ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ระยะห่างเพียงฟากฟ้า

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2 : การพบกันครั้งแรก

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.ค. 52


    -2-

     

    เวลาล่วงผ่านไปนานมากทีเดียวกว่าที่สติอันล่องลอยของผม มันจะกลับมาอีกครั้ง

    สัมผัสแรกที่ผมได้รู้สึกถึงนั้น คือกลิ่นฉุนของอะไรบางอย่างที่ส่งกลิ่นอบอวนรบกวนโสตประสาทของผมอยู่กำลังจ่ออยู่ที่ริมจมูกของผม มันเป็นกลิ่นที่ตัวผมไม่ค่อยจะคุ้นเคยนักจนเริ่มทำให้รู้สึกอึดอัด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็กลับแผ่กลิ่นเย็นสดชื่นแฝงมาพร้อมกับรสสัมผัสประหลาดของมัน

    เมื่อประสาทการรับกลิ่นถูกรบกวนจากบางสิ่งที่ไมรู้จัก ร่างกายของผมมันจึงตอบสนองไปเองตามสัญชาตญาณ ผมเริ่มสะบันหน้าเบือนหลบไปให้ไกลจากมัน แต่ถึงผมจะพยายามทำเช่นนั้นสักเท่าไหร่ กลิ่นนั้นมันก็ยังคงตามวนเวียนมาจดจ่ออยู่ที่ใต้จมูกของผมอย่างไม่ลดละ

    ผมยังคงพยายามหลบหนีอย่างไร้ความหมายเช่นนั้นอยู่นานทีเดียว กว่าที่สติของผมมันจะกลับคืนมามากพอถึงขนาดที่จะสามารถไตร่ตรองทบทวนได้ถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่พึ่งผ่านไป จนกระทั่งหลังจากที่ผมระลึกขึ้นมาได้ว่าตนเองไม่ได้กำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงนอนในห้องของตัวเองเฉกเช่นทุกวัน หากแต่ตัวผมนั้นกำลังนอนพิงหลังอยู่บนพื้นดินที่ทั้งสากแข็ง และเย็นยะเยือก ผมจึงได้ถึงกับลุกพรวดพราดขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยความรีบร้อน

    ในเวลานั้นจะไม่ให้ผมรู้สึกตกใจได้อย่างไรกัน ในเมื่อผมดันคิดถึงเหตุผลที่ตัวเองลงไปนอนหมดท่าอยู่บนพื้นดินได้นั้น มันเนื่องด้วยสาเหตุอะไร

    ด้วยความรีบร้อนทั้งที่ผมยังไม่สามารถที่จะเปิดเปลือกตาของตัวเองให้ขึ้นมามองสภาพเหตุการณ์โดยรอบได้อย่างชัดเจนนัก มือของผมที่ยังคงพยายามคลำสะเปะสะปะเพื่อหาที่เกาะยึดเหนี่ยวร่างของตัวเองไว้ไม่ให้ล้มลงไปกระแทกกับพื้นอีกครั้งนั้นมันได้บังเอิญไปคว้าถูกร่างของใครบางคนที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ และทันทีที่ผมสามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของมนุษย์นั้น ด้วยความขลาดเขลาหวาดกลัวอย่างไม่มีเหตุผลของตัวผมเอง ผมจึงได้เผลอออกแรงกระชากร่างนั้นเข้ามาเต็มแรง พร้อมกับง้างหมัดขวาขึ้นค้างเอาไว้เตรียมชกลงไปเต็มแรง

    “ว้าย!

    เสียงอุทานเบาๆที่ดังขึ้นจากอีกฝ่ายทำให้ผมถึงกับต้องเผลชะงักหมัดของตัวเองเอาไว้โดยอัตโนมัติ

    ตอนแรกผมก็คิดว่าตัวเองเพียงแค่หูฝาดไปเอง เพราะเสียงที่ผมได้ยินนั้นมันเป็นเสียงอุทานด้วยความตกใจของผู้หญิง และถ้าความทรงจำของตัวผมนั้นไม่ผิดพลาด ผมคิดว่าบรรดาคู่อริที่ส่งตัวผมลงไปนอนนับดาวจากเหตุการณ์เมื่อครู่  ในกลุ่มของพวกนั้นไม่ได้มีผู้หญิงมาด้วย แต่ถึงจะมาด้วยผมก็ไม่คิดหรอกว่าพวกนั้นมันจะเลินเล่อขนาดปล่อยให้ผู้หญิงเข้ามาอยู่ในระยะหวังผลจากกำปั้นของผมได้อย่างง่ายๆขนาดนี้

    พอผมคิดได้เช่นนั้น ผมก็เผลอแสยะยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เนื่องจากรู้สึกสมเพศความคิดของตนเองขึ้นมา อันที่จริงแล้วในตอนนั้นผมอยากที่จะหัวเราะออกมาดังๆด้วยความสมเพศต่อตัวเองเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ และโอกาสมันจะไม่อำนวยเวลาให้มากขนาดนั้น

    “นี่เป็นอะไรหรือเปล่า ไหวไหม?

    เสียงของใครคนเดิมดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มันกลับฟังดูใสกระจ่างเป็นกังวานราวกับเสียงของกระดิ่งที่สั่นไหวในยามที่มีลมพัดผ่านมา เสียงที่ผมกำลังได้ยินนั้นมันช่างแฝงเอาไว้ด้วยเจตนาเป็นห่วงอย่างเอ่อล้นจนแม้แต่คนที่หยาบกระด้างอย่างผม มันยังสามารถรับรู้ได้

    “ใครน่ะ?” ผมสวนกลับไป พร้อมกับพยายามลืมตาขึ้น แต่ทันทีที่แสงสว่างจากภายนอกสาดผ่านเปลือกตาที่เผยจากกันเพียงเล็กน้อย ผมก็ต้องรีบสะบัดหน้าหนีจากแสงสว่างเหล่านั้นทันทีเนื่องจากอาการปวดแสบที่เกิดขึ้น

    ผมคงต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อยกว่าที่จะชินกับแสง และสามารถลืมตาได้อย่างเป็นปกติ

    “จะเป็นใครก็ตามเถอะ แต่อย่างน้อยนายก็ช่วยปล่อยมือก่อนจะได้หรือเปล่า?

    เสียงนั้นกล่าวย้ำขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาตัวผมเองถึงกับพึ่งสำนึกได้ว่าตัวเองกำลังนั่งคุกเขาอยู่ในลักษณะไหน มือซ้ายของผมยังคงเกาะกุมอยู่ที่ร่างของอีกฝ่าย ส่วนมือขวาเองก็ไม่วายเตรียมประเคนหมัดใส่เป้าหมายอย่างไม่ยังตามความเคยชินเช่นกัน

    พอผมคิดได้ว่าตัวเองกำลังเตรียมตัวจะทำอะไรอยู่ ผมจึงคลายมือจากอีกฝ่าย พร้อมกับทรุดกายลงนั่งกับพื้นดินตามเดิมอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง

    ผมใช้หลังมือขยี้ตาของตัวเองหลายต่อหลายครั้ง พร้อมกับพยายามสะบัดหัวของตัวเองไปมาเพื่อขับไล่ความมึนงง หลังจากที่ผมทำแบบนั้นอยู่ครู่ใหญ่จนรู้สึกว่าตัวเองพอที่จะสามารถปรับสภาพนัยน์ตาของเองให้สามารถรับภาพที่เห็นได้อย่างชัดเจนดีแล้ว ผมจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างช้าๆ

    และ

    ภาพที่ผมเห็นในวินาทีนั้น มันทำให้ผมยังคงรู้สึกดีใจทุกครั้งที่ไม่ได้ด่วนตัดสินใจปล่อยหมัดของตัวเองออกไปในเสี้ยววินาทีแห่งความสับสนนั้น..

    ความเป็นจริงที่กำลังปรากฏขึ้นตรงหน้าของตัวผมนั้น มันดูเหมือนราวกับจะช่วยยืนยันให้รับทราบว่าสิ่งที่ผมคิดนั้นเป็นความจริง ผมกำลังนั่งอยู่สนามหญ้าบนสวนหย่อมที่อยู่ติดกับลู่วิ่งที่ปูพื้นด้วยดินที่ใช้สำหรับแข่งขันกรีฑาในเขตของสนามกีฬากลาง แต่เรื่องนั้นมันหาได้สำคัญไปถนัดเมื่อเทียบกับบุคคลที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆตัวผมในตอนนี้

    หญิงสาวคนหนึ่งในชุดฟอร์มเสื้อยืดของนักกรีฑาสีม่วง กางเกงกีฬาขายาวสีดำสนิท กำลังนั่งจ้องมองมาที่ตัวผมอย่างไม่กระพริบตา และการที่เธอทำเช่นนั้น มันจึงทำให้ตัวผมถึงกับพลอยต้องเผลอจ้องตอบกลับไปเช่นกัน

    เธอมัดผมที่ยาวสลวยของตัวเองเอาไว้ด้วยริบบิ้นสีดำเป็นทรงหางม้าอย่างเรียบร้อยตามข้อบังคับของโรงเรียนทุกประการ ข้างกายของเธอมีรองเท้าผ้าใบสีขาวสำหรับวิ่งเก่าคล้ำไปด้วยรอยฉีกขาด และคราบเปรอะเปื้อนจากพื้นดินอันเป็นหลักฐานชั้นดีว่าเจ้าของมันนั้น ได้ใช่งานมันบ่อยครั้งเพียงใด

    แต่สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับตัวเธอมากที่สุดนั้น กลับไม่ใช่เรื่องเหล่านั้น

    สิ่งที่ทำให้ผมถึงกับต้องตกตะลึง และรู้สึกคล้อยตามแทบจะทันทีที่ได้พินิจมองใบหน้าอ่อนละมุนของตัวเธอได้อย่างเต็มตาเป็นครั้งแรกนั้น มันคือรอยยิ้ม

    รอยยิ้มของเธอในเวลานั้น มันช่างดูอ่อนโยน และอบอุ่นดุจดวงตะวันแรกแห่งอรุณรุ่ง อีกทั้งยังดูไร้เดียงสาเหมือนกับเด็กๆ ภาพนั้นมันทำให้ผมรู้สึกประทับใจเสียจนเผลอใจเต้นผิดจังหวะไปครู่ใหญ่ มันเป็นรอยยิ้มที่ดูราวกับจะเปล่งออกมาจากหัวใจ เป็นรอยยิ้มที่เหล่าผู้เสแสร้งปั้นสรรหน้ากากอย่างคนในสังคมทุกวันนี้จะยากนักที่จะสามรถเลียนแบบได้

    สักวันหนึ่ง ผมจะสามารถยิ้มออกมาได้อย่างสดใสเหมือนกับเธอหรือเปล่านะ?

    ผมเริ่มตั้งถามกับตัวเอง ทั้งที่รู้ดีว่าสำหรับคนอย่างตัวผมแล้ว บางทีวันนั้นมันอาจจะไม่มีวันมาถึงเลยก็เป็นได้

    “โอ๊ย!

    เมื่อผมเริ่มรู้สึกผ่อนคลายกับความตึงเครียดที่หายไป ความเจ็บปวดมันก็ได้ฉกฉวยโอกาสนี้โลดแล่นไปทุกส่วนของร่างกาย ผมรู้สึกปวดแปล๊บที่บริเวณหลังศีรษะขึ้นมาอย่างกะทันหัน มันเป็นความรู้สึกปวดหนึบอย่างน่าประหลาด อีกทั้งมันยังทำให้ผมรู้สึกว่าหัวของตัวเองมันหนักอึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีใครเอาลูกเหล็กมาถ่วงเอาไว้ด้านหลังของผม

    ผมรับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่า เส้นผมที่อยู่ทางด้านหลังมันกำลังเปียกชุ่มไปด้วยน้ำอะไรบางอย่างอุ่นๆ ตอนแรกผมก็นึกว่ามันคงเป็นเหงื่อที่ไหลออกมามากกว่าปกติ แต่ครั้นเมื่อผมลองเอามือไปแตะถูก ความรู้สึกเจ็บปวดก็พลันแผ่ซ่านจนผมถึงกับต้องรีบชักมือกลับด้วยความรวดเร็ว

    ทันทีที่ผมยกฝ่ามือขึ้นมองดูเต็มสองตา ผมจึงพึ่งรู้ตัวว่าสิ่งที่กำลังเปรอะอยู่เต็มมือของตัวเองนั้น มันหาได้ใช่เม็ดเหงื่ออย่างที่เข้าใจ หากแต่มันกลับกลายเป็นน้ำแห่งชีวิตที่หล่อเลี้ยงร่างกายของตัวผมแทน

    เลือด…!

    ถึงแม้ผมจะตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกลนลาน จนถึงขนาดต้องออกปากโวยวายออกไปแต่อย่างใด เพราะเท่าที่เห็นปริมาณของมันไม่ได้มากมายจนถึงขนาดจะพอคร่าชีวิตของตัวผมได้ ผมคิดเพียงแค่ว่าตอนที่ผมถูกลูกเตะตัดปลายคางปิดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะดำมืดไปนั้น ท่าทางผมคงล้มหวฟาดลงไปกับพื้นอย่างแรงมากที่เดียว

    ในวินาทีนั้น ผมกลับสงบนิ่งกับเหตุการณ์อย่างน่าประหลาด

    “ว้า.. อย่างพึ่งรีบพรวดพราดขยับตัวนักสิ ขืนนายทำแบบนั้นมีหวังแผลทันก็จะพลอยเปิดกันหมดพอดี” หญิงสาวแปลกหน้าบ่นอุบขึ้นทันทีเมื่อเห็นท่าทางของผม แต่ผมก็ไม่ได้สนใจในสิ่งที่เธอกำลังพยายามบอกนักหรอก ผมกลับไปให้ความสนใจกับการลุกขึ้นยืนมากกว่า

    “เราว่า นายควรที่จะนั่งเฉยๆก่อนสักพักดีกว่านะ” เธอยังคงพยายามที่จะให้คำแนะนำ

    แต่.. ด้วยความรั้นราวกับเด็กๆ เมื่อมีคนมาแนะนำให้ทำผมทำอย่างหนึ่ง ผมก็จะทำอีกแบบหนึ่งราวเหมือนกับคนขวางโลก ตาพอผมลองพยายามฝืนยืนขึ้นจนสำเร็จ ผมกลับรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาเสียเฉยๆอย่างกะทันหัน

    โลกที่ตัวผมเห็นในตอนนั้น มันพลันมืดสลัวลงราวกับมองผ่านเลนส์หนาในขณะที่หรี่ไฟในห้องที่ปิดสนิทลง ทุกสิ่งมันช่างไม่ชัดเจน และหมุนวนเหมือนกับโลกมันหมุนรวดเร็วขึ้นหลายสิบหลายพันเท่า

    ผมเซตะแคงเอียงไปข้างๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายที่จะพยายามใช้ขาเหยียดออกไปยันพื้นดินเพื่อเป็นหลักพยุงกายไม่ให้ทรุดลงไป ทันทีที่หญิงสาวคนนั้นเห็นอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวผม โดยที่ไม่ต้องขอร้อง เธอกลับถลาเข้ามาประคองผมเอาไว้ทันทีด้วยความรวดเร็ว

    ผมรู้สึกตกใจในการกระทำของเธอ…!

    บางที.. อาจจะเป็นเพราะมันเป็นครั้งแรกที่มีผู้หญิงเข้ามาทำแบบนั้นกับตัวผมมาก่อน การกระทำที่เด็ดเดี่ยวด้วยการตัดสินใจที่รวดเร็วนั้น มันถึงกับทำให้จ้าวนักเลงอย่างผมถึงกับใจหายหล่นวูบ และบางทีอาจจะเป็นด้วยเหตุผลแห่งความไม่เคยชินกับสิ่งที่กำลังเกิดด้วยกระมัง มันจึงทำให้ตัวผมถึงกับเผลอทำเรื่องที่เสียมารยาทกับเธอลงไป

    ผมสะบัดแขนออกจากวงแขนของเธออย่างรวดเร็ว..!

    แต่ทันทีที่ผมรู้สึกตัวว่าตัวเองได้ทำเรื่องที่ไม่สมควรลงไป มันถึงกับทำให้ผมต้องยืนมองอีกฝ่ายด้วยความตกตะลึงอยู่อย่างนั้นอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี

    ตอนนั้นผมยังเด็กมาก

    ด้วยความด้อยเดียงสา บวกกับประสบการณ์อันน้อยนิด ผมจึงได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดลงไปอย่างไม่รู้ตัว ทั่งที่มันมีเรื่องง่ายๆที่ผมสามารถทำได้อย่างง่ายดายอย่างเช่นการกล่าวคำ “ขอโทษ” แต่ตัวผมกลับไม่ได้คิดถึงมัน และปล่อยให้เวลานั้นผ่านไปอย่างไม่น่าให้อภัย

    ความเงียบงันได้เข้ามากั้นกลางระหว่างเราทั้งสองคนอยู่ครู่ใหญ่

    แต่แล้ว.. เธอกลับหัวเราะออกมาเบาๆราวกับไม่ถือสาในสิ่งที่เกิดขึ้น!

    ตอนนั้นผมเห็นเธอค่อยๆก้มลงบรรจงสวมรองเท้าผ้าใบคู่เก่าที่วางไว้ข้างกายอย่างช้าๆ อย่างเงียบงัน โดยปล่อยให้ตัวผมยังเผลอยืนใจเต้นระส่ำกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อยู่เพียงลำพัง

    ตัวผมในตอนนั้นทำได้แค่เพียงพยายามที่จะสงบใจของตัวเองลงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้เท่านั้น  ผมไม่เข้าใจเลยสักนิดว่า เพียงเพราะการที่เราสองได้เผลอเข้าใกล้ชิดสัมผัสกันในระยะประชิดเพียงพริบตาเดียวนั้น ทำไมมันกลับทำให้ผมถึงกับต้องใจเต้นระรัวราวกับเด็กสาวไร้เดียงสาแบบในตอนนี้ด้วย

    ถึงแม้บางที มันอาจจะเป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ มันเป็นประสบการณ์การได้อยู่ใกล้ชิดกับเพศตรงกันข้ามครั้งแรกของผมก็ตาม มันก็ไม่น่าจะทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่อาจสงบใจได้นานมากถึงขนาดนี้..?

    สายตาของผมเริ่มเบนหลบจากภาพร่างของเธอตรงหน้าออกไปจากทิวทัศน์ที่อยู่โดยรอบ การที่ตัวผมทำเช่นนั้น ก็เพราะพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่าการทำเช่นนี้มันจะช่วยให้ตัวเองไม่ต้องรู้สึกหมกมุ่นฟุ้งซ่านกับเรื่องที่เกิดขึ้น

    ผมพึ่งจะสังเกตเห็นเป็นครั้งว่า ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาเย็นใกล้ค่ำ ก้อนเมฆ และท้องฟ้าส่วนหนึ่งเองก็เปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นสีแดงจากดวงอาทิตย์สีแดงก่ำดวงโตที่กำลังจะลาลับจากเส้นขอบฟ้า

    ถึงอย่างนั้นตามส่วนต่างๆของสนามกีฬากลางแห่งนี้ กลับมีฝูงชนจำนวนมากมายมารวมตัวกันอยู่ เมื่อผมมองไปทางสนามบาสเกตบอลที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ผมก็ได้เห็นกลุ่มชายหนุ่มจำนวนหลายสิบกำลังมุงดูลีลาการเล่นของสองทีมที่กำลังแข่งขันกันอยู่พลางป้องปากตะโกนเชียร์กันอย่างไม่ขาดปาก และเสียงให้กำลังใจเหล่านั้นก็ยังยิ่งดังกระหึ่มมากยิ่งขึ้นเมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถนำลูกไปยัดลงห่วงของคู่ต่อสู้ได้สำเร็จ ส่วนทางสนามฟุตบอลที่อยู่ตรงกลางของลู่วิ่งดินที่ผมยืนอยู่ใกล้ๆนั้น ก็มีบรรดาชายฉกรรจ์พากันแบ่งเป็นสองทีมวิ่งตามแย่งลูกฟุตบอลกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

    แม้แต่บนลู่ดิน และถนนคอนกรีตรอบนอกก็ยังมิวายมีบรรดาเหล่าวัยรุ่นทั้งชายหญิง กำลังพากันวิ่งอย่างช้าๆวนซ้ำไปมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

    แต่ที่สำคัญ และทำให้ผมรู้สึกติดใจมากที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องที่พวกเขาเหล่านั้นต่างพากันแต่งกายด้วยชุดฟอร์มทั้งแบบ และสีราวกับถอดแม่พิมพ์ออกมาจากหญิงสาวแปลกหน้าที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าผมตอนนี้ราวกับแกะทีเดียว

    “คนมันมาจากไหนกันเยอะแยะ ปกติไม่เห็นมันจะมากขนาดนี้” ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ

    สำหรับผมแล้ว การรวมกลุ่มเพื่อทำอะไรบางอย่างแบบนั้น มันดูราวกับเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี บางทีการที่ผมไม่สามารถทำความเข้าใจความคิดของพวกมันอาจจะเป็นเพราะว่าผมนั้นอาศัยอยู่เพียงแต่ในโลกส่วนตัวเพียงลำพังมาอย่างยาวนานโดยไม่สุงสิงกับใคร มันนานเสียขนาดที่ว่า แม้แต่ชื่อของบรรดาเหล่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนในชั้นปีเดียวกัน ผมยังลืมเลือนไปราวกับมันหาใช่เรื่องสำคัญที่ควรค่าแก่การจดจำ

    “อ๋อ.. พวกเขาก็พากันมาซ้อมเตรียมแข่งขันกีฬาสีของโรงเรียนเราที่กำลังใกล้จะมาถึงแล้วยังไงล่ะ” เธอกล่าวทั้งที่มือยังคงวุ่นวายอยู่กับการหมุนปิดฝาขวดแก้วที่บรรจุน้ำสีน้ำเงินใสๆในมือ ผมมองตามการกระทำของเธอด้วยความสงสัยว่า บางทีเจ้ากลิ่นฉุนกึกติดจมูกเมื่อสักครู่มันคงจะมาจากของเหลวที่บรรจุเอาไว้ในขวดที่เธอกำลังถืออยู่ก็ได้

    ผมละสายตาจากเธอหันกลับไปมองสนามกีฬาอันกว้างใหญ่รอบกายอีกครั้ง

    เท่าที่ในระยะสายตาของผมมันจะสามารถแสดงภาพให้เห็นได้อย่าเด่นชัด ผมเห็นบรรดาเหล่านักกรีฑาหลายคนที่ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อไคลกำลังนั่งพักผ่อนยืดแขนยืดขาอยู่ที่ริมสนาม ส่วนบางคนก็กำลังออกวิ่งระยะสั้นตามสัญญาณที่ได้รับจากเพื่อนด้วยสีหน้าที่จริงจัง และทันทีที่พวกเขาวิ่งจนสุดฝีเท้าเข้าถึงจุดที่กำหนดเอาไว้แล้ว พวกเขาก็จะหันไปถามเพื่อนที่ถือนาฬิกาจับเวลาที่ยืนอยู่ ณ ริมเส้นชัย

    ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยเข้าใจถึงความสนุกสนานในการเล่นกีฬาก็ตาม แต่สีหน้าที่แสดงความผิดหวังอย่างชัดเจนเมื่อได้ยินสถิติเวลาของตัวเอง หรือบางคนที่แสดงสีหน้าลิ่งโลดด้วยความยินดีอย่างปิดไม่ปิด ประกอบกับมีบรรดาเหล่าเพื่อนๆเข้ามารุมล้อมแสดงความความดีใจร่วมกันอย่างมากมาย ภาพเหล่านั้นมันก็พลอยทำให้ผมเริ่มรู้สึกดีตามไปด้วย

    ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความยินดี ที่ก่อตัวขึ้นภายในซอกหนึ่งของจิตใจกันหยาบกระด้างของคนอย่างผมก็ตามที

    “เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อนสิ นายน่ะ” อยู่ๆ เธอก็อุทานขึ้นมาเบาๆด้วยน้ำเสียงแสดงความประหลาดใจ ราวกับนึกอะไรบางอย่างที่สำคัญออกอย่างกะทันหัน

    เธอไม่พูดเปล่าแต่กลับก้มหน้าลงสำรวจพิจรานาเสื้อนักเรียนสีขาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินโคลน กับคราบเลือดแห้งเกรอะกรังด้วยความสนใจ และทันทีที่เธอเหลือบไปเห็นตัวอักษรย่อบ่งบอกชื่อโรงเรียนที่หน้าอกด้านขวาของผม เธอก็แสดงสีหน้าตกใจออกมาเล็กน้อย

    “ชุดนักเรียนแบบนี้ นายกับเราอยู่โรงเรียนเดียวกันนี่?

    “อย่างนั้นรึ?” ผมพึมพำตอบรับไปเหมือนกับไม่ค่อยจะใส่ใจเท่าไหร่นัก ถ้าหากเธอไม่บอกผมก็คงจะไม่รู้หรอกว่าพวกเรานั้นเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน ตอนแรกผมคิดว่าเธอเป็นเด็กนักเรียนโรงเรียนอื่นด้วยซ้ำ

    บางที การที่ผมคิดเช่นนั้น มันอาจจะเป็นเพราะเครื่องแบบชุดกีฬาสีม่วงอันดูไม่คุ้นตาของเธอก็เป็นได้ ที่มันหลอกตาพาลให้ผมรู้สึกเช่นนั้น

              “ทั้งที่พวกเราก็อยู่โรงเรียนเดียวกัน แต่ทำไมนายถึงไม่รู้ล่ะว่าที่โรงเรียนกำลังจะมีงานแข่งขันกีฬาสี?” เธอทำสีหน้าสงสัย แต่ไม่วายยังคงตั้งหน้าตั้งตาถามด้วยสีหน้าจริงจัง

                “ไม่เคยสนใจ” ผมตอบกลับไปอย่างทื่อๆ ราวกับไร้ซึ่งอารมณ์ร่วม

                “อย่างนั้นหรือ?” เธอเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวต่อไป

                “นายนี่ค่อนข้างที่จะเป็นคนแปลกไม่เบาเลยนะนี่ เพราะนักเรียนคนอื่นๆเท่าที่เรารู้จักมา พวกเขาต่างก็พากันเฝ้ารอคอยกีฬาสีที่กำลังจะมาถึงด้วยความใจจดใจจ่อชนิดนั่งนับวันถอยหลังรอกันเลย พึ่งจะมียานายนี่ล่ะเป็นคนแรกที่บอกว่าไม่สนใจมันเลยสักนิด”

                เธอกล่าวเรียบๆพลางก้มลงเก็บบรรดาเหล่าเครื่องมือปฐมพยาบาลเบื้องต้นนานานชนิดที่วางกระจายเกลื่อนอยู่บนพื้นใส่กล่องพยาบาลสีดำใบใหญ่ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะเร่งรีบเก็บมันด้วยความร้อนรนมากจนเกินไปสักหน่อย เพราะมีหลายครั้งที่ผมเห็นเธอทำขวดพลาสติกที่บรรจุยาที่ผมไม่รู้จักเอาไว้เหล่านั้นหลุดจากมือตกลงสู่พื้นดินหลายต่อหลายครั้ง

                ผมลอบถอนหายใจกับตัวเอง เมื่อเห็นอากัปกิยาที่เธอแสดงออกมา

              หญิงสาวเบื้องหน้าผมยังคงพยายามต่อไปเพียงลำพังทั้งที่ยังคงทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างน่าเหนื่อยใจ ในที่สุดตัวผมเองก็เริ่มที่จะทนไม่ได้จึงต้องทรุดกายลงไปช่วยเก็บอย่างเสียมิได้

                “ขอบใจมากนะ” อยู่ๆ เธอก็หันกลับมาส่งรอยยิ้ม และคำขอบคุณให้กับคนอย่างผมโดยที่ไม่ทันให้ตั้งตัว วินาทีนั้นสายตาของเรามันบังเอิญประสานเข้าหากันในระยะกระชั้นชิดด้วยความกะทันหันชนิดที่เล่นเอาผมถึงกับหลบสายตาไม่ทัน

                ในวินาทีนั้น ผมบังเกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นภายในหน้าอกข้างซ้าย มันเป็นความรู้สึกประหลาดที่บังเกิดขึ้นกับตัวผมเป็นครั้งแรกในชีวิต

              แต่.. ถึงมันจะเป็นความรู้สึกอันน่าประหลาด แต่ผมกลับไม่ได้สัมผัสได้ถึงความน่ารังเกียจของมันเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกดีเสียอีก..

    ผมเบนหลบสายตาจากตัวเธอเพื่อกันความฟุ้งซ่านของตนเอง โดยใช้เจ้าบรรดาสารพัดเครื่องมือปฐมพยาบาลเป็นเป้าหมายในการหักเหความสนใจของตัวเอง แต่หลังจากที่ผมสาละวนอยู่กับการเก็บพวกมันอยู่นั้นเอง ผมก็ฉุกใจนึกขึ้นมาได้ว่าทำไมปริมาณของเครื่องมือเหล่านั้นจึงออกมาวางออกภายนอกกล่องพยาบาลมากมายถึงขนาดนี้

    พวกมันถูกนำออกมาใช้ กับใครกัน..?

    ผมตั้งคำถามกับตัวเอง พลางลองใช้ฝ่ามือลูบไล้ตามสำรวจตามใบหน้าของตนเองทันที และผมก็ต้องรู้สึกใจหายวาบเมื่อพบว่าตามใบหน้าที่ควรจะมีริ้วรอยแผลสดๆจากการถูกบาทาสามัคคีจากอริฝ่ายตรงข้ามเมื่อสักครู่ กลับปรากฏว่าแผลเหล่านั้น ไม่เว้นแม้แต่แผลถลอกกลับถูกใส่ยา และปิดทับด้วยพลาสเตอร์ยาไว้อย่างเรียบร้อย

    ด้วยความตกใจ ผมถึงกับเผลอหันกลับไปมองหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยสีหน้าแสดงถึงความประหลาดใจอย่างปิดไม่มิด

    ยังไม่ทันที่ผมจะได้กล่าวขอบคุณ หรือพูดบางสิ่งออกไปอย่างที่ควรจะเป็น เธอกลับเป็นฝ่ายชิงถามขึ้นมาเสียก่อน….

    “นี่! นายอยู่ชั้นปีไหน ห้องไหนหรือ?” เธอผลุดลุกขึ้นยืนทันทีที่เก็บของเสร็จ เธอกล่าวพลางอุ้มกล่องเครื่องมือเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆผม

    “ม.ห้า ห้องเจ็ด” ผมตอบสีหน้าตาย แต่มันกลับทำให้เธอถึงกับหัวเราะคิกคักออกมา

    “มีอะไรน่าขำ!?

    อากัปกิริยาขบขันของเธอ มันทำให้ผมรู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมาเสียดื้อๆ อาจจะเป็นเพราะการที่ผมเกลียดใครก็ตามที่เห็นว่าสิ่งที่ผมพูดมันเป็นมุกตลก และเป็นเช่นนี้มานานมากแล้ว นานเสียขนาดที่ว่าขนาดบรรดาเหล่าเพื่อนร่วมห้องของผมกำลังเฮฮากันด้วยเรื่องราวตลกโปกฮากันอยู่ในห้องเรียน แต่เมื่อผมเดินเข้ามาทุกคนต่างพร้อมใจกันหุบปากเงียบกริบทันที

    ผมรู้ตัวดีว่ารอยยิ้ม และเสียงหัวเราะมันเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับคนอย่างผม เพราะตัวผมมันก็ราวกับสัตว์ป่าที่ไม่มีวันจะฝึกเลี้ยงให้เชื่องได้ มันเป็นเพียงสัตว์ร้ายที่พร้อมจะกระโจนเข้าไปขย้ำทำร้ายทุกคนที่อยู่ใกล้ตัวได้ทุกเมื่อ

    ใช่.. พวกมันล้วนแล้วแต่ทำอย่างนั้นเหมือนกันทั้งหมดทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ปลอดภัย

     

    ++++++++++++++++

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×