ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมเรื่องสั้น

    ลำดับตอนที่ #4 : ถึงแม้มวลดอกไม้จะเหี่ยวเฉา

    • อัปเดตล่าสุด 29 ส.ค. 49


    ถึงแม้มวลดอกไม้จะเหี่ยวเฉา...

     

     

    ถึงแม้มวลดอกไม้จะเหี่ยวเฉา สายน้ำจะสงบนิ่งหลับใหล หรือสายลมจะพัดเปลี่ยนเวียนวนทิศทางไป ฉันยังคงจะอยู่ตรงนี้ไม่จากไปไหน.... ฉันสัญญา..

             

              นี่เป็นประโยคๆหนึ่งที่เปรียบดาวได้อ่านขึ้นมาจากกระดาษแผ่นหนึ่งอันมีสีเริ่มเหลืองซีดไปตามวันเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน เธออมยิ้มกับประโยคสั้นๆแต่ได้ในใจความ ในขณะที่สายลมกำลังพัดพาเอากลิ่นรวงข้าวอันสุกงอมเหลืองอร่ามสุดลูกหูลูกตาทั้งสองฟากริมทางรถไฟ เข้ามากระทบโสตประสาทของเธอจากหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้เพียงคืบกว่าๆ

                    เธอละสายตาจากแผ่นกระดาษหันไปมองทุ่งข้าวนั้นราวกับอยู่ในภวังค์  ภาพทุ่งข้าวกว้างไกลเป็นภาพที่คุ้นเคยในความทรงจำของเธอดี กลิ่นสาบสางของรวงข้าวที่บ่งบอกว่าเธอกำลังใกล้บ้านเกิดเข้าไปทุกขณะนี้ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ย้ำเตือนถึงอดีตในวันวานที่ผ่านมา... กระดาษในมือของเธอถูกแรงดันของลมทำให้มันบิดสะบัดไปมา เธอกำลังตกลงไปสู่ห้วงของความคิด เป็นความทรงจำที่เธอเกือบจะลืมมันไปแล้ว..

                    เธอหยิบกระดาษขึ้นมาอ่านอีกครั้ง อันที่จริงเธอควรจะลืมเรื่องนี้ไปตั้งนานมาแล้วว่าเคยได้รับมันมาจากใครคนหนึ่งตั้งแต่ตอนที่จบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ถ้าไม่พบมันถูกสอดไว้ในหนังสือเล่มโปรดสีเขียวแก่ที่เธอชอบพกมันไปไหนมาไหนด้วยเสมอแล้วล่ะก็มันก็คงจะเป็นแค่อดีตที่ถูกลืมเลือน.. เธอดันกรอบแว่นตาที่เคลื่อนลงไปตามแนวสันจมูกให้มันเข้าที่แล้วลองนึกย้อนอดีตที่ถึงความหลังเมื่อหลายปีมาแล้ว..

                    เธอพบกับพงพันธ์ครั้งแรกเมื่อฤดูร้อนสมัยยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นปีที่สอง..!! เธอพบเขาที่ค่ายผู้นำเยาวชนรุ่นที่สิบสี่ของทางโรงเรียน... มันเป็นการเข้าค่ายที่กินเวลายาวนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่เวลากว่าหนึ่งสัปดาห์จะทำให้ผู้เข้าร่วมอบรมเพียงไม่ถึงร้อยคนจะรู้จักและสนิทสนมกันดีจากการร่วมกันทำกิจกรรมต่างๆ แต่ไม่ใช่กับชายคนหนึ่งที่แยกตัวออกจากกลุ่มตั้งแต่แรก เขาไม่พูดคุยและไม่สุงสิงกับใครมากนัก แต่กลับเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักเรียนทุกระดับชั้นที่เข้ามาร่วมการอบรม ในฐานะของรุ่นพี่ฝ่ายปกครองสุดโหดแห่งคณะทิวสนสีม่วง ผู้ที่คอยถือไม้เรียวขนาดใหญ่วิ่งไล่เด็กนักเรียนคนอื่นๆขึ้นไปร่วมการซ้อมเชียร์กีฬาสีกันอย่างพร้อมเพรียงและมีวินัยที่สุด เด็กนักเรียนในทุกระดับชั้นจะกลัวเขามากในความเด็ดขาด... ไม่ต่างจากการที่กลัวอาจารย์ฝ่ายปกครองคนหนึ่งเลยทีเดียว..

                    ตอนที่เธอเห็นเขาในครั้งแรกกับอาการที่ขวางโลกดังกล่าวในงานอบรมครั้งนี้ เธอก็คิดว่าเขาเองคงเป็นจริงดังเช่นข่าวที่ลือกัน เขานิ่ง..เงียบ และชอบถอยออกมายืนหลบที่มุมเสากอดอกดูภาพการทำกิจกรรมที่สนุกสนานด้วยใบหน้าที่เฉยเมยปราศจากอารมณ์ร่วม และหลายต่อหลายครั้งที่วิทยากรพยายามชวนเขาให้เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการทำกิจกรรมซึ่งเขาก็มักจะส่ายหน้าเบาๆแล้วบอกว่า.

                    เดี๋ยวคนอื่นจะไม่สนุก!” เธอยังสงสัยเลยว่าหากเขาไม่ชอบการทำกิจกรรมมากขนาดไม่เข้าร่วมเลยนี้ เขาจะสมัคมาร่วมงานออกค่ายในครั้งนี้ทำไม..? เธออยากรู้คำตอบแต่ก็ไม่กล้าเข้าไปถามยุ่มย่ามกับเขามากนัก อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศแปลกๆรอบๆตัว ที่ไม่ขวนให้น่าเข้าใกล้ หรืออาจจะเป็นความแตกต่างของชั้นเรียนระหว่างชั้น ม.5 กับ ม.2 ที่ทำให้ช่วงความคิดไม่เหมือนกันจนไม่อาจที่จะเข้าใจในความคิดของอีกฝ่ายได้

                    แต่เหมือนฟ้าลิขิตให้ทั้งสองต้องมาร่วมทำกิจกรรมในกลุ่มเดียวกันตลอดช่วงเวลาของการอบรม ยิ่งเวลาอยู่ใกล้กันผ่านไปนานเขากลับทำให้เธอประหลาดใจไม่น้อยเวลาที่ต้องนำกลุ่มทำงาน หรือเวลาที่มีปัญหาที่ต้องการรับผิดชอบ เขากลับยอมรับสิ่งเหล่านั้นไว้หมดคนเดียวด้วยสีหน้าเฉยชา แถมยังหาช่องทางแก้ปัญหาเหล่านั้นได้อย่างน่าทึ่ง!

                    ถ้าก้าวไปข้างหน้าแล้วเจอกำแพงขวางกั้นอยู่ก็ให้ถอยกลับมาให้ไกลพอที่จะมองเห็นภาพกำแพงทั้งหมด จากนั้นลองมองหาช่องว่างระหว่างกำแพงที่เราพอจะแทรกตัวไปได้ หรือหากไม่มีช่องว่างเหล่านั้นจริงๆก็ให้ยอมเดินอ้อมกำแพงนั้นไปเสีย..ไม่ว่ามันจะทอดยาวขนาดไหนก็ตาม เขายิ้มเป็นครั้งแรกให้เธอเห็นหลังจากกล่าวประโยคนั้น

                    ถึงแม้ว่าการทำงานของเขาในบางครั้งจะเรียกได้ว่าเด็ดขาดจนเกือบจะเหมือนเผด็จการจนคนทั้งกลุ่มต้องร้องครวญครางและทักท้วงในการทำงานนั้นๆ เขาก็มักที่จะยืนยันความตั้งใจเดิมด้วยการก้าวต่อไปอย่างไม่แคร์

                    ถ้ากลุ่มอื่นทำได้หนึ่งชิ้น เราก็ต้องทำให้ได้สองชิ้น ถ้าเขาทำได้รับคำชมว่าดีมาก เราก็ต้องทำงานของเราให้ได้รับคำชมว่าดีที่สุด!”  มันเป็นคำพูดที่มักจะติดปากเขาในการให้กำลังใจคนอื่นๆ ทุกคำพูดของเขาล้วนเข้าใจยากสำหรับเธอ แต่หากลองมานั่งคิดดูดีๆแล้วทุกคำพูดนั้นล้วนมีความหมายแฝงไว้ทั้งสิ้น เธอเริ่มสนใจในการแปลความหมายจากคำที่เขาพูดทุกคำพอรู้สึกตัวอีกที ก็กลายเป็นเธอที่คอยสนใจในความเป็นไปของเขาเสียแล้ว..

                    คืนวันที่สาม หลังอาหารค่ำทุกคนต่างจับกลุ่มกันพูดคุยเรื่องราวต่างๆกันอย่างสนุกสนานในบริเวณของห้องโถงใหญ่ที่กั้นหอนอนของชายหญิงไว้ด้วยกัน ส่วนอีกทางหนึ่งเป็นบันไดที่ทอดสูงขึ้นไปสู่ความมืดมิดสู่ห้องประชุมใหญ่ที่พวกเธอใช้เป็นสถานที่ทำกิจกรรมทุกๆวัน

                    เปรียบดาวเดินสอดส่องสายตาวนเวียนอยู่ในบริเวณฝูงชนไปมา เธอพยายามมองหาเขาแต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา เธอลองเดินมองตามหลังเสาหรือหลังบันไดที่ปลอดจากผู้คนก็หาได้มีร่างของเขาอยู่ที่นั่นไม่!.. เธอขมวดคิ้ว แล้วเขาจะหายไปอยู่ที่ไหนกัน! จะว่าเข้านอนแล้วก็ไม่น่าจะใช่เพราะยังหัวค่ำเกินไป เธอเดินคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อยจนรู้สึกตัวอีกทีก็มายืนอยู่หน้าประตูห้องประชุมที่ถูกดับไฟสนิทจนความมืดมิดเข้าครอบคลุมไปทั่ว

                    เธอค่อยๆแง้มบานประตูออกตามความเคยชิน ประตูถูกผลักออกเผยให้เห็นช่องว่างกว้างขนาดเท่าฝ่ามือ จากช่องว่างนั้นทำให้เธอเห็นทัศน์วิสัยของห้องข้างใน.. พระจันทร์เต็มดวงสาดแสงเหลืองนวลเข้ามาทางหน้าต่างช่วยเพิ่มรัศมีการมองเห็นให้ดีขึ้น เธอมองซ้ายมองขวาไปมาจนเห็นร่างๆหนึ่งนั่งชันเข่าทอดสายตามองออกไปยังเบื้องนอกอย่างสบายอารมณ์ ข้างๆตัวเขามีหน้าต่างบานใหญ่ที่ฉายภาพพระจันทร์ดวงกลมโตจนรู้สึกว่าจะสามารถคว้าจับไว้ได้.... เขากำลังร้องเพลงอยู่!

                    หญิงสาวเคลิ้มกับท่วงทำนองสูงๆต่ำๆที่ออกมาจากปากเขา เท้าทั้งสองค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้เขาอย่างที่ตัวเองไม่รู้ตัวเหมือนถูกดึงดูดด้วยเสียงทุ่มลึกอันแปลกประหลาดนั้น เธอมายืนอยู่ข้างๆเขาและรู้สึกตัวอีกครั้งก็คือตอนที่ปากของเธอขยับและเปล่งคำพูดออกไป

                    เพราะจังนะคะ?” เธอยิ้ม แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเพราะพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่าการแอบฟังมันเป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง... เขาหยุดร้องเพลงแล้วก้มลงมามองเธอ.

                    เอ่อ...หนูหมายถึงว่า พี่...มาทำอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียว?” เธอตะกุกตะกักถามอย่างเขินอาย เขามองและหัวเราะเบาๆในท่าทีนั้น ก่อนที่จะหันกลับไปมองพระจันทร์ดวงกลมโตราวกับกำลังอยู่ในโลกส่วนตัว

                    พี่เกลียดสถานที่ๆมีคนเยอะๆ  เขาตอบแล้วหลับตาลง

                    ว่าแต่เธอนั่นล่ะ... ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?”

                    คือ... หนูไม่เห็นพี่ที่ข้างล่าง เลยแบบว่า....เอ่อ สงสัยว่าพี่อยู่ไหน พอเดินไปเดินมารู้สึกตัวก็มาอยู่ที่นี่แล้วได้ยินเสียงพี่ร้องเพลงแล้ว เธอพูดโกหกแต่ไม่ใช่ทั้งหมด

                    ตามหาคนอย่างพี่นี่นะ?” เขาก้มหน้าลงมามองเธออีกเหมือนจะเป็นการขอให้ช่วยยืนยันคำพูด เธอพยักหน้าตอบ

                    ตามหาคนที่คนอื่นไม่อยากพบมากที่สุด.... แบบพี่เนี่ยนะ?” เขาหัวเราะ

                    แล้วทำไมพี่คิดว่าคนอื่นเขาไม่มีใครอยากพบพี่ล่ะ?” เธอสวนด้วยคำถามแทนคำตอบ เธอเองก็ยังสงสัยในพฤติกรรมแปลกๆของเขาอยู่เหมือนกันว่าทำไมเขาชอบทำตัวแปลกแยกไม่เข้ากับคนอื่นเช่นนี้..!!

                    แล้วเธอคิดอย่างไรล่ะ?... คิดบ้างไหมว่าจะมีใครซักกี่คนที่อยากรู้จักกับจอมผเด็จการที่ทั้งเงียบขรึม และไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่นแบบพี่กันหรือ?” คำพูดเรียบๆ แต่เพราะความเงียบของห้องประชุมที่กว้างทำให้เสียงที่เปล่งออกมาสะท้อนไปมาทำให้ฟังดูมีอำนาจยิ่ง... เธอกำมือแน่นก่อนที่จะพูดตอบกลับไป!

                    อย่างน้อยก็หนูคนหนึ่งล่ะ!!” เธอยิ้มตอบคำถามนั้น.. เขาทำหน้าตะลึงในคำพูดนั้นก่อนที่จะฉีกยิ้มกว้างและหัวเราะอย่างร่าเริงเหมือนเด็กที่พึ่งได้ของเล่นชิ้นใหม่.. และยังคงหัวเราะอยู่เช่นนั้นอย่าเนิ่นนาน

                    แสงพระจันทร์ส่องเข้ามาผ่านตัวเขา ภาพของเขาที่สะท้อนในแววตาของเธอตอนนั้น หาใช่ภาพของชายหนุ่มที่มีอายุมากกว่าเธอหลายปี แต่เขาในตอนนั้นไม่ต่างกับเด็กชายที่ถูกลดทอนอายุลงหลายปีที่กำลังหัวเราะเสียงดัง.... เขาปาดคราบน้ำตาแห่งความสุขจากสียงหัวเราะออกจากหางตาก่อนที่จะพูดต่อไป

                    เธอยังตอบไม่ตรงคำถาม.. ว่าทำไมเธอถึงขึ้นมาบนสถานที่มืดมิดเช่นนี้? เชื่อพี่เถอะ มันไม่เหมาะกับคนเช่นเธอหรอก เขาแกล้งพูดเปลี่ยนเรื่อง... ในขณะที่คำถามนั้นกลับทำให้เธอนิ่งอึ้งไม่รู้จะยกเหตุผลใดมากล่าวอ้างดี... เขายิ้มอย่างอ่านออกในท่าทางนั้นๆ ก่อนที่จะกล่าวต่อไปว่า

                    หรือจะถามอีกที ว่าทำไมพี่ถึงมาอยู่ ณ ตรงนี้ จุดที่ห่างไกลจากการติดต่อสัมพันธ์กับผู้คน?” เธอพยักหน้าให้เขาพูดต่อ

                    ความอบอุ่นบางอย่างนั้นสามารถหาได้จากความมืดมิดเท่านั้น!!” เขาพูดเป็นปริศนาอีกครั้งมองดูหน้าของหญิงสาวที่กำลังทำหน้างง..

              ซักวันหนึ่งเธอจะเข้าใจความหมายเอง เขากล่าวตัดบทแล้วก็กระโดดลงมาจากขอบหน้าต่างมาทรงกายอยู่ข้างๆเธอ และทำท่าทางจะเดินจากไป

                    อ้อ...เธอชื่ออะไรนะ?” เขาถามโดยไม่ไดหันกลับมามอง

                    เปรียบดาวค่ะ... เพื่อนๆเรียกหนูว่าดาว

                    พี่ชื่อพงพันธ์.... เรียกว่าพงก็ได้ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะดาว พูดจบเขาก็เดินจากไป ปล่อยให้เธอยืนคิดอะไรบางอย่างอยู่ในห้องประชุมที่กว้างใหญ่และมืดมิดนั้นอยู่ตามลำพังเพียงผู้เดียว..

                    หลายวันต่อมาเธอก็ยังคงยุ่งอยู่กับงานกิจกรรม ทั้งนั้นก็ไม่วายที่สายตาจะเหลือบมองเขาบ่อยครั้งขึ้นกว่าเดิม เขายังคงมีทีท่าเช่นเคยเหมือนไม่มีอะไรเกินขึ้นเลยเมื่อคืน เขาจะเห็นเธอเป็นอะไรในสายตาของเขากันนะ? อาจจะเป็นนางฟ้าตัวน้อยที่ใจดี..หรือเป็นปีศาจตัวน้อยที่ซุกซนกันแน่? ความคิดฟุ้งซ่านในวันนั้นทำให้งานที่ต้องทำอกมาไม่ดีจนถูกตำหนิ เธอหน้ามุ่ย..แต่เขากลับยิ้ม!!

                    ไม่นานงานอบรมก็จบชีวิตก็กลับมาเป็นปกติ ต้องตื่นแต่เช้า ไปโรงเรียน ทานข้าวกลางวัน กลับบ้าน แล้วก็เข้านอน.... กิจวัตรหน้าเบื่อซ้ำๆกลับมาเยือนอีกครั้ง... แต่สิ่งที่น่าเบื่อยิ่งกว่าสำหรับเธอคือการที่ทบจะไม่ได้พบเขาเลย มันโอกาสน้อยมากที่จะบังเอิญเจอกันในรั้วโรงเรียนอันมีนักเรียนกว่าครึ่งหมืนคน เขาชอบผลุบๆโผล่ๆและไม่อยู่ตามที่ผู้ชายคนอื่นๆชอบอยู่กัน เช่น ตามสนามบาส หรือสนามฟุตบอลที่แทบจะนับครั้งที่เห็นเขาได้... จนวันหนึ่งในช่วงพักกลางวันที่เธอบังเอิญเจอเขาในห้องสมุดตรงจุดยืม-คืนหนังสือ เธอชะงักตกใจ! ไม่นึกว่าจะได้มาเจอเขาในที่นี่..

                    ว่าไงดาว... ไม่เจอกันนานเลยนะ?” เขายิ้มให้ ป้ายบรรณารักษ์สีเขียวอ่อนบนคอโชว์เด่นอยู่บริเวณหน้าอก

                    ค่ะ.. แล้วพี่มาทำอะไรที่นี่หรือ?” เธอพยายามกลบความตื่นเต้นในน้ำเสียง แต่ยังไงก็ยังคงพูดแบบขัดๆเขินๆอยู่ดี... เขาชี้ไปที่ป้ายบรรณารักษ์บนหน้าอกแล้วหัวเราะ

                    พี่ก็อยู่ที่นี่แทบทุกวันนั่นล่ะ.... เพราะที่นี่มีสิ่งที่พี่รัก!” เขายิ้มมองไปรอบๆเบื้องหลังเธอ

                    รัก?” เธอสะดุ้ง! ความหมายของสิ่งที่เขาบอกว่ารักนี่คือผู้หญิงคนอื่นที่มาใช้บริการก้องสมุดหรือเปล่า!!

                    นั่นไง.... ลองมองดูสิว่าชอบอย่างที่พี่รักรึเปล่า เขาชี้นิ้วข้ามไหล่ของเธอ จนเธอต้องหันไปมองตามทิศทางนั้นๆยังชั้นหนังสือเกือบร้อยชั้นที่มีหนังสือกว่าหลายพันเล่มอัดแน่นกันอยู่ หนังสือพวกนั้นมีทุกแขนงตั้งแต่นิยายไปจนถึงประวัติศาสตร์โลก... เธอหันมามองหน้าเขาด้วยความสงสัย สิ่งที่เธอเห็นมันเป็นหนังสือมันไม่ใช่ผู้หญิงซักหน่อย?

                    ใช่... พี่รักหนังสือพวกนั้น.... พี่ชอบกลิ่นของพวกมัน กลิ่นที่เก่าแก่ของเนื้อกระดาษที่บ่งบอกถึงความเก่าแก่ของความรู้ เขาพยักหน้า

                    ว่าแต่... ดาวมายืมหนังสือเรื่องอะไรรึ?” เขายื่นมือมาขอรับหนังสือจากมือเธอ แต่เธอลังเลที่จะส่งให้เขา... แต่แล้วก็ต้องยอมแพ้เขาที่ใช้สายตาแกมขมขู่ส่งมา จนในที่สุดก็ต้องยอมยื่นให้แต่โดยดี!

              ความรักครั้งแรก?.... เขาหันกลับไปมองเธอ อืม....ชอบอ่านหนังสือแนวนี้เองหรือนี่!!” เธออายจนหน้าเริ่มแดง... ที่จริงเธอก็ไม่ได้สนใจหนังสือพวกนี้หรอกหรอก แต่ไม่รู้เพราะใครบางคนนั้นล่ะที่ทำให้เธอต้องหันมาอ่านหนังสือแบบนี้ เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์ที่ตัวเธอเองไม่เคยมี

                    จากความบังเอิญในวันนั้นทำให้เธอแวะเวียนไปที่ห้องสมุดแทบทุกวัน และเจอเขาแทบจะทุกวันเช่นกัน บางครั้งเธอก็ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าที่เห็นว่าเมื่อเขาอยู่ในห้องสมุดเขาจะยิ้มง่ายและหัวเราะมากขึ้น.... ยิ่งนานความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ยิ่งแน่นเฟ้น จากความสัมพันธ์แบบคนแปลกหน้าก็ค่อยๆพัฒนาขึ้นทั้งสองจนสามารถร่วมหัวเราะไปในเรื่องเดียวกันไปได้อย่างไรก็ไม่รู้.. และเขาก็มักที่จะมีหนังสือดีๆมาแนะนำให้เธออ่านเสมอๆ ซึ่งแรกๆเธอก็แค่อ่านๆเพื่อเป็นการเอาใจเขา แต่พอนานๆเข้าก็กลายเป็นเธอเองที่ติดหนังสืองอมแงม จนกลายเป็นนักอ่านตัวยงไปอีกคน......!

                    เวลาแห่งความทรงจำอันแสนสุขมันช่างน้อยนักสำหรับช่วงเวลาที่โหดร้าย หนึ่งปีแห่งความสุขได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เธอกำลังจะเข้าสอบเพื่อจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในอีกไม่กี่วันนี้ ความเคร่งเครียดจากการสอบทำให้สมองเธอตื้อตันจนไม่มีเวลาไปพบกับเขาได้เลยในช่วงนี้ แต่หากพูดให้ถูก เธอไม่กล้าไปรบกวนเขาที่กำลังจะสอบเรียนชั้นมัธยมปลายมากกว่า กลัวที่เธอจะไปเป็นสาเหตุกระทบกระเทือนการสอบของเขา..

                    ผลการสอบออกมาดีเยี่ยมจนเกินคาด..!! วิชาการใช้ภาษาในการเขียนของเธอติดอันดับนักเรียนดีเด่นที่มีแววสร้างสรรค์ระดับประเทศ แถมเธอยังได้รับโควตาเชิญไปเรียนต่อยังโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในกรุงเทพฯ... ท่ามกลางความชื่นชมยินดีของเพื่อนฝูง พ่อแม่และครูอาจารย์เธอกลับไม่ยินดีเลยแม้แต่น้อย เธอรู้ดีว่าที่เธอมีโอกาสนี้ได้นั้นเป็นเพราะใคร ที่คอยเอาหนังสือยากๆมาให้เธออ่านเป็นประจำจนความรู้เรื่องภาษาการเขียนพวกนั้นมันซึมซับเข้าหัวเธอไปโดยปริยาย รางวัลที่เธอได้มามันไม่ใช่สิ่งที่เธอทำมาด้วยตัวเองเลยแม้แต่น้อย ถึงผู้คนอื่นๆที่ไม่รู้เรื่องราวความเป็นมาจะสรรเสริญเธอเพียงใดเธอก็หาจะได้ดีใจไม่!...

              โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาคงจะเป็นทางเดินที่ช่วยปูทางที่ดีเริ่ดให้เธอก้าวเดินไปได้ในอนาคต แต่เธอก็รู้ดีว่าสถานที่แห่งนั้นมันห่างไกลจากสถานที่ๆเธอคุ้นเคยแหงนี้มากเพียงไหน.... เธอต้องการตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกเส้นทางสองเส้นทาง และเธอรู้ว่าจะไปพบตัวช่วยคนนั้นได้ที่ไหน...!

                    เท้าทั้งสองพาเธอเดินย่ำมาตามทางที่คุ้นเคย.. ประตูไม้ของห้องสมุดที่เธอเคยผลักมันเข้าไปนับครั้งไม่ถ้วนถูกความรู้สึกหนักอึ้งของเธอครอบคลุมจนต้องค่อยๆใช้แรงผลักเข้าไปอย่างช้าๆ ความอับของกลิ่นกระดาษเก่าโชยออกมาเพราะความเคลื่อนไหวของอากาศที่ถ่ายเทออกมาเบื้องนอกทางประตูที่เปิดออก ห้องสมุดเงียบ..! ไม่มีคนเข้ามาใช้บริการเพราะเป็นช่วงใกล้ปิดเทอม มีเพียงร่างๆหนึ่งที่คุ้นเคยนั่งเอกขเนกอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้บรรณารักษ์อย่างเพลิดเพลินโดยไม่รู้ว่ามีผู้มาเยือน... เธอมายืนเบื้องหน้าเขาแล้วเขาจึงพึ่งรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง..!!

                    อ้อ...ดาวเองรึ ผลสอบเป็นยังไงบ้างล่ะ?” เขาปิดหนังสือแล้ววางลงจากโต๊ะ

                    ก็ดีค่ะ... แล้วพี่ล่ะคะ?” เธอทำหน้าแบบบุญไม่รับ

                    หึๆ..ก็เอาเป็นว่าเกรดมันพอเรียนจบน่ะนะ เขาหัวเราะ แต่แล้วก็ต้องหยุดกึกเมื่อเห็นหน้าของเธอที่เศร้าหมองและซีดเซียว

                    เป็นอะไรรึเปล่าสีหน้าไม่ค่อยดีเลย..... เขางง เธอพยายามรวบรวมความกล้าพูดสิ่งที่ตนกำลังคิดอยู่ผ่านลำคอที่แห้งผากออกไป

                    พี่พงคะ..... หนูได้โควตาไปเรียนต่อในโรงเรียนเตรียมอุมดศึกษาที่กรุงเทพฯ

                    หื๋อ.? นั่นมันเยี่ยมไปเลยนี่ พี่ดีใจด้วยนะ.... เขายิ้มกว้าง ท่าทางดีใจจริงๆ

                    แต่พี่คะ... หนูยังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องนี้ เธอน้ำตาซึม ความสับสนในความรู้สึกตอนนี้ มันทำให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุยังไม่ถึงสิบห้าขวบปีดีเกินกว่าจะรับไหว...

                    มันเป็นจะโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตเธอนะ... เธอสมควรที่จะคว้ามันไว้ เขาช่วยสนับสนุนการตัดสินใจ

                    แต่...!” เธอรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าว น้ำตาอุ่นๆรอเวลาที่จะไหลลงลงมาจากหางตาทุกขณะ

                    เด็กโง่เอ๊ย!...... โอกาสน่ะมันไม่ได้มาหาเราตลอดเวลาหรอกนะ เมื่อมันมาก็สมควรที่จะคว้ามันไว้ อย่าให้ความอาลัยอาวรณ์ทางความรู้สึกมาฉุดรั้งไว้เด็ดขาด........ เขาพูดจบก็ล้วงมือเข้าไปใต้โต๊ะหยิบเอาหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้เธอ..

                    พี่กะว่าจะให้เธอตอนวันปัจฉิมนิเทศ แต่ให้ตอนนี้ก็คงจะไม่ต่างกันนักหรอก.... รับไปสิ!!” เธอค่อยๆยื่นมือที่เริ่มสั่นมารับหนังสือปกหนาสีเขียวแก่จากมือเขา หน้าปกของมันเป็นรูปดอกไม้ดอกหนึ่งสีทอง..และหน้าปกถูกเขียนไว้ว่า ถึงแม้มวลดอกไม้จะเหี่ยวเฉา

                    เป็นสิ่งเดียวที่พี่ให้ได้... เอาล่ะรีบไปเสียเถิด ตอนนี้น่ะได้มีบันไดมาปากฎเบื้องหน้าเธอแล้ว พี่ทำได้แค่มายืนส่งเธอที่บันไดขั้นแรกเท่านั้น ส่วนขั้นบันไดที่เหลือพี่เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะมีสักกี่ขั้น เธอต้องเป็นคนที่ออกแรงปีนป่ายมันขึ้นไปสำรวจเอาเองเพียงลำพังแล้วนะ.

    เขาเว้นวรรค

                    แต่ขอให้จำไว้อย่างหนึ่งว่า..!! ถ้าปีนขึ้นไปยังบันไดเบื้องบนแล้วเหนื่อยล้า ให้หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาหนุนนอนพักผ่อนคลายเหนื่อยต่างหมอน ถ้าเธอเจอะเจอปัญหาอันตรายก็ขอให้จงหยิบมันขึ้นมาป้องกันตนเองต่างโล่ และถ้าหมดกำลังใจที่จะปีนสูงขึ้นไป ก็ขอให้หยิบมันขึ้นมาอ่านให้ระลึกถึงช่วงเวลาที่เธอมีความสุขที่สุด.... พี่ขอให้เธอโชคดี!!” เธอพูดอะไรไม่ออกนอกจากจะก้มหัวให้แล้วรีบเดินจากไปยังข้างนอกอย่างรวดเร็ว...  ในขณะที่เบื้องหลังของเธอมีชายหนุ่มที่กำลังยิ้มส่งให้ราวกับพ่อนกที่ได้เห็นลูกนกที่เติบโตมาใต้การดูแลของตน ได้เห็นลูกน้อยกำลังโผบินได้ครั้งแรกด้วยปีกของตนเอง...

                    เบื้องนอก... เปรียบดาวใช้กำแพงห้องสมุดเป็นที่พิงหลังยันกายไว้ในขณะที่เธอซบหน้าลงร้องไห้กับหนังสือเล่มนั้น ถึงการจากลาสู่ชีวิตใหม่จะทำให้เธอเจ็บปวด แต่สิ่งที่เสียดแทงเธอที่สุดในนาทีนี้ มันคือความเสียใจที่ตนเองไม่ได้ตัดสินใจพูดบางอย่างออกไปเป็นครั้งสุดท้าย...

                    หนูชอบพี่นะ...!!”

          ธอร้องไห้อย่างอาลัยอาวรณ์ มีเพียงสายลมและแสงแดดในเวลานั้นเท่านั้นที่เป็นพยานในความรู้สึกมากมายของเธอที่ประดังออกมา......... หนังสือเล่มใหม่ที่ได้รับจากคนสำคัญตอนนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยรอยด่างของคราบน้ำตา..

                    จากวันนั้นเธอก็ไปเรียนต่อยังโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาตามที่ทุกคนคาดหวัง และตอนนี้เธอก็กลายเป็นนิสิตปี 3 ของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศ แถมเธอยังเป็นว่าที่นักศึกษาเกียรตินิยมอันดับต้นๆของคณะอักษรศาสตร์ ที่ทุกคนต่างตั้งความหวังไว้กับเธอมากเหมือนเช่นสมัยก่อนก็ไม่มีผิด.... ถ้านับจากขั้นบันไดที่ชายหนุ่มได้มายืนส่งเธอในวันนั้นแล้ว ตอนนี้เธอลองคำณวนดูคร่าวๆก็คาดได้ว่าเธอกำลังขึ้นมาจนจะถึงบันไดขั้นสุดท้ายแล้วตามคำแนะนำของเขา.... เธอยิ้มในขณะที่รถไฟยังคงวิ่งตามรางของมันต่อไป...!!

                    เวลาผ่านไปอีกนานพอควรเธอจึงได้มายืนอยู่หน้าห้องสมุดที่เริ่มเก่าไปด้วยวันเวลา เธอรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกถึงความคุ้นเคยอันเหินห่างไปนานกว่าหกปี เธอยิ้มและออกแรงผลักบานประตูแห่งความทรงจำนั้นเข้าไปอย่าแผ่วเบา

                    ห้องสมุดภายในแทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย นอกจากจำนวนหนังสือที่เพิ่มมากขึ้นอีกโข เธอค่อยๆก้าวเดินเข้าไปยังโต๊ะของบรรณารักษ์ มองหาร่างๆหนึ่งทั้งๆที่เธอเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางที่จะเห็นเขานั่งยิ้มให้อยู่ตรงนั้นเหมือนเมื่อหกปีก่อน..

                    และเป็นไปตามคาด! ในห้องสมุดไม่มีใครอยู่ ที่นั่งของบรรณารักษ์เองก็ว่างเปล่าจนเธอเริ่มสมเพศตัวเองที่ยังคาดหวังลมๆแล้ง ทั้งๆที่เวลาเวลามันก็ผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้แล้ว เธอยังจะหวังอะไรกับสถานที่แห่งนี้กันได้อีก..!

                    เธอทรุดกายนั่งลง ณ เก้าอี้ของโต๊ะบรรณารักษ์ พลางใช้มือลูบรอยหยาบของเนื้อไม้อย่างเหม่อลอย หนังสือเล่มสีเขียวที่เก่าแก่ยังคงถูกกุมไว้ในมือแน่น.......!

                    เคร้ง..!!” เธอหันไปมองตามเสียงนั้น หนังสือกองใหญ่หล่นลงจากชั้นกองอยู่บนพื้น โดยมีร่างๆหนึ่งถูกหนังสือกองนั้นทับถมไว้ เธอมองไปที่เขาด้วยความตื่นตะลึงระคนกับความดีใจอย่างที่สุด.. เขาหันมามองเธอแล้วยิ้มตอบด้วยน้ำเสียงดีใจไม่แพ้กัน

                    ไง! ไม่เจอกันนานเลยนะ เขาทักและพยายามลุกขึ้นจากใต้กองหนังสือนั้น

                    ค่ะ... พี่นี่แทบไม่เปลี่ยนไปเลยนะ?” เธอมองดูเขาด้วยสายตาที่พิจราณาถึงความไม่เปลี่ยนแปลงในตัวเขานอกจากเครื่องแต่งกายและผมที่ยาวขึ้น... ในใจแอบดีใจนิดๆที่เขายังคงจำเธอได้

                    อืม..... แต่เธอนี่เปลี่ยนไปมากพอดูนี่ เขาก้มลงพยายามเก็บหนังสือที่พื้นให้มันเรียงที่ชั้นตามเดิม

                    แล้วพี่มาทำอะไรที่นี่?” เธอถามอย่างสงสัย เขาสมควรที่จะเรียนจบไปตั้งนานแล้วนี่! แต่เขากลับชี้ไปที่ป้ายประจำตัวอาจารย์สีฟ้าบนหน้าอกอย่างภูมิใจ

                    พี่เคยบอกแล้วไงว่าพี่รักที่นี่... ตั้งแต่จบมหาวิทยาลัยแล้ว พี่ก็เริ่มมาทำงานที่นี่เลยเกือบหนึ่งปีได้แล้วล่ะมั้ง........ พี่ค้นพบตัวเองแล้วในงานที่พี่รักที่สุด!!” เขายิ้มอย่างไรเดียงสา รอยยิ้มนั้นไม่ต่างจากตอนที่เขาเป็นเด็กหนุ่มดั่งเมื่อหกปีก่อนเลยแม้แต่น้อย... แต่เธอก็ชอบในรอยยิ้มนั้น

                    แล้ววันนี้มีธุระอะไรกับสถานที่แห่งนี้ล่ะ?” คำถามนั้นทำให้เธอต้องคิดนิดหนึ่งก่อนที่จะยื่นหนังสือในมือให้เขาไป

                    มาตามหาหนังสือเล่มใหม่อ่านค่ะ!!” เธอยิ้ม....และดันหนังสือในมือยื่นให้เขา เขาหยิบมันไปพลิกดูปกหน้าของหนังสือที่ห่อปกเป็นอย่างดีบ่งบอกถึงการเก็บรักษาของเจ้า...

                    คงไม่ใช่หนังสือเรื่องความรักครั้งแรกอีกหรอกนะ?” เขาหัวเราะ แต่เธอส่ายหน้าก่อนที่จะพูดในสิ่งที่ตนเองต้องอัดอั้นมันไว้นานถึงหกปี

                    หนูมาตามหาหนังสือหายากเล่มหนึ่ง...... เธอลุกขึ้นจ้องหน้าเขา ในขณะที่เขาเลิกคิ้วอย่างสงสัยในปริศนาของคำพูดนั้น

                    หนังสือเล่มนั้นถูกเรียกว่า...... เธอพูดไม่ทันจบก็กระโจนเข้ากอดรอบคอของเขาอย่างสุดที่จะอดกลั้นอารมณ์ไว้ได้.. เขาเซไปเล็กน้อยตามแรงกระแทกนั้น พอตั้งตัวได้ก็รวบรวมสติใช้มือลูบที่หลังหัวของเธอเบาๆ..ด้วยรอยยิ้ม!!

                   

    ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

     

     

                   

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×