย พวกผมยังคงยืนอยู่บนสนามหญ้าริมลู่วิ่งดินที่เดิม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ราวกับจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปในสายตาของผม มันคือรอยยิ้มของหญิงสาวแปลกหน้า กับเสียงหัวเราะน้อยๆด้วยความขบขันที่เธอลอบเปล่งออกมาจากลำคอเป็นระยะๆ

                ตามปกติแล้ว เวลาที่ผมทำสีหน้าจริงจังในสิ่งที่พูด ประกอบกับแววตาที่แสดงความก้าวร้าวของตัวผม ทุกคนที่เคยสนทนากับผมต่างจะนิ่งเงียบด้วยความยำเกรง มันเคยเป็นเช่นนั้นมาโดยตลอดจนผมเชื่อว่าคงจะไม่มีใครหน้าไหนที่ตีสีหน้าตายไม่รู้ร้อนรู้หนาวถึงความน่าหวาดหวั่นในตัวผม

                แต่.. ในวันนี้ผมกลับพึ่งรู้ว่าตัวเองคิดผิด เมื่อหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังทำลายในสิ่งที่ผมเชื่อมาโดยตลอดลง

                เนิ่นนานมากทีเดียวกว่าที่เธอจะสามารถสงบสติอารมณ์ พร้อมกับอดกลั้นเสียงหัวเราะที่ดูราวกับมันเป็นเรื่องที่ชวนขบขันที่สุดในชีวิตของเธอลงได้

                เมื่อสรระเสียงแห่งความหฤหรรษ์จบลง เธอจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองที่ผมด้วยสีหน้าหวาดๆ แต่ผมรู้ดีว่าเธอคงไม่ได้แสดงสีหน้าเช่นนั้นเนื่องจากหวาดกลัวตัวผม บางทีเธอคงจะเพียงแค่รู้สึกว่าตัวเองได้ทำเรื่องที่เสียมารยาทต่อตัวผมลงไปเท่านั้น

                ผมยังคงยืนกอดอกนิ่งอยู่ทีเดิม โดยไม่ได้แสดงสีหน้าบ่งบอกว่ารู้สึกเช่นไรกับสิ่งที่เพิ่งจะผ่านพ้นไป แต่อาจจะด้วยสีหน้าเฉยชาไร้อารมณ์อันเป็นปกติ ที่ทำให้ใบหน้าของผมเหมือนกับแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน มันจึงทำให้เธอเองก็เป็นฝ่ายที่แสดงความกังวลออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจน

                “ขอโทษนะที่หัวเราะ!?” อยู่ๆ เธอก็กล่าวคำขอโทษออกมาเสียดื้อๆ เล่นเอาผมตั้งตัวแทบไม่ทัน

              “เรารู้ดีว่าการที่จะมาหัวเราะกับคำตอบของคนอื่น มันเป็นเรื่องที่เสียมารยาทมาก แต่มันก็อดขำไม่ได้จริงๆ” เธอทำสีหน้าสำนึกผิด พร้อมกับเบนสายตาหลบผมไปคล้ายกับไม่ต้องการสู้หน้า อาการที่แสดงออกมาตรงๆโดยไม่เสแสร้งปกปิดเหมือนกับคนอื่นๆที่ผมเคยพบมาของเธอ มันกลับยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นฝ่ายผิดขึ้นมาเสียเอง

                ผมลอบถอนหายใจออกมาเบาๆด้วยความหนักใจ ก่อนที่จะพยายามเป็นฝ่ายถามขึ้นมาบ้างเพื่อเป็นการเปลี่ยนเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นให้มันคลายจากความตรึงเครียด

                “ไม่เป็นอะไรหรอก แต่แค่ผมอยากรู้ว่าเธอตลกเรื่องอะไรก็เท่านั้นล่ะ” ผมถามขึ้น พร้อมกับพยายามคลายสีหน้าเย็นชาของตัวเองลง

                “อ๋อ..! สำหรับเรื่องนั้นคือ ถ้านับตามคณะกีฬาสีแล้วล่ะก็ พวกเราทั้งสองคนจะอยู่ในคณะสีม่วงเหมือนกัน” เธอเฉลยขึ้น พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม สำหรับผมในตอนนั้นมีแต่ความประหลาดใจเมื่อพบว่าหญิงสาวแปลกหน้าคนนี้ สามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของตัวเองได้อย่างรวดเร็วมากเสียจนผมไม่อาจจะสามารถทำความเข้าใจตามทันได้

              โรงเรียนของผมนั้นมีจำนวนนักเรียนรวมกันกว่าสองพันคน โดยแบ่งออกเป็นหกชั้นปีไล่ตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง ไปจนกระทั่งถึงมัธยมศึกษาปีที่หก และเนื่องจากจำนวนที่มากขนาดนั้น ทำให้ทุกชั้นปีต่างต้องมีห้องเรียนแบ่งย่อยออกไปอีกถึงสิบสี่ห้องต่อหนึ่งระดับภายในโรงเรียนที่ตั้งอยู่กลางตัวเมืองที่มีพื้นที่น้อยแสนน้อย จนบางครั้งผมเองก็ยังอดสงสัยเสียมิได้ว่าเหล่าผู้บริหารโรงเรียนใช้กลยุทธ์เช่นใดในการยัดเบียดเสียดนักเรียนจำนวนมหาศาลเหล่านี้เข้าไปภายในได้สำเร็จ

                แต่.. ในสายตาของผมแล้ว ปริมาณนักเรียนขนาดนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถนำมาใช้ตัดสินความมีระเบียบ หรือระดับมันสมองด้านความรู้ของนักเรียนเหล่านั้นได้เลย ผมกลับมองเห็นภาพที่ดูราวกับกองทัพมดแตกแถวที่ไร้ผู้นำที่วิ่งวุ่นวายไปทั่วอย่างไร้กฎระเบียบซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในรั่วโรงเรียน ที่ออกปากประกาศป่าวๆว่าตนเองได้ฝึกสอนให้เด็กทุกคนมีความรู้ควบคู่ไปกับคุณธรรม

                ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว สภาพภายในของโรงเรียนอันดับหนึ่งประจำจังหวัดแห่งนี้ มันกลับฟอนเฟะไม่ต่างอะไรไปกับสถานจำลองของสังคมภายนอกที่เต็มไปด้วยความรุนแรง หลอกลวง และโหดร้าย ไม่มีผิด

                ถึงอย่างนั้น แต่ในทุกปีจะมีเพียงแค่หนึ่งครั้งที่ทำให้เหล่าบรรดานักเรียนเหล่านั้นหันมาให้ความร่วมแรงร่วมใจกันได้อย่างน่าพิศวงใจ ซึ่งงานดั่งกล่าวมันก็คือ “งานแข่งขันกีฬาสี” ที่จะจัดขึ้นภายในโรงเรียนเป็นประจำทุกกลางปี มันเป็นกิจกรรมที่นักเรียนทุกชั้นปีต่างรอคอยอย่างใจจดใจจ่อราวกับเป็นงานประเพณีประจำปีที่จะขาดเสียไม่ได้ และเท่าที่ผมรู้ทางโรงเรียนทำการแบ่งชั้นเรียนต่างๆออกเป็นสี่สี่ ได้แก่ สีม่วง,ชมพู,แดง และเหลือง โดยแบ่งคณะสีตามลำดับหมายเลขห้องของทุกชั้นปีไปเรื่อยๆ เหมือนกับที่คณะสีของผมมีสมาชิก คือห้องหนึ่ง,ห้องเจ็ด,ห้องเก้า สุดท้ายคือห้องสิบเอ็ด ของทุกชั้นปีรวมกันเป็นหนึ่งคณะสี

                มันยังมีเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้นักเรียนทุกคนต่างใจจดใจจ่อกับงานนี้อย่างเอาเป็นเอาตายนั่นก็คือ สำหรับคณะสีที่สามารถมีคะแนนรวมแต้มชัยชนะได้เป็นอันดับหนึ่งของปีนั้น จะสามารถใช้สิทธิ์ขออะไรก็ได้ร่วมกันจากกองอำนวยการกลาง ไม่ว่าจะเป็นห้องเรียนติดแอร์ หรือแม้แต่ขอให้มีการติดตั้งตู้เย็นไว้ในห้องเรียนของบรรดาสมาชิกคณะสีที่ชนะเลิศก็เป็นสิ่งที่สามารถทำได้จริงทั้งสิ้น

                ด้วยความฉลาดในการตั้งรางวัลล่อใจสุดพิเศษดั่งกล่าวของผู้จัดงาน มันจึงกลายเป็นเป้าหมายล่อตาล่อใจเหล่านักเรียน จนถึงขนาดที่ว่างานกีฬาสีที่กำลังจะมาถึงนั้น มันได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการแปรเปลี่ยนโรงเรียนให้กลายเป็นสนามรบในเชิงกีฬาอันดุเดือด ที่เดิมพันไว้ด้วยศักศรีดิ์ระหว่างคณะสีต่างๆไปอย่างไม่น่าเชื่อ

                แต่.. สำหรับตัวผมแล้ว ผมกลับไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับกิจกรรมดั่งกล่าวเลยสักนิด!

              “นายไม่รู้จริงๆอย่างนั้นหรือว่า ตอนนี้กีฬาสีมันใกล้มาถึงแล้ว?” คำถามของเธอช่วยดึงให้ผมกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง ผมยังคงยืนอยู่ ณ สถานที่เดิม แต่ดูเหมือนว่าเมื่อสักครู่นี้ ผมคงจะเผลอด่ำดิ่งจมลงไปในโลกแห่งความคิดของตนเองเพียงลำพังนานมากจนเกินไป จนถึงขนาดลืมไปเลยว่าตัวเองกำลังยืนสนทนากับเธออยู่

                “อ่า.. รู้สิ” ผมตอบกลับไป โดยไม่ใส่ใจกับคำถามของเธอนัก

                “นายรู้อยู่แล้วเหรอ? ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องขอโทษด้วยที่พูดเรื่องไม่ค่อยจะเป็นเรื่องสักเท่าไหร่”

              ถึงปากจะพร่ำกล่าวคำว่าขอโทษ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงหัวเราะไม่หยุดอยู่ดี

              อาการผีเข้าผีออกของเธอ มันพลอยถึงกับทำให้ผมรู้สึกเริ่มขบขันตามไปด้วย จนถึงกับเผลอเผยรอยยิ้มที่มุมปากโดยไม่ทันรู้ตัว

                “เอ๊ะ! นายยิ้มออกแล้วนี่ โล่งอกไปทีนึกว่านายจะเป็นประเภทพวกเสือซ่อนยิ้มเสียอีก” เธอทักขึ้นทันทีเมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝันจากตัวผม

                คำพูดของเธอทำให้ผมถึงกับต้องรีบหุบรอยยิ้ม พร้อมกับตีสีหน้ากลับเปลี่ยนเป้นความนิ่งเฉยอย่างรวดเร็ว

              ผมเบือนหน้าจากภาพหญิงสาวผู้ที่กำลังยืนทำสีหน้าแปลกประหลาดใจกับความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อย่างกะทันหันของตัวผม ก่อนหมุนตัวกลับโดยตั้งใจว่าจะใช้การจากไปจากสถานที่แห่งนี้เป็นวิธียุติการสนทนาอันหาประโยชน์มิได้ระหว่างเราสองคนลงเสีย

                แต่.. ยังไม่ทันที่เท้าของผมมันจะได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างที่ควรจะเป็น เสียงใสๆ และร่าเริงของเธอก็ดังเรียกตัวผมเอาไว้เสียก่อน

                “นายชื่อว่าอะไรนะ?

                คำถามของเธอทำให้ผมถึงกับต้องหยุดอยู่กับที่อย่างกะทันหัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ตอบอะไรเธอกลับไปแม้แต่คำเดียว

                “นี่! แค่ชื่อน่ะนายจะบอกกันไม่ได้เลยเชียวรึ หรือมันเป็นความลับทางราชการกัน?

              จากน้ำเสียงเน้นย้ำที่ถามซ้ำขึ้นมาอีกครั้งอย่างชัดถ้อยชัดคำแกมประชด ดูเหมือนว่าการนิ่งเงียบของผมจะทำให้เธอไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้หันกลับไปมองที่คู่สนทนา เสียงฝีเท้าที่ย่ำลงบนพื้นอย่างหนักๆที่บ่งบอกถึงอารมณ์ที่อันเริ่มมาคุของเธอก็เริ่มก้าวเข้ามาใกล้ร่างของผมจากทางด้านหลังมากขึ้นทุกขณะ

                ในที่สุด เธอก็พาตัวเองมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของผม พร้อมกับเหมือนพยายามปั้นสีหน้าที่แสดงอารมณ์แสดงความโกรธอย่างสุดชีวิต แต่สำหรับผมแล้ว การกระทำแบบนั้นมันกลับดูขัดกับใบหน้าที่อ่อนละมุนของเธอ จนมันดูเหมือนกับจะให้ผลต่อความรู้สึกของตัวผมไปชนิดจากหน้ามือเป็นหลังมือ

                อันที่จริงถ้าหากเป็นคนอื่นที่ทำสีหน้าชวนเกรงขามในสถานการณ์แบบนี้แล้วล่ะก็ ผมก็คงจะมีความเกรงใจให้กับเขาเหล่านั้นบ้าง แต่สำหรับเธอแล้ว อาการโกรธของเธอกลับยิ่งไปช่วยส่งเสริมความน่ารักของใบหน้าเธอมากยิ่งขึ้นไปอีกแบบเสียอย่างนั้น

                ท่าทางที่ดูเหมือนกับกำลังงอนเสียจนแก้มป่องของเธอ กลับทำให้หัวใจของผม มันเต้นแรงเร็วขึ้นอย่างน่าประหลาด

              “แวน” ผมตอบกลับไปสั้นๆ พร้อมกับสะบัดศีรษะไปมาเป็นการขับไล่ความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นภายในใจออกไป ผมไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุภายในใจเมื่อสักครู่นั้นมันคืออะไร แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับรู้ตัวโดยสัญชาตญาณเอาเองเสียดื้อๆว่า หากผมปล่อยให้ความรู้สึกที่ว่าเข้ามาครอบครองจิตใจของผมเอาไว้แล้วล่ะก็ ท่าทางมันคงจะไม่ดีสักเท่าไหร่เป็นแน่

                เมื่อเธอได้ยินคำตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้จากปากของผม เธอก็พลันแสดงสีหน้ายินดีออกมาอย่างไม่ปกปิดแม้แต่น้อย

                “ดีมาก.. เห็นไหมว่าแค่เพียงการบอกชื่อตัวเองต่อคนอื่นน่ะ มันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลยนะแวน?

    เธอกล่าวพร้อมกับพยายามใช้ปลายเท้าเขย่งตัวขึ้นมาให้ระดับร่างกายของเราทั้งสองอยู่ในระดับเดียวกันมากที่สุด ถึงแม้ว่าเธอคงจะรู้ตัวดีว่าความสูงของเราสองคนนั้นมันเทียบกันไม่ได้แม้แต่น้อย เหมือนกับผมเป็นต้นไม้ใหญ่ ในขณะที่เธอนั้นเป็นเพียงไม้พุ่มเตี้ย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็กลับพยายามที่จะทำอะไรแปลกๆแบบนั้น ราวกับต้องการให้ฐานะของเราอยู่ในระดับเท่าเทียมกันในขณะที่พูดเรื่องที่ดูเป็นทางการ

                โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ได้มีข้อรังเกียจคนที่มีความพยายามสูงอย่างเธออยู่แล้ว..

              เมื่อเธอพยายามเขย่งยืนจนได้ที่แล้ว เธอจึงยืนมือขวาของตัวเองออกมาด้านหน้า พร้อมกับพูดกับผมขึ้นอย่างเป็นทางการด้วยรอยยิ้มเป็นครั้งแรก

                “ส่วนเราชื่อเล่นว่าออย ยินดีที่ได้รู้จักนะแวน หวังว่าในช้านี้พวกเราคงจะได้มีโอกาสมาช่วยกันทำงานเพื่อคณะสีของพวกเราด้วยกันนะ”

                ผมยืนมึนงงกับคำพูดของเธออยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อชำเลืองมองลงไปด้านล่างเห็นมือขวาของเธอที่ยื่นออกมาราวกับเป็นสัญณาณบ่งบอกให้ผมจับมันเพื่อเป็นการทักทาย ผมก็ต้องยิ่งฉงนกับคำพูดของเธอมากขึ้นไปอีก แต่ครั้นผมเงยหน้าขึ้นไปมองเธออีกครั้งราวกับต้องการย้ำความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิด เธอกลับพยักหน้าตอบรับมาเบาๆเป็นเชิงแสดงความยินยอมเสียอย่างนั้น

                ผมแอบถอนหายใจกับตัวเองเบาๆอีกครั้ง ถึงแม้ว่าผมจะจำไม่ค่อยได้แล้วว่าวันนี้ตัวผมได้ลอบถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจไปสักกี่ครั้งแล้ว แต่ผมกลับรู้สึกว่าถึงตัวผมจะทำมันซ้ำๆเช่นนั้นอีกหลายสิบหลายร้อยครั้ง ผมก็คงจะไม่สามารถขับไล่ความเหนื่อยล้าที่สะสมไว้ในใจกับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในวันเดียวนี้ได้หมดเป็นแน่

                โดยเฉพาะอย่างยิ่ง.. เรื่องของหญิงสาวที่ยังคงยกมือขวาขึ้นค้างเอาไว้รอคอยการตอบรับที่อยู่ตรงหน้าของผมคนนี้

                หลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาครอบงำทุกสรรพสิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดผมจึงยินยอมยกมือขึ้นไปประทับลงบนฝ่ามือของเธออย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก และทันทีที่มือของเราทั้งคู่ได้สัมผัสกัน เธอก็เป็นฝ่ายกุมมือของผมเอาไว้แน่นพร้อมกับสะบัดขึ้นลงเบาๆอย่างรวดเร็ว

                “ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งหนึ่งนะ!” เธอกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มกว้าง

                ในวินาทีนั้น มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านออกมาจากฝ่ามืออันอ่อนละมุนของเพศตรงข้าม อุ้งมือของเธอมันช่างเล็ก บอบบาง และนุ่มนวล ราวกับว่าหากผมออกแรกบิดต้านขัดขืนแม้เพียงแค่น้อยนิดแล้วล่ะก็ มันก็พร้อมที่จะเปราะหักลงได้ทุกเมื่อ

    เรื่องเหล่านั้น มันเป็นความคิดอันน่าแปลกประหลาดที่แวบเข้ามาในหัวของผมอย่างกะทันหัน และมันยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงของความรู้สึกภายในตัวผมอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเธอได้ถอนมือกลับไปความรู้สึกวุ่นวายเหล่านั้น มันจึงพลันหายวับไปด้วย

    “ดีมาก ตอนนี้พวกเราต่างฝ่ายก็ต่างแนะนำตัวกันเสร็จแล้ว ถ้าหากนายต้องการที่จะกลับบ้านก็กลับได้เลยนะแวน” เธอพูดพลางตบไหล่ผมเบาๆ ซึ่งการกระทำของเธอแบบนั้นผมเชื่อว่าไม่มีนักเรียนหน้าไหนในโรงเรียนกล้าทำเช่นนี้กับตัวผมเป็นแน่ แต่ถึงอย่างนั้นการแสดงออกอย่างเป็นกันเองของเธอนั้นราวกับว่าเราสองคนได้รู้จักสนิทสนมกันมานานนับสิบปีก็ไม่ปาน มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจในตัวเธอมากยิ่งขึ้นไปอีก

    กว่าที่ผมจะรู้ตัว ก็กลับกลายเป็นว่าผมรู้สึกสนใจในตัวเธอไปเสียแล้ว

    “เอาล่ะ! นายกลับไปได้แล้ว เดินหน้าตรงไปเลยทหาร ถ้าเป็นไปได้อย่ามัวแต่เถลไถลรีบตรงกลับบ้านไปล้างคราบดินออกจากแผลได้จะดีมากเลยนะ!” เธอไม่วายออกปากแซวอย่างอารมณ์ดีเป็นการส่งท้าย

    ผมเดินจากมาอย่างเงียบๆโดยไม่แม้แต่กล่าวคำอำลา หรือขอบคุณเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อแอบชำเลืองกลับไปมองทางด้านหลัง ผมกลับพบว่าเธอยังคงยืนโบกมือลาผมอยู่ที่เดิมไปมาโดยไม่ได้สนใจกับสายตาของคนอื่นๆที่ต่างพากันจ้องการกระทำของเธอเป็นตาเดียวกันแม้แต่น้อย

    ผู้หญิงอะไรกันพิลึกสิ้นดี..!?

    ตอนนั้นภายในใจของผมคิดเช่นนั้นจริงๆ เธอเป็นผู้หญิงที่แปลก และใจเย็นอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะขนาดมีคนแปลกหน้าอย่างผมมานอนจมกองเลือดพร้อมกับแผลเปรอะไปทั้งตัว ยังมาใจดีช่วยปฐมพยาบาลให้อย่างไม่รังเกียจ หรือหวาดระแวงเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากเป็นคนปกติโดยทั่วไปแล้วล่ะก็ พวกเขาคงจะมองดูสภาพของผมด้วยสายตาที่เหยียดหยาม พร้อมกับเดินผ่านไปด้วยวาจาถากถางที่แสดงถึงความน่าสมเพศ และปล่อยให้ตัวผมนอนตายจากไปโดยไม่ใยดีแล้ว

    ใช่..! สำหรับคนปกติพวกเขาก็ควรที่จะทำเช่นนั้น เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครเขาก็ไม่อยากที่จะหาเหามาใส่หัวกันนักหรอก

    ปรี๊ด……………..!!

    ชั่วพริบตานั้นเอง ห้วงคำนึงทั้งมวลของผมที่กำลังว้าวุ่นมันก็พลันจบลงอย่างกะทันหัน ผมถูกเสียงนกหวีดที่ดังแหลมขึ้นจากทางเบื้องหลังดึงความสนใจให้ผมหันกลับไปมองตามสันชาตาญาณ

    ผมเห็น

    ภาพของหญิงสาวแปลกหน้า ที่กลายเป็นผู้คุ้นเคยในช่วงเวลาไม่กี่สิบนาทีกำลังเริ่มออกวิ่งไปตามลู่ดินพร้อมกับนักกรีฑาคนอื่นๆอีกสองสามคน แสงสุดท้ายจากพระอาทิตย์ที่กำลังลาลับสาดส่องมากระทบหยาดเหงื่อที่รินไหลออกมาของเธอ ด้วยปรากฏการณ์ที่ราวกับจะเป็นปาฏิหาริย์อย่างสุดท้ายที่พระเจ้าทรงต้องการจะมอบให้กับคนอย่างผมในวันนั้น มันทำให้ตัวของเธอราวกับมีประกายแสงแวววับเจิดจ้าขึ้นมาทันทีในสายตาของผม

    ในเวลานั้น.. สิ่งที่เห็น มันทำให้ผมถึงกับต้องเผลอตัวยืนเกาะรั้วลูกกรงที่กั้นกลางระหว่างสนามสองแห่งเอาไว้ด้วยกันอยู่อย่างเนิ่นนาน จนกระทั่งเธอกลายเป็นฝ่ายที่หันมาพบเข้าโดยบังเอิญ พร้อมกับส่งรอยยิ้ม และโบกมือทักทายมาให้ ตัวผมจึงพึ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไรบางอย่างที่ผิดปกติอยู่

    ผมพละออกมาจากรั้วแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว ด้วยความรู้สึกที่ไม่เข้าใจในการกระทำของตัวเอง พร้อมกับความรู้สึกอบอุ่นที่ถ่ายเทมาจากอุ้งมือของเธอ ที่ยังคงติดตรึงอยู่ในรสสัมผัสบนฝ่ามือของผมที่ยังไม่ยอมจางหายไป

     

    สองเท้าของผมยังคงทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ มันพาร่างของผมเดินตรงไปยังป้ายรถโดยสารประจำทางที่อยู่หน้าประตูทางเข้าของสนามกีฬากลางอย่างช้าๆ

    เมื่อผมมาถึงและกำลังหันซ้ายมองขวาเพื่อดูว่ามีรถโดยสารคันที่ผมต้องโดยสารกลับบ้านผ่านมาบ้างหรือไม่นั้น ผมบังเอิญเหลือบไปเห็นพลาสเตอร์ยาที่ติดอยู่บนบาดแผลหลายจุดบนแขนขวาเข้า และเมื่อผมเห็นพลาสเตอร์จำนวนนับสิบเหล่านั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มออกมา

    การที่ผมรู้สึกเช่นนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไรนัก เนื่องจากบรรดาลวดลายบนพลาสเตอร์ยาที่เธอเลือกสรรมาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ลวดลาย และสีสันแสบสันจนยากที่จะรับไหว ผมไม่รู้หรอกว่าการที่เธอเลือกลวดลายเหล่านี้มันมาจากความชื่นชอบ หรือรสนิยมส่วนตัว แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่การเอารูปลายกระต่ายน่ารักสีเหลืองสดใสจนแสบตามาแปะทับเต็มท่อนแขนโดยไม่ได้ดูหน้าคนที่ถูกนำไปใช้งานแบบนี้ เป็นใครก็ต้องไม่กล้าขึ้นรถโดยสารสาธารณะกลับบ้านเป็นแน่

    เห็นอย่างนี้ก็เถอะ ถ้าหากจะให้ผมทำเรื่องน่าอายแบบนี้ สู้ปล่อยผมให้กลับไปฟาดปากกับพวกอริเมื่อตอนเย็นด้วยจำนวนที่มากกว่าเท่าตัวยังจะสบายใจเสียกว่าอีก

    แต่.. กว่าที่ผมจะรู้สึกตัวว่า บนใบหน้าของผมเองก็เต็มไปด้วยพลาสเตอร์สีแดงสดใสสะท้อนแสงลวดลายลิงโชว์ตูดสีแดง ก็เป็นตอนที่ผมกำลังยืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำในขณะที่กำลังเตรียมตัวจะอาบน้ำในคืนนั้น

     

    ++++++++++++

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×