ตอนที่ 79 : บทที่ 81
หวางเอี๋ยนซูหันกายกลับไปมองที่บุตรชายอย่างไม่เชื่อหู เพราะถึงแม้เขาจะมีลางสังหรณ์ว่าเรื่องของซูยีนั้นน่าสงสัยแต่ก็ยังหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ไม่ได้ นอกจากนี้ซูยีเองก็ไม่ได้ปฏิเสธความผิดนั้น ได้แต่สารภาพผิดอย่างไม่ลังเล
เมื่อได้ยินหวางเอี๋ยนโจวพูดในเวลานี้ แม้ว่าจะยินดีกับข่าวดีที่ไม่คาดฝัน แต่ก็ยังคงยังคงสงสัยว่าเป็นหลักฐานชนิดใดกัน จึงรีบเดินกลับไปนั่งที่บัลลังก์มังกรก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “องค์รัชทายาทเจ้าก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ที่เจ้าจะมาล้อเล่นได้ ถ้ามีหลักฐานก็รีบนำออกมา ให้เหล่าเสนาบดีและข้าได้ตรวจสอบ”
ใบหน้าของหยูคังนั้นถึงกับดำคล้ำเมื่อคิดว่าซือหยวนคงจะทรยศเขาแล้ว พยายามคิดหาทางออกจนวุ่นวาย หวางเอี๋ยนโจวยกกระดาษขึ้นมาหนึ่งแผ่นแล้วกล่าวว่า “กราบทูลพระบิดา นี่เป็นบทกวีที่พระมารดาทิ้งไว้บนโต๊ะในวันที่หนีออกจากวัง ความหมายในนี้ง่ายต่อการเข้าใจ มันบอกถึงการฟื้นคืนแม่น้ำและภูเขาของแผ่นดินเกิด แต่หากพิจารณากันโดยละเอียดแล้ว ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าพระมารดาถูกใครบางคนใส่ความ”
เด็กชายมองหน้าบรรดาเสนาบดีที่ยังทำท่าไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของตนก่อนจะพูดอย่างชัดเจนและเน้นคำ “แม้ว่ากลอนบทนี้จะถูกเขียนโดยพระมารดาจริง แต่ไม่ได้เขียนในช่วงเวลาที่พระมารดาหลบหนี แต่ถูกเขียนตั้งแต่ตอนที่พระมารดาถูกจับมาเป็นเชลยในครั้งแรก” เมื่อมั่นใจว่าจะสามารถทำให้ซูยีพ้นจากความผิดได้ องค์รัชทายาทจึงเรียกหาซูยีว่าพระมารดาอย่างเปิดเผยอีกครั้ง
ตอนนี้ทุกคนพยายามคิดตาม ซึ่งพบว่าหากบทกวีนี้เขียนขึ้นในขณะที่ซูยีเพิ่งถูกจับตัวมาเป็นเชลยก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นจักรพรรดินีก็มีน้ำหนักที่จะเชื่อได้ว่าในตอนนั้นซูยีคงจะรู้สึกถึงความอยุติธรรมและต้องการฟื้นฟูแผ่นดินเกิดของตน ดังนั้นถ้าหากบทกวีนี้ถูกเขียนในช่วงเวลาดังกล่าวก็สามารถใช้เป็นหลักฐานได้ว่ามีคนที่นำบทกวีนี้มาใช้เพื่อใส่ร้ายซูยี เพราะซูยีนั้นมีพรสวรรค์โดดเด่นทั้งด้านการต่อสู้และโคลงกลอน ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำบทกวีเก่าของตนมาใช้เป็นจดหมายบอกลาขณะที่หลบหนีไป ทุกสายตาจึงจับจ้องไปที่กระดาษที่หวางเอี๋ยนโจวถืออยู่ในมือและคอยเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจว่าจะแก้ต่างให้ซูยีพ้นผิดได้อย่างไร
หวางเอี๋ยนโจวเดินเข้าไปหาเหอเจิ้งแล้วถามว่า “เสนาบดีเหอ ข้ามีเรื่องสอบถามเจ้า ในวันที่พระมารดาหลบหนีนั้นอยู่ในช่วงปลายฤดูร้อน เจ้าตื่นเวลาใด” คำถามนั้นดูไร้สาระ และดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังพูดคุยกันอยู่ แต่เมื่อเหอเจิ้งเห็นสายตาจริงจังขององค์รัชทายาทจึงคิดอย่างรอบคอบและตอบอย่างระมัดระวัง “กราบทูลองค์รัชทายาท เสนาบดีเฒ่านั้นมักจะตื่นตอนยามสามถึงยามสี่เพื่อเตรียมมาประชุมที่ท้องพระโรงตอนยามห้า”
หวางเอี๋ยนโจวพยักหน้าแล้วถามต่อ “เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าสภาพอากาศตอนที่เจ้าตื่นเป็นอย่างไร หนาวหรือร้อน?”
เหอเจิ้งยิ้มก่อนตอบ “ทำไมองค์รัชทายาทถามเช่นนั้น ตอนปลายฤดูร้อนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด เมื่อเสนาบดีเฒ่าตื่นมาตอนยามสี่ก็มีเหงื่อท่วมตัว ยิ่งเมื่อแต่งตัวด้วยเครื่องแบบหนาหนักเดินเข้ามาที่ท้องพระโรงตอนยามห้าก็ร้อนจนแทบหายใจไม่ออก”
หวางเอี๋ยนโจวแย้มยิ้มแล้วพยักหน้ากล่าวว่า “นี่เป็นคำพูดของเสนาบดีเหอ” สายตาของเด็กชายกวาดไปโดยรอบ แล้วถามบรรดาเสนาบดีคนอื่นที่เหลือ “พวกเจ้าคิดว่าที่เสนาบดีเหอพูดมานั้น เป็นความจริงหรือไม่?”
แม้ว่าจะยังงุนงงและสงสัยอยู่ แต่เหล่าเสนาบดีก็ยิ้มแย้มและพูดพร้อมกันว่า “เรื่องที่เสนาบดีเหอพูดมานั้นเป็นเรื่องจริง ฤดูร้อนที่ต้าฉีนี้ร้อนกว่าที่จินเหลียวของเรามาก พวกเราถึงกับมีเหงื่อซึมทุกวัน”
หวางเอี๋ยนโจวดูเหมือนจะพึงพอใจกับคำตอบที่ได้รับ ก่อนจะคลี่กระดาษในมือแล้วมองไปที่หวางเอี๋ยนซูพร้อมกับกล่าวว่า “พระบิดาโปรดพิจารณาที่สามประโยคแรกของบทกวีนี้ มันเขียนว่า “ยินเสียงเกราะเคาะเวลาพาสะดุ้งตื่น แสงเทียนดับ ฟ้าสางหนาวเหน็บ” คำถามก็คือ ถ้าบทกวีนี้เขียนขึ้นตอนที่พระมารดาหลบหนีไปจากพระบิดา จะยังคงหนาวเหน็บตอนยามห้าอีกหรือ พระมารดามีความเชี่ยวชาญด้านโคลงกลอน ดังนั้นคำที่ปรากฏอยู่ในบทกวีนี้ย่อมไม่สอดคล้องกับช่วงเวลา”
หวางเอี๋ยนซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เดินลงจากบัลลังก์มังกรไปหาหวางเอี๋ยนโจว แล้วหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาพิจารณาอย่างใกล้ชิด ใบหน้าค่อย ๆ เผยความตื่นเต้นและอุทานออกมาด้วยเสียงอันดัง “ใช่แล้ว ถ้าบทกวีนี้เขียนในช่วงเวลาที่ซูซูคิดจะก่อเหตุกบฏ ทำไมจึงใช้คำว่า ฟ้าสางหนาวเหน็บ ในตอนปลายฤดูร้อน เขาไม่จำเป็นต้องใช้คำที่มีความหมายตรงกันข้ามเพื่อเขียนเพียงให้คล้องสัมผัส แสดงว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำบางอย่าง”
พูดจบก็ตบบ่าบุตรชายแล้วพูดว่า “โจวเอ๋อร์ เจ้า...เจ้าเติบใหญ่ขึ้นแล้วจริง ๆ สามารถสังเกตเห็นเรื่องนี้แสดงว่าเจ้าเชื่อมั่นในตัวพระมารดาของเจ้า ซึ่งต่างจากข้าที่ไม่สนใจกระดาษแผ่นนี้ ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาถึงครึ่งปี...ทั้ง ๆ ที่...ทั้ง ๆ ที่หลักฐานก็อยู่ใกล้ตัวขนาดนี้...เจ้าทำได้ดีมากโจวเอ๋อร์ ข้าภูมิใจในตัวเจ้า” อารมณ์ของหวางเอี๋ยนซูในตอนนี้นั้นทั้งสับสนและวุ่นวายใจ เขาทั้งเสียใจและตำหนิตนเองแม้จะอยู่ต่อหน้าเหล่าเสนาบดี ใบหน้าของหวางเอี๋ยนโจวแดงก่ำเมื่อได้รับคำชม พร้อมกับเหลือบมองซือหยวนที่ยืนอยู่ด้านหลังบัลลังก์มังกร ใบหน้าของหญิงสาวยังคงเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ตอนแรกเด็กชายคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ตัดสินใจกลืนคำพูดนั้นลงลำคอไป
ต่อมาใบหน้าของหวางเอี๋ยนซูก็กลับเป็นเรียบเฉยดังเดิม ทำให้เหล่าข้าราชบริพารไม่สามารถคาดเดาความคิดขององค์จักรพรรดิ์ได้ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงพูดเย็นชาจากปากของหวางเอี๋ยนซู “เลิกประชุม เหอเจิ้งเจ้าตามข้าไปที่ห้องหนังสือ” พูดจบก็เดินออกไป
เหอเจิ้งเดินตามองค์จักรพรรดิ์ไปที่ห้องหนังสือไปไม่กี่ก้าว หวางเอี๋ยนซูก็หยุดเท้าแล้วกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เหอเจิ้ง ข้าให้เจ้าตรวจสอบเรื่องนี้ว่าใครที่ใส่ความองค์จักรพรรดินี คนผู้นั้นจะต้องมีสิ่งที่คุกคามบังคับให้องค์จักรพรรดินียอมทำตามที่เขาต้องการ เจ้าจะต้องสืบหาให้ถึงต้นตอของมัน” หวางเอี๋ยนซูหยุดคิดสักครู่ก่อนกล่าวต่อ “องค์จักรพรรดินีมีบุคลิกที่ตรงไปตรงมาและเที่ยงธรรม คนผู้นั้นอาจจะใช้จุดนี้เพื่อบีบบังคับเขา ข้าแน่ใจว่าคนผู้นั้นอาจจะใช้ตัวประกันหรืออะไรบางอย่างเป็นเครื่องมือ เจ้าต้องระมัดระวังห้ามเปิดเผยเรื่องนี้ให้ผู้อื่นล่วงรู้ และห้ามให้มีผู้บาดเจ็บหรือล้มตายระหว่างการสืบสวนเรื่องนี้แม้แต่คนเดียว”
เหอเจิ้งคุกเข่าแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นกังวล เสนาบดีเฒ่าผู้นี้จะทำงานนี้อย่างเต็มกำลังความสามารถ ต้องหาตัวคนร้ายที่แท้จริงให้มารับโทษตามกฏหมายของเราให้จงได้” หลังจากพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นยืนและเดินจากไป เวลานี้หวางเอี๋ยนซูรู้สึกว่าตนเองได้ทำผิดต่อซูยี ทำให้อีกฝ่ายได้รับความทุกข์ทรมานแต่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ จึงรู้สึกละอายแก่ใจ หัวใจของเขารู้สึกเหมือนถูกกรีดด้วยมีด ยืนลังเลอยู่พักใหญ่ก่อนจะถอนหายใจแล้วกลับหาซูยี
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

นางอยากปากหนักเอง ช่วยไม่ได้นะคะ