ตอนที่ 50 : บทที่ 52
เสียงฝีเท้าหนักแน่นค่อย ๆ ดังขึ้นเมื่อหยูคังเดินเข้ามาใกล้ หัวใจของซือน่งเต็มไปด้วยความสับสน ฝ่าบาทเรียกตัวหยูคังแสดงว่าตั้งใจที่จะทำบางเรื่อง แต่ว่านายท่าน...นายท่าน...ในหัวใจของซือน่งนั้นไม่คิดว่าเรื่องที่ซูยีหลบหนีจะเป็นความจริง
“ผู้น้อยหยูคังถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์มีอายุยืนนานหมื่น ๆ ปี” เมื่อเสียงเงียบลง ปรากฏร่างสูง แข็งแรงคุกเข่าอยู่ต่อหน้าหวางเอี๋ยนซู
หวางเอี๋ยนซูมองบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเงียบ ๆ บุคคลผู้นี้อาจจะนับได้ว่ามีความสามารถมากที่สุดในบรรดาข้าราชบริพาร เขาเคยเป็นเชลยศึกที่อดทนและจิตใจเข้มแข็งแน่วแน่ แต่หลังจากที่ได้ยอมสวามิภักดิ์ก็ทุ่มเททำงานให้กับหวางเอี๋ยนซู แต่สำหรับซูซู แม้กระทั่งถึงวันนี้คำว่า “ข้ายอมแพ้” ก็ยังไม่เคยผ่านพ้นริมฝีปากออกมา เหตุผลที่ซูยียอมอยู่กับเขาเพราะโดนเขาบีบบังคับ บางทีหวางเอี๋ยนซูน่าจะคาดเดาได้ว่าซูยีทำเช่นนี้ไปเพราะอะไร
“หยูคัง รับคำสั่งจากข้า” หวางเอี๋ยนซูค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งแล้วกล่าว “ข้าให้เจ้าร่วมมือกับเสนาบดียุติธรรมค้นหาทั้งในเมืองและนอกเมืองเพื่อตามหา...องค์จักรพรรดินีที่หนีไป ถ้าเจ้าหาเขาพบให้จับตัวทันทีแต่ห้ามทำอันตรายเขาเป็นอันขาด ห้ามแตะต้องเขาแม้แต่เส้นผม”
เมื่อซือหยวนได้ยินคำสั่งนั้น หัวใจก็พลันตกวูบ หญิงสาวไม่คิดว่าเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ฝ่าบาทก็ยังคงห่วงใยซูยีไม่ปลดออกจากตำแหน่ง ยังเรียกซูยีว่าองค์จักรพรรดินี เห็นได้ชัดว่าความคิดที่มีต่อซูยียังคงฝังลึกอยู่ในใจ แต่ซือน่งกลับรู้สึกดีใจ ซือน่งลอบมองใบหน้าของผู้เป็นนายก็พบแต่ความเรียบเฉย หญิงสาวคิดว่าแม้องค์จักรพรรดิ์จะโกรธจริง ๆ แต่ก็สามารถจัดการอารมณ์ที่แสดงออกได้เป็นอย่างดี
หยูคังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดอ้อมแอ้ม “ผู้น้อยจะปฏิบัติตามที่ฝ่าบาทสั่งอย่างเต็มกำลัง แต่ถ้า...ถ้าองค์จักรพรรดินีไม่ยอมให้จับกุม อาจจะเกิดการต่อสู้ ผู้น้อยไม่กล้ารับประกันได้ว่าจะไม่เกิดอันตราย ผู้น้อยเกรงว่าอาจจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามที่ฝ่าบาทสั่งไว้ได้ครบถ้วน”
หวางเอี๋ยนซูคิดถึงปัญหานี้มาก่อนแล้ว เขารู้ดีว่าความสามารถด้านวรยุทธ์ของซูยีนั้นแม้จะไม่เท่ากับเขา แต่ถ้าเทียบกับหยูคังแล้วคงจะใกล้เคียงกัน องค์จักรพรรดิ์หนุ่มจึงพยักหน้าแล้วกล่าว “เช่นนั้นก็ทำให้เต็มที่ข้าขอเพียงอย่างเดียว ห้ามนำศพของเขากลับมา มิฉะนั้นข้าจะลงโทษเจ้าอย่างหนัก”
หยูคังก้มศีรษะและรับคำสั่ง และเหลือบมองไปทางซือหยวนพร้อมคิดในใจ “แม้ข้าต้องรับโทษหนักก็ช่าง นี่เป็นโอกาสเดียวที่สวรรค์ส่งมา ถ้าข้าไม่คว้าไว้ก็ไม่มีโอกาสจะกำจัดซูยี” แม้ว่าในใจจะคิดเช่นนั้น แต่ใบหน้าก็แสดงความเคารพขณะที่สัญญาว่าจะปฏิบัติตามคำสั่งของหวางเอี๋ยนซู
หวางเอี๋ยนซูโบกมือแล้วกล่าว “ไปได้แล้ว ข้าจะรอฟังข่าวจากเจ้า” หลังจากที่หยูคังเดินจากไป หวางเอี๋ยนซูก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ด้วยความสิ้นหวัง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงจากหลังประตู “พระบิดา” หวางเอี๋ยนซูรีบยืดตัวนั่งหลังตรง เห็นองค์รัชทายาทหวางเอี๋ยนโจวกำลังสาวเท้าเดินเข้ามาในห้องอย่างเร่งรีบ
“โจวเอ๋อร์...” ก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกมา หวางเอี๋ยนโจวก็รีบพูดขึ้นมาก่อน “พระบิดา ข้าไปหาพระมารดา แต่เขาไม่อยู่ที่ตำหนัก พวกนางกำนัลกับขันทีบอกว่าเขาหนีไปแล้ว นี่เป็นเรื่องจริงหรือ?” ใบหน้าของเด็กชายแดงก่ำ น้ำตาเอ่อคลอแต่ก็พยายามกลั้นไว้
หวางเอี๋ยนซูมองหน้าบุตรชาย ความเจ็บปวดในหัวใจเพิ่มขึ้น “ซูซู หลังจากที่เจ้าเอาชนะใจพวกเราพ่อลูกแล้วกลับตัดใจทิ้งพวกเราไปอย่างไม่ไยดี ไม่คิดถึงความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นระหว่างพวกเราหรืออย่างไร” เขาได้ยินหวางเอี๋ยนโจวพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบายใจนัก “พระบิดา ข้าไม่เชื่อว่าพระมารดาจะหนีไปจริง ๆ เพราะเช้าวันนี้ตอนที่ข้าไปหาเขา เขายังบอกกับข้าว่าอีกสามวันจะทดสอบดูว่าข้าเรียนได้ดีเพียงใด เขาไม่พูดแบบนี้แน่ถ้าคิดจะหนีไป” หลังพูดจบก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้อีกต่อไป มันหยดลงบนพื้นกระเบื้องสีเขียว
หัวใจของซือหยวนนั้นรู้สึกประหลาดใจ หญิงสาวรู้มาว่าองค์รัชทายาทนั้นอวดดีและไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา เชื่อฟังแค่พระบิดาของตนเพียงผู้เดียวเท่านั้น ทำไมจึงได้กลายมาเป็นติดใจซูยี ซือหยวนจึงรีบพูด “องค์รัชทายาท ที่พวกนางกำนัลและขันทีพูดนั้นถูกต้องแล้ว องค์จักรพรรดินีซูยีหนีไปแล้วจริง ๆ ฝ่าบาทเพิ่งมีรับสั่งให้แม่ทัพหยูรีบติดตามจับกุมตัว ผู้น้อยคิดว่าน่าจะจับตัวได้ในเร็ววัน บุคคลผู้นี้มีหัวใจภักดีต่อราชวงศ์ฉี ยึดมั่นและไม่เปลี่ยนแปลง คิดแต่จะล้มล้างพวกเราเพื่อฟื้นฟูแผ่นดินเดิม ไม่ควรให้องค์รัชทายาทต้องหลั่งน้ำตาให้เขา”
หวางเอี๋ยนโจวจ้องหน้าซือหยวน แล้วตะโกนใส่ “ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อว่าพระมารดาจะเป็นคนแบบนั้น” หลังจากนั้นก็หันไปทางหวางเอี๋ยนซูแล้วพูด “พระบิดา ทำไมพระองค์ถึงสั่งให้หยูคังไปตามพระมารดา เขาเกลียดชังพระมารดายิ่งกว่าอะไร บางทีเขาอาจจะใช้โอกาสนี้ทำร้ายพระมารดาก็เป็นได้”
ซือหยวนสะดุ้งเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่หญิงสาวก็ได้ยินหวางเอี๋ยนซูพูดปลอบโยนบุตรชาย “เรื่องนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะข้าได้กำชับแม่ทัพหยูแล้วว่าห้ามทำร้ายองค์จักรพรรดินี เขาไม่กล้าขัดคำสั่งข้าหรอก เจ้าเองก็ควรจะกลับไปเรียนหนังสือ บางทีถ้าซูซูกลับมาแล้วต้องการทดสอบความรู้ของเจ้าจะทำอย่างไร” พูดจบก็เรียกซือน่ง “พาองค์รัชทายาทกลับไปที่ตำหนักของเขา แล้วบอกพวกนางกำนัลและขันทีว่าห้ามลือเรื่องไร้สาระ มิฉะนั้นข้าจะสั่งลงโทษ”
ความหวาดกลัวเริ่มคืบคลานเข้าสู่หัวใจของซือหยวน หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าแม้เหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้ หวางเอี๋ยนซูก็ยังคงเชื่อใจซูยี ซือหยวนคิดว่าสถานการณ์นี้เริ่มอันตราย แต่โชคดีที่หยูคังและตนได้เตรียมการอย่างระมัดระวัง มิเช่นนั้นความพยายามที่ทำมาทั้งหมดคงจะสูญเปล่า
ซือน่งจูงมือหวางเอี๋ยนโจวเดินออกไป แต่เมื่อถึงประตูก็ดึงมือให้หลุดออกจากซือน่งแล้วกล่าวว่า “ข้าจะตามหยูคังไปหาพระมารดา” พูดจบก็หันไปสั่งเสี่ยวหยางยามรักษาการณ์ประจำตัวซึ่งอยู่ในวัยเดียวกัน “หยางหยาง ไปกับข้า เราต้องรีบไปให้ทันแม่ทัพหยูก่อนที่มันจะหาพระมารดาเจอ มันหลอกข้าไม่ได้หรอก” และไม่รอให้หวางเอี๋ยนซูพูดห้ามปรามก็รีบเดินออกไปทันที
ใบหน้าของซือหยวนซีดเผือดด้วยความกลัว หญิงสาวรีบบอกกับหวางเอี๋ยนซู “ฝ่าบาท องค์รัชทายาทยังทรงพระเยาว์ ไม่ควรให้ออกไปเสี่ยงภัยข้างนอก ถ้าถูกซูยีจับเป็นตัวประกัน ผลที่ตามมาย่อมเลวร้ายจนมิอาจคาดคิด ผู้น้อยจะรีบตามไปพาองค์รัชทายาทกลับมา”
แต่หวางเอี๋ยนซูกลับโบกมือห้าม “ไม่จำเป็น ปล่อยเขาไป เขาจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ ถ้า...ถ้าซูซูตั้งใจที่จะหนีจากพวกเราไปจริง โจวเอ๋อร์ก็ควรจะได้เห็นด้วยตาตนเอง” พูดจบก็ถอนหายใจหนัก ซือหยวนได้แต่ยืนด้วยความร้อนใจ แต่หญิงสาวก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของผู้เป็นนายที่จะวิ่งไล่ตามองค์รัชทายาท
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โจวเอ๋อร์ฉลาดมากลูก!! ยืนหยัดเข้าไว้!! พี่ถือหางหนูทั้งสองมือ!!
หนูโจวไปตามแม่กลับมาเร็วว