ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ระยะห่างเพียงฟากฟ้า

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 : ความพ่ายแพ้ของราชาจอมวิวาท

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.ค. 52


    -1-

     

           ผมเคยรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้ใช้หมัดทั้งสองข้างถลุงส่งร่างของเหล่าผู้ที่กล้าต่อกรในการทะเลาะวิวาทให้ลงไปนอนกลิ้งเกลือกอยู่กับพื้นดิน..

              และ..

              ทุกครั้งที่ผมได้ใช้สองเท้าเหยียบย่ำร่างที่กำลังนอนโอดครวญด้วยความเจ็บปวดอย่างสิ้นเรี่ยวแรงเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไร้ความปราณี ภายในใจของผมมันกลับด้านชา ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะพร่ำออกปากอ้อนวอนขอโทษในความโง่เขลาของตัวเองสักเท่าไหร่ ผมก็ยังคงกระทืบเท้าซ้ำลงไปร่างของพวกเขาเหล่านั้นอย่างซ้ำๆอย่างซ้ำซากราวกับเครื่องจักรที่ทำตามหน้าที่ของมันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะยอมหยุดลงอย่างง่ายๆ จนกระทั่งอีกฝ่ายจะสงบนิ่งไร้ซึ่งปฏิกิริยา หรือเสียงครวญครางหลุดรอดออกมาจากริมฝีปาก ผมจึงจะสามารถหยุดการกระทำของตัวเองได้

                ผมคิดว่ามันทำให้ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มกวนประสาทของบรรดาเหล่าผู้หาญกล้าเข้ามาท้าตีท้าต่อยถูกบิดเบือนกลายเป็นริ้วรอยแห่งความหวาดกลัวที่ปรากฏขึ้นเต็มสีหน้า พร้อมกับอาการขบขันเปลี่ยนแปรไปเป็นอาการตัวสั่นอย่างยำเกรงเกรงต่ออำนาจที่เหนือกว่า

                ใช่.. อย่างน้อยผมก็คิดว่าตัวเองเคยรู้สึกดีกับมัน

              มารู้สึกตัวอีกที ผมก็ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของโลกแห่งการทะเลาะวิวาทใบนั้นอย่างเดียวดาย พร้อมกับสองมือที่เต็มไปกลิ่นคราบของคาวเลือดที่ยากจะขูดล้างมันออกไปได้หมด แต่ถึงอย่างนั้นแทนที่ผมจะสำนึกกับความโดดเดี่ยวอันเป็นผลมาจากการกระทำอันน่าหวาดหวั่นของตัวเอง ผมกลับไม่ใส่ใจ และยังคงเดินหน้ามีเรื่องกับอันธพาลคนอื่นๆไปเรื่อยๆ ถึงแม้จะต้องการหรือไม่ก็ตาม

             

                เวลากว่าสองปีหลังจากที่ผมก้าวขึ้นสู่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายมันเป็นช่วงเวลาแห่งความเหลวแหลก มันเป็นเจตจำนงของวัยรุ่นอันโง่เขลาที่แม้แต่ตัวผมเองก็แทบไม่อยากจะนึกหวนกลับไปถึง

                เวลานั้นผมยังเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มในช่วงของการต่อต้านทุกสิ่ง และมุ่งหวังเพียงต้องการจะทำลายทุกอย่างที่ขวางหูขวางตาเท่านั้น ผมหาเรื่องชกต่อยไม่เว้นแต่ละวันจนราวกับมันจะกลายเป็นกิจวัตรเปื้อนเลือดที่ผมต้องทำเป็นประจำไปเสียอย่างนั้น

    ผมทำตัวเหมือนกับเด็กขาดความอบอุ่น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วสมาชิกครอบครัวของผมต่างก็คอยให้ความรักความเอาใจใส่ชนิดที่ว่าไม่ความขาดตกบกพร่องขนาดที่ว่า ถ้าหากมองจากสายตาของคนนอกแล้วครอบครัวของผมก็สามารถที่จะเป็นครอบครัวตัวอย่างสำหรับใครต่อใครได้เลยทีเดียว

    แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม แทนที่ต้นผลไม้ดีจะให้ผลดี ต้นผลไม้เลวควรจะให้ผลเลวตามที่คนโบราณกล่าวไว้นั้น ตัวผมกลับแหกคอกทำลายในสิ่งที่เป็นความเชื่อเช่นนั้นลงอย่างสิ้นเชิง

    ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือเพราะด้วยเหตุผลอะไรมันจึงทำให้ตัวผมกลายมาเป็นคนที่ชื่นชอบการใช้กำลังในการตัดสินทุกปัญหาอย่างเช่นตอนนี้ ทั้งที่เมื่อตอนสมัยมัธยมตอนต้น ผมเองก็จัดได้ว่าเป็นเด็กเรียนดีที่มีความประพฤติเรียบร้อยคนหนึ่ง แต่พอรู้สึกตัวอีกทีหลังจากที่ผมขึ้นมาเรียนในระดับมัธยมตอนปลายได้เพียงสองปี ผมก็พลิกชีวิตตัวเองกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือกลายมาเป็นเด็กหนุ่มที่เฉยเมยเย็นชาผู้ต่อต้านระเบียบระบบการศึกษาไปเสียทุกเรื่อง

    ยิ่งผมทำตัวแบบนั้นมากเท่าไหร่ ชีวิตของผมในช่วงมัธยมตอนปลายมันจึงยิ่งดิ่งลงเหวลึกลงไปเรื่อยๆจนแทบที่จะฉุดเอาไว้ไม่อยู่ จนในที่สุดตัวผมก็มาจบอยู่กับการกลายเป็นขาประจำเข้าออกของห้องปกครองอันน่าเกรงขามสำหรับนักเรียนคนอื่นๆอยู่เป็นว่าเล่น

    แต่.. ถึงผมจะถูกลงโทษตัดแต้มความประพฤติ โดนเฆี่ยนตี หรือเรียกพบผู้ปกครองมากเท่าไหร่ ผมกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับมันเลยแม้แต่น้อย

     

    ยิ่งเวลาผ่านไปนาน พร้อมกับตัวผมยิ่งได้รับถ้วยรางวัลแห่งการทะเลาะวิวาทสะสมมากขึ้นเท่าใด ตัวผมมันก็ยิ่งโดดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าผู้คนรอบข้างในชั้นเรียนก็ยิ่งมองผมด้วยสายตาที่แสดงอารมณ์อันหลากหลาย ทั้งหวดกลัว หวาดเกรง บ้างก็แอบชำเลืองมองผมด้วยสายตาประดุจกับการมองดูสัตว์ประหลาดที่น่าชิงชังน่าขยะแขยงตัวหนึ่ง ทุกคนเริ่มค่อยๆถอยหนีห่างจากผมไปทีละน้อยๆ เริ่มจากโต๊ะเรียนที่ขยันห่างออกไปเพียงไม่กี่เซนติเมตร กลายเป็นหลายนิ้ว และในที่สุดมันก็จบลงที่ระยะมากกว่าสามเมตร พร้อมกับเสียงนินทากระซิบกระซาบถึงวีรกรรมของตัวผมเบาๆเหมือนกับกลัวว่าตัวผมจะไดยินในสิ่งที่พวกเขาพูด

    แต่สำหรับตัวผมแล้ว สิ่งแวดล้อมตัวที่เลวร้ายลงทุกขณะด้วยเสียงบ่นพึมพำที่ฟังดูคล้ายจะได้ยิน แต่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินกับการปฏิบัติตัวของพวกเขาเหล่านั้น ตัวผมก็หาได้ให้ความใส่ใจกับมันเลยแม้แต่น้อย ผมยังคงเดินหน้าหาเรื่องทะเลาะวิวาทต่อไปเรื่อยๆ ราวกับสัตว์ร้ายที่บ้าคลั่ง ราวกับคนเขลาที่กำลังพยายามตามหาบางสิ่งอย่างไร้เหตุผลต่อไป

    บางทีผมอาจจะกำลังพยายามที่จะหาอะไรสักอย่างที่มันสูญหายไปจากชีวิตของตัวผม!

     

    หลังจากที่ผมทำตัวเหมือนกับหมาป่าเดียวดายแบบนั้นอยู่นาน ในที่สุดผมก็ได้พบกับวันซวยเข้าจนได้

    ในวันที่ท้องฟ้าถูกก้อนเมฆสีสนิมเข้ารวมตัวกันบดบังแสงจากพระอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาเอาไว้จนเกือบหมดสิ้นอันเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงช่วงเวลาแห่งสายฝนอันชุ่มฉ่ำที่กำลังจะมาเยือนโลกใบนี้นั้น ในขณะที่สายลมกำลังพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ตัวผมที่กำลังเดินอย่างเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมายอยู่ที่ริมรั้วของสนามกีฬากลางจังหวัดโดยลำพัง ผมก็ได้พบเข้ากับคู่อริจากอีกโรงเรียนหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ

    การพบกันโดยไม่ได้ตั้งใจของทั้งสองฝ่าย มันคนจะดีกว่าหากว่าเป็นการพบกันด้วยจำนวนคนที่มากเท่าเทียมกัน เพราะหากเป็นเช่นนั้นจากประสบการณ์ของตัวผมแล้ว ส่วนใหญ่เรื่องมันก็มักที่จะจบลงโดยดีเนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างไม่กล้าผลีผลามเนื่องจากอาจจะทำให้เจ็บตัวโดยเปล่าประโยชน์ทั้งคู่

    แต่.. มันก็นับได้ว่าเป็นคราวเคราะห์ เพราะตัวผมมาเพียงลำพัง ในขณะที่อีกฝ่ายเดินเกาะกลุ่มกันมาราวสิบกว่าคน

    ทันทีที่ต่างฝ่ายต่างหายจากอาการตกตะลึงด้วยความกะทันหันของเหตุการณ์ อีกฝ่ายก็แสยะยิ้มขึ้นมาทันทีราวกับเด็กๆที่กำลังดีใจเมื่อได้เห็นของเล่นชิ้นใหม่มาวางเอาต่อหน้าอย่างไรอย่างนั้น

    แน่นอนว่า เจ้าของเล่นชิ้นที่ว่ามันคงจะเป็นอะไรไม่ได้นอกเสียไปจากตัวผม

    ไวเท่าความคิด.. ผมหันหลังกลับไปยังทางที่ตัวเองเพิ่งจะเดินผ่านมา พร้อมกับออกวิ่งเต็มฝีเท้าอย่างสุดชีวิต และถ้าหากผมฟังไม่ผิด ผมคิดว่าตัวเองได้ยินเสียงโห่ร้องพร้อมกับเสียงฝีเท้าอีกจำนวนหลายสิบวิ่งกระทืบพื้นหนักๆตามติดมาทางด้านหลัง เสียงอื้ออึงเหล่านั้นค่อยๆสืบเท้าใกล้เข้ามาทีละน้อยๆจนราวกับว่ามันกำลังดังอยู่ข้างๆหูของตัวผมนี้เอง

    ถึงผมจะพยายามเร่งฝีเท้ามากขึ้นสักเท่าไหร่ แต่ตัวผมก็ไม่สามารถหลีกหนีไปจากชะตากรรมที่ถูกขีดเส้นกำหนดจากใครบางคนที่อยู่เบื้องบนไปไม่พ้น

    หลังจากที่พยายามวิ่งหนีอยู่พักใหญ่ ในที่สุดตัวผมก็ต้องไปจนมุมเข้าที่ซอกตึกมุมหนึ่งของสนามกีฬากลางจังหวัดเข้าจนได้

    ตัวผมที่ยืนหอบจนซี่โครงโยกขึ้นลงเป็นจังหวะอย่างชัดเจนด้วยความเหน็ดเหนื่อยยืนหันหลังพิงกับกำแพงปูนสูงกว่าสี่เมตรเศษ แต่สายตาของผมกลับจับจ้องไปยังบรรดาคู่อริที่ต่างพากันยืนแสยะยิ้มล้อมปิดทางออกจากซอกตึกอันคับแคบนั้นเอาไว้เป็นรูปครึ่งวงกลม พวกนั้นตั้งท่าพร้อมที่จะมีเรื่องได้ทุกขณะ ส่วนตัวผมเองก็ทำได้เพียงแค่เตรียมจะสู้ตายเท่านั้น

    ใช่.. สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวผมในอีกไม่กี่วินาทีต่อจากนี้ มันไม่สามารถเรียกว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างลูกผู้ชายได้หรอก มันเหมือนเพียงแค่การต่อสู้ของสัตว์ป่าที่กำลังจ้องจะรุมทำร้ายเหยื่อที่สิ้นไร้หนทาง และหมดทางสู้ด้วยจำนวนที่เหนือกว่ามากเท่านั้น

                ผมกระชับกำหมัดสองมือแน่นจนรู้สึกราวกับว่าหมัดของตัวผมในตอนนั้น มันม้วนตัวรวมกันกลายเป็นก้อนกลมแข็งเสียยิ่งกว่าก้อนหินเสียอีก ผมคิดว่าวันนี้ตัวเองคงจะไม่สามารถรอดออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้โดยสวัสดิ์ภาพเป็นแน่ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะสู้ตายเท่านั้น

                บางที่มันอาจจะเป็นการต่อสู้ดิ้นรนครั้งสุดท้ายเพื่อเอาชีวิตรอดของผม ราวกับหมาจนตรอก

                ถึงแม้สายตาของผมจังคงแน่วแน่ไม่หวั่นไหวกับจำนวนอริที่มากกว่าหลายเท่าตัวเบื้องหน้า แต่ความจริงจังของตัวผมมันกลับกลายเป็นเรื่องที่น่าขบขันสำหรับคนพวกนั้น พวกนั้นค่อยๆรุมล้อมเข้ามาหาตัวผมอย่างช้าๆด้วยความระมัดระวังพร้อมกับแสยะยิ้ม ส่วนตัวผมก็ได้แต่เพียงกวาดสายตาพยายามระแวดระวังการเปิดฉากการต่อสู้จากอีกฝ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีใดก็ได้

                 แต่ถึงผมจะระวังตัวอย่างไรก็ตาม การที่ต้องฝืนตัวเองระแวดระวังหลายทิศทางพร้อมๆกัน สำหรับคนเพียงคนเดียวแล้ว มันเป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าที่มนุษย์สามัญจะสามารถทำได้

              ปึ้ก!

                สัญญาณบ่งบอกถึงการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น เมื่อมีใครคนหนึ่งในกลุ่มนั้นลอบกระโดดเข้าใส่ชายโครงของผมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวจากทางมุมอับเสียงดังสนั่น เสียงทึบๆหนักๆที่เกิดขึ้นนั้นราวกับเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด และทันทีที่ความจุกเสียดเข้ามาครอบงำร่างกาย ณ บริเวณที่ถูกแรงกระแทกของผมจนส่งผลให้ผมถึงกับเสียหลักทรุดลงกับพื้น บรรดาคนที่เหลือที่ต่างจ้องรอโอกาสกันอยู่นานแล้วก็ไม่รอช้าต่างรีบระดมทั้งหมัด และเท้าประเคนใส่ร่างของผมเสียอย่างกับพายุคลั่ง

                ถึงตัวผมจะทนทาน และหยาบกระด้างทนมือทนเท้าจากประสบการณ์ทะเลาะวิวาทที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน แต่ถึงอย่างนั้นโดยพื้นฐานทางร่างกายแล้ว ตัวผมก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดาไม่ใช่กระสอบทรายที่จะทนกับการเตะต่อยนานๆได้

    ผมพยายามหดตัวให้ตัวเองเหลือเป้าหมายในการถูกทำลายให้น้อยลงที่สุดพร้อมกับใช้มือ และท่อนแขนช่วยปิดบังส่วนสำคัญของร่างกายเอาไว้ก็ตาม แต่ไม่นานนักเมื่อความเจ็บปวดมันสูงมากจนถึงจุดจุดหนึ่งจนร่างกายของผมไม่สามารถรับไหว ตัวผมจึงถึงกับทรุดลงไปนอนกองอยู่บนพื้นดินอย่างสิ้นท่า

    แม้ร่างกายของผมจะสะบักสะบอมสักเพียงไหน ถึงแม้เลือดที่ไหลอาบลงมาจากคิ้วที่แตกจะบดบังทัศนียภาพที่ผมสามารถมองเห็นจากดวงตาข้างซ้ายจนโลกที่ผมแลเห็นกลายเป็นสีแดงสดที่ปวดแสบสักเพียงใด แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของผมมันก็หาได้สิ้นสภาพไปเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับร่างกายไม่ มันยังคงจ้องมองไปยังอีกฝ่าย พร้อมกับพยายามบันทึกใบหน้าของพวกนั้นลงไปในความทรงจำให้มากที่สุดด้วยความซื่อสัตย์

    ถึงผมจะพยายามทำอย่างนั้นมากสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่เพราะแสงสว่างจากพระอาทิตย์ที่กำลังคล้อยตกลงทางด้านหลังของพวกนั้น มันทำให้ภาพทั้งหมดที่ผมมองเห็นกลายเป็นย้อนแสงจนกลายเป็นเพียงเงาสีดำสนิทเท่านั้น สิ่งที่ผมเห็นคือเพียงท่าทางของบรรดาคู่อริต่างค่อยๆเดินทื่อเข้ามาที่ตัวผมอย่างช้าๆราวกับผีดิบเท่านั้น

    “ดูสิ! ไอ้หมอนี่แววตาของมันเหมือนยังกับต้องการจะสู้ต่อเลยว่ะ?” เสียงของใครบางคนในกลุ่มดังขึ้นเหมือนกับสงสัยในความพยายามของตัวผม แต่มันก็แปลก.. ทั้งที่ผมคิดว่าคำพูดเมื่อครู่มันฟังดูหาได้มีความตลกเลยแม้แต่น้อย แต่กลุ่มคนเหล่านั้นกลับพร้อมใจพากันหัวเราะขึ้นราวกับเห็นมันเป็นเรื่องที่น่าขันเสียเต็มประดา

                เสียงหัวเราะที่กำลังดังขึ้นรอบๆ สำหรับตัวผมที่สติสัมปชัญญะเริ่มถดถอยจนแทบไม่เหลือหลอแล้ว มันกลับฟังดูเหมือนกับเสียงเย้ยหยันของเหล่าปีศาจแห่งความมืดที่ไม่สามารถแลเห็นตัวได้ในยามราตรี และยิ่งเสียงเหล่านั้นแหลมดังชัดเจนมากขึ้นในโสตสัมผัสของตัวผมมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกประสาทเสียมากขึ้นเท่านั้น

                ผมขบฟันรามของตัวเองเข้าหากันแน่นจนปวดหนึบ พร้อมกับใช้พลังใจที่ยังพอจะหลงเหลืออยู่บ้างพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ผมไม่ต้องการที่จะให้ใครมามองตัวผมด้วยสายตาดูถูก พร้อมกับหัวเราะอย่างดูแคลนโดยไม่เห็นหัวอย่างตอนนี้

                ใช่.. ถึงแม้ว่าผมจะต้องดับสูญไป ณ ตอนนี้ มันก็ยังคงดีเสียกว่ายอมให้ถูกดูถูกเหยียดหยามอย่างที่พวกนั้นกำลังทำอยู่

                “เฮ้ยๆ มันเอาจริงแฮะ” อีกเสียงหนึ่งร้องดักขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงความประหลาดใจ ถึงกับทำให้คนอื่นๆในกลุ่มถึงกับต้องหยุดหัวเราะลงอย่างกะทันหัน พวกนั้นหันกลับมามองดูที่ตัวผม พร้อมกับสายตาที่เปลี่ยนไปจากการดูหมิ่นเหยียดหยาม กลายเป็นความทึ่งกับสิ่งที่ตนได้เห็นอย่างเห็นได้ชัด

                ตัวผมในตอนนั้นไม่ได้สนใจหรอกว่าพวกนั้นจะกำลังมองดูตัวผมด้วยสายตาแบบไหน เพราะสิ่งเดียวที่ผมกำลังคิดอยู่นั้น คือพยายามฝืนลุกขึ้นให้ได้ พร้อมกับหาทางจัดการให้พวกนั้นไม่สามารถเปล่งเสียงหัวเราะขบขันน่าเกลียดแบบนั้นได้อีกเป็นครั้งที่สอง

                แต่.. ถึงผมจะพยายามสักเท่าไหร่ก็ตาม ความจริงที่ว่าร่างกายของตัวผมมันได้สิ้นสภาพเกินกว่าที่จะพยายามฝืนกำลังต่อไปนั้น มันก็ยังคงเป็นสิ่งที่เป็นความจริงเช่นเดิม แม้ตัวผมจะพยายามลุกขึ้นมานั่งได้เป็นผลสำเร็จหลังจากที่พยายามอยู่นาน แต่ในที่สุดผมก็เสียหลังล้มลงไปนอนกองอยู่คลุกอยู่กับขยะบนพื้นอีกครั้งด้วยสภาพราวกับผ้าขี้ริ้วผืนเก่าขาดๆจนได้

                ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงไม่ยอมแพ้ ผมยังคงพยายามที่จะฝืนลุกขึ้นอีกครั้ง

                “เฮ้ กูว่าพวกเราเลิกเล่นกับมันแค่นี้เถอะว่ะ กูชักรู้สึกขนลุกกับอาการของมันยังไงไม่รู้” เสียงของใครอีกคนในกลุ่มแสดงความคิดเห็นขึ้นเมื่อไก้เห็นพฤติกรรมของตัวผม ส่วนคนอื่นๆก็ต่างพยักหน้าเห็นด้วยแทบทุกคน

                “เออ กูก็ว่าอย่างนั้นล่ะ” ใครบางคนตอบรับขึ้น

                “ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวกูจะจัดการปิดบัญชีให้เอง”

                สิ้นเสียงสุดท้าย ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ร่างของผมจากทางเบื้องหน้า และทันทีที่ผมพยายามเงยหน้าขึ้นไปมอง ผมก็ได้เห็นร่างของใครบางคนยืนตระหง่านนอยู่ใต้เงามืดของซอกตึกโดยไม่เห็นหน้า ตอนนั้นต่างฝ่ายต่างจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่กระพริบตา

                “อย่างโกรธกันเลยนะ”

              ปึ้ก!

                ผู้ชายในเงามืดคนนั้นกล่าวเบาๆ พร้อมกับเตะเข้าใส่ที่ปลายคางของตัวผมอย่างเต็มแรง

    แรงปะทะที่เกิดขึ้นนั้นมันรุนแรงมากจนถึงกับทำให้สติของตัวผมมันถึงปลิวกระเจิงไปตามแรงส่งนั้นไปยังสถานที่ที่อยู่ไกลแมนไกล พร้อมกับร่างอันไร้ซึ่งสติของผมที่หงายคว่ำลงไปนอนฟาดกับพื้นดินเต็มแรงประหนึ่งว่าวที่สายป่านขาด

     

     

    ++++++++++++++++++++++

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×